Doombringer the 5th - ตอนที่ 130
Ch.130 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (1)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 126
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (1)
Part 1
หลังจากใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ซาลก็เดินออกมาจากบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่ม ‘แซนโดรโฮลิก’ โดยพยายามไม่สนใจเสียงโห่ร้องที่ยังคงดังอื้ออึงอยู่ทางด้านหลัง
สีหน้าอันซับซ้อนของเขาทำให้โทร่าที่เดินตามมาแอบรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไรซาลจึงมีอาการเหมือนกับหงุดหงิดแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพียงแค่พยายามสังเกตสีหน้าของเขาด้วยท่าทางใคร่รู้เท่านั้น
สำหรับซาลแล้ว สิ่งที่เขาพบทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ภาพของผู้คนที่โห่ร้องยินดีและกล่าวสรรเสริญชื่นชมแซนโดรนั้น ในสายตาของเขาแล้วดูไม่ต่างไปจากกลุ่มคนที่หลงผิดไปเข้าลัทธิบูชาปิศาจเลย
แต่พอซาลมาคิดดูดี ๆ แล้ว นี่ก็เป็นลัทธิบูชาปิศาจจริง ๆ นั่นแหละ เพราะแซนโดรตัวจริงก็ไม่ได้ต่างไปจากปิศาจสักเท่าไหร่
ระหว่างที่เดินอยู่ในโซนคอสเพลย์ ซาลก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนในชุดแต่งกายอันแปลกประหลาด ทำให้เขาต้องยั้งเท้าลงและหยุดมองด้วยสีหน้างุนงงอีกครั้ง
ผู้คนเหล่านั้นบางคนก็สวมเสื้อผ้าและถืออาวุธคล้ายกับนักรบ บางคนก็แต่งกายคล้ายกับนักเวท แต่บางคนก็สวมชุดคล้ายกับมอนสเตอร์ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีดีไซน์อันแปลกประหลาดและไม่ใช่ของที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ราวกับเป็นแฟชั่นที่มาจากต่างโลก แต่ซาลก็ยังรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้เห็นดีไซน์อันแปลกตาเหล่านี้มาจากที่ไหนสักแห่ง
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่า การแต่งกายของคนเหล่านี้มีลักษณะใกล้เคียงกับเหล่าผู้สร้างสันติภาพหรือนักผจญภัยที่เขาเคยอ่านเจอในบันทึกของโลกเก่านั่นเอง
เพราะเห็นว่าซาลยืนดูกลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงอยู่เป็นเวลานาน โทร่าเลยคิดว่าเขาไม่เคยพบเห็นกลุ่มกิจกรรมแบบนี้มาก่อน จึงพยายามอธิบายให้ฟัง
“นั่นก็คือกลุ่มนักคอสเพลย์ไงล่ะ โฮก~ อย่างที่บอกแหละ นี่เป็นโซนคอสเพลย์ของงานชุมนุม แถวนี้ก็จะมีพวกที่ชอบคอสเพลย์มารวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมน่ะ ฮืม~ นี่นายรู้จักการคอสเพลย์รึเปล่าเนี่ย? ยังกับเพิ่งออกมาจากหลังเขาเลยนะ คุณแซนโดรไม่ค่อยปล่อยให้ออกมาเที่ยวรึไง? เอ้า ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังเอง โฮก~”
ยังไม่ทันที่ซาลจะได้อ้าปากตอบกลับไป โทร่าก็สรุปเรื่องราวเองเสร็จสรรพก่อนจะฉุดมือของเขาเพื่อพาไปเดินชมการคอสเพลย์ของผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ทำให้ซาลได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ แล้วเดินตามไป
โทร่าพาซาลเดินมาจนถึงบริเวณหนึ่ง เธอก็หยุดเท้าลงก่อนจะหันกลับมากล่าวอธิบายให้เขาฟังอีกครั้ง
“โฮก~ เริ่มจากด้านนี้คือกลุ่มเวสเทิร์นคอสฯ จริง ๆ ก็ไม่ใช่ชื่อกลุ่มหรอกนะ เป็นแค่คำเรียกพวกที่ชอบคอสเพลย์แนวนี้น่ะ ว่ากันว่านี่เป็นรูปแบบการแต่งกายซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากฝั่งตะวันตกของโลกเก่า จากนั้นจึงเกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมไปยังฝั่งตะวันออกในเวลาต่อมา”
ซาลกวาดสายตามองกลุ่มผู้คอสเพลย์ในขณะที่ฟังคำอธิบายจากโทร่าไปด้วย สิ่งที่เขาเห็นก็คือกลุ่มคนที่สวมใส่ชุดเกราะโลหะและเกราะหนังหลากหลายชนิด แม้ดีไซน์จะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากชุดที่คลาสสายนักรบในปัจจุบันนี้ใส่กันสักเท่าไหร่นัก
ทันใดนั้นซาลก็เหลือบตาไปเห็นเหล่านักรบหญิงที่อยู่ในกลุ่มของผู้คอสเพลย์ ทำให้สีหน้าของเขาเกิดอาการกระตุกไปวูบหนึ่ง เพราะนักรบหญิงเหล่านี้สวมใส่อาภรณ์ที่เหมือนจะเป็นชุดเกราะ แต่ก็ไม่ใช่ชุดเกราะ เนื่องจากมันเปิดเผยส่วนต่าง ๆ ของร่ายกายมากซะจนไม่น่าจะเรียกว่าเครื่องป้องกันได้ แม้วัสดุที่ใช้ทำอาภรณ์นั้นน่าจะทำจากโลหะ และยังมีชิ้นเกราะตามไหล่, แขน, และแข้ง เป็นส่วนประกอบอยู่บ้าง แต่บนร่างกายกลับมีเพียงแผ่นเกราะชิ้นน้อย ๆ ปกปิดตามส่วนสำคัญเท่านั้น ทั้งทรวดทรงและสรีระของผู้สวมใส่จึงถูกเปิดเผยต่อสายตาผู้คนโดยแทบไม่มีอะไรมาปิดบัง ราวกับเป็นชุดชั้นในหรือชุดว่ายน้ำตามชายหาดเลยก็ว่าได้
แม้จะเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการแต่งกายในลักษณะนี้มาบ้างแล้วจากบันทึกของโลกเก่า แต่เพราะยังอายุไม่ถึง ซาลจึงไม่เคยเห็นภาพจริง ๆ มาก่อน เพราะมันเป็นเนื้อหาที่ถูกจำกัดการเข้าถึงเอาไว้ อีกทั้งในโลกใหม่นี้ยังมีค่านิยมด้านจริยธรรมค่อนข้างเข้มงวด แม้แต่บริเวณชายหาดจริง ๆ ก็ยังหาคนที่แต่งกายเปิดเผยขนาดนี้ได้ยากเลย การได้มาเห็นเหล่าหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยตัวเป็น ๆ แบบนี้จึงทำให้ซาลรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงไปถึงใบหู เขาจึงต้องพยายามเบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาไปทางอื่นในทันที
“ว่านั่นว่านั่นเป็นอาภรณ์ป้องกันในตำนานของนักรบหญิงแห่งโลกเก่า ความพิเศษคือยิ่งเป็นเครื่องป้องกันระดับสูงก็จะยิ่งมีขนาดเล็กลงจนแทบจะกลายเป็นชุดบิกินี่ไปเลย ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่กลับให้พลังป้องกันที่มากขึ้นสวนทางกับปริมาณของอาภรณ์ เป็นวิทยาการอันสาบสูญที่เหล่านักวิจัยในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าเพราะอะไร แม้แต่เรื่องที่ว่าทำไมจึงมีเฉพาะนักรบหญิงที่มีเกราะแบบนี้ใส่ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้เลย คาดกันว่าการทำงานของมันคงขึ้นกับธาตุของผู้สวมใส่ด้วย
สันนิษฐานกันว่ามันทำงานโดยการเสริมความแข็งแกร่งของจิตต่อสู้ในอณูร่างกายให้มีความทนทานยิ่งกว่าเหล็กกล้า ในระดับนั้นเครื่องป้องกันอื่น ๆ จึงไม่จำเป็น เพราะอาศัยเพียงจิตต่อสู้ที่อาบผิวอยู่ก็ทดแทนชุดเกราะได้แล้ว เครื่องป้องกันอื่น ๆ จึงถูกถอดออกเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว นี่เป็นนวัตกรรมของโลกเก่าที่วิทยาการในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถเลียนแบบได้”
ระหว่างที่อธิบายอยู่โทร่าที่หันมามองก็พบว่าซาลมีอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เธอรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเธอก็แสยะรอยยิ้มขี้เล่นและแววตาอันชั่วร้ายออกมา แล้วเดินเข้าไปเบียดตัวอีกฝ่ายอย่างจงใจ
“แฮ่~ แฮ่~ อะไรกันเนี่ยคุณชายแร็กน่า ไม่เคยเห็นเรือนร่างของสาว ๆ มาก่อนเลยรึไง? อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย? ยี่สิบ? หรือยี่สิบห้า? สีหน้าท่าทางแบบนั้นแปลว่ายังเวอร์จิ้นอยู่เลยใช่ม้า?”
โทร่ากล่าวพูดพลางเอานิ้วจิ้มที่หน้าอกของซาลพร้อมกับเหลือบมองเขาด้วยแววตาที่แฝงความเย้ยหยันอยู่ภายใน แต่เพราะความสูงของเธออยู่แค่ระดับอกของอีกฝ่าย ทำให้ท่าทางอันยียวนนั้นดูน่าหมั่นเขี้ยวมากกว่าจะน่าหงุดหงิด อีกทั้งซาลยังรู้ว่านี่เป็นการจงใจเย้าแหย่เพื่อหยั่งเชิง จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ยี่สิบสองครับ… ว่าแต่คุณโทร่าเถอะ ตัวแค่นี้… อายุเท่าไหร่ครับเนี่ย? สิบสอง? หรือสิบสาม? ยังไงก็คงจะเวอร์จิ้นเหมือนกันแหละน่า”
ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของซาล สีหน้ายียวนของโทร่าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นบูดเบี้ยวในทันที นั่นเพราะซาลเดาถูกว่าคนที่พยายามแสดงตัวว่าเป็นเผ่าเสืออย่างเธอน่าจะมีความทะนงตนสูง การจี้ใจดำในเรื่องรูปร่างจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ใช้แก้เผ็ดเธอได้
“โฮก! ถึงจะตัวเล็กแต่ฉันก็ยี่สิบห้าแล้วนะ! แล้วสำหรับผู้หญิงน่ะ ความเวอร์จิ้นมันเป็นคุณสมบัติอันเลอค่าที่ควรรักษาไว้จนถึงวันแต่งงานต่างหาก!”
“ผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละครับ! ตามบันทึกของโลกเก่าน่ะยังกล่าวไว้ว่าผู้ชายที่ครองความบริสุทธิ์จนอายุครบสามสิบปีได้ก็จะได้เลื่อนคลาสเป็นจอมเวทในตำนานด้วยนะครับ!”
“เรื่องแบบนั้นมันมีจริงที่ไหนเล่า!? เป็นแค่คำอ้างของพวกบ่มีไก๊ไร้น้ำยาหาแฟนไม่ได้เท่านั้นแหละ โฮก!”
เสียงตวาดของโทร่าที่โพล่งออกไปอย่างลืมตัว ทำให้มีเสียง ‘เฮือก’ ดังกระหึ่มมาจากเหล่าชายหนุ่มที่อยู่รอบบริเวณนั้นโดยมิได้นัดหมาย และบรรยากาศโดยรอบก็พลันอึมครึมลงในทันที
ทั้งซาลและโทร่าต่างก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกหดหู่ที่เริ่มปกคลุมไปทั่วพื้นที่ จนทั้งคู่ต้องหยุดการโต้เถียงกัน ไม่นานนักก็มีหญิงสาวซึ่งสวมผ้าคลุมสีดำและคาดปลอกแขนของเจ้าหน้าที่ดูแลงานเดินจ้ำเข้ามาหาโทร่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ็ดเธอด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“นี่! คุณโทร่า! ระวังคำพูดหน่อยสิคะ! ในกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดน่ะมีผู้เชื่อมั่นใน ‘วิถีของจอมเวทแห่งโลกเก่า’ อยู่เยอะนะ! คำพูดแบบนั้นน่ะมันเสียมารยาทมากเลยรู้มั้ย!?”
“ระ.. รู้แล้วน่า… แค่เผลอพลั้งปากไปหน่อยเดียวเอง เธอไปทำงานต่อเถอะ”
โทร่ามีอาการหงอยลงเล็กน้อยเมื่อถูกดุจากเจ้าหน้าที่สาว แม้อีกฝ่ายจะดูเป็นคนที่มีตำแหน่งเล็กกว่าก็ตาม ดูเหมือนทั้งคู่จะสนิทสนมกันมาก จนเรื่องตำแหน่งหรือความอาวุโสกลายเป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าแม้แต่ในองค์กรของผู้ใช้ศาสตร์มืดก็ยังมีความสัมพันธ์สบาย ๆ แบบนี้ด้วย
หลังจากพนักงานสาวเดินจากไปแล้ว โทร่าที่กำลังหน้ามุ่ยเพราะความหงุดหงิดก็หันมาชกใส่หน้าอกของซาลที่ยืนอยู่ด้านหลังทันที
“กรรร! เพราะนายแท้ ๆ ฉันถึงต้องโดนดุน่ะ! เจ้าตัวซวยนี่!”
แม้การหลบหลีกหรือปัดป้องการโจมตีนี้จะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เพราะซาลรู้สึกว่าตัวเองก็มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้อยู่นิดหน่อย และไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดในการทะเลาะกับโทร่าอีก จึงยอมยืนให้เธอชกเพื่อระบายโทสะ
“อุก”
“อ๊ะ!?”
เพราะซาลไม่ได้ขยับไปไหนเลยทำให้เขาโดนหมัดของโทร่าชกเข้าไปอย่างเต็มแรง นั่นเป็นเรื่องที่ผิดไปจากความคาดหมายของโทร่าที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะหลบเลี่ยงบ้าง เมื่อเป็นแบบนี้หมัดของเธอจึงกระทบเข้ากับหน้าอกของซาลแรงกว่าที่เธอตั้งใจเอาไว้ จนทำให้เธอรู้สึกตกใจ
“ทะ.. ทำไมถึงไม่หลบล่ะ? ปัดโถ่เอ๊ย…”
แม้จะแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อยตอนที่ถูกชก แต่เขาก็รีบปรับสีหน้าและส่งยิ้มสบาย ๆ ตอบกลับมาโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร ทำให้โทร่ายิ่งรู้สึกผิดและไม่สบายใจมากขึ้นอีก
“ชิ… น่าหงุดหงิดจริง ๆ เลย โฮก!”
เพราะไม่รู้จะรับมือกับอีกฝ่ายยังไงดี โทร่าจึงรีบตัดบทและเดินต่อไปโดยไม่แกล้งทำเป็นไม่สนใจซาลที่ยังยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลัง
ท่าทางกระฟัดกระเฟียดของโทร่าทำให้ซาลนึกถึงคนคุ้นเคยคนหนึ่งขึ้นมาจนอดอมยิ้มไม่ได้ เขาแอบมองหางที่หวดสะบัดอย่างหงุดหงิดของเธออยู่ครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดไปด้วย
“เผ่าแมวนี่ก็น่ารักดีแฮะ ว่าง ๆ ลองสร้างสมุนที่เป็นฮาลฟ์บีสเผ่าแมวดูดีมั้ยนะ… หรือไม่ก็จับคุณโทร่ามาทำเป็นสมุนอัญเชิญซะเลย~ ฮ่ะ ๆ ๆ ว่าไปนั่น…”
ท่าทางน่าแกล้งของโทร่าทำให้ซาลรู้สึกอยากจะเลี้ยงแมวขึ้นมาจนเผลอคิดอะไรเพลินไปหน่อย เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกอีกฝ่ายเดินห่างออกไปแล้ว เขาจึงได้สติและรีบเดินตามไปด้วยรอยยิ้มที่ยังคงไม่จางไปจากใบหน้า
——————————————————————————–
Part 2
เมื่อเดินลึกเข้าไปในงาน ซาลก็ได้เห็นกลุ่มคนในชุดคอสเพลย์หนาตาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งโทร่าที่แม้จะดูหงุดหงิดอยู่นิดหน่อยแต่ก็ยังคงอธิบายรายละเอียดของกลุ่มคอสเพลย์แต่ละกลุ่มให้ซาลฟังไปด้วยในระหว่างเดินชมงาน
“ที่เห็นใส่ชุดหนังและสวมแจ๊คเก็ตสีน้ำตาลพร้อมกับสะพายกล่องใหญ่ ๆ ที่ข้างเอวไปด้วยนั่นคือ ‘หน่วยพิฆาตยักษ์’ กล่าวกันว่าพวกเขาเป็นนักรบแห่งกลียุคในช่วงที่โลกเก่าตกอยู่ภายใต้การคุกคามของเหล่า ‘ยักษ์’ อสูรกายรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีความสูงนับสิบเมตรเลยล่ะ โฮก~
ความพิเศษของคลาสนี้ก็คือสามารถใช้อุปกรณ์ติดตัวช่วยในการเคลื่อนที่ได้แบบสามมิติ ราวกับเป็นการเหาะเหินเดินอากาศ ในโลกใหม่นี่ก็เคยมีการพยายามฟื้นฟูคลาสนี้ขึ้นมาเหมือนกัน ทว่าถึงแม้จะสามารถสร้างอุปกรณ์แบบเดียวกันขึ้นมาได้ แต่ในการใช้งานจริงก็ยังไม่มีใครสามารถใช้อุปกรณ์นี้เคลื่อนที่ได้เหมือนกับ ‘หน่วยพิฆาตยักษ์’ ที่อยู่ในบันทึกเลยแม้แต่คนเดียว บางทีอาจเป็นเพราะอุปกรณ์ที่จำลองขึ้นจากข้อมูลในบันทึกมันยังไม่สมบูรณ์เท่ากับของจริง หรือไม่ก็อาจมีเคล็ดวิชาลับบางอย่างที่ยังขาดหายไปก็ได้”
“ออ… ว่าแต่คนที่คอสเพลย์เป็น ‘หน่วยพิฆาตยักษ์’ เนี่ย มีแต่คนตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ หรือเพื่อความคล่องตัว คนฝึกคลาสนี้ก็เลยต้องตัวเล็ก?”
“เปล่าหรอก แต่เพราะว่า ‘หน่วยพิฆาตยักษ์’ ที่เก่งที่สุดและเป็นนักรบระดับตำนานในยุคนั้นมีชื่อว่า ‘เลวี่’ เขาเป็นคนรูปร่างเล็ก แต่มีความสามารถในการต่อสู้สูงมากชนิดที่ว่าสามารถจัดการกับเหล่ายักษ์นับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว พวกนักคอสเพลย์ที่ตัวเล็ก ๆ เลยนิยมคอสฯ เป็นตัวนี้กันไงล่ะ โฮก~”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง… อ๊ะ แล้วกลุ่มผู้หญิงในชุดไสตล์คามิเท็นที่แบกอุปกรณ์แปลก ๆ ไว้ตรงเอวนั่นล่ะครับ? เอ๋? นั่นมันปืนใหญ่เหรอ?”
“โอ้ ทางนั้นคือกลุ่ม ‘สาวเรือรบ’ แห่งโลกเก่า เป็นกลุ่มนักรบที่คอยต่อต้านภัยคุกคามจากห้วงทะเลลึก ถ้าเทียบกับยุคนี้ก็คงจัดว่าเป็นคลาสสาย ‘กันเนอร์’ (ผู้ใช้ปืน) ล่ะมั้ง แต่ความพิเศษของคลาสนี้ก็อย่างที่เห็น คือแทนที่จะใช้แค่ปืนพกหรือปืนไรเฟิลอย่างที่เราเห็นทั่วไป พวกเธอจะสวมชุดอุปกรณ์ที่มีปืนใหญ่ขนาดเล็กติดตั้งอยู่และใช้มันในการต่อสู้ ซึ่งปืนพวกนี้มีพลังทำลายไม่ด้อยไปกว่าปืนใหญ่ขนาดปกติเลย และคลาสนี้ยังสามารถวิ่งไปบนผิวน้ำได้ราวกับเป็นการเล่นสเก็ตน้ำแข็งอีกด้วย เพราะศัตรูของพวกเธอคือมอนสเตอร์ที่มาจากท้องทะเลไงล่ะ โฮก~
ได้ข่าวว่าทางคามิเท็นน่ะทุ่มเทกำลังคนพัฒนาวิจัยจนสามารถสร้างคลาสที่มีความใกล้เคียงกับ ‘สาวเรือรบ’ แห่งโลกเก่าขึ้นมาได้แล้วด้วยนะ เพราะนี่เป็นหนึ่งในบันทึกแห่งโลกเก่าที่ชาวคามิเท็นนิยมชมชอบที่สุดเลย อาจเพราะเครื่องแบบของคลาสนี้มันมีดีไซน์คล้ายกับชุดประจำชาติของพวกเขาล่ะมั้ง”
แม้ซาลจะพอรู้เรื่องราวในบันทึกของโลกเก่ามาพอสมควร แถมยังรู้ลึกถึงขั้นแยกแยะหลาย ๆ เรื่องว่าอะไรเป็นวรรณกรรม อะไรเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงได้ด้วย แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนและปล่อยให้โทร่าบรรยายไป พร้อมกับแทรกถามเป็นระยะ ๆ เพราะดูเหมือนเธอจะเป็นคนช่างพูด เมื่อประกอบกับอุปนิสัยที่มีความทระนงตนสูง ซาลจึงคิดว่าการเปิดโอกาสให้เธอได้พูดและแสดงความรู้ออกมาน่าจะทำให้เธอพึงพอใจและมีอารมณ์เย็นลง
ซึ่งเรื่องนั้นก็ดูจะได้ผล เพราะในระหว่างที่พูดบรรยายไป สีหน้าอันบูดบึ้งของโทร่าก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงและค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิ เพราะการได้เล่าเรื่องต่าง ๆ และตออบคำถามของซาลทำให้เธอรู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่ายนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าโทร่าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ซาลจึงลองถามเธอในเรื่องที่เขาอยากรู้จริง ๆ บ้าง
“พีระมิดนี่มีอยู่สิบชั้นสินะครับ? ที่ชั้นแรกนี่ขนาดเป็นแค่ห้องโถงสำหรับพบปะก็ยังมีคนตั้งหลายพันแบบนี้ แปลว่ารวม ๆ แล้วทั้งงานนี่น่าจะมีคนเป็นหลักหมื่นเลยสินะครับเนี่ย?”
“ฮื่อ ใช่แล้วล่ะ ยอดสูงสุดของผู้เข้าร่วมงานที่เคยบันทึกไว้คือหนึ่งหมื่นคน แต่นั่นคือยอดรายวันน่ะนะ เพราะงานนี้จัดขึ้นเป็นเวลาสามวัน และผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่มักจะอยู่กันแค่ 1 วันเป็นอย่างมาก คนในงานจึงมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ ถ้านับยอดรวมจริง ๆ ก็น่าจะถึงสามหมื่นคนนั่นแหละ โฮก~”
“ทั้งที่เป็นงานชุมนุมแบบปิดและมีการตรวจสอบผู้เข้าร่วมงานอย่างเข้มงวดขนาดนั้นก็ยังมีผู้เข้าร่วมงานหลายหมื่นคนเลยเหรอครับเนี่ย? นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ “
“ก็นี่เป็นงานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดจากทั่วทุกสารทิศเลยนี่นา และนี่ยังถือว่าเป็นงานชุมนุมแบบเปิดอยู่นะ งานชุมนุมแบบปิดจริง ๆ จะอนุญาตให้ผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับสูงเพียงจำนวนหนึ่งเข้าร่วมได้เท่านั้น ส่วนงานนี้แม้จะมีการตรวจตราค่อนข้างเข้มงวด แต่ก็เป็นงานชุมนุมที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับทั่วไปสามารถมาเข้าร่วมได้น่ะ ยังไงก็ถือว่าเป็นงานใหญ่ในอีกรูปแบบนึงนั่นแหละ โฮก~”
“แบบนี้นี่เอง… แล้วสถานที่จัดงานทั้งสิบชั้นเนี่ย แบ่งโซนยังไงบ้างเหรอครับ?”
“ฮืม~ ชั้นล่างสุดเป็นส่วนรับรองและสถานที่พบปะของผู้เข้างานอย่างที่เห็นนั่นแหละ ชั้นสองจะเป็นโซนนิยายภาพแบบประยุกต์ หรือที่โลกเก่าเรียกว่า ‘โอจินชิ’ ชั้นที่สามจะเป็นโซนนิยายภาพแบบออริจินัลหรือที่คนมักเรียกทับศัพท์ภาษาคามิเท็นไปเลยคือ ‘มังงะ’ ส่วนชั้นที่สี่จะเป็นโซนนิยายทั่วไป ชั้นที่ห้าจะเป็นโซนวรรณกรรมอื่น ๆ
ชั้นที่หกจะเป็นโซนร้านค้าที่ให้บริการและอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน, ที่พัก, หรือสินค้าต่าง ๆ สำหรับผู้ใช้ศาสตร์มืด ชั้นที่เจ็ดจะเป็นโซนสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานวรรณกรรมของโลกเก่า ชั้นที่แปดจะเป็นโซน ‘งานประมูลแห่งความมืด’ ส่วนชั้นที่เก้าและสิบเป็นส่วนของกองธุรการการจัดงาน หรือก็คือเป็นโซนสำหรับเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยควบคุมดูแลการจัดงานน่ะ”
โทร่าอธิบายทุกอย่างให้ซาลได้ฟังแบบรวดเดียวจบ ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับเป็นระยะ ๆ ในขณะที่ทำความเข้าใจไปด้วย จนกระทั่งรู้สึกสะดุดใจกับเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“เอ… งานประมูลแห่งความมืดนี่มันต่างจากงานประมูลทั่ว ๆ ไปยังไงเหรอครับ?”
“มันก็เป็น… งานประมูลที่ไม่ได้วัดกันแค่ว่าใครยอมจ่ายมากกว่า แต่มีความสามารถพอที่จะจ่ายรึเปล่าไงล่ะ โฮก~”
“ความสามารถในการจ่าย? มันก็คือจำนวนเงินที่มีอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”
“แฮ่~ แฮ่~ ถ้าอยากรู้ละก็ ลองไปดูเองสิ”
โทร่าไม่ยอมตอบคำถามตามตรงทั้งยังแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำให้ซาลรู้สึกสงสัยและอยากจะไปดูงานประมูลที่ว่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะรู้ว่ามันเป็นการจงใจยั่วยุของอีกฝ่าย การจะยอมตกหลุมง่าย ๆ แบบนี้คงไม่เป็นการดีนัก จึงคิดว่าควรจะรวบรวมข่าวสารสักนิดก่อนไปเข้าร่วมงานจะดีกว่า
——————————————————————————–
Part 3
หลังจากใช้เวลาเดินอยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็เดินมาถึงลานกว้างซึ่งอยู่ในสถานที่จัดงาน มันดูเหมือนกับสวนหย่อมซึ่งมีทั้งพื้นหญ้า, พุ่มไม้, และต้นไม้เตี้ย ๆ ประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณ สลับกับที่นั่งให้ผู้เข้าชมงานได้พักผ่อนหย่อนใจกัน ทิวทัศน์อันร่มรื่นภายใต้แสงสว่างที่ส่องลงมาจากเพดานสูงนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบดูไม่เหมือนกับเป็นภายในอาคารเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่คนที่เคยเห็นการตกแต่งในลักษณะนี้มาบ้างแล้วคงต้องเข้าใจผิดว่าพวกเขาได้เดินหลุดออกมาอยู่นอกอาคารเป็นแน่
ในบริเวณรอบสวนหย่อมยังมีวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับใช้ในการเดินทางไปยังชั้นอื่นอยู่ด้วย โทร่าอธิบายว่าวงเวทเคลื่อนย้ายนี้จะส่งผู้ที่อยู่ในวงเวทขึ้นหรือลงไปยังชั้นที่อยู่ติดกันเพียงหนึ่งชั้นเท่านั้น เว้นแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่จึงจะสามารถใช้วงเวทในการเคลื่อนที่มากกว่าหนึ่งชั้นได้ ซึ่งเธอก็เสนอให้ซาลมุ่งตรงไปยังชั้นแปดทันที แต่นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกระวังตัวมากขึ้นอีก จึงขอชมงานไปทีละชั้นดีกว่า
ทันทีที่การเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น ซาลและโทร่าก็ได้มาถึงชั้นสองของสถานที่จัดงานซึ่งเป็นโซนนิยายภาพแบบประยุกต์หรือ ‘โอจินชิ’ นั่นเอง ซึ่งทันทีที่มาถึง ดวงตาของซาลก็ต้องเบิกโพลงเพราะความประหลาดใจ
เพราะบนชั้นสองนี้พื้นที่ทั้งหมดได้ถูกใช้งานอย่างเต็มเหยียด แค่มองจากภายในสวนหย่อมออกไปก็จะเห็นโต๊ะจัดวางหนังสือของบูธต่าง ๆ เรียงรายกันเป็นตับจนแทบจะล้นทะลักเข้ามาในเขตสวนหย่อมเลยทีเดียว เมื่อเหลือบตามองขึ้นไปด้านบนก็ยังมีแพลทฟอร์มแบบแขวนที่ถูกต่อเติมห้อยลงมาจากบนเพดานเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แพลทฟอร์มนี้ยังมีถึงสองชั้นและเชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเดินอันซับซ้อน และมีผู้คนเดินกันขวักไขว่เพื่อไปเลือกชมหนังสือที่จัดแสดงอยู่ตามแพลทฟอร์มต่าง ๆ ทำให้ชั้นสองของสถานที่จัดงานนี้ดูเหมือนกับเป็นรังมดหรือรังผึ้งเลยทีเดียว
“ที่ชั้นล่างก็ว่ามีคนเยอะแล้ว แต่ชั้นนี้ยิ่งมีคนหนาแน่นกว่าอีกนะครับเนี่ย ถึงขั้นต้องต่อชั้นลอยขึ้นมาอีกสองชั้นแบบนี้ คนร่วมงานในแต่ละวันมีแค่ไม่ถึงหมื่นจริงเหรอครับ?”
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของซาล โทร่าก็ยิ้มอย่างภูมิใจอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับมา
“ปีนี้ยังถือว่าน้อยแล้วนะ บางปีน่ะต้องต่อแพลทฟอร์มกันถึงสามชั้นแน่ะ แต่อันที่จริง โซนที่มีคนเยอะขนาดนี้ก็มีแค่โซน ‘โอจินชิ’ นี่แหละ เพราะมันเป็นวรรณกรรมประยุกต์ที่มีนักเขียนหน้าใหม่จำนวนมากนิยมเขียนและมานำเสนอผลงานน่ะ โฮก~”
“แบบนี้นี่เอง… เอ๋? นั่นมัน?”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ ซาลก็เหลือบไปเห็นของแปลก ๆ ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วบริเวณงาน นั่นก็คือสมุนรับใช้ (Familiar) สารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็น สไล์ม, โกเลมดินเหนียวตัวเล็ก ๆ, แมวที่มีปีกของค้างคาว, ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ขยับได้เอง, หมาจิ้งจอกสีดำที่มีดวงตาแดงก่ำ, แมงมุมที่ตัวโตกว่าหนึ่งเมตร, อีกาและนกฮูก, หรือแม้แต่ร่างโปร่งใสของมนุษย์ที่ดูคล้ายกับวิญญาณ
พวกมันเป็นร่างอัญเชิญอีกชนิดหนึ่งที่มีจุดประสงค์ในการใช้งานแตกต่างจากสมุนอัญเชิญทั่ว ๆ ไป เพราะวิทยาการอันล้าหลังของเวทอัญเชิญทำให้การสร้างสมุนอัญเชิญที่ใช้งานจริงในการต่อสู้ได้นั้นเป็นเรื่องลำบาก เหล่านักเวทอีกกลุ่มหนึ่งจึงพยายามค้นคว้าและวิจัยเพื่อหาวิธีการนำเวทอัญเชิญมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในแนวทางอื่น ทำให้ได้การอัญเชิญ ‘สมุนรับใช้’ ออกมา
แนวคิดคือแทนที่จะสร้างร่างอัญเชิญที่มีความสมดุลในทุกด้านขึ้นมาใช้เป็นกำลังหลักในการต่อสู้ ก็สร้างร่างอัญเชิญที่มีความสามารถเฉพาะทางในการสนับสนุนผู้เป็นนายได้แทน หลังจากการค้นคว้าวิจัยนับสิบปี ในที่สุดเหล่านักเวทก็สามารถสร้างร่างอัญเชิญที่ให้คุณสมบัติใกล้เคียงกับคทาเวทที่มีชีวิตได้เป็นผลสำเร็จ คือสมุนรับใช้บางตัวจะช่วยให้ผู้เป็นนายสามารถร่ายเวทมนตร์บางชนิดได้เร็วขึ้น บางตัวก็ช่วยลดปริมาณพลังเวทที่ต้องใช้ในการร่ายเวทลง หรือบางตัวก็สามารถร่ายเวทพร้อม ๆ กับผู้เป็นนายไปด้วย ทำให้สามารถปลดปล่อยเวทมนตร์สองครั้งซ้อนได้
โดยสรุปคือสมุนอัญเชิญจะมีความสามารถของตัวเองเป็นเอกเทศและสามารถต่อสู้ด้วยตัวเองได้ แต่สมุนรับใช้จะเป็นเหมือนเวทเสริมพลังที่มีรูปร่างปรากฏให้เห็นและคอยสนับสนุนผู้เป็นนายตามแต่จะถูกออกแบบมา แม้จะใช้พลังเวทในการเสกเยอะกว่าการร่ายเวทเสริมพลังทั่ว ๆ ไป แต่มันก็สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องหลังจากถูกเสกขึ้นมา อีกทั้งเมื่อเทียบกับสมุนอัญเชิญจริง ๆ แล้ว สมุนรับใช้ยังกินพลังเวทน้อยกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลย
สำหรับสมุนรับใช้ที่ซาลได้เห็นอยู่ในงานนี้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสมุนรับใช้ของผู้ศึกษาศาสตร์มืดซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป พวกมันต่างก็วิ่งกันให้ขวักไขว่จากบูธหนึ่งไปยังอีกบูธหนึ่ง หรือไม่ก็กำลังยืนต่อคิวในแถวของผู้ซื้อสินค้าบางบูธด้วย ทำให้พื้นที่จัดงานที่คึกคักอยู่แล้วยิ่งดูมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ
“สมุนรับใช้พวกนั้น… กำลังสำรวจงานและซื้อของไปให้เจ้านายงั้นเหรอครับ?”
“ก็ทำนองนั้นแหละ เพราะการจะสำรวจดูบูธต่าง ๆ ให้ครบทั้งหมดภายในวันเดียวนั้นเป็นเรื่องยาก ยิ่งถ้าคิดจะชมงานให้ครบทุกชั้นละก็ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย ในขณะที่หลายคนก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทางเราจึงอนุญาตให้เสกสมุนรับใช้ออกมาช่วยในการสำรวจและจับจ่ายซื้อของได้ แต่ทางเราไม่รับประกันความปลอดภัยให้กับสมุนรับใช้หรอกนะ โฮก~”
“ดีจัง ผมเองก็กำลังกังวลอยู่เลยว่าจะจัดสรรเวลาในการเที่ยวชมงานและดูของยังไงดี ถ้าแบบนี้ก็คงจะสะดวกหน่อย การเสกสมุนรับใช้นี่มีข้อจำกัดอะไรบ้างมั้ยครับ?”
“ทางเราจำกัดให้ผู้ร่วมงานแต่ละคนสามารถเสกสมุนรับใช้ออกมาได้ไม่เกินสิบตัว และแต่ละตัวก็ต้องมีขนาดไม่เกินหนึ่งเมตรด้วย เพื่อไม่เพื่อไม่ให้บริเวณงานมีความแออัดเกินไปน่ะ โฮก~”
“อ้อ ถ้างั้นคงไม่มีปัญหาครับ เพราะผมจะเสกออกมาแค่แปดตัวเท่านั้นแหละ”
เมื่อพูดจบ ซาลก็วาดมือไปบนอากาศ เพียงชั่วอึดใจก็มีวงเวทแปดวงซึ่งเรืองแสงสีแดงอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นมาบนพื้นรอบตัวของเขาทันที
แสงสว่างจากวงเวทค่อย ๆ ก่อตัวกันเป็นรูปร่างแล้วจึงเลือนหายไป รอบตัวซาลจึงเหลือแค่เพียงสมุนรับใช้แปดตัวยืนล้อมรอบเขาอยู่
สมุนเหล่านี้ดูเหมือนกับคนแคระที่มีความสูงเพียงประมาณหนึ่งเมตร พวกมันสวมผ้าคลุมนักเวทปกปิดแทบทั้งตัว ภายใต้ผ้าคลุมนั้นมีเพียงดวงตาสีเหลืองสองดวงส่องสว่างอยู่ในความมืดมิดราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นเจตภูต โดยแต่ละตัวต่างก็สวมผ้าคลุมที่มีสีแตกต่างกันออกไป คือมีทั้งสีขาว, สีดำ, สีเหลือง, สีส้ม, สีน้ำเงิน, สีม่วง, สีฟ้า, และสีเขียว แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือแปดขุนพลของซาลที่ถูกอัญเชิญออกมาในรูปลักษณ์ของสมุนรับใช้นั่นเอง
ทันทีที่เห็นสมุนรับใช้เหล่านี้ โทร่าก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ด้วยความข้องใจ
“นั่นมันสมุนอัญเชิญไม่ใช่เหรอ? ทำอะไรสิ้นเปลืองชะมัดเลย… คิดจะโชว์ออฟรึไง? …แต่ที่น่าแปลกคือเหมือนกับมีการรบกวนบางอย่างปกคลุมสมุนพวกนี้อยู่จนทำให้ประเมินระดับพลังไม่ออก… เจ้านี่มันอัญเชิญตัวอะไรออกมากันแน่?”
แม้จะสังเกตเห็นสายตาเคลือบแคลงใจของโทร่า แต่ซาลก็ทำเป็นไม่ใส่ใจและหลับตาลงเพื่อสื่อกระแสจิตกับขุนพลทั้งแปดในทันที
“พวกนายก็เที่ยวชมงานกันตามอัธยาศัยละกันนะ ในระหว่างนั้นก็รวบรวมข่าวสารตามหัวข้อที่เราวางแผนกันเอาไว้ไปด้วย แต่ขอให้เพิ่มการหาข้อมูลเรื่อง ‘งานประมูลแห่งความมืด’ ขึ้นมาอีกเรื่องนึง เท่านี้แหละ”
เหล่าขุนพลทั้งแปดที่อยู่ในร่างนักเวทแคระต่างก็พยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะแยกย้ายกันเดินออกไปในงานจนตรงนั้นเหลือเพียงซาลและโทร่าอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง
“เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันบ้างเถอะครับ”
เมื่อพูดจบ ซาลที่มีสีหน้ายิ้มแย้มก็เดินตรงเข้าไปในงานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยมีโทร่าที่ยังคงจ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยความเคลือบแคลงใจเดินตามไป