Doombringer the 5th - ตอนที่ 135
Ch.135 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (6)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 131
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (6)
Part 1
ที่ชั้นเก้าของพีระมิดซึ่งเป็นส่วนของกองธุรการการจัดงาน เหล่าเจ้าหน้าที่ของงานกำลังวิ่งกันให้ขวักไขว่ เพราะสถานการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นและคำสั่งของอากาล่อน ทำให้ต้องมีการเพิ่มระดับการเฝ้าระวังขึ้นไปเป็นระดับเกือบสูงสุด
บริเวณโถงทางเดินรอบนอกซึ่งอยู่ใกล้กับวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับใช้ขนของ มีลังกระดาษสีน้ำตาลอ่อนขนาดใหญ่ลังหนึ่งถูกวางอยู่ชิดริมกำแพง แม้ทางเดินนี้จะมีเจ้าหน้าที่ของพีระมิดวิ่งเข้าออกตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีใครสนใจลังกระดาษที่ดูเกะกะสายตานี้เลย คล้ายกับว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ที่นั่น
ในช่องเล็ก ๆ ด้านข้างของลังซึ่งใช้สำหรับสอดมือเข้าไปจับเพื่อยกลังกระดาษนั้น มีดวงไฟสีเหลืองสองดวงคล้ายกับดวงตากำลังสอดส่องดูสถานการณ์อันวุ่นวายโดยรอบอยู่อย่างเงียบงัน บางครั้งดวงตาคู่หนึ่งก็หลบออกไป ให้ดวงตาอีกคู่หนึ่งสลับเข้ามาแทนที่ ราวกับมีสัตว์เล็ก ๆ สองตัวแอบซ่อนอยู่ในลังกระดาษนั้น
“พวกเจ้าหน้าที่ของฝ่ายจัดงานวิ่งกันให้วุ่นเลยแฮะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันนะ…”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ เราควรจะกลับไปสมทบกับทุกคนก่อนดีกว่า”
“ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริง ๆ ท่านจอมพลก็คงเรียกเรากลับไปเองนั่นแหละ แต่ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเราก็ทำตามภารกิจเดิมไปก่อน เวลาแบบนี้แหละที่เรายิ่งควรจะต้องหาข้อมูลให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และทางฝ่ายจัดงานกำลังพยายามจะทำอะไร จะได้รับมือได้อย่างถูกต้องไงล่ะ”
นักเวทแคระในชุดคลุมสีดำและชุดคลุมสีขาวซึ่งแอบอยู่ในลังกระดาษทำการสนทนากันผ่านโทรจิต ทั้งสองก็คือเซธและอาซาเรลซึ่งแอบลอบเข้ามาในพื้นที่ของกองธุรการการจัดงานเพื่อหาทางขึ้นไปยังชั้นบนสุด แต่เพราะแค่ชั้นเก้าก็มีการเฝ้าเวรยามที่ค่อนข้างหนาแน่นมากแล้ว ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่เดินกันอย่างพลุกพล่าน ทำให้ทั้งคู่ติดแหงกอยู่แค่แถวโถงทางเดินใกล้กับวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับขนของเท่านั้น
ลังกระดาษที่ทั้งสองคนใช้หลบซ่อนตัวอยู่นี้ไม่ใช่ลังกระดาษธรรมดา ๆ แต่เป็นอาติแฟคชนิดพิเศษซึ่งถูกสร้างขึ้นสำหรับใช้ในการลอบเร้นโดยเฉพาะ มันเป็นของที่เซธค้นพบเข้าโดยบังเอิญในระหว่างที่อ่านบันทึกของโลกเก่าซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุดยอดจารชนในตำนานที่ใช้ลังกระดาษเป็นอุปกรณ์ในการลอบเข้าไปยังใจกลางฐานทัพของผู้สร้างหายนะในยุคนั้นและยุติแผนการร้ายที่คิดจะทำลายโลกได้เป็นผลสำเร็จ
แม้ในบันทึกจะไม่ได้บรรยายสรรพคุณของลังกระดาษนั้นเอาไว้เป็นการพิเศษ แต่จากประสิทธิภาพในการลอบเร้นของมันที่สามารถเล็ดรอดสายตาของเหล่าทหารชั้นยอดและระบบรักษาความปลอดภัยอันล้ำสมัยจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปถึงใจกลางฐานทัพได้โดยไม่ถูกตรวจพบ ทำให้เซธมั่นใจว่าตัวลังกระดาษจะต้องไม่ใช่อุปกรณ์ธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน แต่ต้องเป็นอาติแฟคที่มีพลังอะไรสักอย่างทำให้ผู้คนไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของมันได้
ด้วยแนวคิดที่สรุปได้จากบันทึก เซธจึงทำการออกแบบอาติแฟคชิ้นนี้ขึ้นมาแล้วส่งให้ฝ่ายพัฒนา-วิจัยของกองทัพซาลารัสซึ่งประกอบไปด้วยบริแกนดีน, เทเรนซ์, และยูนิตี้ ช่วยกันใช้ทั้งวิทยาการทางเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์สร้างอาติแฟคที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับของที่เขาต้องการออกมาได้เป็นผลสำเร็จ นั่นก็คือลังกระดาษที่เซธกับอาซาเรลใช้ในการซ่อนตัวอยู่นี้
แม้จะดูเหมือนกับลังกระดาษธรรมดา ๆ แต่ความจริงแล้วอาติแฟคชิ้นนี้มีคุณสมบัติพิเศษมากมายที่ถูกใส่ลงไปเพื่อใช้ในการลอบเร้นโดยเฉพาะ ผิวนอกของมันสามารถซึมซับคลื่นตรวจจับทั้งในรูปแบบของเวทมนตร์และคลื่นแม่เหล็ก ทำให้ยากต่อการถูกตรวจพบ ภายในลังยังมีเขตแดนเวทมนตร์ที่ช่วยเก็บกักเสียง, กลิ่น, จิตต่อสู้, กระแสเวทมนตร์, รวมไปถึงคลื่นไฟฟ้า ไม่ให้เล็ดรอดออกไปภายนอกได้ มันจึงช่วยปกปิดตัวตนของผู้ที่ซ่อนอยู่ในลังกระดาษได้โดยสมบูรณ์
ผิวนอกของลังมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนสี, ลวดลาย, และลักษณะของพื้นผิวได้มากกว่าสองพันห้าร้อยรูปแบบตามแต่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับภูมิประเทศได้ทุกชนิด เมื่อบวกกับเวทอำพรางตัวชนิดพิเศษที่ส่งผลต่อการรับรู้โดยตรงจะทำให้ผู้ที่พบเห็นกล่องนี้ ‘ไม่ทันสังเกต’ การมีอยู่ของมันด้วย แม้ผลของเวทจะหายไปหากตัวลังมีการขยับเขยื้อนเพียงน้อยนิด แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้นี่เป็นหนึ่งในอาติแฟคสำหรับพรางตัวที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดแห่งยุคแล้ว
เพราะมันเป็นอุปกรณ์ลอบเร้นที่ช่วยให้ภารกิจต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างสันติโดยไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามตรวจพบ เซธจึงตั้งชื่อเล่นให้กับลังกระดาษนี้ว่า ‘พีสวอลค์เกอร์’ (Peace Walker)
“ในเมื่อดันมีคนไปแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วก็ช่วยไม่ได้ ถอนตัวแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เซธและอาซาเรลที่อยู่ในลังกระดาษก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเดินผ่านค่อย ๆ ย่องไปตามทางเดินโดยใช้ลังกระดาษเป็นที่กำบัง ทั้งคู่จะยกลังกระดาษขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบซอยเท้าวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งโดยแบกลังกระดาษไปด้วย ไม่นานนักทั้งคู่ก็ไปถึงวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับขนของและใช้มันเทเลพอร์ทลงจากชั้นเก้าไป
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เจ้าหน้าที่ซึ่งสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เดินมายังจุดที่เซธและอาซาเรลเคยแอบอยู่ในลังกระดาษ คนผู้นั้นหยุดยืนและเงื้อมือขึ้นราวกับต้องการจะจับสัมผัสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในบริเวณนี้ก่อนจะกำฝ่ามือลงอีกครั้งและพึมพำกับตัวเอง
“ถึงจะเล็กน้อย แต่กระแสเวทมนตร์แถวนี้มีการบิดผันไปจริง ๆ … ต้องมีคนใช้เวทมนตร์หรืออาติแฟคบางอย่างที่นี่ ทำให้กระแสเวทมนตร์ในพื้นที่ถูกรบกวน… แต่ทางห้องควบคุมก็ยืนยันว่าในชั่วโมงที่ผ่านมานี้ไม่มีใครใช้เวทมนตร์ในห้องนี้เลย ระบบตรวจจับก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมด้วย… รึจะเป็นเวทอำพรางตัวแบบใหม่?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เปิดผ้าคลุมที่คลุมศีรษะของตนเองอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวแรกรุ่นซึ่งน่าจะมีอายุราวยี่สิบกลาง ๆ เธอมีเส้นผมสีทองอร่ามและดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อน แม้สีหน้าที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ ของเธอจะดูขาดเสน่ห์ดึงดูดไปบ้าง แต่หญิงสาวคนนี้ก็จัดเป็นสาวงามคนหนึ่ง
ทันทีที่ปลดผ้าคลุมศีรษะลง หญิงสาวก็เรียกของบางอย่างจากช่องมิติเก็บของมาไว้ในกำมือ ก่อนจะสาดมันออกไปเบื้องหน้า ของสิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายกับผงแป้งสีฟ้าอ่อนซึ่งส่องประกายระยิบระยับ ทันทีที่สัมผัสกับอากาศ มันก็กระจายตัวออกและคงรูปค้างอยู่กลางอากาศจนมีลักษณะคล้ายกับก้อนเมฆขนาดเล็ก แต่ไม่นานนักก้อนเมฆนั้นก็เกิดการเปลี่ยนรูปและค่อย ๆ ไหลไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ราวกับมันกำลังถูกดูดไปตามท่ออากาศที่มองไม่เห็น
“ทางนั้น… ห้องวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับขนของงั้นเหรอ? รึจะหนีไปแล้ว?”
หญิงสาวมองตามเส้นทางที่ก้อนเมฆไหลไปพลางพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เธอจะดึงผ้าคลุมขึ้นมาคลุมศีรษะอีกครั้ง และเดินตรงไปยังทิศทางที่ก้อนเมฆชี้นำ
——————————————————————————–
Part 2
อีกด้านหนึ่งที่ชั้นหกของนิทรรศการซึ่งเป็นโซนร้านค้า ซาลในร่างของแร็กน่าก็หยุดยืนอยู่ที่บริเวณทางเข้างานพลางสอดส่ายสายตามองดูร้านค้าต่าง ๆ ด้วยท่าทางตื่นเต้นและไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ รวมถึงไม่ใส่ใจสายตาของโทร่าซึ่งกำลังมองเขาด้วยแววตาอาฆาตจากทางด้านหลังด้วย
ทั้งสองคนวิ่งไล่จับกันมาตั้งแต่ชั้นสองของนิทรรศการ ซึ่งซาลก็หนีพลางแวะดูของต่าง ๆ ในงานไปพลาง แต่โทร่าก็ไม่สามารถจับตัวเขาได้เลย ทั้งที่เธอสามารถเข้าถึงตัวเขาได้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ในวินาทีสุดท้ายซาลก็จะสามารถหลบหลีกและทิ้งระยะห่างออกไปได้อีกครั้งเสมอ ความโกรธของโทร่าจึงถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอารมณ์ของเธอเริ่มสงบลงแทน
“ไอ้เจ้าหมอนี่… ไม่ว่าจะทำยังไงก็จับตัวมันไม่ได้เลย ทั้งที่ความเร็วของเราเหนือกว่าแน่ ๆ แต่ก็คว้าตัวมันไม่โดน ยังกับมันเริ่มหลบตั้งแต่ก่อนที่เราจะเงื้อมือออกไปงั้นแหละ แล้วมันก็อาศัยจังหวะที่เราเสียสมดุลรีบทิ้งระยะห่าง… ถึงเราจะยังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงก็เถอะ แต่มันเองก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์หรือจิตต่อสู้เพื่อเสริมการเคลื่อนไหวเหมือนกัน ความสามารถทางกายภาพและปฏิกิริยาตอบสนองของฮาลฟ์บีสอย่างเราควรจะเหนือกว่ามันมากแท้ ๆ นี่มันอะไรกันนะ…”
โทร่าครุ่นคิดในขณะที่จ้องมองซาลพลางคบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย ส่วนซาลที่เห็นอีกฝ่ายหยุดการไล่ตามและดูเหมือนจะอารมณ์เย็นลงบ้างแล้วก็หันมาพูดกับเธออีกครั้ง
“ผมขอโทษอีกครั้งก็แล้วกันนะครับคุณโทร่า เดี๋ยวจะเลี้ยงของอร่อย ๆ เป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน คุณโทร่าอยากกินอะไรเหรอครับ? นำทางไปเลย ผมเลี้ยงเอง”
ซาลเอ่ยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่พยายามไม่ให้ดูเป็นการเย้ยหยันอีกฝ่าย ทำให้โทร่าหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อพิจารณาท่าทางของเขา แต่ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากแหวนสื่อสารในกระเป๋าเสื้อ หรือต้องพูดว่าเพิ่งจะรู้สึกตัวถึงการสั่นไหวของมันมากกว่า
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ซาลได้รับการติดต่อผ่านโทรจิตจากเหล่าขุนพลด้วย
“ท่านจอมพลครับ ผมทำเสียเรื่องอีกแล้ว… ถ้าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ก็คงเป็นเพราะผมนี่แหละ แต่ยังไงซะผมก็จะพยายามกู้สถานการณ์อย่างสุดความสามารถ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ…”
“ท่านจอมพลครับ! แย่แล้ว! มีคนคิดจะรุกรานโลกตัดหน้าพวกเราล่ะ! ไม่ใช่สิ พวกมันไม่ใช่คน แต่เป็นเอเลี่ยนต่างหาก! โลกกำลังถูกรุกรานโดยเอเลี่ยนครับ! ตอนนี้พวกมันจับตาดูเราทุกฝีก้าวเลย! มันจะลงมือเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!”
“อ่า… ท่านจอมพลครับ… คือตะกี้ผมไป ‘ยืม’ เงินของเจ้าหน้าที่ในงานคนนึงมา และดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เลยให้คนมาสะกดรอยเหมือนจะมาทวงเงิน แต่ผมใช้เงินซื้อของกินไปหมดแล้ว จะเอายังไงดีครับ?…”
“ท่านจอมพลครับ ฝ่ายจัดงานเขาให้ความสำคัญกับพวกเรามากเลยนะครับเนี่ย ถึงขนาดส่งคนตั้งเยอะแยะมาเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับสมุนรับใช้ของท่านจอมพลแบบนี้ พวกเราต้องหาโอกาสไปขอบคุณพวกเขาด้วยนะครับ”
ทั้งหมดนั้นเป็นข้อความทางโทรจิตที่ส่งมาจากออร์เฟียซ, บริแกนดีน, ลูเซียน, และเทเรนซ์ ตามลำดับ ทำให้ซาลขมวดคิ้วและแสดงสีหน้างุนงงออกมาแวบหนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็เริ่มจับใจความสำคัญที่ทุกคนพยายามจะสื่อออกมาได้
“ดูเหมือนจะเริ่มแล้วสินะ สถานการณ์พัฒนาไปเร็วกว่าที่คิดแฮะ รึจะเป็นเพราะเรื่องของเรากับคุณโทร่าด้วยหว่า? แต่เอาเถอะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ละก็…”
สถานการณ์อันดูล่อแหลมนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของซาลไปสักเท่าไหร่นัก เขารู้ว่าสมุนอัญเชิญของเขาจะต้องถูกจับตาดูจากฝ่ายเฝ้าระวังของนิทรรศการในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้กำชับอะไรเป็นการพิเศษกับเหล่าขุนพลที่ปล่อยออกไป นั่นเพราะเขามองว่าต่อให้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นจริงมันก็ยังเป็นโอกาสในอีกแง่หนึ่งเช่นกัน แม้สถานการณ์ตอนนี้จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้นิดหน่อย แต่ซาลก็เตรียมแนวทางรับมือเอาไว้แล้ว
“ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเป็นฝ่ายลงมือก่อน และพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ… แต่ถ้าต้องสู้กันจริง ๆ ก็ห้ามแพ้เด็ดขาด!”
ซาลส่งข้อความอันชัดเจนและหนักแน่นไปยังขุนพลทุกคน แม้จะไม่มีใครขานรับกับคำพูดนั้น แต่ประกายตาของเหล่าขุนพลที่อยู่ในร่างนักเวทแคระต่างก็ส่องประกายสว่างวาบขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน
อีกด้านหนึ่ง โทร่าที่เพิ่งจะได้รับฟังรายงานจากฝ่ายสื่อสารก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
“สมุนรับใช้ของเจ้านั่นฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ไปได้งั้นเหรอ!? แถมยังด้วยการใช้เวทอัญเชิญเนี่ยนะ!?”
“ชะ.. ใช่ครับ… สมุนรับใช้ตัวนึงอัญเชิญ ‘ฟอเรสต์เบฮีมอธ’ ออกมา ส่วนอีกตัวก็มีชุดเกราะจักรกลประหลาด ๆ ที่ทรงพลังไม่แพ้กัน เจ้าหน้าที่รักษาการณ์ห้าคนที่พยายามล้อมจับไม่สามารถสกัดพวกมันได้เลยครับ”
ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในพื้นที่ทั่วไป แต่ละคนก็น่าจะมีฝีมือเทียบเท่านักผจญภัยระดับหก การที่นักผจญภัยระดับหกถึงห้าคนไม่สามารถสกัดการหลบหนีของสมุนรับใช้แค่สองตัวได้ แปลว่าระดับพลังของอีกฝ่ายต้องเหนือกว่า 1-2 ขั้นทีเดียว นั่นทำให้โทร่ารู้สึกประหลาดใจมาก
“ก็คิดอยู่แล้วว่านักเวทแคระพวกนั้นไม่ใช่สมุนอัญเชิญธรรมดา ๆ แต่ก็ไม่นึกว่าจะมีพลังระดับนี้… ไม่สิ.. เห็นว่ามังกรโครงกระดูกที่เจ้านั่นอัญเชิญออกมาก่อนหน้านี้ก็น่าจะมีพลังเกินระดับสิบซะอีก เราเองต่างหากที่ถูกท่าทางสบาย ๆ นั่นหลอกจนเผลอประเมินมันต่ำไป…”
โทร่าพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางเหลือบมองไปยังซาลด้วยแววตาอันคมกริบ
“แล้วคุณไลคัสไม่ได้ออกคำสั่งให้ทำอะไรเลยเหรอ? ทั้งที่สมุนของมันก่อเรื่องขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“เอ่อ… เรื่องมันซับซ้อนนิดหน่อยน่ะครับ ประมาณว่าสมุนพวกนั้นไม่เชิงจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน แต่คุณไลคัสก็ให้คนคอยจับตาดูพวกมันอย่างใกล้ชิดแล้ว และให้คุณโทร่าคอยเตรียมพร้อมเอาไว้ หากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ให้ ‘ลงมือ’ ได้ทันทีครับ”
“เข้าใจล่ะ…”
เมื่อทำการสนทนากันเสร็จ โทร่าก็ตัดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่สื่อสารไป ก่อนจะหันกลับมามองซาลด้วยสีหน้าอันซับซ้อน เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ดูประหลาดเกินไป
ในฐานะของผู้ที่ต้องสงสัยและถูกจับตาดูอยู่ แร็กน่าก็ไม่ควรจะทำอะไรที่เป็นการเพิ่มเงื่อนไขให้กับตนเองและควรจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมกว่านี้ แต่นี่เหมือนกับเขาไม่ใส่ใจอะไรเลยและทำทุกอย่างตามใจชอบแม้มันจะเป็นการทำให้ตนเองถูกสงสัยมากขึ้นก็ตาม การกระทำอันผิดวิสัยนี้ทำให้โทร่าคาดเดาไม่ออกว่าเจตนาของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่
หลังจากใช้เวลารวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง โทร่าก็เดินเข้าไปหาซาลอีกครั้งด้วยสีหน้าที่สงบลงแต่ยังแฝงอาการหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย
พอเดินมาจนประชิดตัวชายหนุ่ม โทร่าที่มีความสูงแค่ระดับอกของอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นและตะเบ็งคำพูดออกมาด้วยเสียงอันดังราวกับเป็นการคำราม
“ชีสเค้ก!!”
สิ้นคำประกาศ โทร่าก็เดินย่ำเท้าตรงเข้าไปในย่านการค้าโดยไม่รอฟังคำตอบรับของซาล ทำให้เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเพราะอีกฝ่ายยอมรามือโดยง่ายกว่าที่คิด แต่ถึงเธอจะมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่อีก ซาลก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าน่ากังวลอยู่ดี เขาจึงยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะเดินตามโทร่าไป
——————————————————————————–
Part 3
ที่ชั้นแปดของนิทรรศการ บริเวณทางเดินซึ่งเชื่อมต่อระหว่างห้องวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับขนของกับเขตจัดงานรอบนอก มีลังกระดาษลังหนึ่งตั้งอยู่บริเวณหัวมุมทางเดิน แต่ผู้คนจำนวนมากที่สัญจรไปมาก็ไม่มีใครสนใจลังกระดาษใบนั้นเลยแม้แต่น้อย
ภายในนั้น เซธและอาซาเรลที่เพิ่งลงมาจากชั้นเก้าก็พยายามสอดส่ายสายตาดูลาดเลาเพื่อหาจังหวะกลับเข้าไปในงาน แต่เพราะผู้คนที่ค่อนข้างพลุกพล่าน ทำให้ทั้งสองยังไม่มีจังหวะออกจากลังซะที
“ทำไมคนถึงเยอะขนาดนี้นะ ตอนขามาน่ะแทบจะไม่มีคนเลยนี่นา”
“ชั้นนี้เป็นลานประมูลนี่ ตอนนี้มันใกล้เวลาประมูลแล้วรึเปล่า? คนถึงได้เริ่มมากันน่ะ”
“อืม… งั้นถ้าถึงเวลาประมูล คนก็น่าจะเข้าไปที่ลานประมูลกันสินะ แต่มันเมื่อไหร่กันล่ะ? ถอยกลับไปที่ห้องวงเวทเคลื่อนย้ายแล้วออกจากกล่องเลยดีกว่า”
“แต่แบบนั้นมันจะน่าสงสัยนะ วงเวทเคลื่อนย้ายนั่นมันเปิดให้เฉพาะเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องใช้งานเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ถ้าเดินออกมาจากห้องนั้น คนจะผิดสังเกตกันน่ะสิ”
“ไม่มีทางอื่นแล้วนี่ ข้างนอกนี่คนพลุกพล่านออก และต่อให้การประมูลจะเริ่มขึ้นจริงก็ไม่แน่ว่าคนบนชั้นนี้จะน้อยลงด้วย หรืออาจมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ถ้าแกล้งตีเนียนทำเป็นเดินเข้าไปผิดทางแล้วเดินกลับออกมา คงไม่ผิดสังเกตมากหรอกน่า”
แม้จะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่คำพูดของเซธก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว อาซาเรลจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะขยับลังกระดาษกลับไปทางห้องวงเวทเคลื่อนย้าย ก็มีเจ้าหน้าที่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเดินออกมาจากห้องนั้นพอดี
เพราะกำลังมีคนเดินมา อาซาเรลและเซธจึงได้แต่หยุดรอเพื่อให้อีกฝ่ายผ่านไป ทว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หยุดยืนอยู่แค่บริเวณมุมทางเดิน ก่อนจะเงื้อมือขึ้นไปบนอากาศเหมือนกับพยายามจะจับสัมผัสอะไรบางอย่าง
“วงเวทเคลื่อนย้ายนี่เชื่อมต่อแค่ชั้นเก้ากับชั้นแปดเท่านั้น ยังไงพวกมันก็ต้องออกมาทางนี้แหละ แต่ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาเริ่มงานประมูลแล้ว คนน่าจะกำลังพลุกพล่านทีเดียว จะตามรอยในที่แบบนี้คงไม่ง่ายเท่าไหร่…”
เจ้าหน้าที่ในชุดคลุมสีน้ำเงินพึมพำกับตัวเองพลางเดินตรงไปยังทางเข้างานโดยยังยกมือค้างไว้เหมือนกับกำลังแตะสัมผัสร่องรอยที่มองไม่เห็นซึ่งยังตกค้างอยู่บนอากาศ แต่เมื่อเดินไปได้แค่ครึ่งทาง เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยั้งเท้าลงอย่างกะทันหันก่อนจะพลิกดูฝ่ามือของตนเองอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ถึงจะมีความปั่นป่วนอยู่บ้างเพราะผู้คนที่พลุกพล่าน แต่รูปแบบของกระแสเวทมนตร์ในบริเวณนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผิดกับบริเวณก่อนหน้านี้ที่เหมือนกับมีเวทมนตร์อันทรงพลังบางอย่างลากผ่านจนทำให้กระแสเวทมนตร์โดยรอบถูกดูดกลืนหรือซึมซับไป… หมายความว่า…”
ทันทีที่ได้ข้อสรุป เจ้าหน้าที่คนนั้นก็หันขวับกลับมามองทางเดินเบื้องหลังในสภาพระวังตัวเต็มพิกัด ก่อนจะเปิดผ้าคลุมศีรษะออกและเพ่งมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
ดวงตาสีฟ้าสีฟ้าของเธอส่องประกายแปลบปลาบราวกับมีพลังงานบางอย่างกำลังไหลเวียนอย่างอยู่ภายใน เธอวาดมือไปบนอากาศเพื่อร่ายเวทตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยเวทมนตร์หลากหลายชนิด แต่ละครั้งก็จะมีวงเวทสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นมาและสลายตัวกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าอาบไปทั่วบริเวณโถงทางเดิน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ครั้งหญิงสาวก็ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติอะไรเลย
“ไม่พบงั้นเหรอ? รึมันจะคลายเวทลงตรงนี้แล้วเดินเข้างานไปแล้ว? แต่ทางเดินจากห้องวงเวทเคลื่อนย้ายมาจนถึงตรงนี้ก็มีกล้องสอดแนมอยู่ตลอด คนที่มีความสามารถในการลอบเร้นสูงขนาดนี้คงไม่มาพลาดง่าย ๆ ด้วยการเปิดเผยตัวเองต่อหน้ากล้องแน่…”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวก็วาดมือไปบนอากาศเพื่อสร้างวงเวทขึ้นมาอีกครั้ง วงเวทวงนั้นเปล่งแสงสว่างออกมาและหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนหายวับไป
เสี้ยววินาทีนั้นเอง สายลมกรรโชกวูบใหญ่ก็แผ่พุ่งออกมาจากปลายฝ่ามือของหญิงสาว ราวกับห้วงอากาศโดยรอบถูกบีบอัดเป็นก้อนและปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว สายลมอันรุนแรงนั้นได้พัดฝุ่นผงที่ตกอยู่บนพื้นศิลาของทางเดินให้ปลิวละล่องกลับไปทางห้องวงเวทเคลื่อนย้าย และทำให้ผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มของเธอโบกสะบัด
ทันใดนั้น ลังกระดาษสีน้ำตาลอ่อนใบหนึ่งซึ่งวางอยู่ริมทางเดินก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของเธอ ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วลง
“ลังกระดาษนั่น… มันอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกแล้วงั้นเหรอ?”
หญิงสาวใช้เวทมนตร์สร้างกระแสลมอัดเข้าไปในทางเดินด้วยเจตนาที่จะทำลายผลของเวทบางชนิดที่อาจจะอาศัยผงเวทมนตร์ในการอำพรางตัว แต่บังเอิญกระแสลมอันรุนแรงนั้นทำให้ลังกระดาษเกิดการขยับ ผลของเวทพรางตัวที่ห่อหุ้มอยู่จึงหยุดทำงานไปด้วย
เพราะมันเป็นเวทชนิดพิเศษที่ส่งผลต่อการรับรู้ของผู้คนให้ ‘ไม่ทันสังเกต’ การมีอยู่ของมัน เมื่อเวทนั้นหยุดทำงาน หญิงสาวจึงเกิดความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองก็น่าจะเห็นลังกระดาษนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เธอกลับมองข้ามมันไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก
หญิงสาวไม่รอช้า เธอรวบรวมพลังเวทเพื่อเตรียมจะปลดปล่อยการโจมตีใส่ลังกระดาษใบนั้นทันที แต่ในพริบตานั้นเอง ลังกระดาษก็ถูกเปิดออก ก่อนจะมีนักเวทแคระในชุดคลุมสีดำและสีขาวกระโจนออกมา
“บ้าจริง! ดันมีพวกไวต่อกระแสเวทมนตร์อยู่ในหน่วยเฝ้าระวังซะได้! รีบไปเร็ว!”
เซธสบถออกมาพลางเร่งให้อาซาเรลรีบหนี โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะไม่สามารถจับสัมผัสและแยกแยะความเปลี่ยนแปลงของกระแสเวทมนตร์ในอากาศได้ถึงระดับนี้ มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ทางด้านสัมผัสเวทมนตร์เพียงหยิบมือเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ และหญิงสาวผมทองผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
หญิงสาวปลดปล่อยเวทมนตร์เพื่อสกัดการหลบหนีของเซธและอาซาเรลในทันที สายลมอันเชี่ยวกรากที่ซัดออกมาจากปลายมือของเธอก่อให้เกิดเสียงเสียดหูราวกับลูกธนูที่พุ่งฝ่าอากาศ มันตรงเข้าหาเซธจากด้านหลังแต่เขาก็สามารถเอี้ยวตัวหลบมันได้โดยไม่ต้องหันกลับมามอง ทว่าการโจมตีอันรวดเร็วนั้นก็ทำให้ชายผ้าคลุมของเขาจะถูกเฉี่ยวจนขาดกระจุยออกเป็นริ้ว ๆ ราวกับถูกลูกปืนใหญ่ยิงใส่
การโจมตีที่พลาดเป้าไปอย่างฉิวเฉียดนั้นพุ่งแซงหน้าเซธและอาซาเรลไปยังทางออก แต่ยังไม่ทันที่มันจะพ้นมุมทางเดินออกไปได้ กระสุนวายุลูกใหญ่นั้นก็กระทบเข้ากับอะไรบางอย่างจนเกิดแรงสะท้อนซัดกลับมา ทำให้มีลมกรรโชกวูบใหญ่พัดเข้าหาเซธและอาซาเรลจากเบื้องหน้าจนพวกเขาถูกผลักให้ถอยหลังกลับไปหลายก้าว
ดวงตาของทั้งสองเบิกโพลงขึ้นเพราะสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง กระสุนวายุนั้นเกิดการระเบิดขึ้นเหมือนมันพุ่งชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย แต่เมื่อเพ่งมองดูดี ๆ เซธและอาซาเรลก็พบว่ามีอักขระเรืองแสงขนาดเล็กจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศคล้ายกับม่านโปร่งใสที่หากไม่สังเกตอย่างละเอียดแล้วก็แทบจะไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้
มันคือม่านเขตแดนที่ถูกกางขึ้นเพื่อปิดทางออกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“พอรู้ว่าพวกเธอยังอยู่ในนี้ฉันก็ร่ายเวทสร้างม่านป้องกันปิดทางออกเอาไว้แล้วล่ะ ไม่ใช่แค่ร่ายเวทตรวจสอบออกไปสั่ว ๆ หรอกนะ ยอมให้จับซะดี ๆ เถอะ ทางเรามีเรื่องอยากจะถามพวกเธอเพียบเลย”
หญิงสาวค่อย ๆ เยื้องย่างเข้าไปหานักเวทแคระทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับกำลังทำงานที่เป็นกิจวัตรประจำวันอันแสนน่าเบื่อให้เสร็จ ๆ ไป ทำให้เซธหรี่ตาลงเพราะเกิดความรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“อวดดีนักนะ… เชือดทิ้งซะเลยดีมั้ยเนี่ย… แต่ในร่างนี้ทำอะไรไม่สะดวกเลย กลับร่างเดิมก่อนดีกว่า”
“ไม่ได้นะนายพลเซธ! อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ! เราไม่ควรเปิดเผยตัวตน และไม่ควรฆ่าคนของฝ่ายจัดงานด้วย!”
“รู้แล้วน่า ก็แค่พูดไปงั้นเอง นายหาทางจัดการกับม่านป้องกันนั่นซะ ส่วนฉันจะหาทางถ่วงเวลาให้ รีบ ๆ เข้าด้วยล่ะ”
แม้จะบอกว่าไม่ได้มีเจตนาอย่างคำพูด แต่อาซาเรลก็รู้ดีว่าสำหรับเซธแล้วมีเพียงเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างการการลงมือจริงกับการพูดไปตามอารมณ์ของเขา ด้วยเหตุนี้อาซาเรลจึงรีบหันไปยังม่านป้องกันเพื่อหาทางหยุดการทำงานของมันและฝ่าออกไปให้ได้ก่อนที่ความอดทนของอีกฝ่ายจะหมดลง
ในเวลาเดียวกัน เซธก็ถีบเท้าลงกับพื้นเพื่อพุ่งตรงเข้าไปหาหญิงสาวผมทองที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา เขาสะบัดมือไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ทำให้มีมีดสั้นสีดำสามเล่มพุ่งออกมาจากแขนเสื้ออันรุ่มร่ามนั้น
หญิงสาวไม่ได้แสดงท่าทีที่จะหลบหลีกการโจมตีนั้น เธอเพียงขยับนิ้วมืออย่างรวดเร็วเหมือนกับเป็นการร่ายเวทมนตร์บางอย่างโดยไม่ได้ยกแขนขึ้นมาแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็เกิดกระแสลมกรรโชกพัดวนขึ้นมาห่อหุ้มตัวหญิงสาวเอาไว้ ทำให้มีดสั้นทั้งสามเล่มถูกแรงลมหักเหออกจากเป้าหมายและลอยหมุนวนไปรอบตัวหญิงสาว ราวกับมันติดอยู่ในพายุ เมื่อเธอสะบัดมืออีกครั้งมีดสั้นทั้งสามเล่มก็หลุดจากแรงลมและพุ่งตรงกลับไปหาเซธซึ่งเป็นผู้ที่ขว้างมันออกมาแทน
เซธปัดมีดสั้นทั้งสามเล่มนั้นทิ้งไปด้วยคมดาบสีดำที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อ เขาหรี่ตาลงอีกครั้งเพราะระดับของคู่ต่อสู้น่าจะเหนือกว่าที่เขาประเมินเอาไว้ในทีแรก แต่สิ่งนั้นก็ไม่ทำให้เขาเกิดความลังเลในการพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“ผู้เชี่ยวชาญเวทธาตุลมงั้นเหรอ? แบบนี้การโจมตีระยะไกลคงไม่เวิร์คเท่าไหร่แฮะ แต่ถ้าเข้าไปใกล้ได้ละก็…”
ในระหว่างที่เซธกำลังครุ่นคิดอยู่ หญิงสาวผมทองก็เริ่มรวบรวมพลังเวทอีกครั้ง ทำให้มีวงเวทสีฟ้าวงหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และด้านหลังของวงเวทนั้นยังมีก้อนเมฆสีดำก้อนเล็ก ๆ ลอยอยู่ด้วย
ภายในก้อนเมฆอันดำทมิฬนั้นมีเส้นแสงสีเหลืองส่องประกายแปลบปลาบไหลวนไปทั่วราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังวิ่งพล่านเพราะถูกคุมขัง มันเป็นเวทเสริมพลังชนิดหนึ่งซึ่งใช้การสะสมประจุพลังงานเพื่อเพิ่มพลังโจมตีให้กับเวทสายฟ้า ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด สายฟ้าที่ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยการเสริมพลังจากก้อนเมฆนี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ทันทีที่เห็นรูปแบบของเวทมนตร์ที่อีกฝ่ายกำลังเตรียมการ เซธก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะม้วนตัวไปข้างหน้าเหมือนกับกำลังตีลังกา แต่เมื่อพลิกตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งร่างของนักเวทแคระในชุดคลุมสีดำก็แยกออกและกลายเป็นสี่คนแทน แต่ละคนต่างก็กระโจนออกไปและวิ่งไต่พื้นผิวแต่ละด้านของโถงทางเดินเพื่อตรงเข้าหาหญิงสาว โดยคนหนึ่งขึ้นไปวิ่งบนผนังด้านซ้าย คนหนึ่งขึ้นไปวิ่งบนผนังด้านขวา อีกคนขึ้นไปวิ่งกลับหัวอยู่บนเพดาน และคนสุดท้ายก็วิ่งอยู่บนพื้นตามเดิม
ทั้งสี่ร่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นร่างเสมือน ส่วนร่างจริงของเซธนั้นกำลังวิ่งเลียบขอบทางเดินด้านซ้ายตามหลังร่างแยกทั้งสี่มาติด ๆ โดยใช้เวทพรางตัวปกปิดร่างกายไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นไปด้วย เพราะเขามองออกว่าเวทที่หญิงสาวกำลังร่ายอยู่คือ ‘ธันเดอร์โบลท์’ ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายได้แค่เป้าเดียว การแยกเป็นสี่ร่างและอำพรางตัวจริงไว้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายทำการโจมตีอย่างสูญเปล่า เพราะไม่ว่าจะเลือกโจมตีร่างไหนก็เป็นตัวปลอมทั้งนั้น
เมื่อเห็นนักเวทแคระในชุดคลุมสีดำแยกตัวออกเป็นสี่ร่าง หญิงสาวผมทองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา
หญิงสาวสร้างอักขระเวทอีกชุดขึ้นมาบนมือซ้าย ในขณะเดียวกันก็ชูมือขวาขึ้นและกวัดแกว่งนิ้วไปบนอากาศ ไม่นานนักอักขระบนวงเวทที่อยู่ด้านหน้าของก้อนเมฆสีดำก็เริ่มหลุดร่อนออกและลอยมายังฝ่ามือของเธอ เมื่อถอดอักขระชุดนั้นออกมาจากวงเวทได้แล้ว หญิงสาวก็นำอักขระอีกชุดที่สร้างขึ้นด้วยมือซ้ายใส่ลงไปในวงเวทแทน ทำให้วงเวทกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
การกระทำของหญิงสาวทำให้ดวงตาของเซธเบิกโพลงขึ้นเพราะความรู้สึกตกตะลึง ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยเห็นการร่ายเวทในลักษณะนี้มาก่อน แต่เขาไม่คิดว่าหญิงสาวผมทองที่อยู่ตรงหน้าจะสามารถทำแบบนี้ได้
“เปลี่ยนรูปแบบของวงเวทในขณะที่กำลังร่ายอยู่งั้นเหรอ!? ยัยนี่เป็นนักผจญภัยระดับ S !? เวทนั่นกลายเป็น ‘ธันเดอร์สตรอม’ ไปแล้ว! ซะ.. ซวยแล้วไง!”
ยังไม่ทันที่เซธจะหาวิธีรับมือได้ทัน หญิงสาวก็ปลดปล่อยเวทมนตร์ที่ร่ายอยู่ออกมา ทำให้มีสายฟ้าเส้นเล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกซัดสาดออกมาจากวงเวท มันครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกตารางนิ้วตั้งแต่เบื้องหน้าของหญิงสาวไปจนเกือบจะถึงบริเวณทางออกที่อาซาเรลยืนอยู่ ทำให้ร่างแยกทั้งสี่ร่างของเซธรวมไปถึงตัวจริงของเขาที่อำพรางตัวอยู่โดนสายฟ้าฟาดเข้าใส่อย่างจัง
เวทธันเดอร์สตรอม (Thunder Storm) เป็นเวทสายฟ้าซึ่งใช้โจมตีเป็นวงกว้าง สายฟ้าที่ถูกปลดปล่อยจากเวทนี้จะครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แลกกับพลังโจมตีและระยะโจมตีที่ลดลง ถึงกระนั้นมันก็ยังรุนแรงพอที่จะทำให้ร่างแยกของเซธสลายไป แม้แต่ตัวเขาเองก็หลุดจากเวทอำพรางและปรากฏตัวออกมาอีกครั้งด้วย
“สร้างตัวปลอมขึ้นมาตบตาแล้วซ่อนตัวจริงเอาไว้? ไม่ใช่วิธีต่อสู้ของสมุนรับใช้ธรรมดา ๆ เลยนะ รึว่าจะเป็น ‘เรเวอแนนท์’ ? จะจับให้อยู่ทั้งสองตัวคงยุ่งยากแฮะ ขอแค่ตัวเดียวก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็ใช้มือซ้ายดึงอักขระชุดหนึ่งออกจากวงเวทเหนือศีรษะ แล้วนำอักขระที่ยังอยู่บนมือขวาใส่กลับเข้าไปตามเดิม ก้อนเมฆสีดำที่ลอยอยู่ด้านหลังก็ถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่สะสมไว้เข้าไปในวงเวท ทำให้มันเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าก่อนจะปลดปล่อยสายฟ้าสีแดงสดออกมา
สายฟ้านั้นคือเวท ‘ธันเดอร์โบลท์’ ที่หญิงสาวตั้งใจจะใช้ในทีแรก เมื่อถูกเสริมพลังด้วยก้อนเมฆสะสมประจุ มันจึงมีพลังทำลายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า สายฟ้าสีแดงนั้นพุ่งตรงเข้าใส่เซธที่ยังคงยืนโซเซเพราะการโจมตีก่อนหน้าเข้าอย่างจัง ทำให้ร่างนักเวทแคระของเขาสูญสลายกลายเป็นกลุ่มควันสีดำไปในทันที
อาซาเรลที่เห็นว่าเซธพลาดท่าก็มองดูกลุ่มควันสีดำที่เคยเป็นร่างจำแลงของเซธด้วยดวงตาเบิกโพลงและอุทานออกมา
“ยะ.. แย่แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าจัดการกับหนึ่งในสมุนอัญเชิญเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เดินตรงเข้าไปหาอาซาเรลด้วยท่าทีที่ไม่ได้รีบร้อนอะไร พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ไม่ต้องทำท่าตื่นกลัวขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ทำลายเธอหรอก (ก็เหลือตัวสุดท้ายแล้วนี่นา) ยอมตามมาดี ๆ เถอะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวนะ …หืม?”
ในระหว่างที่กำลังพูดอยู่ หญิงสาวก็ขมวดคิ้วลงเพราะเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของห้วงอากาศที่อยู่เบื้องหน้า
แม้ควันดำจากการเผาไหม้จะกระจายตัวออกไปจนแทบไม่เหลือแล้ว แต่ทิวทัศน์บริเวณจุดที่นักเวทแคระในชุดคลุมสีดำเคยอยู่ก็เริ่มผิดเพี้ยนไป ราวกับห้วงมิติกำลังเกิดการบิดตัวเพื่อเชื่อมต่อช่องทางระหว่างที่แห่งนี้กับสถานที่ใดสักแห่ง
พริบตาต่อมาก็มีแสงสีดำสว่างวาบขึ้นพร้อมกับกระแสลมกรรโชกวูบหนึ่งที่พัดออกไปรอบทิศ ทำให้หญิงสาวต้องเบือนหน้าหลบไปทางอื่นเล็กน้อย
เมื่อเธอหันกลับไปมองอีกครั้ง หญิงสาวก็ต้องหรี่ตาลง เพราะทางเดินเบื้องหน้าที่เคยว่างเปล่านั้นกลับมีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งชันเข่าอยู่แทน
หญิงสาวคนนั้นมีผมยาวสีดำขลับที่ส่องประกายเงางาม เธอสวมชุดหนังแบบรัดรูปสีขาวหม่นซึ่งมีแผ่นเกราะและลวดลายคล้ายกับโครงกระดูกติดประดับตามจุดต่าง ๆ จนให้ความรู้สึกราวกับมันเป็นชุดเกราะที่สร้างจากการนำเถ้ากระดูกมาหลอมรวมกันจนเป็นอาภรณ์
นี่คือร่างต่อสู้ของเซธซึ่งถูกเก็บเอาไว้ในร่างของนักเวทแคระอีกที เพราะหากร่างจำแลงที่ทำการสลับจิตกันถูกฆ่า ตัวจริงที่ซ่อนอยู่ภายในร่างจำแลงก็จะหลุดออกมาจากช่องมิติ การสลับตัวจริงกับร่างนักเวทแคระโดยตรงจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง ขุนพลทุกคนจึงทำการสลับตัวจริงกับร่างต่อสู้ก่อน จากนั้นจึงสลับร่างต่อสู้กับนักเวทแคระ เผื่อกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดทำให้ร่างนักเวทแคระถูกทำลาย ร่างต่อสู้ก็จะถูกนำออกมาก่อน ซึ่งจะเป็นการปลอดภัยกว่านั่นเอง
“ยัย..ตัว..แสบ..เอ๊ย… กล้ามาทำลายร่างจำแลงของฉันได้นะ…”
เซธเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงกังวานอันไพเราะแต่แฝงไปด้วยโทสะอันคุกรุ่น เขายังคงก้มหน้าอยู่ทำให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถสังเกตสีหน้าที่แท้จริงได้ แต่จากแรงกดดันที่แผ่ออกมาก็ทำให้อาซาเรลรู้ดีว่าตอนนี้ความโกรธของเซธได้พุ่งทะลุจุดเดือดไปแล้ว
เซธหยิบหน้ากากอันหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของแล้วสวมมันลงบนใบหน้าก่อนจะยืดตัวขึ้น มันเป็นหน้ากากที่มีลักษณะคล้ายกับกะโหลกของมังกร เบ้าตากลวงโบ๋อันดำมืดบนหน้ากากนั้นมีดวงแสงสีส้มส่องประกายเจิดจ้าเป็นลูกนัยน์ตา ดวงแสงสีส้มคู่นั้นจ้องเขม็งมายังหญิงสาวผมทองด้วยจิตสังหารปริมาณมหาศาลทำให้เกิดบรรยากาศเสียดแทงคล้ายกับใบมีดนับพันเล่ม แม้มันจะไม่ถึงกับทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัว แต่ท่าทีสบาย ๆ ของเธอที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปสิ้น
“ฉันไม่ชอบพูดจาข่มขู่ใครน่ะนะ เพราะฉะนั้นก็…”
เมื่อพูดจบ ร่างของเซธก็กลายเป็นเพียงภาพเบลอ และหายไปจากสายตาของหญิงสาวผมทองในทันที