Doombringer the 5th - ตอนที่ 136
Ch.136 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (7)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 132
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (7)
Part 1
พริบตาที่ร่างของเซธหายไป มีดสั้นสีดำนับสิบเล่มก็พุ่งฝ่าอากาศตรงเข้าหาหญิงสาวผมทองโดยไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ มันเป็นการโจมตีอันรวดเร็วจนดูไม่ออกว่ามีดบินชุดนี้ถูกซัดออกมาก่อนหรือหลังจากที่เซธหายตัวไปกันแน่
หญิงสาวผมทองรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายในทันที เธอรีบกางมือทั้งสองข้างออกไปเบื้องหน้าเพื่อปลดปล่อยเวทมนตร์ที่ร่ายเตรียมไว้ตั้งแต่อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาจากห้วงมิติ ก่อให้เกิดสายลมกรรโชกม้วนตัวเป็นเกลียวไปตามพื้น, ผนัง, และเพดาน จนทางเดินแห่งนี้กลายเป็นอุโมงค์ลมขนาดใหญ่คล้ายกับภายในของพายุหมุน ส่วนมีดสั้นทั้งแปดเล่มก็โดนแรงลมหักเหจนเบี่ยงเส้นทางออกและถูกกลืนหายไปกับกระแสลมในที่สุด
อาซาเรลซึ่งยืนอยู่บริเวณปลายอุโมงค์ก็ได้แต่มองกระแสลมที่ม้วนตัวเข้ามาหาด้วยตาเบิกโพลง ก่อนที่เขาจะถูกหอบขึ้นไปหมุนเคว้งอยู่บนอากาศ ราวกับตุ๊กตาที่ถูกใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า
เซธปรากฏตัวออกมาอีกครั้งเพราะถูกแรงลมปะทะทำให้ความเร็วลดลง บวกกับผนังฝั่งซ้ายที่เขาวิ่งไต่อยู่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยกระแสลมอันรุนแรงซึ่งมีแรงดูดอันมหาศาล ทำให้เขาต้องรีบดีดตัวออกมาก่อนที่จะถูกทำให้เสียหลักและโดนดึงเข้าไปในกระแสลมเช่นเดียวกับมีดบินที่ซัดออกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวผมทองก็ส่องประกายขึ้นอีกครั้ง
แม้จะดีดตัวออกมาจากผนังฝั่งหนึ่งได้ทัน แต่นั่นก็เป็นแค่การยื้อเวลาเพียงเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็ต้องลงสู่พื้น และในภาวะที่ผนังทุกด้านถูกห่อหุ้มด้วยกระแสลมอันรุนแรงเช่นนี้ ทางเดียวที่จะปักหลักได้โดยไม่ถูกพัดไปคือต้องใช้อาวุธหรืออุปกรณ์อะไรสักอย่างตรึงตัวเองไว้กับพื้นหรือกำแพง และนั่นก็คือจังหวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการโจมตี
หญิงสาวชักมือขวากลับมาและกวัดแกว่งนิ้วไปบนอากาศอย่างรวดเร็วราวกับกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่าง เพียงชั่วอึดใจก็มีวงเวทสีฟ้าอีกวงหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายมือของเธอ เธอรวบรวมพลังเวทอีกครั้งเพื่อเตรียมปล่อยสายฟ้าออกไปทันทีที่อีกฝ่ายพยายามปักหลักลงกับพื้น ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปดังที่เธอคาดคะเนเอาไว้
เพราะแทนที่จะใช้ของมีคมปักตรึงลงบนพื้นผิวเพื่อต้านแรงลม ฝ่ายตรงข้ามกลับเหยียบย่างลงบนกระแสลมอันเชี่ยวกรากได้ราวกับมันเป็นของแข็ง ก่อนจะย่อเข่าลงและดีดตัวพุ่งออกไปอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวผมทองได้แต่จ้องมองด้วยตาเบิกค้าง เพราะคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าได้ใช้วิธีการอันแปลกประหลาดนี้ดีดตัวจากผนัง, พื้น, และเพดาน สลับกันไปมา แล้วตรงเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
สถานการณ์ที่ผิดไปจากความคาดหมายนี้ทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกตื่นตระหนก แต่เธอก็สงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและพยายามหาจังหวะที่เหมาะสมในการปลดปล่อยเวทมนตร์เพื่อสกัดการรุกคืบของฝ่ายตรงข้ามก่อนที่อีกฝ่ายจะมาถึงตัว
เมื่อระยะห่างของทั้งสองเหลือไม่ถึงสิบเมตร หญิงสาวผมทองที่เพ่งพิจารณาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างละเอียดเพื่อแก้ปริศนาวิธีที่คู่ต่อสู้ใช้ในการกระโจนไปตามวังวนพายุนี้ก็เริ่มสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง มันคือวัตถุลึกลับที่ไหลวนอยู่ในกระแสลม และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนที่ของฝ่ายตรงข้าม โดยที่เธอไม่ทันได้รู้สึกตัว
เมื่อเพ่งพิจารณาดูดี ๆ เธอก็พบว่าของสิ่งนั้นคือมีดสั้นสีดำที่อีกฝ่ายซัดออกมาตั้งแต่เริ่มการต่อสู้
มีดสั้นทั้งหมดถูกแรงลมเบี่ยงทิศทางจนหลุดหายเข้าไปในเกลียวพายุซึ่งปกคลุมผนังทุกด้านของทางเดินแห่งนี้อยู่ แต่ใบมีดเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน พวกมันเพียงแค่ถูกเหวี่ยงไปตามแรงลมอย่างไร้การควบคุมเท่านั้น สาเหตุที่พวกมันยังหมุนวนอยู่ในตำแหน่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทนที่จะถูกพัดให้ห่างออกไปก็เพราะลักษณะพิเศษของอุโมงค์ลมที่หญิงสาวผมทองออกแบบขึ้นมา
เนื่องจากถ้าให้กระแสลมทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้าตรง ๆ มันก็จะปะทะเข้ากับม่านป้องกันที่เธอสร้างเพื่อปิดทางหนีของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้จนก่อให้เกิดแรงอัดย้อนกลับมา ซึ่งอีกฝ่ายอาจใช้แรงหนุนจากกระแสลมย้อนกลับนี้ช่วยให้พุ่งเข้ามาหาเธอด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม กลายเป็นผลร้ายในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงให้กระแสลมพัดวนเป็นวงกลมแทนเพื่อสร้างแรงผลักดันจากการม้วนตัวของอุโมงค์ลมโดยไม่ทำให้เกิดแรงลมปะทะเข้ากับม่านป้องกันตรง ๆ แม้มันจะทำให้มีดสั้นทั้งแปดเล่มหมุนวนอยู่ในอุโมงค์ลมโดยไม่ถูกพัดพาไปไหนด้วย แต่เธอก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาอะไร เพราะการที่มีของมีคมหมุนวนอยู่ในพายุ น่าจะยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามฝ่าเข้ามายากขึ้นด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้คู่ต่อสู้ของเธอกำลังใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น
ในเวลาที่กระโจนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เซธจะหยั่งเท้าลงบนกระแสลมอันเชี่ยวกรากและย่อเข่าลงเพื่อเตรียมจะดีดตัวครั้งต่อไป ในทีแรกหญิงสาวคิดว่าอีกฝ่ายใช้วิชาอะไรบางอย่างทำให้เหยียบย่างลงบนกระแสลมได้ราวกับเป็นของแข็ง แต่เมื่อเพ่งมองดูดี ๆ แล้วเธอก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามอาศัยวัตถุอะไรบางอย่างที่ไหลวนอยู่ในกระแสลมเป็นแท่นเหยียบสำหรับหยั่งเท้าจริง ๆ
มันก็คือมีดสั้นสีดำที่ยังคงติดอยู่ในกระแสลม
คู่ต่อสู้ของเธออาศัยมีดสั้นเหล่านี้เป็นแท่นเหยียบเพื่อพุ่งตัวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ราวกับเป็นการเล่นกล ทั้งที่ใบมีดแต่ละอันต่างก็หมุนวนไปตามกระแสลมด้วยความเร็วสูง แต่คนผู้นี้ก็ยังสามารถกะจังหวะในการใช้มันเป็นแท่นเหยียบได้อย่างเหมาะเจาะ ในจังหวะที่เหยียดขาออกไปจนปลายเท้าใกล้จะสัมผัสกับเกลียวพายุ มีดสั้นที่หมุนวนอยู่ก็จะลอยมาเข้าตำแหน่งพอดิบพอดีราวกับนัดกันเอาไว้แล้ว หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการคำนวณที่แม่นยำราวกับปิศาจ
การไขปริศนานี้ออกทำให้หญิงสาวผมทองเกิดอาการตะลึงงันไปวูบหนึ่ง แต่เธอก็ยังตั้งสติได้และปลดปล่อยเวทมนตร์ที่เตรียมเอาไว้เข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้มีสายฟ้าสีน้ำเงินซัดสาดออกมาจากวงเวทที่ปลายมือของเธอและพุ่งตรงเข้าหาเซธในทันที
ทางด้านเซธก็เข้ามาถึงระยะที่สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้เช่นกัน ก่อนที่หญิงสาวผมทองจะปลดปล่อยการโจมตีออกมาเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็วาดมือออกไปข้างตัว ฝ่ามือที่เรืองแสงสีขาวอ่อน ๆ ของเขาก่อให้เกิดเส้นแสงจาง ๆ ค้างอยู่บนอากาศ แต่ไม่นานเส้นแสงนั้นก็ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นและก่อรูปร่างขึ้นมาจนกลายเป็นหอกสีขาวซึ่งประทับอยู่ในมือของเขา
ทันทีที่หอกเล่มนั้นก่อตัวโดยสมบูรณ์ เซธก็เหวี่ยงมันเข้าใส่สายฟ้าที่กำลังพุ่งมา พริบตาที่การโจมตีทั้งสองปะทะกันก็บังเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาทดังไปทั่ว
ทว่าสายฟ้าที่สัมผัสเข้ากับปลายหอกกลับแตกตัวออกเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก ๆ และกระจายออกไปคนละทิศคนละทางราวกับมันไม่สามารถต้านทานอำนาจการทะลุทะลวงของหอกนั้นได้ ทำให้ดวงตาของหญิงสาวผมทองเบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง
——————————————————————————–
Part 2
“นั่นมัน โฮลี่แลนซ์! ยัยนี่มันไม่ใช่นินจาหรอกเหรอ!?”
ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้ามกับการคำนวณของเธอแทบจะทุกอย่างทำให้ใบหน้าของหญิงสาวมีอาการบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสับสนและตื่นตระหนก เธอประเมินจากวิชาที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ออกมาและเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะมีคลาสหลักเป็นนินจา จึงไม่ได้คาดคิดว่าคู่ต่อสู้จะมีท่าโจมตีแบบนี้อยู่ด้วย
โฮลี่แลนซ์ (Holy Lance) เป็นท่าโจมตีของผู้ใช้หอก (Lancer) ระดับสูง คุณลักษณะพิเศษของมันคือตัวหอกจะถูกห่อหุ้มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับตัวตน, เวทมตร์, หรือวัตถุ ที่มีธาตุมืดเป็นส่วนประกอบหลักเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า อีกทั้งตัวหอกยังมีพลังต้านทานเวทในระดับสูงเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ห่อหุ้มอยู่ มันจึงสามารถฝ่าการโจมตีหรือการป้องกันทางเวทมนตร์ที่มีระดับใกล้เคียงกันได้อย่างง่ายดาย
ความจริงหญิงสาวผมทองไม่ได้คิดผิดเรื่องคลาสของฝ่ายตรงข้าม เพราะเซธมีคลาสหลักเป็นนินจาจริง ๆ แต่ที่เขาสามารถใช้งานท่าโจมตีระดับสูงของแลนเซอร์ได้ก็เพราะร่างต่อสู้ของเขาใช้ ‘วาลไครี่’ เป็นต้นแบบในการสร้าง ทำให้สามารถใช้งานทักษะสายหอกระดับสูงได้เช่นเดียวกับแลนเซอร์นั่นเอง
เพราะสายฟ้าของเธอไม่สามารถชะลอความเร็วของหอกสีขาวที่พุ่งตรงเข้ามาได้เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวที่ตกอยู่ในภาวะคับขันจึงรีบไขว้แขนทั้งสองข้างเข้าหากันเพื่อดึงกระแสลมกลับมาใช้ป้องกันตัว ทันใดนั้นสายลมที่พัดวนอยู่ตามผนังก็พุ่งกลับมาหาเธออย่างรวดเร็วก่อนจะบิดตัวจนกลายเป็นพายุหมุนที่มีหญิงสาวเป็นแกนกลาง
ม่านพายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้สามารถเบี่ยงทิศทางของหอกสีขาวจนออกนอกเป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้มันพุ่งเฉียดหัวไหล่ของหญิงสาวไปเล็กน้อย
แม้จะรอดพ้นภาวะคับขันมาได้แต่หญิงสาวก็รู้ดีกว่าการกระทำนี้ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะกระแสลมทั้งหมดได้ถูกดึงกลับมาสร้างม่านป้องกัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครั้ง
เพราะคู่ต่อสู้ที่ปรากฏร่างจริงออกมานั้นมีทั้งระดับฝีมือและความเร็วสูงกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทางเดินอันคับแคบที่เคยสร้างความได้เปรียบให้กับหญิงสาวจึงกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเธอเอง ทักษะเวทธาตุลมของเธอนั้นมีจุดเด่นในการโจมตีระยะไกลและเหมาะกับพื้นที่กว้าง เมื่ออยู่ในพื้นที่จำกัดและต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เข้ามาประชิดตัวได้อย่างรวดเร็วแบบนี้เธอจึงกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
หญิงสาวขบเม้มริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ เธอคิดว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมปลดม่านป้องกันที่ปิดทางออกลงแล้วใช้กระแสลมซัดฝ่ายตรงข้ามให้กระเด็นออกไป แม้แบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสหนีรอดไปได้ แต่การรับมือกับคู่ต่อสู้ระดับนี้ตามลำพังในที่แคบ ๆ นับเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปสำหรับเธอ
ทว่าในขณะที่หญิงสาวกำลังวาดมือเพื่อเตรียมปรับเปลี่ยนรูปแบบของกระแสลมอีกครั้งอยู่นั้นเองเธอก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเย็นวูบไปจนถึงสันหลัง ด้วยสัญชาติญาณเธอจึงรีบหันมองขึ้นไปด้านบน และพบว่ากำลังมีคมดาบสีดำเงากำลังฟาดฟันแหวกอากาศลงมาด้วยความเร็วสูงจนทำให้เกิดภาพติดตาเป็นเส้นแสงสีดำแทรกด้วยประกายสีขาวทอดยาวไปเบื้องหลัง ราวกับเป็นดาวหางที่กำลังพุ่งฝ่าท้องฟ้าในยามราตรี
ผู้ที่กำดาบเล่มนั้นอยู่ก็คือเซธซึ่งอาศัยจังหวะที่กระแสลมกำลังถูกดึงกลับพุ่งตัวเรียดเพดานเข้ามาโดยอาศัยแรงลมเป็นตัวหนุนเสริมจนข้ามกำแพงวายุมาได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่มันจะก่อตัวโดยสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อฝ่าเข้ามาได้ เขาก็พุ่งตัวลงจากเพดานเพื่อทำการโจมตีหญิงสาวต่ออีกครั้งในทันที
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวเบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เพราะคมดาบที่กำลังฟาดฟันลงมานั้นอยู่ในระยะที่เธอไม่สามารถหลบหลีกหรือหาทางปัดป้องได้ทันแล้ว เธอจึงขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจเพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายที่กำลังใกล้เข้ามาได้ แต่ดวงตาของเธอยังคงจ้องเขม็งไปยังเซธด้วยแววตาที่ไม่ยอมศิโรราบ แม้เธอจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องจบชีวิตลงตรงนี้ก็ตาม
เมื่อได้เห็นแววตาอันมุ่งมั่นและไร้ซึ่งความกลัวของหญิงสาว ดวงตาของเซธซึ่งถูกบดบังอยู่ใต้หน้ากากก็เกิดการสั่นไหวไปวูบหนึ่ง
ในชั่วพริบตาก่อนที่คมดาบของเซธจะสับเข้าที่ต้นคอของหญิงสาว โล่เวทมนตร์อันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาเหนือท้ายทอยของเธอและรับคมดาบสีดำนั้นไว้ แม้ตัวโล่จะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันที แต่มันก็ทำให้การโจมตีของเซธตื้นลงไปมากและพลาดออกจากเป้าหมายในที่สุด
ทั้งเซธและหญิงสาวผมทองต่างก็ตกตะลึงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ แต่หญิงสาวผู้รอดพ้นจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียดก็รีบสลัดความสับสนทั้งหมดทิ้งไปและกวัดแกว่งมืออีกครั้ง ทำให้กำแพงวายุโดยรอบเปลี่ยนรูปร่างไปในทันที
เธอให้กำแพงวายุส่วนล่างพุ่งเข้าหาตนเองเพื่อหอบร่างของเธอให้ลอยถอยหลังไป และให้กำแพงวายุส่วนบนซัดเข้าใส่เซธอย่างเต็มแรงเพื่อผลักเขาออกไปให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทั้งสองถูกแรงลมทำให้ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ระยะห่างของทั้งคู่นั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวจึงเริ่มร่ายเวทเพื่อเตรียมการโจมตีอีกครั้ง
ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะวาดมือสร้างวงเวทได้โดยสมบูรณ์ ข้อมือของเธอก็หยุดชะงักไปกลางคันเพราะถูกโซ่สีดำเส้นเล็ก ๆ รัดตรึงเอาไว้ ทำให้หญิงสาวต้องตกตะลึงอีกครั้ง เพราะโซ่เหล่านี้ปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ โดยเริ่มจากข้อมือของเธอแล้วค่อย ๆ ลามขึ้นไปจนถึงต้นแขน ราวกับมันอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกแล้วแต่ถูกพลังบางอย่างบดบังเอาไว้ทำให้เพิ่งปรากฏออกมา
ในจังหวะที่การโจมตีล้มเหลว เซธก็ได้แอบร่ายเวทพันธนาการนี้ใส่หญิงสาวไว้ก่อนที่จะถูกแรงลมผลักออกมา มันคือเวท ‘ล่ามเงา’ (Shadow Shackles) ซึ่งเป็นเวทคำสาปแบบมีเงื่อนไข การจะใช้เวทนี้กับฝ่ายตรงข้ามได้ เงาของผู้ใช้เวทจะต้องทาบทับลงบนร่างของฝ่ายตรงข้ามในระยะไม่เกินห้าเมตร หลังจากนั้นหากผู้ที่โดนคำสาปออกห่างจากผู้สาปเกินระยะห้าเมตร โซ่พันธนาการจะปรากฏออกมาและตรึงการเคลื่อนไหวของผู้ถูกสาปเอาไว้
แม้ผลของการสกัดการเคลื่อนไหวจะหายไปเมื่อผู้ถูกสาปเข้ามาอยู่ในระยะห้าเมตรอีกครั้งทำให้มันไม่ค่อยมีประโยชน์ในการต่อสู้กับคลาสสายประชิด แต่สำหรับคลาสต่อสู้ระยะไกลอย่างนักเวทหรือนักธนู หากโดนเวทนี้เข้าไปก็แทบจะมีค่าเท่ากับแพ้แล้วก็ว่าได้
“เวทพันธนาการระดับสูงของนินจา!? เป็นมาสเตอร์ทั้งสองคลาสเลยงั้นเหรอ!?”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามใช้งานทักษะระดับสูงของทั้งสองคลาสได้ หญิงสาวจึงตระหนักว่าคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้ามีระดับฝีมือเหนือกว่าที่เธอประเมินเอาไว้มาก แต่มารู้เอาตอนนี้ก็ดูจะสายเกินไป
โซ่สีดำทมิฬซึ่งเปล่งออร่าสีม่วงเข้มออกมานั้นก่อตัวด้วยความเร็วที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนกับปลายอีกด้านหนึ่งของมันพุ่งผ่านอากาศตรงไปยังฝ่ามือของเซธ ซึ่งทันทีที่มันรัดพันเข้ากับมือซ้ายของเขา เซธก็ปักดาบในมืออีกข้างลงกับพื้นเพื่อหยุดการเคลื่อนที่
การกระทำของเซธทำให้โซ่ที่พันแขนทั้งสองข้างของหญิงสาวอยู่ถูกขึงจนตึง ร่างของเธอจึงหยุดชะงักและลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ซึ่งเซธก็อาศัยจังหวะนี้ดึงโซ่เข้าหาตัวอย่างแรง ทำให้ร่างของหญิงสาวถูกดึงกลับมาทางเขาด้วย
เพราะแขนทั้งสองถูกพันธนาการด้วยโซ่ทำให้หญิงสาวไม่สามารถควบคุมกระแสลมได้ดั่งใจ แต่หญิงสาวก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาอันมุ่งมั่นพร้อมกับขยับนิ้วมืออย่างรวดเร็วและรวบรวมพลังเวทอีกครั้ง ทำให้มีวงเวทสีฟ้าอ่อนสี่วงปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าฝ่ามือที่กำลังถูกดึงรั้งของเธอ
นี่เป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย หญิงสาวคิดว่าต่อให้ไม่สามารถสกัดคู่ต่อสู้ได้ทันก่อนที่คมดาบของอีกฝ่ายจะจบชีวิตของเธอลง ก็ขอสร้างความบาดเจ็บแก่ฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อลดภัยคุกคามให้กับพวกพ้องที่จะมาสานต่อการต่อสู้นี้แม้เพียงนิดก็ยังดี
ทันทีที่ระยะห่างของเธอกับฝ่ายตรงข้ามเหลือไม่ถึงสามเมตร หญิงสาวก็ปลดปล่อยเวทมนตร์ที่ร่ายไว้ทั้งหมด ทำให้มีสายฟ้าพุ่งออกมาจากวงเวททั้งสี่วง ก่อนมันจะประสานรวมกันกลายเป็นสายฟ้าอันรุนแรงฟาดเข้าใส่เซธในระยะประชิด
ก่อนหน้าที่สายฟ้าจะพุ่งมาถึงตัวเพียงเสี้ยววินาที เซธก็ถอนดาบสีดำที่ปักอยู่บนพื้นออกและตวัดมันขึ้นมาฟันเข้าใส่สายฟ้าอันรุนแรงนั้น ทันทีที่เกิดการปะทะ สายฟ้าบางส่วนก็แตกตัวและพุ่งแฉลบออกไปโดยรอบ แต่พลังงานส่วนใหญ่ยังคงไถลไปตามคมดาบและมุ่งตรงไปยังมือของเขา ทว่าก่อนที่มันจะวิ่งมาถึง เซธก็สะบัดข้อมือและตวัดดาบขึ้นไปด้านบน ทำให้สายฟ้าเส้นนั้นเกิดการเปลี่ยนทิศและพุ่งขึ้นไปชนเพดานแทน พื้นผิวของเพดานซึ่งสร้างจากศิลาสีขาวจึงเกิดการระเบิดออกจนมีทั้งสะเก็ดหินและฝุ่นผงโปรยปรายลงมาทั่วบริเวณ
เซธใช้มืออีกข้างรวบข้อมือทั้งสองของหญิงสาวผมทองซึ่งถูกดึงมาถึงจุดที่เขายืนอยู่พอดี ก่อนจะฉุดตัวเธอพุ่งฝ่าม่านฝุ่นและเศษเพดานที่กำลังถล่มลงมาออกไป ทำให้ทั้งคู่รอดพ้นจากศิลาก้อนใหญ่ซึ่งตกลงมาทับบริเวณที่ทั้งสองเคยอยู่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น
——————————————————————————–
Part 3
หลังจากออกมาพ้นรัศมีการถล่มของเพดานแล้ว เซธก็เหวี่ยงหญิงสาวผมทองเข้ากับผนังและรวบมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะใช้เวทผนึกไม่ให้อีกฝ่ายสามารถร่ายเวทมนตร์ได้ ทำให้มีวงเวทสีม่วงเข้มปรากฏขึ้นมาสวมที่ข้อมือและลำคอของหญิงสาว ราวกับเป็นเครื่องพันธนาการ
หญิงสาวผมทองยังคงจ้องเขม็งไปยังดวงตาของเซธด้วยแววตาดุดันและไร้ซึ่งความกลัว ส่วนเซธก็จ้องมองกลับไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเช่นกัน บรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้จึงดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะหมดความอดทนและเป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดออกมา
“จะฆ่าก็ลงมือสิ! ยังมัวรออะไรอยู่อีกล่ะ!?”
หญิงสาวตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดแต่หนักแน่น ทำให้แสงสีส้มที่เป็นดวงตาบนหน้ากากของเซธเบิกโพลงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำพูดออกมา
“เด็ดเดี่ยวดีนี่ ไม่หวาดหวั่นต่อความตายไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม… สนใจจะมาเป็นทหารของฉันรึเปล่า? กองพล ‘เคออสลีเจี้ยน’ (Chaos Legion) ของฉันยังขาดผู้บังคับบัญชาอยู่อีกหลายตำแหน่งเลยนะ”
“เพ้อเจ้ออะไรของแกน่ะ!? ดูถูกกันรึไง!? ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ไม่ยอมก้มหัวให้กับแกหรอก!”
“ก็คิดอยู่แล้วล่ะนะว่าต้องพูดแบบนี้… ความจริงมันก็มีวิธีอื่นอีกหลายวิธีที่จะ ‘แปรสภาพ’ ให้เธอมาเป็นคนของฉัน แต่อุปนิสัยแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อนั่นมันก็น่าเสียดายอยู่ ฉันเลยอยากให้เธอมาเป็นพวกโดยสมัครใจมากกว่า… ไม่สิ ไม่ต้องสมัครใจก็ได้ แต่ตามฉันมาก็พอ ว่าไง? จะลองทบทวนดูอีกครั้งมั้ย?”
หญิงสาวจ้องมองเซธด้วยแววตาที่โกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพ่นน้ำลายออกมาใส่หน้ากากของเขา และไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ อีก
แม้จะถูกพ่นน้ำลายใส่ แต่เซธก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจใด ๆ ออกมา ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วย
“หึหึหึ… ต้องแบบนี้สิถึงจะควรค่ากับความเหนื่อยยากหน่อย”
เมื่อพูดจบ เซธก็เปิดหน้ากากที่สวมอยู่ออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นริมฝีปากเรียวบางที่กำลังเผยอยิ้มอย่างผู้มีชัย และดวงตาอันคมกริบสีส้มอำพันซึ่งกำลังจ้องมองมายังหญิงสาวผมทองด้วยประกายตาอันเร้นลับ
แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่ใบหน้าอันงดงามและทรงเสน่ห์นั้นก็ทำให้หญิงสาวผมทองเผลอมองจนตาค้างไปครู่หนึ่ง ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะตั้งสติได้อีกครั้ง ดวงตาของเธอก็ต้องเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกตะลึง
เพราะใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ จนกระทั่งริมฝีปากของฝ่ายตรงข้ามประกบเข้ากับริมฝีปากของเธอ
แม้จะเป็นสัมผัสอันนุ่มละมุนราวกับปุยเมฆแต่มันกลับทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ แม้แต่ในหัวของเธอก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า ราวกับสมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ และเวลาของทุกสรรพสิ่งโดยรอบได้หยุดชะงักลง ในขณะที่สัมผัสอันนุ่มนวลบริเวณริมฝีปากของหญิงสาว ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นการเคลื่อนไหวที่เร่าร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้น๊าาาาา!!”
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น นักเวทแคระในชุดคลุมสีขาวก็พุ่งตัวเข้ามาเกาะที่ท้ายทอยของเซธและดึงศีรษะของเขาให้ผละออกจากฝ่ายตรงข้าม ทำให้เจ้าตัวต้องเซถลาออกมา
“ปัดโธ่เอ๊ย! หัดดูกาลเทศะบ้างเซ่! นายพลอาซาเรล! เวลาสำคัญแบบนี้จะเข้ามาสอดทำไมเล่า!?”
“ก็เพราะดูกาลเทศะน่ะสิถึงต้องสอดน่ะ! ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน!? แล้วมันใช่เวลาที่จะมาทำเรื่องแบบนี้เหรอ!? ที่สำคัญคือสิ่งที่นายทำอยู่น่ะมันผิดนะรู้มั้ย! จู่ ๆ จะไปจูบเค้าได้ยังไง!? มันต้องเริ่มจากการแนะนำตัว พูดคุย พาไปกินข้าว คบหาดูใจ เดินจับมือ จากนั้นค่อยหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ต่างหาก!”
“ใครมันจะไปมีเวลาขนาดนั้นเล่า!? ก็ฉันถูกใจผู้หญิงคนนี้ แล้วก็จะพากลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยด้วย!”
“ไม่ได้! แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง! ถ้าจะทำแบบนั้น นายต้องแต่งงานกับเธอให้เรียบร้อยซะก่อน!”
“ปัดโถ่เว้ย! เรื่องมากจริง! ตอนสู้ก็ไม่ช่วยอะไรเลยแท้ ๆ แถมยังไปร่ายเวทป้องกันให้ฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก! เจ้าคนทรยศเอ๊ย!”
“ก็บอกแล้วไงว่าห้ามฆ่าคนของฝ่ายจัดงานน่ะ! แล้วเรื่องนั้นกับเรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักหน่อย!”
ทั้งสองคนโต้เถียงพลางยื้อยุดปลุกปล้ำกันอยู่เป็นเวลานาน โดยเซธก็พยายามจะสลัดอาซาเรลที่เกาะอยู่บนท้ายทอยลงไปให้ได้ แต่อาซาเรลก็ยังคงเกาะหนึบแบบไม่ยอมปล่อยเช่นกัน ส่วนหญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการช็อคก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมริมฝีปากเอาไว้
ในระหว่างนั้นเอง ประตูของห้องวงเวทเคลื่อนย้ายก็เปิดออก ก่อนจะมีกลุ่มคนซึ่งสวมผ้าคลุมสีดำและสีน้ำเงินเข้มหลายคนวิ่งออกมา
“ตรงนั้นไง! จับพวกมันไว้!”
คนกลุ่มนี้ก็คือหน่วยเฝ้าระวังและหน่วยป้องกันภัยของฝ่ายจัดงานซึ่งถูกส่งมาสมทบกับหญิงสาว เพราะในโถงทางเดินนี้มีกล้องสอดแนมอยู่ ทำให้ห้องควบคุมสามารถรับรู้ถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นและออกคำสั่งให้ชุดปฏิบัติการที่เตรียมพร้อมอยู่ลงมายังจุดเกิดเหตุได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งตรงมา เซธและอาซาเรลก็หยุดยื้อยุดกันและหันมาให้ความสำคัญกับสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“บ้าเอ๊ย! เป็นเพราะนายแท้ ๆ ! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เมื่อพูดจบ เซธก็รีบพุ่งตัวข้ามกองศิลาของเพดานที่ถล่มลงมาและหนีเข้าไปในงาน โดยมีอาซาเรลเกาะหลังไปด้วย
กลุ่มคนในผ้าคลุมสีดำและสีน้ำเงินเกือบทั้งหมดรีบวิ่งตามอาซาเรลไปอย่างไม่ลดละ มีเพียงชายในผ้าคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งที่แวะดูอาการของหญิงสาวซึ่งยังคงนั่งทรุดตัวอยู่ริมทางเดิน เขาใช้เวทคลายผนึกที่พันธนาการหญิงสาวอยู่ ทำให้วงเวทสีม่วงที่คอและข้อมือของหญิงสาวสลายไป ก่อนจะพูดกับเธอ
“ไซริส เธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
หญิงสาวยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง ดวงตาอันเปียกชื้นของเธอจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายด้วยอาการตกตะลึงและไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ทำให้ชายหนุ่มต้องเขย่าตัวเธออีกครั้ง
“ไซริส! ตั้งสติหน่อยสิ! บ้าจริง! โดนเวทคำสาปเข้างั้นเหรอ!? อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปหาหน่วยแพทย์!”
เมื่อถูกเขย่าตัว สติของหญิงสาวก็เริ่มกลับคืนมา ทำให้ห้วงความคิดอันว่างเปล่าเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็รู้สึกตัว
“ฉัน… ฉันไม่เป็นไร”
หญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการสับสนเล็กน้อยค่อย ๆ ยันตัวขึ้นโดยใช้ไหล่ของชายหนุ่มเป็นที่ยึดเกาะ แม้เธอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่สีหน้าของชายหนุ่มก็ยังคงแสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เธอรีบกลับไปให้หน่วยแพทย์ตรวจร่างกายแล้วพักผ่อนเถอะนะ ส่วนเรื่องของผู้บุกรุก พวกเราจะเป็นคนสานต่อเอง”
แม้จะอยู่ในสภาพที่ดูอ่อนเพลีย แต่ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ผู้บุกรุก’ ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้งพร้อมกับโทสะอันคุกรุ่น
“ผู้บุกรุก… ยัยผู้หญิงคนนั้น! ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้!”
หญิงสาวคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทำให้ชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นเธอในลักษณะนี้มาก่อนอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ยังคงไม่อยู่ในสภาพที่สามารถไปต่อสู้กับใครได้อีก เพราะเธอใช้พลังเวทไปจนเกือบหมด ทั้งยังมีอาการบาดเจ็บและได้รับผลตกค้างจากเวทคำสาปและเวทพันธนาการที่โดนไปก่อนหน้านี้ด้วย ชายหนุ่มจึงพาเธอกลับไปยังกองอำนวยการเพื่อให้หน่วยแพทย์ทำการตรวจรักษาก่อน แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม
เมื่อทั้งสองหายเข้าวงเวทเคลื่อนย้ายไปแล้ว โถงทางเดินของชั้นแปดที่อยู่ในสภาพยับเยินก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง