Doombringer the 5th - ตอนที่ 131
Ch.131 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (2)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 127
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (2)
Part 1
หลังจากที่ซาลกับโทร่าเดินเข้าไปในงานแล้ว เหล่าขุนพลทั้งแปดซึ่งอยู่ในร่างของนักเวทแคระคล้ายกับภูติน้อยในชุดคลุมสีสันสดใสก็เริ่มเคลื่อนไหวบ้าง
นักเวทแคระในชุดคลุมสีฟ้าอมเขียวได้แอบเดินตามซาลกับโทร่าไปห่าง ๆ โดยใช้การแฝงตัวในฝูงชนและส่งสมุนอัญเชิญที่เป็นแมลงเต่าทองอีกหลายตัวออกสอดส่องพื้นที่โดยรอบไปด้วย ผู้ที่อยู่ในร่างของนักเวทแคระคนนี้ก็คือเอ็มเมอริชนั่นเอง
“ยังไงความปลอดภัยของท่านจอมพลก็ต้องมาเป็นอันดับแรก เรื่องหาข่าว ไว้ให้เป็นหน้าที่ของขุนพลคนอื่น ๆ ก็ได้…”
เพราะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของซาลมากกว่า เอ็มเมอริชจึงตัดสินใจสะกดรอยเขาไปพลางสอดส่องพื้นที่โดยรอบไปด้วยเพื่อให้การคุ้มกัน
คล้อยหลังเอ็มเมอริชไปเพียงไม่นาน นักเวทแคระในชุดคลุมสีขาวและสีดำก็เดินกลับเข้ามาในลานเทเลพอร์ท โดยนักเวทแคระในชุดคลุมสีขาวมีท่าทีเหมือนพยายามจะฉุดยื้อนักเวทแคระในชุดคลุมสีดำเอาไว้
“ไม่ได้นะนายพลเซธ! ชั้นที่เก้ามันเป็นเขตหวงห้ามไม่ใช่เหรอ!? เราไปแค่ชั้นแปดเพื่อหาข้อมูลของงานประมูลแห่งความมืดก็พอแล้วนี่!”
อาซาเรลพยายามกล่าวห้ามเซธด้วยการสื่อสารทางโทรจิต แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมหยุดแต่ประการใด
“ปล่อยน่า นายพลอาซาเรล งานหลักของเราคือการหาข่าวไม่ใช่เหรอ? แล้วจะมีที่ไหนเหมาะสมไปกว่าห้องเฝ้าระวังของฝ่ายควบคุมดูแลการจัดงานอีกล่ะ? ถ้าลอบเข้าไปในนั้นได้ละก็ อยากรู้อะไรก็ได้รู้หมดนั่นแหละ”
“แต่พวกเราไม่ได้อยู่ในร่างปกตินะ! ร่างนี้น่ะมีความสามารถจำกัด ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา มันจะเดือดร้อนไปถึงท่านจอมพลน่ะสิ!”
“ก็อย่าให้ถูกจับได้สิ เลิกกังวลไม่เข้าเรื่องได้แล้วน่า เอ้า!”
“ว๊ากกก”
เมื่อพูดจบ เซธที่อยู่ในร่างของนักเวทแคระชุดดำก็ยกตัวอาซาเรลที่อยู่ในร่างของนักเวทแคระชุดขาวขึ้นเหนือหัวก่อนจะโยนอีกฝ่ายเข้าไปในวงเวทเคลื่อนย้ายที่กำลังทำงานอยู่แล้วโดดตามเข้าไปในทันที ทำให้ร่างของทั้งสองหายวับไป
ครู่ต่อมา นักเวทแคระในชุดคลุมสีน้ำเงินก็เดินกลับเข้ามาในลานเทเลพอร์ทบ้าง เขาก็คือออร์เฟียซ หนึ่งในแปดขุนพลนั่นเอง
“ชั้นนี้คนเยอะวุ่นวายชะมัดเลย… มีชั้นไหนที่คนน้อย ๆ สงบ ๆ บ้างมั้ยนะ…”
เพราะเป็นคนรักสันโดษและไม่ชอบคนพลุกพล่าน ออร์เฟียสจึงเดินเข้าวงเวทเคลื่อนย้ายเพื่อไปยังชั้นอื่นแทน
ไม่นานนัก นักเวทแคระอีกคนซึ่งสวมชุดคลุมสีม่วงก็เดินกลับเข้ามาในลานเทเลพอร์ท ก่อนจะหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง เขาก็คือบริแกนดีน หนึ่งในแปดขุนพลซึ่งมีบุคลิกเงียบขรึม หากไม่ใช่ในเวลาประชุม เขาก็จะไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก น้อยคนจึงจะเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“………………..”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง บริแกนดีนก็เดินเข้าวงเวทเคลื่อนย้ายเพื่อไปยังชั้นอื่นด้วยอีกคน
ไม่กี่นาทีต่อมา นักเวทแคระในชุดคลุมสีเหลืองและสีส้มก็วิ่งพรวดเข้ามาในบริเวณลานเทเลพอร์ทอย่างรวดเร็ว ราวกับทั้งสองกำลังวิ่งแข่งกันอยู่ ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหันไปมองพฤติกรรมผิดปกติของสมุนรับใช้ทั้งสองตัวนี้ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจแต่อย่างใด
สองคนนี้ก็คือลูเซียนกับเทเรนซ์ซึ่งวิ่งวนดูบริเวณรอบ ๆ มาบ้างแล้ว แต่ไม่พบว่ามีของถูกใจ ก็เลยจะไปดูชั้นอื่นต่อแทน
“ชั้นหกมันเป็นตลาดนี่ ไปดูที่ชั้นหกกันดีกว่า! จะได้หาอะไรกินกันด้วยไง!”
“นี่นายหิวอีกแล้วเหรอ!? แต่อยู่ในร่างนี้จะไปซื้อของกินได้ไงเล่า!? คนก็สงสัยกันหมดน่ะสิ! ไปที่ชั้นแปดกันดีกว่า ไอ้ ‘งานประมูลแห่งความมืด’ เนี่ย ดูน่าสนุกดีออก”
“ก็แกล้งทำเป็นซื้อไปให้เจ้านายแล้วแอบเอาไปกินตามมุมมืดเซ่! ยังไงมันก็เป็นทางผ่านอยู่แล้วด้วย แถมยังน่าจะมีของเจ๋ง ๆ อีกเยอะ แวะเถอะนะ ๆ ๆ “
“โธ่เอ๊ย! ก็ได้ ๆ แต่แค่แป๊บเดียวนะ!”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำพูดกันทางโทรจิตและวิ่งตรงเข้าวงเวทเคลื่อนย้ายไปราวกับพายุพัดโดยไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่วินาทีเดียว แม้มันจะทำให้ผู้คนในบริเวนนั้นรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครคิดใส่ใจเป็นพิเศษและดำเนินกิจกรรมของตัวเองต่อไป
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นักเวทแคระในชุดคลุมสีเขียวก็เดินกลับเข้ามาในลานเทเลพอร์ท เขาก็คือยูนิตี้ หนึ่งในแปดขุนพลคนสุดท้าย แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังวงเวทเคลื่อนย้ายเหมือนกับคนอื่น ๆ เขากลับเดินตรงไปยังม้านั่งซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนหย่อมแทน
“อา~ ตรงนี้ก็อากาศดีไม่เลวเลยน้า~”
ยูนิตี้สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนม้านั่ง และหลับไป
——————————————————————————–
Part 2
ในระหว่างนั้น โทร่าก็พาซาลเดินชมงานซึ่งชั้นนี้ประกอบไปด้วยบูธจัดแสดงของกลุ่มนักวาดโอจินชิเซอร์เคิลต่าง ๆ มากมาย แต่ละบูธต่างก็มีวิธีการดึงดูดความสนใจผู้ร่วมงานในแบบของตนเอง ทั้งการแต่งชุดคอสเพลย์, ชูป้ายประกาศ, หรือใช้เวทมนตร์สร้างการแสดงแสงสีขึ้นเหนือบูธราวกับเป็นการเล่นดอกไม้ไฟ ทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างคึกคักอยู่แล้วยิ่งดูมีชีวิตชีวาขึ้นไปอีก
แม้มันจะดูไม่ค่อยแตกต่างจากนิทรรศการหนังสือทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณงานจริง ๆ แล้ว ซาลก็พบว่านี่ไม่ใช่งานนิทรรศการหนังสือที่สามารถจัดได้บนโลกภายนอกจริง ๆ
เพราะในงาน มีนิยายภาพประเภท 18+ มาเสนอขายกันอย่างโจ๋งครึ่ม ราวกับเป็นเรื่องปกติ
สำหรับโลกใหม่ซึ่งเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงฟื้นฟูอารยะธรรมมาได้ไม่นานนัก มาตรฐานทางศีลธรรมจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างเข้มงวด ใช่ว่าจะมีการห้ามเผยแพร่หรือจำหน่ายโดยเด็ดขาด แต่จะมีการจำกัดการเข้าถึงของสื่อหลาย ๆ ประเภท โดยเฉพาะสื่อที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับโลกเก่ามาแล้ว งานวรรณกรรมเรต 18+ เหล่านี้จึงไม่ใช่ของที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะกับซาลที่ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ จะไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาของวรรณกรรมเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ เพราะมันจะถูกลงเวทจำกัดการรับรู้เอาไว้
แต่เพราะตอนนี้เขาใช้ร่างของแร็กน่าซึ่งมีอายุเกินเกณฑ์ จึงทำให้สามารถมองเห็นเนื้อหาของงานวรรณกรรม 18+ เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาพบนปกหนังสือ หรือบนป้ายโฆษณา ทำให้ซาลต้องพยายามเบือนหน้าหลบสายตาจากภาพเหล่านั้นเป็นระยะ ๆ แต่เพราะมันเป็นของที่มีอยู่ทั่วไปจนยากจะหลีกเลี่ยงได้ เขาจึงได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาโดยพยายามปกปิดท่าทีเขินอายไปด้วย
โทร่าที่เห็นท่าทางของซาลก็รู้สึกชอบใจจนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และจงใจพาเขาเดินเข้าไปในโซนวรรณกรรมผู้ใหญ่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ พลางพูดแซวเป็นระยะ ๆ
“แฮ่~ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินแบบนั้นเดียวก็หกล้มหรอก แค่เห็นภาพวาดก็ยังอายม้วนต้วนแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่คุณแซนโดรจะได้ลูกสะใภ้ล่ะเนี่ย?”
“คุณโทร่าสนใจจะสมัครเหรอครับ?”
“ใช่ที่ไหนล่ะเจ้าบ้า!”
“อ๊อก”
เพราะถูกสวนกลับด้วยคำพูดที่ทำให้รู้สึกจี๊ดขึ้นมาในทันที โทร่าจึงตวาดพลางออกหมัดไปตามสัญชาติญาณ ซึ่งซาลก็ยืดอกรับโดยไม่ได้หลบหลีกไปไหนเช่นเคย แต่คราวนี้ดูเหมือนโทร่าจะออมแรงไว้นิดหน่อย เขาจึงไม่รู้สึกเจ็บมากนัก
ความจริงโทร่าตั้งใจจะแกล้งแหย่ซาลเพื่อยั่วโมโหเขาเล่น แต่ก็ถูกตอบกลับจนกลายเป็นฝ่ายฟิวส์ขาดไปซะเอง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูก นั่นทำให้โทร่ารู้สึกหงุดหงิดและอยากเอาชนะมากขึ้นอีก
“ทำเป็นปากดีนะ แค่เห็นภาพวาดพวกนั้นก็อายจนหน้าแดงแล้วแท้ ๆ อย่างนายน่ะแค่จับมือผู้หญิงก็ยังไม่เคยเลยล่ะสิ โฮก~”
“ตอนอยู่ชั้นล่างคุณโทร่าก็ยังจูงมือผมเดินชมงานอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ? เอ๋? หรือว่าคุณโทร่าจะไม่ใช่ผู้หญิงก็เลยไม่นับ? นึกอยู่แล้วเชียว ขอโทษที่เข้าใจผิดนะครับ”
“กรรร! เจ้าเด็กนี่!!”
โทร่าเงื้อหมัดเพื่อจะชกซาลอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอแค่หยุดไว้กลางคันโดยไม่ได้ปล่อยหมัดออกไป เพราะรู้สึกว่ายิ่งแสดงโทสะก็จะยิ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงต้องพยายามอดกลั้นและข่มความโกรธเอาไว้
เพราะอีกฝ่ายมีฝีปากคมกริบ และเธอก็รู้ตัวว่ามีความอดทนต่ำกว่าฝ่ายตรงข้ามมาก โทร่าจึงคิดว่าต้องเปลี่ยนแผนไปใช้วิธีอื่นในการเอาชนะเกมนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โทร่าก็นึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ และแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เฮอะ ช่างเถอะ ไปกันต่อดีกว่า โฮก~”
เมื่อพูดจบ โทร่าก็ก้าวเดินต่อไป ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาพอจะดูออกว่าอีกฝ่ายคงมีความคิดอะไรแผลง ๆ ที่จะมาแกล้งเขาอีก แต่นอกจากจะไม่รู้สึกกังวลแล้ว ซาลยังคิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนุกดีไม่เลวทีเดียว จึงเดินตามไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องอันมืดมิดที่มีหน้าจอเวทมนตร์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกฉายอยู่บนอากาศ จอเหล่านั้นแสดงภาพของมุมต่าง ๆ ภายในงานนิทรรศการ โดยมีกลุ่มคนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มหลายสิบคนกำลังเฝ้าดูอยู่
นี่คือห้องสังเกตการณ์ซึ่งอยู่บนชั้นที่เก้าของพีระมิด เป็นห้องที่เจ้าหน้าที่ของฝ่ายจัดงานใช้ในการดูแลความสงบเรียบร้อยภายในงาน
บริเวณกลางห้องมีชายสูงอายุในชุดคลุมสีดำนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูง ข้าง ๆ เขาก็มีหญิงสาวในชุดคลุมสีดำอีกคนหนึ่งยืนอยู่ ทั้งสองกำลังเฝ้ามองจอเวทมนตร์ขนาดใหญ่ซึ่งมีภาพของซาลและโทร่าฉายขึ้นมา
“คิดผิดรึเปล่าคะเนี่ยที่ส่งโทร่าไป แม่นั่นน่ะทั้งใจร้อนและซื่อบื้อ โดนอีกฝ่ายปั่นหัวอยู่ข้างเดียวเลยนี่นา”
หญิงสาวเอ่ยพูดขึ้นพลางถอนหายใจเล็ก ๆ แต่ชายสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ ที่ฉันเลือกโทร่าก็เพราะ ‘ความสามารถ’ ของเธอ ถ้าเจ้าหนุ่มนั่นทำอะไรไม่ชอบมาพากล จะได้จัดการได้ทันทีไงล่ะ”
“แหม คุณไลคัสเนี่ย ไม่กังวลเกินไปหน่อยเหรอคะ? ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นลูกชายของแซนโดรนั่นแหละนะคะ ไม่ใช่คนมาแอบอ้างหรอก”
“ไม่มีใครเคยรู้จักหรือรับรู้การมีตัวตนของเจ้าหนุ่มนี่จนกระทั่งวันนี้ ถ้าไม่ใช่แซนโดรมายืนยันเอง ฉันก็ยังไม่วางใจหรอก อีกอย่างคือต่อให้เป็นลูกชายของแซนโดรจริง ๆ ก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเราอยู่ดี ลูกที่มีความคิดแตกต่างจากพ่อแม่น่ะมีอยู่เยอะแยะ ดังนั้นเจ้าหนุ่มนี่อาจเป็นศัตรูของเราก็ได้”
เมื่อได้ฟังคำพูดของไลคัส หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พลางถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ แต่เธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่บ้าง
เพราะเมื่อนานมาแล้ว ในกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดเคยมีคนทรยศที่นำความลับของงานชุมนุมครั้งหนึ่งไปบอกกับพีสคีปเปอร์ เรื่องคราวนั้นทำให้มีผู้ใช้ศาสตร์มืดต้องสังเวยชีวิตไปมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือลูกสาวของไลคัส
แม้ภายหลังเขาจะตามไปสังหารผู้ทรยศแบบหมดทั้งตระกูลเพื่อชำระแค้นแล้ว แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความหวาดระแวงของไลคัสลดลงเลย เขาเสนอตัวเป็นผู้รับผิดชอบในการเฝ้าระวังคนทรยศในกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืด และเคยจับสายลับของพีชคีปเปอร์ได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้
เหล่าผู้นำระดับสูงต่างก็รับรู้ถึงแรงผลักดันในการทำงานของไลคัสดี ทุกคนจึงปล่อยให้ไลคัสทำตามต้องการ แม้บางครั้งการกระทำและความคิดของเขาอาจล้ำเส้นไปบ้าง เพราะอย่างไรซะ การตรวจจับคนนอกหรือผู้ทรยศก็เป็นเรื่องสำคัญที่อาจพัวพันถึงชีวิตของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดจำนวนนับไม่ถ้วน เรื่องแบบนี้จึงไม่มีคำว่าเกินเลยไป
หลังจากเฝ้าดูพฤติกรรมของซาลอยู่ครู่หนึ่ง ไลคัสก็เอ่ยถามไปยังเจ้าหน้าที่ในชุดคลุมสีน้ำเงินที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าง
“แล้วสมุนรับใช้ที่เจ้าหนุ่มนั่นเสกออกมาล่ะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“เอ่อ… ส่วนใหญ่ก็ขึ้นไปยังชั้นสามกับชั้นสี่แล้วครับ แต่มีตัวนึงที่เหมือนกำลังนอนหลับอยู่ตรงลานเทเลพอร์ทของชั้นสองครับ”
เมื่อได้ยินการรายงานของเจ้าหน้าที่ ไลคัสก็หันมองไปยังหน้าจอที่เฝ้าดูนักเวทแคระในชุดคลุมสีเขียวอยู่ พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้แต่หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังยกมือขึ้นมาคลึงริมฝีปากเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างเช่นกัน เพราะการที่สมุนรับใช้จะแอบมานอนอยู่เฉย ๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปกติ
“ให้คนของเราจับตาดูสมุนรับใช้ทุกตัวของเจ้านั่นอย่างใกล้ชิด ถ้าเห็นอะไรผิดสังเกตก็รีบมารายงานด้วย”
“ทราบแล้วครับ”
เมื่อสั่งการกับเจ้าหน้าที่เสร็จ ไลคัสก็หันกลับมาดูหน้าจอที่แสดงภาพของซาลและโทร่าอีกครั้ง ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไลคัสก็เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา ราวกับกำลังได้เห็นเรื่องน่าสนุก และเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป
——————————————————————————–
Part 3
ที่โซนโอจินชิ โทร่าได้พาซาลเดินมายังอีกมุมหนึ่งของงาน
ในทีแรกซาลคิดว่าโทร่าจะพาเขาไปยังโซนที่มีงานวรรณกรรมเรต 20+ ซึ่งมีเนื้อหารุนแรงมากขึ้น แต่ปรากฏว่าเธอกลับพาเขาเดินมายังส่วนที่มีงานเขียนสำหรับผู้ใหญ่น้อยกว่าเดิมซะอีก ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจ
ด้วยความสงสัย เขาจึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แม้บูธจัดแสดงงานวรรณกรรมในบริเวณนี้จะไม่ค่อยแตกต่างจากบูธทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อสังเกตดูดี ๆ แล้วเขาก็เริ่มเห็นถึงอะไรบางอย่าง
นั่นก็คือตามปกหนังสือหรือป้ายโฆษณาของบูธจัดแสดงในบริเวณนี้ ล้วนมีภาพของแซนโดรในร่างลิชอยู่ทั้งสิ้น หรือก็คือนี่เป็นโซนโอจินชิที่มีแซนโดรเป็นตัวเอกนั่นเอง
“นะ.. นี่มัน…”
เมื่อเห็นว่าซาลรู้ตัวแล้ว โทร่าก็แสยะยิ้มและหันมาพูดกับเขาอีกครั้ง
“ใช่แล้วล่ะ นี่คือโซนที่จัดไว้สำหรับเซอร์เคิลที่เขียนโอจินชิเกี่ยวกับคุณแซนโดรโดยเฉพาะ ลองเดินดูให้ทั่ว ๆ สิ อาจมีเรื่องไหนที่ถูกใจก็ได้นะ โฮก~”
ด้วยปฏิกิริยาที่โทร่าได้เห็นตอนซาลได้พบกับกลุ่ม ’แซนโดรโฮลิก’ เป็นครั้งแรก ทำให้เธอเดาว่าเขาคงรู้สึกไม่ดีนักกับการที่แม่(?)ของตนเองถูกอ้างอิงในลักษณะนี้ จึงจงใจพามายังโซนที่มีแต่โอจินชิเกี่ยวกับแซนโดรให้เขาได้ดูงานวรรณกรรมหลากหลายรูปแบบที่มีแซนโดรเป็นตัวเอก เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ชอบใจ
และดูเหมือนว่าความตั้งใจของโทร่าจะได้ผล เพราะสีหน้าของซาลที่กวาดสายตามองไปยังบูธจัดแสดงต่าง ๆ นั้น ยิ่งนานไปก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ
โอจินชิที่วางจำหน่ายอยู่นั้นมีพล็อตเรื่องค่อนข้างหลากหลาย สำหรับพล็อตเรื่องแนวธรรมดา ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีแซนโดรเป็นจอมมารผู้พิชิต นำทัพอันเดดทำสงครามกับพีสชีปเปอร์และหาทางยึดครองโลก หรือไม่ก็เป็นฮีโร่ฝ่ายมืดซึ่งมีนิสัย ‘ซึนเดเระ’ คือปากร้ายแต่คอยปกป้องเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่อ่อนแอจากการคุกคามของฝ่ายธรรมะ
พล็อตที่ประหลาดหน่อยคือจะเป็นวรรณกรรมแนวโรแมนติกคอเมดี้ที่มีแซนโดร เป็นตัวเอกเจ้าเสน่ห์ซึ่งเป็นที่หมายปองของผู้คนมากมาย คือจะเรียกว่าเป็นงานวรรณกรรมแนวฮาเร็มก็ว่าได้ แต่ที่ทำให้ซาลรู้สึกอึ้งมากที่สุดก็คือ ‘รูปแบบ’ ของความสัมพันธ์ที่นำมาใช้นั้นมีมากมายจนเรียกว่าไร้ขอบเขตเลยทีเดียว
บางเรื่องจะเป็นเรื่องราวของแซนโดรที่เป็นหนุ่มหล่อที่รุมล้อมไปด้วยเหล่าสาวน้อยน่ารัก แต่บางเรื่องแซนโดรก็จะเป็นสาวสวยมที่ถูกหนุ่มรูปงามเป็นขบวนมายื้อแย่ง เรื่องที่ประหลาดหน่อยจะใช้ร่างโครงกระดูกของแซนโดรเป็นตัวดำเนินเรื่องไปเลยไม่ว่าจะกำหนดให้เป็นหญิงหรือชายก็ตาม เท่ากับตัวละครอื่น ๆ ที่เป็นสาวสวยหรือหนุ่มหล่อพากันมะรุมมะตุ้มแย่งชิงโครงกระดูกไปเป็นคนรัก ยิ่งดูก็ยิ่งทำให้ซาลอดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?’
ที่สำคัญกว่านั้นคือบางเรื่องก็เป็นแนวรักต้องห้าม เช่นแซนโดรที่เป็นหญิงแต่มีสาวสวยมากมายมารุมรัก หรือแซนโดรที่เป็นชายแต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหล่าหนุ่มรูปงาม มีกระทั่งโอจินชิที่จับคู่แซนโดร (ในร่างหนุ่มหล่อ) กับเทพสายฟ้าออแลนด์ขึ้นปกคู่กันด้วย เมื่อเห็นภาพนี้ก็ทำให้ซาลถึงกับสำลักออกมา
“อุ๊ก แค่ก ๆ ๆ ๆ ๆ”
แม้จะไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร แต่การได้เห็นปฏิกิริยาแบบนี้ของซาลก็ทำให้โทร่ารู้สึกว่าบรรลุตามเป้าหมายแล้ว จึงเอ่ยคำพูดกับเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“เห~ เป็นอะไรไปคุณชายแร็กน่า? เลือกไม่ถูกเลยเหรอ? ถ้างั้นฉันช่วยเลือกให้เอามั้ย? เรื่อง ‘คู่ระกำ’ ที่คุณแซนโดรเป็นตัวเอกคู่กับออแลนด์น่ะขายดีมากเลยนะ เล่มสามนี่ตีพิมพ์ออกมาครั้งที่ห้าแล้ว น่าเสียดายที่เล่มสี่ออกไม่ทันงานหนังสือครั้งนี้ แต่ก็น่าจะเสร็จภายในปีนี้แหละ โฮก~”
เมื่อถูกตอกย้ำให้ฟัง ซาลก็ยิ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วนมากขึ้นอีก แต่หลังจากรวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตั้งสติได้ และเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยคำถามกับโทร่า
“ทะ.. ทำไมแนวเรื่องมันถึงมั่วไปหมดแบบนี้ล่ะครับ? มีทั้งชาย-หญิง, หญิง-ชาย, หญิง-หญิง, ชาย-ชาย คนที่นี่น่ะเห็นคุณแซนโดรเป็นอะไรกันแน่เนี่ย?”
“ก็คนทั่วไปไม่มีใครรู้ว่าคุณแซนโดรเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่นี่นา เลยมีทั้งคนที่เดาว่าเป็นผู้หญิงและคนที่เดาว่าเป็นผู้ชาย ส่วนเรื่องรสนิยมก็อาศัยการจิ้นเอาอย่างที่เห็นนั่นแหละ โฮก~ ดังนั้นก็เลยมีครบทุกแนวเลยยังไงล่ะ และเพราะเหตุนี้ โซนโอจินชิของคุณแซนโดรจึงเป็นโซนที่มีจำนวนเซอร์เคิลมากที่สุดเลยด้วยนะ ภูมิใจล่ะเซ่~”
โทร่าเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันอย่างจงใจ แต่ซาลก็ไม่ได้ถือสาเธอเท่าไหร่นัก เขายังคงเพ่งความสนใจไปยังบูธต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณนี้มากกว่า
เขาสังเกตเห็นว่ามีบูธหนึ่งที่มีคนมารุมกันแน่นขนัดมากกว่าบูธอื่น ๆ หลายเท่าตัวทั้งที่บูธยังไม่เปิด เป็นที่แตะตาของผู้พบเห็นอย่างมาก
ในระหว่างที่กำลังสงสัย ซาลก็ได้ยินเสียงหญิงสาวสองคนที่กำลังรีบวิ่งไปต่อแถวที่บูธทั้งสองนั้นดังแว่วมา
“แย่จริง! กะว่ามาเร็วแล้วนะเนี่ย แต่ก็ยังมาสายจนได้! แถวยาวมาถึงนี่แล้ว!”
“แหงล่ะ นั่นมันบูธของ ‘ซารูมันเซ็นเซย์’ นักวาดโอจินชิแนวบอยเลิฟระดับตำนานเชียวนะ! ถึงงานปีนี้เธอจะยังเขียน ‘คู่ระกำ’ เล่มสี่ไม่เสร็จ แต่ผลงานคั่นเวลาเรื่องอื่น ๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กันแหละ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวทั้งสอง ซาลก็ยิ่งรู้สึกข้องใจมากขึ้น จึงแอบส่งสมุนสอดแนมที่เป็นเต่าทองตัวเล็ก ๆ บินไปดูยังบูธแห่งนั้น และเมื่อได้เห็นคนที่นั่งอยู่ที่นั่น ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกโพลงขึ้น
เพราะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะจัดแสดงภายในบูธก็คือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งที่มีผมยาวสีขาวดุจเส้นไหมแต่กลับมีคิ้วสีเทาเข้ม แม้เธอจะมีผ้าพันคอผืนใหญ่ปกปิดใบหน้าครึ่งล่างอยู่ แต่ซาลก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้ก็คือคุรุโมะ รุ่นพี่ซึ่งอยู่สมาคมเดียวกับเขานั่นเอง
ในระหว่างที่เขายังรู้สึกตกตะลึงอยู่ รอบข้างก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น เขาจึงหยุดการมองผ่านสายตาของสมุนสอดแนมและหันกลับมาดูรอบข้างอีกครั้ง แล้วพบว่ามีคนจำนวนมากกำลังวิ่งเบียดเสียดกันเพื่อไปยังที่ไหนสักแห่ง ซึ่งซาลก็ได้ยินคำพูดทำนองเดียวกันแว่วมาจากกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นระยะ ๆ
“บูธของ ‘ยูริเบาน์ดารี่’ มาตั้งแล้ว! ทางโน้น ๆ ! รีบไปเร็ว!”
เพราะเหตุการณ์อันแปลกประหลาดบวกกับชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหู ซาลจึงหันมาถามโทร่า เกี่ยวกับที่มาที่ไปของเรื่องนี้นี้
“เอ่อ… นี่พวกเขากำลังรีบไปไหนกันเหรอครับ? แล้ว ‘ยูริเบาน์ดารี่’ นี่คือ?”
“อ้อ มันเป็นชื่อของเซอร์เคิลใหญ่เซอร์เคิลหนึ่งน่ะ เซอร์เคิลนี้จะวาดแต่โอจินชิแนว ‘ยูริ’ ล้วน ๆ เป็นอีกหนึ่งเซอร์เคิลที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว แต่เพราะเวลาที่พวกเขาจะมาถึงงานมักไม่แน่ไม่นอน พอมาตั้งบูธ ผู้คนก็จะพากันยื้อแย่งไปเข้าแถวเพื่อซื้อโอจินชิแบบนี้แหละ โฮก~”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อยเพราะรู้สึกคุ้น ๆ กับชื่อนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็มีสายลมกรรโชกพัดมาปะทะจากด้านบน ราวกับมีอะไรบางอย่างบินผ่านเหนือหัวไปด้วยความเร็วสูง
ทั้งซาลและโทร่าต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับความเคลื่อนไหวนี้ ทั้งคู่จึงหันมองไปยังทิศทางที่วัตถุลึกลับนั้นมุ่งตรงไปโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วพบว่าสิ่งที่พุ่งผ่านเหนือหัวของพวกเขาไปนั้นได้บินแซงหน้ากลุ่มคนที่กำลังมุ่งตรงไปยังบูธของยูริเบาน์ดารี่ซึ่งกำลังจะเปิด และค่อย ๆ ร่อนลงที่หน้าบูธอย่างนุ่มนวล
สิ่งนั้นดูคล้ายกับผืนผ้าคลุมสีดำสนิทซึ่งมีเงาแววมันสะท้อนแสงเป็นสีแดงเข้ม เมื่อมันร่อนลงจนใกล้จะถึงพื้น ข้อเท้าเล็ก ๆ ที่หุ้มด้วยรองเท้าบูทสีดำก็ยื่นลงไปแตะสัมผัสพื้นเบื้องล่างและหยัดยืนลง พอผ้าคลุมทั้งผืนหุบลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงแล้วก็เผยให้เห็นร่างของเด็กสาวร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณหน้าโต๊ะจัดแสดงของยูริเบาน์ดารี่
เด็กผู้หญิงคนนั้นมีเส้นผมสีดำขลับซึ่งทอดยาวลงไปถึงบั้นเอว เธอมีผิวขาวนวลละเอียดราวกับเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ซึ่งได้รับการบำรุงผิวด้วยเครื่องประทินโฉมอยู่ไม่ขาด เสื้อปกตั้งที่เธอสวมอยู่นั้นยื่นขึ้นมาบดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้จนทำให้มองรูปลักษณ์ไม่ถนัด แต่ลำพังดวงตากลมโตสีม่วงอ่อนซึ่งเปล่งประกายราวกับอัญมณีของเธอก็มากพอที่จะตราตรึงใจของผู้คนที่พบเห็นได้แล้ว
ทันทีที่เห็นรูปพรรณของเด็กผู้หญิงคนนั้น ซาลก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
เพราะเขารู้สึกเหมือนกับเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน