Doombringer the 5th - ตอนที่ 132
Ch.132 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (3)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 128
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (3)
Part 1
การปรากฏตัวของเด็กสาวผมดำทำให้ผู้คนโดยรอบต่างตกอยู่ในอาการตะลึงไปชั่วครู่หนึ่งราวกับเวลาได้หยุดชะงักลง แม้แต่ฝูงชนที่กำลังมุ่งตรงไปยังบูธของ ‘ยูริเบาน์ดารี่’ ก็ยั้งเท้าลงด้วย
“นะ.. นั่นมันแบล็คโรส! รองหัวหน้าของกลุ่มแซนโดรโฮลิกนี่นา!”
“แบล็คโรสคนนั้นน่ะเหรอ!? เพิ่งเคยเห็นตัวจริงเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย!”
“ทะ.. ถึงจะแต่งตัวลึกลับ แต่ก็ดูน่ารักและมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก… ลอง… พากลับบ้านดูดีมั้ย?”
“ไอ้โรคจิต! จะพรากผู้เยาว์เรอะ!? ใครก็ได้เรียกตำรวจที!”
“…ถ้ามีตำรวจมาจริง ก็คงถูกจับกันหมดทั้งงานนี่แหละ…”
เสียงพูดคุยที่แว่วมาจากเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่อยู่โดยรอบทำให้ซาลขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาสนใจเด็กสาวที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคนนี้มากกว่า
เด็กสาวในผ้าคลุมสีดำเดินตรงไปยังเคาเตอร์ของ ‘ยูริเบาน์ดารี่’ อย่างแช่มช้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าวิ่งแซงเธอไป เหล่าผู้คนที่พากันวิ่งเบียดเสียดไปยังบูธของยูริเบาน์ดารี่อย่างโกลาหลเมื่อสักครู่นี้ต่างก็กลับมาอยู่ในความสงบและค่อย ๆ เดินไปยังเคาเตอร์อย่างเป็นระเบียบ
เมื่อซาลมองตามไปยังเคาเตอร์ของกลุ่มยูริเบาน์ดารี่ ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกโพลงขึ้นเพราะความแปลกใจอีกครั้ง
เพราะสมาชิกทุกคนของกลุ่มยูริเบาน์ดารี่ต่างก็สวมชุดกระโปรงยาวที่ทั้งดูมิดชิดและเรียบร้อยราวกับเป็นชุดของพวกนักบวชหรือคลาสที่ศึกษาพลังศักดิ์สิทธิ์ ต่างกันตรงที่โทนสีของชุดจะไม่ได้เน้นสีขาวบริสุทธิ์หรือมีลวดลายอันวิจิตรงดงามประดับประดาอยู่ เป็นเพียงแค่อาภรณ์อันมิดชิดที่ดูเรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์
แม้จะไม่ใช่รูปแบบการแต่งกายที่มีความพิเศษอะไร แต่ที่ ๆ ผู้คนแต่งกายแบบนี้กันเป็นปกติ มีแค่ลิลลี่โฮไรซอนเท่านั้น
นอกจากนี้ สมาชิกทุกคนของ ‘ยูริเบาน์ดารี่’ ยังสวมหน้ากากซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวอยู่ มันเป็นหน้ากากที่มีรูปทรงเหมือนกับใบหน้าของหญิงสาวซึ่งแกะสลักจากหินอ่อนสีขาว ทำให้ผู้สวมใส่ดูราวกับเป็นรูปปั้นที่มีชีวิต
นี่เป็นหน้ากากที่เหล่าหญิงสาวของลิลลี่โฮไรซอนจะใช้สวมใส่ในเวลาที่ต้องทำการต่อสู้ เช่นในตอนฝึกฝนวิชา หรือตอนออกไปทำภารกิจยังพื้นที่ต่าง ๆ เรียกว่าเป็นลักษณะเฉพาะของนักผจญภัยจากลิลลี่โฮไรซอนก็ว่าได้
ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ ทำให้ซาลมั่นใจว่ากลุ่ม ‘ยูริเบาน์ดารี่’ เป็นคนที่มาจากลิลลี่โฮไรซอนแน่นอน
“ทั้งสวมหน้ากากเฉพาะของลิลลี่โฮไรซอน แถมยังแต่งตัวแบบพื้นเมืองมาอีก… ไม่สนเรื่องที่คนอื่นจะรู้ว่ามีคนของลิลลี่โฮไรซอนมาร่วมงานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดเลยสินะ… แต่ต่อให้เป็นพีสคีปเปอร์ก็คงไม่กล้าแตะต้องคนของลิลลี่โฮไรซอนเหมือนกันแหละ”
เพราะผู้ปกครองของลิลลี่โฮไรซอนคือ ‘ซิสเตอร์’ ซึ่งมีฐานะค่อนข้างพิเศษ ทำให้ประชากรของลิลลี่โฮไรซอนมีฐานะพิเศษไปด้วย อาณาจักรต่าง ๆ จึงไม่สามารถจับกุมและลงโทษคนของลิลลี่โฮไรซอนได้ตามใจชอบ
หมายเหตุ: เพื่อความเหมาะสมในหลาย ๆ อย่าง ขอแก้ไขชื่อเรียกของ ‘บิ๊กซิสฯ’ เป็น ‘ซิสเตอร์’ แทน
ใช่ว่าคนของลิลลี่โฮไรซอนจะอยู่เหนือกฎหมาย แต่เมื่อคนของลิลลี่โฮไรซอนทำผิด จะต้องมีการเชิญฝ่ายควบคุมความประพฤติของลิลลี่โฮไรซอนมารับตัวกลับไปเพื่อลงโทษตามกฎหมายของลิลลี่โฮไรซอน ไม่ว่าการกระทำความผิดนั้นจะอยู่ในเขตแดนของอาณาจักรใดก็ตาม
นี่ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นการ ‘ขอความร่วมมือ’ จากซิสเตอร์ ซึ่งแต่ละอาณาจักรจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ แต่หากมีใครจับกุมและพยายามลงโทษคนของลิลลี่โฮไรซอนในอาณาจักรของตน ซิสเตอร์จะเดินทางไป ‘ขอร้อง’ กับผู้ปกครองของอาณาจักรด้วยตัวเอง ซึ่งในอดีตก็เคยมีหลายอาณาจักรที่พยายามแข็งขืนและไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาณาจักรเหล่านั้นมักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางขั้วอำนาจขนานใหญ่ภายในชั่วข้ามคืน ทำให้คณะปกครองเดิมต้องเสื่อมอำนาจลงและมีคณะปกครองชุดใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งคณะปกครองชุดใหม่ก็มักจะมีนโยบายให้ประนีประนอมกับทางลิลลี่โฮไรซอนและยอมส่งตัวผู้กระทำผิดกลับไปในทันที ปัญหาทั้งหมดจึงถูกคลี่คลายลงอย่าง ‘สันติ’
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้าง เพราะนอกจากมันจะทำให้แต่ละอาณาจักรรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่คุกคามแล้ว กฎหมายของลิลลี่โฮไรซอนยังมีส่วนที่แตกต่างจากกฎหมายของอาณาจักรอื่น ๆ อยู่หลายอย่าง เช่นการศึกษาศาสตร์มืดหรือวรรณกรรมของโลกเก่านั้น ในลิลลี่โฮไรซอนจะไม่ถือเป็นความผิด ขอเพียงผู้ศึกษามีอายุถึงเกณฑ์และไม่ไปศึกษาวิชาหรือวรรณกรรมต้องห้ามบางชนิดก็พอแล้ว
ด้วยเหตุนี้ทั้งพีสคีปเปอร์และอาณาจักรต่าง ๆ ที่มีนโยบายแข็งกร้าวต่อผู้ใช้ศาสตร์มืดจึงไม่พอใจอภิสิทธิ์ของลิลลี่โฮไรซอนนัก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอีกฝ่ายคือ ‘ซิสเตอร์’ แม้จะไม่มีใครสามารถยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเธอได้ แต่หลายคนก็คาดกันว่าเธอต้องเป็นหนึ่งในสิบนักปราชญ์ ซึ่งแค่นั้นก็จัดว่าเป็นตัวตนที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ตามใจชอบได้แล้ว จึงไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ แม้แต่พีชคีปเปอร์ก็ตาม
ถึงกระนั้น เพื่อเป็นการลดความขัดแย้ง ซิสเตอร์จึงยอมรับข้อเสนอจากพีสคีปเปอร์เกี่ยวกับการเพิ่มเติมกฎของลิลลี่โฮไรซอนในหลายประเด็น เช่นยอมออกกฎห้ามให้คนของลิลลี่โฮไรซอนถ่ายทอดวิชาของศาสตร์มืดให้กับคนนอก แม้แต่วรรณกรรมหลายชนิดที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นวรรณกรรมต้องห้ามก็ไม่ให้มีการเผยแพร่ออกไปยังบุคคลภายนอกเช่นกัน ผู้ที่จะศึกษาวิชาหรือวรรณกรรมเหล่านี้ได้ต้องเป็นบุคคลที่ขึ้นทะเบียนเป็นพลเมืองของลิลลี่โฮไรซอนแล้วเท่านั้น (สำหรับคนนอก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ทางเดียวที่จะได้เป็นพลเมืองเต็มตัวคือแต่งงานและมีบุตรกับชาวลิลลี่โฮไรซอน โดยจะต้องอุ้มท้องด้วยตัวเอง)
ด้วยเหตุนี้ซาลจึงรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นคนของลิลลี่โฮไรซอนมาเปิดบูธขายโอจินชิอย่างโจ่งแจ้งในงานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืด บางทีอาจเพราะคนในงานเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดอยู่แล้วก็เลยไม่นับว่าเป็นการผิดข้อตกลงก็ได้
แม้จะอยากเข้าไปสอบถามรายละเอียดจากคนของลิลลี่โฮไรซอนซึ่งอยู่ในบูธ แต่ตอนนี้เขาสนใจเด็กสาวผมดำซึ่งกำลังเดินเข้าไปเป็นลูกค้าคนแรกของยูริเบาน์ดารี่มากกว่า
“คุณโทร่าครับ เด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘แบล็คโรส’ คนนั้นเป็นใครเหรอครับ?”
“เห~ สนใจงั้นเหรอ? ที่แท้ก็เป็นพวกโลลิค่อนนี่เอง ชอบเตี้ย ๆ แบน ๆ สินะ? พยายามควบคุมตัวเองหน่อยล่ะ เพราะถึงที่นี่จะเป็นเขตแดนของผู้ใช้ศาสตร์มืด แต่การพรากผู้เยาว์ก็ถือเป็นอาชญากรรมเหมือนกันแหละ โฮก~”
“ถ้าผมมีรสนิยมแบบนั้นจริงคงโดดใส่คุณโทร่าก่อนแล้วมั้งครับ? เพราะคุณโทร่าน่ะทั้งเตี้ยทั้งแบนกว่าเด็กคนนั้นอีก”
“ว่าไงนะ! ไอ้เจ้าบ้านี่!!”
เพราะรู้ว่าเมื่อตอกกลับไปแบบนี้แล้วจะต้องโดนหวดหมัดเข้าใส่ ซาลจึงรีบเดินหนีออกไปทันทีโดยทิ้งโทร่าที่กำลังโกรธเกรี้ยวเอาไว้เบื้องหลัง เขายิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกสนุกที่ได้ยั่วโมโหโทร่า ความจริงซาลก็อยากอยู่เล่นกับเธออีกนิด แต่ตอนนี้เขาอยากรู้ตัวตนของแบล็คโรสมากกว่า จึงรีบปลีกตัวออกมาพร้อมกับส่งแมลงเต่าทองออกไปสอดแนม
——————————————————————————–
Part 2
ที่หน้าเคาเตอร์ของยูริเบาน์ดารี่ แบล็คโรสซึ่งมีความสูงโผล่พ้นเคาเตอร์ขึ้นมาเพียงหนึ่งช่วงหัวก็เดินมาถึงเคาเตอร์พอดี ผู้ที่อยู่ด้านหลังเคาเตอร์เป็นพนักงานหญิงสาวผมทองซึ่งสวมหน้ากากไสตล์ลิลลี่โฮไรซอนอยู่ ทันทีที่เห็นแบล็คโรส เธอก็กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริงในทันที
“โรสจาง~ ปีนี้ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยน้า~ เอ้า นี่ ‘ราตรีนิรันดร’ เล่มล่าสุด เหมือนเคยจ้ะ”
หญิงสาวพูดพลางยื่นหนังสือสองเล่มให้กับแบล็คโรส มันเป็นหนังสือปกสีเทาเข้มซึ่งมีลวดลายคล้ายกับกิ่งกุหลาบสีม่วงประดับอยู่ตามขอบปกและสัน บนหน้าปกมีรูปของแซนโดรในร่างหญิงสาวผมสีเทากำลังโอบกอดและสบตากับหญิงสาวผมดำผู้มีดวงตาสีม่วงอยู่
แค่ได้เห็นหน้าปกนั้น ซาลก็ต้องขมวดคิ้วเพราะความรู้สึกข้องใจแล้ว แต่เขายังเห็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งแบล็คโรสเหน็บเอาไว้ที่ใต้แขนด้วย บนปกของหนังสือเล่มนั้นก็มีภาพลักษณะเดียวกัน แค่เปลี่ยนจากแซนโดรที่เป็นหญิงสาวผมสีเทาเป็นแซนโดรในร่างชายหนุ่มผมสีเทาแทน แต่คู่รักที่โอบกอดและสบตากันอยู่นั้นยังคงเป็นหญิงสาวผมดำผู้มีดวงตาสีม่วงเช่นเคย และบนหัวหนังสือก็มีชื่อว่า ‘รัตติกาลนิรันดร’ ทำให้เขารู้สึกข้องใจมากยิ่งขึ้น จึงหันไปถามผู้ใช้ศาสตร์มืดสาวที่อยู่ใกล้ ๆ
“เอ่อ… โอจินชิเรื่อง ‘ราตรีนิรันดร’ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ?”
“เอ๋? ไม่รู้จักเหรอ? เธอไม่ใช่สายยูริสินะ? ราตรีนิรันดรน่ะเป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างคุณแซนโดรกับราชินีแวมไพร์ตนหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็มีเป้าหมายในการยึดครองโลกเหมือนกัน ทำให้กลายเป็นคู่แข่งและเป็นศัตรูกัน แต่พอเวลาผ่านไป ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกหลงใหลในเสน่ห์ดึงดูดของฝ่ายตรงข้าม ทว่าเพราะฐานะของแต่ละคนทำให้ไม่สามารถเปิดเผยความในใจออกไปได้ เกิดเป็นเรื่องราวชิงรักหักสวาทระหว่างศัตรูคู่อาฆาตที่แอบมีใจให้แก่กัน นี่เป็นโอจินชิที่ขายดีติดอันดับท็อป 5 ของวงการเลยนะ เห็นว่ากำลังจะมีการนำไปทำอนิเมฯ กับไลฟ์แอคชั่นด้วยล่ะ!”
“เอิ่ม… แล้วเรื่อง ‘รัตติกาลนิรันดร’ ล่ะครับ?”
“อ๋อ นั่นเป็นเวอร์ชั่นคู่ขนานของ ‘ราตรีนิรันดร’ น่ะ คือพล็อตเรื่องหลัก ๆ จะเหมือนกัน แต่คุณแซนโดรในราตรีนิรันดรจะเป็นผู้ชายแทน เหมือนจะมีเวอร์ชั่นที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ด้วย แต่ฉันจำชื่อไม่ได้ เพราะไม่ใช่แนวน่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากหญิงสาวคนนั้น ซาลก็รู้สึกมั่นใจไปประมาณ 70% แล้วว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘แบล็คโรส’ คนนี้ น่าจะเป็นลานาเทลปลอมตัวมา เพราะทั้งรูปลักษณ์และความสนใจของเธอนั้นใกล้เคียงกับลานาเทลมาก ๆ
ความจริงเขามีแหวนสื่อสารที่สามารถใช้ติดต่อหาลานาเทลผ่านเครือข่ายของตระกูลซันรีเวอร์ได้ทุกเมื่อ แต่ซาลก็ไม่เคยใช้มันเลย เพราะลานาเทลเป็นคนที่เขาคาดเดาความคิดไม่ค่อยออก อีกทั้งลักษณะการวางตัวของเธอยังทำให้เขาตีสนิทได้ลำบาก ในคณะเดินทางกลุ่มที่แล้วลานาเทลจึงเป็นคนที่เขาสนิทสนมด้วยน้อยที่สุด เมื่อไม่มีธุระหรือความจำเป็นอะไรซาลจึงไม่คิดที่จะติดต่อหาเธอเลย
ตอนนี้เมื่อได้มาพบกับเธอโดยบังเอิญ เขาจึงคิดว่าควรถือโอกาสนี้ทำความรู้จักกับอีกด้านหนึ่งขอลานาเทล แต่ก่อนอื่นต้องยืนยันว่าเธอคนนี้คือลานาเทลจริง ๆ ให้ได้ซะก่อน ด้วยเหตุนี้ ซาลจึงเดินตรงเข้าไปทักทายเด็กสาวตัวน้อยในทันที
“สวัสดีครับ คุณแบล็คโรสสินะครับ?”
เมื่อได้ยินคำทักทายของซาล แบล็คโรสก็เหลือบดวงตากลมโตของเธอขึ้นมามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเมินสายตาไปทางอื่นและเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พรืด~ ก๊ากกก ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ~”
ความจริงซาลก็ไม่ได้คิดมากกับท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย แต่เสียงหัวเราะลั่นของโทร่าที่ขำจนท้องคดท้องแข็งและดังแว่วมานั้นก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ
การเมินคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักไม่ใช่เรื่องแปลก และซาลยังคิดว่าแบบนี้ถือเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะแปลว่าลานาเทลไม่รู้สึกคุ้นหน้าเขาเลยสักนิดเดียว สำหรับเขาแล้วสิ่งนี้นับว่าเป็นประโยชน์มากกว่า
“ได้ข่าวว่าคุณเป็นรองหัวหน้ากลุ่มแซนโดรโฮลิกสินะครับ? แปลว่าต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณแซนโดรพอสมควรทีเดียว ผมเองก็ชื่นชมในความสามารถของคุณแซนโดรและอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาให้มากขึ้นเหมือนกัน ถ้ายังไงช่วยเล่าเรื่องของคุณแซนโดรให้ผมฟังหน่อยจะได้มั้ยครับ?”
คำพูดของซาลทำให้แบล็คโรสยั้งเท้าลงและหันกลับมามองเขาอีกครั้ง ส่วนโทร่าก็ขมวดคิ้วและทำหน้าเหยเกนิดหน่อยพลางคิดในใจว่า ‘ไอ้หมอนี่มันเอาทุกทางจริง ๆ ’ แต่เพราะอยากดูว่าซาลจะมีลูกเล่นอะไรอีกในการจีบ(?)แบล็คโรส จึงไม่ได้เข้าไปแทรก และรอฟังอยู่เงียบ ๆ
สำหรับแบล็คโรสนั้นยังคงมีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเธอก็เอ่ยคำตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงใส ๆ อันนุ่มนวลและถ้อยคำที่สุภาพ
“คุณเป็นแฟนคลับของคุณแซนโดรมานานแค่ไหนแล้วคะ?”
“อืม~ ความจริงก็ยังไม่ถือว่าเป็นแฟนคลับหรอกนะครับ แต่ผมเป็นคนที่สนใจและติดตามผลงานของคุณแซนโดรมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะสร้างวีรกรรมที่อินิสตร้าซะอีกนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล แบล็คโรสก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ
“โฮ่… ก่อนอินิสตร้าอีกงั้นเหรอคะ? มีน้อยคนที่จะรู้จักคุณแซนโดรก่อนหน้านั้นนะคะเนี่ย พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยคะว่าคุณรู้จักคุณแซนโดรได้ยังไง?”
“ช่วงนั้นผมอยู่ในจูริสน่ะครับ และพอจะมีเส้นสายในแวดวงของนักผจญภัยระดับสูงอยู่บ้าง ทำให้ได้รู้ข้อมูลหลาย ๆ อย่างที่น่าสนใจ ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของ ‘นักเวทหัวกะโหลก’ ก็คือตอนที่คุณแซนโดรไปถล่มโรงเรียนนักผจญภัยของพีสคีปเปอร์ หลังจากนั้นก็มีข่าวลือว่านักเวทหัวกะโหลกมีส่วนพัวพันกับการหลบหนีของ ‘เออเธมีล’ แห่งอคาทอช ด้วยทำให้ผมรู้สึกสนใจคน ๆ นี้มากเป็นพิเศษ และเมื่อได้ยินเหตุการณ์ที่อินิสตร้าก็ยิ่งทำให้อยากรู้จักเขามากขึ้นน่ะครับ”
คำพูดของซาลทำให้แบล็คโรสแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย เพราะมีน้อยคนที่จะรู้เหตุการณ์เหล่านี้ แม้แต่ในกลุ่มแซนโดรโฮลิกเองก็ยังไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้เลย
ซาลเองก็กล่าวถึงเรื่องพวกนี้อย่างระมัดระวัง เพราะหากเปิดเผยข้อมูลมากเกินไป อีกฝ่ายก็จะเกิดความสงสัย โดยเฉพาะหากเด็กคนนี้คือลานาเทลก็อาจทำให้รู้ตัวจริงของเขาเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ซาลจึงแสร้งใช้สรรพนามแทนตัวแซนโดรว่า ‘เขา’ เพื่อให้ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของแซนโดร
ในระหว่างนั้นโทร่าที่แอบฟังอยู่และพอจะคาดเดาเจตนาของซาลออกก็หรี่ตาลงพลางคิดในใจว่า ‘เจ้านี่มันก็ร้ายไม่เบาแฮะ…’
แบล็คโรสหยุดคิดเหมือนกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง เธอกวาดสายตามองดูรูปพรรณของซาลที่อยู่ในร่างแร็กน่าโดยละเอียดอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ ไม่นานนักเด็กสาวก็เอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนคุณจะรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณแซนโดรไม่น้อยเลยนะคะ ยังมีอะไรที่ต้องให้ฉันเล่าให้ฟังอีกเหรอคะ?”
“ผิดแล้วล่ะครับ ที่ผมรู้น่ะก็มีแค่นี้แหละ เพราะหลังจากนั้นตัวผมได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่ง ๆ ทำให้ต้องหลบหนีการตามล่าจากทางการอยู่เป็นเวลานาน ในช่วงนั้นเลยแทบไม่ได้ติดตามข่าวสารจากโลกภายนอกเลย นี่เป็นงานชุมนุมของผู้ใช้ศาสตร์มืดงานแรกในรอบหลายปีที่ผมได้เข้าร่วมเลยนะครับเนี่ย ถ้าไม่รังเกียจละก็ คุณแบล็คโรสพอจะช่วยอัพเดทข่าวสารให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ?”
“อืม~ ฉันเองก็ไม่กล้าอวดอ้างว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับคุณแซนโดรทุกเรื่องหรอกนะคะ คุณอยากจะรู้เรื่องอะไรเหรอคะ?”
“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะครับ อย่างแรกก็คือ… คุณแซนโดรเนี่ย เขาเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายครับ?”
ซาลแกล้งถามด้วยคำถามง่าย ๆ ก่อน เพราะคิดว่าหากเป็นคนระดับแกนนำของกลุ่มแซนโดรโฮลิกก็น่าจะรู้เรื่องที่แซนโดรเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว แต่แบล็คโรสกลับนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน เหมือนกับกำลังไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี
“อืม… เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่นะคะ”
“เอ๋? ซับซ้อน ยังไงเหรอครับ?”
“ก็ตัวตนของคุณแซนโดรน่ะไม่ใช่อะไรที่จะอธิบายได้ง่าย ๆ ในคำสองคำน่ะสิคะ”
“อ้าว? ทำไมล่ะครับ?”
“อา… ถ้าจะให้อธิบายจริง ๆ ล่ะก็… คุณแซนโดรน่ะเป็นผู้ชายที่ติดอยู่ในร่างของผู้หญิงและหลงนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงที่ถ้าแต่งหนุ่มแล้วใช้ชีวิตอย่างผู้ชายก็จะเพอร์เฟ็คทุกอย่าง ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น ‘รีเวิร์สสาวดุ้น’ ยังไงล่ะคะ”
“……………….ห๊ะ?”
แม้จะพยายามคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง แต่สมองของซาลก็ยังไม่สามารถประมวลคำพูดของแบล็คโรสออกมาได้ทัน ทำให้เขาได้แต่หลุดคำอุทานออกมาด้วยความงุนงง
——————————————————————————–
Part 3
คำตอบของแบล็คโรสนั้นห่างไกลจากสิ่งที่ซาลคาดหมายเอาไว้มาก ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทันจนได้แต่ยืนอึ้งไป ตรงกันข้ามกับโทร่าซึ่งขำจนแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นอยู่แล้ว
ซาลพยายามตั้งสติและรวบรวมสมาธิอยู่พักหนึ่ง เพื่อจะดำเนินการสนทนากับแบล็คโรสต่อ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปาก อีกฝ่ายก็หันหลังให้และเดินต่อไปโดยไม่มีการล่ำลา
“เอ๋? ดะ.. เดี๋ยวก่อนสิครับคุณแบล็คโรส จะไปไหนล่ะ?”
“ฉันเสียเวลาไปมากพอแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
แม้จะตอบกลับมาอย่างสุภาพ แต่แบล็คโรสก็ไม่ได้เหลียวกลับมามองยังซาลเลยแม้แต่นิดเดียว การกระทำอันไม่คำนึงถึงมารยาทนั้นจึงตรงข้ามกับการพูดของเธออย่างสิ้นเชิง
เพราะยังไม่เสร็จธุระกับเธอดี ซาลจึงพยายามรั้งตัวเธอเอาไว้เพื่อพูดคุยกันต่อ แต่ทันทีที่เขากำลังจะเดินแซงขึ้นไปดักหน้าเธอ แบล็คโรสก็สะบัดผ้าคลุมใส่เขาครั้งหนึ่ง แต่เพียงแค่นั้นก็ก่อให้เกิดแรงปะทะคล้ายกับลมกรรโชกอันรุนแรงแผ่พุ่งออกมา
ซาลจับสัมผัสได้ว่าสิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นไม่ใช่แรงลมที่เกิดจากเวทมนตร์หรือกระบวนท่าใด ๆ แต่เป็นจิตต่อสู้ที่ถูกซัดสาดออกมาเป็นวงกว้างจนก่อให้เกิดแรงปะทะ ในพริบตาก่อนที่มันจะมาถึงตัวเขาจึงสะบัดฝ่ามือซัดจิตต่อสู้กลับไปเพื่อสลายพลังของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ตัวเขาไม่ถูกแรงปะทะนั้นผลักให้ถอยไปแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังซึ่งต่างก็ถูกดันให้ถอยไปหลายก้าว แม้แรงปะทะนั้นจะลดลงมากแล้วก็ตาม
เมื่อเห็นการแก้สถานการณ์อย่างเฉียบพลันของซาล แบล็คโรสก็หันกลับมามองดูเขาอีกครั้งด้วยสายตาประหลาดใจ ท่าทางของเธอเหมือนกับลังเลอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจเมินหน้าไปทางอื่นก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปราวกับนกนางแอ่นที่โผบิน
ซาลได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความขุ่นข้องใจเมื่อได้เห็นแบล็คโรสบินหายไปในระเบียงทางเดินอันซับซ้อนของชั้นลอย เขาคาดเดาไม่ออกเลยว่าเธอคิดอะไรอยู่ รู้แต่เพียงว่าแบล็คโรสคนนี้เป็นคนที่น่าจะเอาแต่ใจพอตัวทีเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับลานาเทลเช่นกัน และในเมื่ออีกฝ่ายหนีหายไปแล้วแบบนี้ เขาจึงได้แต่กลับมาวิเคราะห์ตัวตนของฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อมูลเท่าที่มี
“คำตอบนั้น… ถึงจะฟังดูงง ๆ แต่มันก็เป็นการแสดงมุมมองของเธอออกมา ในฐานะรองหัวหน้าของกลุ่มแซนโดรโฮลิกเธอคงไม่พูดอะไรพล่อย ๆ เกี่ยวกับแซนโดรแน่ แต่ต้องพูดในสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เธออยากให้คนอื่นเชื่อ… เธอไม่ได้ตอบในสิ่งที่คนถามอยากรู้ แต่ตอบในสิ่งที่เธออยากให้คนถามได้รู้… แปลว่าคน ๆ นี้รู้ว่าแซนโดรเป็นผู้หญิง แต่ในใจลึก ๆ แล้วอยากให้แซนโดรเป็นผู้ชายมากกว่างั้นเหรอ…”
ซาลคิดว่าคำตอบของแบล็คโรสนั้นไม่ได้สื่อถึงสิ่งที่เธออยากให้แซนโดรเป็นมากกว่า และคนที่ตกหลุมรัก(?)แซนโดรในตอนที่เป็นผู้ชายก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาจึงมั่นใจไปกว่า 90% แล้วว่าแบล็คโรสคือลานาเทล
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าควรจะหาทางตีสนิทกับเธอให้ได้เพื่อให้รู้จักตัวตนของลานาเทลมากขึ้น แต่ลานาเทลในร่างแบล็คโรสนี้ก็คาดเดาใจลำบากยิ่งกว่าตอนปกติซะอีก จนเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าหาเธอด้วยวิธีไหนดี
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น โทร่าก็เดินเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลังและเอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“เห~ ถึงกับทำให้อีกฝ่ายหนีไปเลยเหรอเนี่ย คุณชายแร็กน่านี่จีบสาวไม่เป็นเลยน้า~ เดี๋ยว ‘พี่สาว’ คนนี้จะสอนให้เอามั้ย? อุ๊ย”
ยังไม่ทันที่โทร่าจะพูดจบ ซาลก็เอื้อมมือเข้ามาจับที่แก้มของเธอ ทำให้โทร่าที่ไม่ทันระวังถึงกับสะดุ้งและนิ่งอึ้งไปเพราะคาดไม่ถึง
“คุณโทร่าเนี่ย ถึงจะขี้โวยวายไปสักหน่อย แต่ก็มีชีวิตชีวาและดูสดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่านี่แหละคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง ผมชอบคุณโทร่าที่เป็นแบบนี้นะครับ”
ซาลกล่าวพูดในระหว่างที่ยังแตะสัมผัสแก้มของโทร่าอยู่และจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยแววตาจริงจัง ทำให้โทร่าที่ยังอยู่ในอาการช็อกยิ่งหายใจติดขัดและมีอาการหน้าแดงไปจนถึงใบหู
“ยะ.. อยู่ ๆ ก็พูดบ้าอะไรของนายออกมาเนี่ย!? โฮก! เอ๊ย ไม่ใช่สิ เมี๊ยว! เฮ้ย ตะกี้ถูกแล้วนี่นา!”
โทร่ารีบปัดมือของซาลออกแล้วผลักตัวออกมาด้วยอาการลนลาน แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงร้อนผ่าวและยังเรียบเรียงคำพูดได้ไม่เป็นภาษา เธอรู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูกและไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ เพราะเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากในขณะที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว
ในระหว่างที่โทร่ากำลังพยายามตั้งสติอยู่ ซาลก็เอ่ยคำพูดกับเธออีกครั้ง
“แบบนี้ใช้ได้รึเปล่าครับ?”
“ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ! แบบนี้น่ะมัน… เอ๋? ใช้อะไร?”
“ก็วิธีจีบสาวไงล่ะครับ คุณโทร่าบอกว่าจะสอนวิธีจีบสาวให้ผมไม่ใช่เหรอ? ผมก็เลยสาธิตตัวอย่างให้ดูเพื่อขอคำแนะนำ แบบนี้พอจะใช้ได้มั้ยครับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล โทสะของโทร่าก็พุ่งพล่านขึ้นจนเส้นผมของเธอลุกพองราวกับสิงโต อีกทั้งดวงตาของเธอยังแดงก่ำจนแทบจะส่องแสงออกมาได้
“กรอดดดดด ไอ้ เจ้า เด็ก บ้า!!!”
สิ้นเสียงคำราม โทร่าก็กระโจนเข้าใส่ซาลในทันที แต่ซาลซึ่งตั้งท่ารอไว้แต่แรกก็พุ่งถอยหลังก่อนจะแทรกตัวหนีไปตามฝูงชนได้ ถึงกระนั้นโทร่าที่โกรธเกรี้ยวก็ยังไล่ตามอย่างไม่ลดละ ทำให้มันกลายเป็นการวิ่งไล่จับกันอย่างดุเดือดระหว่างทั้งสองคน
เพราะกำลังจดจ่ออยู่กับการไล่ฉีกเนื้อซาลให้เป็นชิ้น ๆ โทร่าจึงไม่ทันรู้ตัวว่าในปกเสื้อของเธอมีแหวนสื่อสารวงหนึ่งกำลังสั่นไหวอยู่
มันเป็นแหวนสื่อสารของเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งใช้ติดต่อกับห้องควบคุมที่ชั้นเก้าโดยตรง แต่เพราะตอนนี้โทร่าไม่ได้สังเกตว่ามีการติดต่อเข้ามา ทำให้เธอไม่รู้ว่ากำลังถูกเรียก