Doombringer the 5th - ตอนที่ 137
Ch.137 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (8)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 133
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (8)
Part 1
ที่ชั้นหกของพีระมิด ชั้นนี้ถูกกำหนดให้เป็นย่านการค้าซึ่งจะมีทั้งสินค้าและบริการหลากหลายชนิดคอยให้บริการผู้มาเที่ยวนิทรรศการ โดยพื้นที่ของชั้นหกจะถูกแบ่งออกเป็นสี่โซนด้วยกัน โซนแรกคือโซนร้านค้าสำหรับนักผจญภัย โซนที่สองจะเป็นโซนสินค้าทั่วไป โซนที่สามจะเป็นโซนบริการที่พักอาศัย ส่วนโซนที่สี่จะเป็นโซนอาหารและเครื่องดื่ม
ซาลกับโทร่ากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้านน้ำชากลางแจ้งของโซนอาหารและเครื่องดื่ม เบื้องหน้าของทั้งคู่มีชีสเค้กสารพัดชนิดวางเบียดเสียดกันจนแน่น ไม่ว่าจะเป็นชีสเค้กแบบออริจินัล, มิลค์ชีสเค้ก, สตรอเบอรี่ชีสเค้ก, บลูเบอรี่ชีสเค้ก, เลม่อนชีสเค้ก, บานาน่าชีสเค้ก, มัทฉะ(ชาเขียว)ชีสเค้ก, ช็อกโกแลตชีสเค้ก, และมอคค่าชีสเค้ก แถมชีสเค้กทุกชนิดยังถูกสั่งมาแบบเต็มก้อน ไม่ได้ถูกหั่นแบ่งมาเป็นซีกเหมือนการเสิร์ฟตามปกติ ทำให้โต๊ะน้ำชาที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กลงไปอีก
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือชีสเค้กที่โทร่าสั่งมา หรือต้องเรียกว่า ‘เหมา’ มาซะมากกว่า เพราะเธอสั่งให้ทางร้านนำชีสเค้กทุกชนิดที่มีมาเสิร์ฟแบบเต็มก้อน ห้ามตัดแบ่งมา เจตนาก็เพื่อจะถล่มกระเป๋าของซาลโดยเฉพาะ
นี่เป็นร้านชีสเค้กระดับพรีเมี่ยม ทำให้ราคาอาหารในร้านค่อนข้างสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มูลค่าของชีสเค้กทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่เงินน้อย ๆ แต่สำหรับซาลซึ่งเพิ่งจะได้กำไรจาก ‘การค้า’ ครั้งใหญ่มา เงินจำนวนเพียงเท่านี้ก็ยังอยู่ในชอบเขตที่สามารถนำมาใช้สอยได้โดยไม่ติดขัดอะไร
ท่าทางสบาย ๆ ของซาลทำให้โทร่ารู้สึกเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังอวดร่ำอวดรวยและบอกใบ้เป็นนัย ๆ ว่า ‘เงินแค่นี้ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงหรอก’ มันเป็นอะไรที่ผิดจากความคาดหมายของเธอ และทำให้เธอคิดว่าตนเองประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำไปอีกครั้ง จึงได้แต่ตักชีสเค้กแต่ละชนิดเข้าปากด้วยอาการหงุดหงิด
นั่นเป็นเวลาที่ซาลเริ่มแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
เขาคิดว่าโทร่าจะจัดการกับชีสเค้กทั้งหมดนี้ให้หายไปได้ราวกับเล่นกล แต่เธอกลับตักเค้กกินแค่ช้อนสองช้อนก่อนจะย้ายไปตักก้อนอื่นต่อ แถมพอกินไปได้ถึงก้อนที่เจ็ดซึ่งเป็นมัทฉะชีสเค้ก เธอก็แสดงอาการคล้ายกับเริ่มจะอิ่มและหยุดมือไป ดูเหมือนโทร่าจะไม่ใช่จอมเขมือบตัวน้อยอย่างที่เขาคาดไว้ แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว ซาลก็นึกได้ว่าแบบนี้ต่างหากจึงจะถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงรูปร่างเล็กอย่างโทร่า ตัวเขาเองซะอีกที่ดันเผลอคาดหวังอะไรแปลก ๆ ออกไป
ซาลไม่ใส่ใจเรื่องของเหลืออยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรชีสเค้กที่เหลือนี้ก็สามารถให้ทางร้านช่วยห่อใส่กล่องและนำกลับไปด้วยได้ การนำชีสเค้กเหล่านี้กลับไปฝากเหล่าขุนพลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว และตัวเขาเองก็อยากจะลองชิมชิสเค้กสารพัดชนิดที่อยู่ตรงหน้าด้วยเช่นกัน
“อิ่มแล้วเหรอครับคุณโทร่า กินไปได้แค่ชิ้นละไม่กี่คำเองนี่นา ถ้าจะกินแค่นี้ทำไมไม่สั่งมาอย่างละชิ้นล่ะครับ?”
“ก็ชิ้นอื่น ๆ มันถูกตัดแบ่งไปแล้วนี่นา แบบนั้นก็เหมือนกับของเหลือนั่นแหละ ฉันไม่อยากกินของเหลือ มีปัญหาเหรอ? โฮก~”
แน่นอนว่าปกติแล้วโทร่าก็ไม่ได้ถือสาอะไรกับเรื่องนี้ เธอแค่กล่าวอ้างไปสั่ว ๆ เท่านั้นเอง
“เปล่าครับ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่สั่งเค้กมาทั้งก้อน และเรื่องกินของเหลือด้วย”
พูดจบ ซาลก็หยิบช้อนที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างจานของชีสเค้กก้อนที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะใช้มันตัดเนื้อเค้กต่อจากส่วนที่ถูกตักไปแล้วเข้าปากของตน
ทันทีที่เนื้อเค้กสัมผัสกับลิ้น ซาลก็ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียง ‘ฮืม~’ ในลำคอ เพราะรสชาติอันกลมกล่อมและความหอมละมุนของชีสซึ่งแผ่กระจายไปทั่วปากทันทีที่เนื้อเค้กละลายตัวเมื่อได้สัมผัสกับลิ้น มันเป็นของหวานที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยมสมกับราคาของมัน จนทำให้ซาลคิดว่าด้วยคุณภาพระดับนี้ก็ไม่ถือว่านี่เป็นของที่มีราคาแพงจนเกินไปนัก
ทว่าที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ โทร่าที่เห็นซาลตักเค้กชีสเข้าปากก็เกือบจะสำลักเพราะความตกใจ
“ทะ.. ทำอะไรของนายน่ะ! โฮก!”
“หืม? ก็กินเค้กน่ะสิครับ ยังไงคุณโทร่าก็ไม่คิดจะกินจนหมดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? อ๊ะ อันนี้ก็น่าอร่อยแฮะ”
เมื่อพูดจบซาลก็ตักชีสเค้กอีกก้อนเข้าปากและกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่นั่นยิ่งทำให้โทร่ามีอาการร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะช้อนที่ซาลใช้ตักชีสเค้กเป็นช้อนอันเดียวกับที่เธอใช้ไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
เนื่องจากไม่อยากให้รสชาติของชีสเค้กแต่ละชนิดปนเปกัน โทร่าจึงเปลี่ยนช้อนทุกครั้งที่กิน โดยวางช้อนอันเก่าทิ้งไว้ข้างจาน ซาลจึงหยิบช้อนที่วางอยู่มาใช้ต่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขอช้อนใหม่จากพนักงานร้าน เพราะเขาไม่ถือเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโทร่า เขาก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นการกระทำที่ออกจะผิดมารยาทไปหน่อย
ความจริงเขาควรจะรีบวางช้อนลงและเอ่ยคำขอโทษ แต่เพราะโทร่าเองก็พยายามกวนประสาทและหาจังหวะแกล้งเขามาโดยตลอด เมื่อเห็นเจ้าตัวมีท่าทีร้อนรนจนใบหน้าเริ่มจะแดงระเรื่อ ซาลจึงลอบแสยะยิ้มในใจและใช้ช้อนในจานอื่น ๆ ตักเค้กกินต่อไป
“ยะ.. หยุดนะ! ทำไมไม่ไปขอช้อนมาใหม่ล่ะ โฮก!”
“เห~ ตรงนี้ก็มีช้อนเหลืออยู่ตั้งเยอะแยะ จะไปรบกวนพนักงานเค้าทำไมล่ะครับ ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมไม่ถือหรอก อ๊ะ ชิ้นนี้เหมือนจะหวานกว่าปกติแฮะ เพราะอะไรนะ…”
“ฮว๊ากกกก ก็บอกให้หยุดไงเล่าาาาา!!”
เพราะคำพูดที่สื่อความหมายแปลก ๆ ของซาลทำให้โทร่าที่หน้าแดงไปจนถึงใบหูยิ่งออกอาการร้อนรนจนจะคว่ำโต๊ะทิ้งอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นเองเธอก็ได้รับการติดต่อผ่านโทรจิตจากหน่วยเฝ้าระวัง ทำให้สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนไปในทันที
“ว่าไงนะ!? เรื่องนี้มัน!”
โทร่าลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะยืนในท่าเตรียมพร้อมและเพ่งมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาอันแข็งกร้าวที่แฝงความรู้สึกสับสนอยู่ภายใน ผิดกับซาลที่ยังคงนั่งกินชีสเค้กพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นายส่งสมุนลอบเข้าไปสอดแนมในเขตหวงห้ามงั้นเหรอ!? คิดจะทำอะไรกันแน่!?”
“หืม? มีคนเข้าไปในเขตหวงห้ามงั้นเหรอครับ? แต่ทำไมคุณโทร่าถึงคิดว่าเป็นสมุนของผมล่ะ?”
“ยังจะแกล้งทำเป็นไขสืออีก! รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าเราให้คนจับตาดูสมุนของนายอยู่ทุกฝีก้าวน่ะ!? อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้นนะ!”
“สมุนรับใช้รูปร่างหน้าตาแบบนั้นน่ะมีอยู่ทั่วไป คุณโทร่าแน่ใจเหรอครับว่าคนของฝ่ายจัดงานไม่ได้ดูผิดน่ะ?”
“นี่นาย!”
ซาลไม่ได้คิดจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ด้วยการแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ อย่างที่ทำอยู่ เขาแค่อยากจะกวนประสาทอีกฝ่ายเล่น ไม่ใช่แค่เพราะก่อนหน้านี้โทร่าพยายามจะกวนประสาทเขา แต่เพราะตัวซาลเองก็รู้สึกหงุดหงิดกับวิธีการที่ฝ่ายเฝ้าระวังของนิทรรศการปฏิบัติต่อเขาอยู่ลึก ๆ เช่นกัน
เพราะเขาไม่ได้เข้ามาในงานด้วยวิธีปกติ จึงไม่แปลกที่จะถูกสงสัยและถูกจับตามอง ทว่าแม้จะพิสูจน์ฐานะด้วยแหวนของแซนโดรไปแล้ว เขาก็ยังถูกคุมเข้มและถูกจับตามองอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้ใจหนึ่งซาลจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็หงุดหงิดกับความขี้ระแวงจนเกินเหตุของผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องของการเฝ้าระวังเช่นกัน
แม้จะรู้ว่าวิธีปฏิบัติตนที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้คืออะไร แต่เพราะมันไม่สามารถระบายความรู้สึกหงุดหงิดที่อัดอั้นอยู่ได้ ซาลจึงเลือกที่จะทำตามใจตัวเองไปโดยสัญชาติญาณ เพราะอย่างไรซะ อายุที่แท้จริงของเขาก็น้อยกว่ารูปลักษณ์ที่เห็นอยู่มาก และไม่ว่าสถานการณ์จะดูยุ่งเหยิงอย่างไร มันก็ยังอยู่ในขอบเขตของแผนการที่เขาวางเอาไว้
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน นักเวทแคระในชุดคลุมสีน้ำเงิน, สีม่วง, สีเหลือง, และสีส้ม ก็วิ่งเข้ามาในลานน้ำชา ก่อนจะมายืนเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหลังของซาล ทำให้คนของฝ่ายดูแลนิทรรศการสี่คนที่ซุ่มดูอยู่รีบวิ่งเข้ามายืนสนับสนุนให้กับโทร่าเช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เอ็มเมอริชในร่างของนักเวทแคระที่สวมชุดคลุมสีฟ้าก็กระโจนออกจากแนวพุ่มไม้และมายืนข้าง ๆ เก้าอี้ที่ซาลนั่งอยู่โดยตั้งท่าเตรียมพร้อมเต็มพิกัดเพื่อเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนของฝ่ายเฝ้าระวังที่สะกดรอยนักเวทแคระทั้งสี่มาตลอดและเห็นเหตุการณ์ก็วิ่งตามเข้ามาในลานน้ำชาและโอบกระจายวงโอบล้อมบริเวณโดยรอบเอาไว้ในทันที
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่หญิงสาวผมดำในชุดรัดรูปสีขาวหม่นพุ่งตัวข้ามวงล้อมของฝ่ายเฝ้าระวังเข้ามาในลานน้ำชา บนไหล่ของเธอมีนักเวทแคระในชุดคลุมสีขาวเกาะหนึบอยู่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย ด้านหลังของเธอก็มีกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำและสีน้ำเงินอีกหลายคนวิ่งตามมาด้วย
ทันทีที่หญิงสาวผมดำมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ซาล โทร่าก็จ้องมองเขาด้วยแววตาที่เป็นปฏิปักษ์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ซาลได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ด้วยท่าทางเคอะเขินเล็กน้อย เพราะไม่รู้จะหาคำอธิบายอะไรมาแก้ตัวอีก
——————————————————————————–
Part 2
ทั้งสองฝ่ายต่างเฝ้าคุมเชิงกันอยู่โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทำให้บรรยากาศโดยรอบเป็นไปอย่างตึงเครียด
หญิงสาวในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเดินเข้าไปหาโทร่าเพื่อกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ซึ่งหลังจากได้รับฟังในสิ่งที่หญิงสาวบอกเล่า ดวงตาของโทร่าก็เบิกโพลงขึ้นเพราะความตกใจ
“นั่นคือร่างจริงของสมุนรับใช้งั้นเหรอ!? แถมยังมีฝีมือสูงขนาดที่เอาชนะไซริสได้ด้วย!?”
“ใช่ค่ะ หากร่างนักเวทแคระนั่นถูกทำลายมันก็จะเผยร่างจริงออกมา ถึงจะไม่รู้ว่าทุกตัวสามารถแปลงร่างได้เหมือนกันรึเปล่า แต่เราก็ไม่ควรตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปนะคะ…”
คำกล่าวของหญิงสาวในชุดคลุมสีน้ำเงินทำให้โทร่าต้องหันไปมองยังหญิงสาวผมดำที่ยืนอยู่ข้างซาลอีกครั้ง เธอสัมผัสได้แต่แรกว่าสมุนเหล่านี้ไม่ใช่สมุนรับใช้ทั่ว ๆ ไป แต่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นร่างอัญเชิญที่ทรงพลังถึงขนาดเอาชนะหนึ่งในแปดยอดฝีมือของหน่วย ‘โซ่ทมิฬ’ (Shadow Chains) ซึ่งเธอสังกัดอยู่ได้ เพราะทุกคนในหน่วยนี้ล้วนแล้วแต่มีฝีมืออยู่ในระดับ S ทั้งสิ้น
การที่ร่างจริงของสมุนรับใช้สามารถเอาชนะนักผจญภัยระดับ S ได้ แปลว่าอย่างน้อย ๆ มันต้องมีฝีมือหรือพลังใกล้เคียงระดับ S เช่นกัน และหากสมุนทุกตัวสามารถแปลงร่างได้ ก็เท่ากับว่าเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือระดับพระกาฬถึงเจ็ดคน ซึ่งนับเป็นกำลังรบที่น่าเกรงขามไม่น้อยทีเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้โทร่ารู้สึกหวั่นวิตกมากกว่าก็คือ ตามกฎพื้นฐานของเวทอัญเชิญแล้ว ‘ผู้อัญเชิญ’ จะไม่สามารถอัญเชิญร่างที่มีพลังมากกว่าตนเองออกมาได้ เพราะเวทอัญเชิญไม่เหมือนกับเวทมนตร์ทั่ว ๆ ไป มันคือการสร้างตัวตนขึ้นมาด้วยพลังเวท และการจะสร้างตัวตนที่มีพลังระดับ S ก็ต้องใช้พลังเวทมหาศาล ชนิดที่ว่าแม้แต่นักเวทระดับ S ก็ยังต้องทุ่มเทพลังเวททั้งหมดจึงจะสามารถอัญเชิญสมุนระดับ S ออกมาได้
แต่ซาลสามารถอัญเชิญสมุนเหล่านี้ออกมาได้ถึงแปดตัวพร้อมกัน แปลว่าอย่างน้อย ๆ เขาก็ต้องมีพลังเวทมากกว่านักเวทระดับ S ถึงแปดเท่า นั่นเป็นความแข็งแกร่งในระดับที่อยู่สูงกว่าระดับ S ขึ้นไปอีกหนึ่งถึงสองขั้น หรือเกือบจะเทียบเท่าระดับ SS อยู่แล้ว
แน่นอนว่าที่ซาลสามารถอัญเชิญเหล่าขุนพลทั้งหมดออกมาได้พร้อมกันก็เพราะวิทยาการสายเวทอัญเชิญที่เขาพัฒนาขึ้นเอง ส่วนร่างต่อสู้ของเขายังมีพลังอยู่เพียงช่วงต้นของระดับ S เท่านั้น แต่สำหรับโทร่าและคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้เรื่องนี้ ก็ได้แต่คาดคะเนตามสิ่งที่เห็นว่าเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีฝีมืออยู่ในระดับ SS เลยด้วยซ้ำ
เมื่อเรื่องนี้ประกอบกับท่าทีอันเยือกเย็นของซาลที่แม้จะยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของความกังวลปรากฏให้เห็นบนใบหน้าแม้จะถูกล้อมด้วยนักผจญภัยระดับสูงหลายสิบคน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าลงมือ เพราะกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาสามารถรับมือได้เลย
“ต่อให้เป็นลิช ก็ใช่ว่าจะสามารถอัญเชิญสมุนระดับ S ออกมาทีเดียวพร้อมกันเป็นจำนวนมากได้ เว้นแต่จะเปิด ‘เกท’ ให้เหล่าสมุนเดินทางข้ามประตูมิติออกมาโดยตรงเท่านั้น เจ้านั่นเองก็ต้องใช้วิชาอะไรสักอย่างที่เราไม่รู้จักถึงสามารถอัญเชิญสมุนเหล่านี้ออกมาพร้อมกันได้มากกว่า”
“แต่เรื่องนั้นเราก็ยังไม่รู้แน่ไม่ใช่เหรอคะ? เพื่อความไม่ประมาท เราควรรอให้เหล่าผู้อาวุโสมาถึงก่อนดีกว่าค่ะ”
แม้จะไม่เท่ากับไซริส แต่โทร่าจัดเป็นผู้มีสัมผัสทางเวทมนตร์สูงและมีสายตาเฉียบคมคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ไลคัสจึงเลือกเธอให้เป็นผู้จับตาดูซาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากที่เธอประเมินอย่างละเอียดแล้ว ซาลไม่น่าจะมีพลังเกินช่วงกลางของระดับ S ไปได้ ซึ่งนั่นเป็นการประเมินที่ถูกต้อง ทว่าความลับของวิชาที่เขาใช้ในการอำพรางร่างของสมุนอัญเชิญระดับ S ไว้ในร่างของสมุนรับใช้ก็ยังเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเธออยู่
‘หากชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ซุกซ่อนตัวตนที่แท้จริงซึ่งมีพลังมากกว่าที่เห็นอีกหลายเท่าเอาไว้ในร่างจำแลงล่ะ?’ ความคิดนี้ทำให้โทร่าเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง นักเวทแคระในชุดคลุมสีขาวซึ่งยังเกาะอยู่บนหลังของหญิงสาวผมดำก็หันไปทางซาลก่อนจะส่งคำพูดไปหาเขาผ่านกระแสจิตด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ ที่แฝงความรู้สึกโกรธเกรี้ยว
“ท่านจอมพลครับ! เมื่อกี้น่ะนายพลเซธทำผิดวินัยกองทัพไปไม่รู้ตั้งกี่ข้อ! ทั้งเปิดเผยตัวจริง พยายามฆ่าอีกฝ่าย แถมยังล่วงละเมิดทางเพศฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้หญิงด้วย!”
“จะ.. เจ้าขี้ฟ้องเอ๊ย! อย่าใช้คำพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดเซ่!”
“เข้าใจผิดตรงไหนล่ะครับ! ก็นายพลเซธน่ะจับผู้หญิงคนนั้นขึงพืดแล้วก็เข้าไป ‘วู้ฮู’ เขาจริง ๆ นี่นา!”
“เฮ้ย! จะเซ็นเซอร์คำให้มันฟังดูลามกกว่าเดิมทำไมเล่า!? ก็แค่จูบเองน่ะ!!”
การโต้เถียงของทั้งสองคนนั้นทำผ่านช่องทางสื่อสารส่วนกลาง ทำให้ทั้งซาลและขุนพลที่เหลือต่างก็ได้ยินพร้อมกันหมด ซึ่งทันทีที่ได้ฟังคำพูดของทั้งคู่ เหล่าขุนพลในร่างนักเวทแคระก็หันขวับมามองเซธด้วยตาเบิกโพลง
“ว่าไงนะ!? จะ.. จะ.. จูบงั้นเหรอ!?”
“แถมยังฝืนใจฝ่ายตรงข้ามอีกต่างหาก! นิสัยไม่ดีเลย!”
“ฉะ.. ฉันน่ะ แค่จับมือยังไม่เคยเลยนะ! กรอดดด!”
“แบบนี้มันข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปแล้ว! อภัยให้ไม่ได้!!”
สิ้นเสียงก่นด่าที่ผสมปนเปกันจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใครนั้น เหล่านักเวทแคระทั้งหมดก็พร้อมใจกันกระโจนเข้าใส่เซธโดยไม่ต้องมีการนัดหมาย บางคนก็กระโดดถีบขาคู่ บางคนก็พุ่งเข้ามาชก และบางคนก็โผเข้ามาเกาะหนึบเพื่อระดมทุบตี แต่เพราะทุกคนล้วนแต่อยู่ในร่างจำแลงทำให้ดูเหมือนเซธกำลังโดนฝูงตุ๊กตารุมทึ้งซะมากกว่า
“ว้อย! เลิกบ้ากันซะทีได้มั้ย!? ศัตรูมันอยู่ทางโน้นต่างหาก!”
“นายนั่นแหละศัตรูของผู้หญิง! ศัตรูของมนุษย์ชาติ! อย่าอยู่เป็นภัยสังคมอีกต่อไปเลย!”
ด้วยการปลุกระดมของอาซาเรล ทำให้เหล่าขุนพลคนอื่น ๆ ยังมะรุมมะตุ้มอยู่รอบตัวเซธโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ภาพของศัตรูที่หันมาต่อสู้(?) กันเองนี้สร้างความสับสนและงุนงงให้กับโทร่าและเหล่าผู้ดูแลนิทรรศการเป็นอย่างมากจนได้แต่ยืนอึ้งไป
ทางด้านซาลที่เห็นความชุลมุนของเหล่าสมุนก็ได้แต่เกาหัวแกรก ๆ พลางยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจ ความจริงเขาก็อยากดูความบันเทิงนี้ต่อไปอีกสักนิด แต่เพราะมันอาจกระทบต่อแผนการที่เขาวางไว้ จึงจำเป็นต้องรีบตัดบทซะแต่เนิ่น ๆ
“พอได้แล้ว!”
เขาเอ่ยคำพูดพลางโบกมือไปบนอากาศ ทันใดนั้นก็มีวงเวทสีแดงจาง ๆ แปดวง ปรากฏขึ้นมาใต้เท้าของหญิงสาวผมดำและเหล่านักเวทแคระทั้งหก ก่อนที่ร่างของทุกคนจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงหายเข้าวงเวทไป
เมื่อยกเลิกการอัญเชิญสมุนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ซาลก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะมองไปยังโทร่าด้วยแววตาอันคมกริบและรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นการเสแสร้ง ผิดกับรอยยิ้มสบาย ๆ ตามปกติของเขา
“ผมเองก็เริ่มจะเบื่อกับเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน ช่วยไปเรียกคนที่มีอำนาจการตัดสินใจมาหน่อยได้มั้ยครับ?”
ซาลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ ทำให้ผู้ที่อยู่รอบบริเวณนั้นเกิดความหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว เพราะแม้จะถูกรายล้อมไปด้วยนักผจญภัยระดับสูงหลายสิบคน แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ยังยกเลิกการอัญเชิญสมุนเจ็ดตัวที่น่าจะมีพลังระดับ S ทิ้งไป แปลว่าเขาจะต้องมั่นใจในฝีมือของตนเองมาก ว่าต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาเหล่าสมุนก็สามารถรับมือกับคนทั้งหมดนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้ทุกคนยิ่งปักใจเชื่อมากขึ้นอีกว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
แม้การเผยร่างจริงของเซธจะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในแผนดั้งเดิมของเขา แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ซาลก็ถือโอกาสนี้นำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยการเล่นสงครามจิตวิทยากับฝ่ายตรงข้าม ให้ทุกคนหลงคิดว่าเขาเป็นผู้ที่มีพลังระดับ SS และไม่ใช่คู่มือที่คนในที่นี้จะต่อกรด้วยได้
ถึงจะเป็นแค่ความเคลือบแคลง แต่มันก็มากพอที่จะปรามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรบุ่มบ่ามหรือลงมือก่อนได้ นั่นคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ซาลเป็นฝ่ายควบคุมกระแสของสถานการณ์และดำเนินแผนการตามที่เขาตั้งใจเอาไว้ได้สะดวกขึ้น
ความคิดนี้เกือบจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังมีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซาลไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือโทร่า
เธอจ้องมองเขาด้วยสีหน้าอันซับซ้อน สัญชาติญาณของเธอบอกกับเธอว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง และโทร่าก็เป็นคนที่ปล่อยให้สัญชาติญาณเป็นตัวนำการกระทำอยู่แล้ว เธอจึงคิดที่จะเข้าไปทดสอบฝีมือของซาลด้วยตนเอง
ทว่ายังไม่ทันที่โทร่าจะได้ลงมือทำอะไร เบื้องหน้าของเธอก็มีวงเวทสีฟ้าวงหนึ่งปรากฏขึ้น ก่อนที่มันจะปล่อยลำแสงเจิดจ้าออกมา และมีผู้หญิงในชุดคลุมสีดำสนิทเดินออกมาจากลำแสงนั้น
“เธออยากคุยกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจใช่มั้ยจ๊ะ?”
หญิงในชุดคลุมสีดำกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและฟังดูเยาว์วัย เธอค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมที่บดบังศีรษะอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงผมทองวัยกลางคนซึ่งแม้จะดูมีอายุราว ๆ 40 ปี แต่ก็ยังดูสวยสะพรั่งและทรงเสน่ห์ในแบบของสาวใหญ่
ทั้งโทร่าและเหล่าผู้ดูแลที่อยู่โดยรอบต่างก็ค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพแก่หญิงผมทองที่ปรากฏตัวออกมา แม้จะเพิ่งเคยเห็นใบหน้าของเธอเป็นครั้งแรก แต่ซาลก็จำปอยผมสีทองซึ่งม้วนเป็นเกลียวบริเวณส่วนปลายแบบนี้ได้
ผู้หญิงคนนี้คือหนึ่งในผู้อาวุโสของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่นั่งบัลลังก์ไต่สวนตอนที่เขาถูกพาเข้ามาในงานนั่นเอง
——————————————————————————–
Part 3
หญิงผมทองเดินเข้าไปหาซาลก่อนจะเพ่งพิจารณาเขาในระยะใกล้อยู่เป็นเวลานานด้วยท่าทางสนอกสนใจราวกับกำลังดูสิ่งมีชีวิตหายากหรือสัตว์แปลกประหลาดที่ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป แม้ซาลจะพยายามคงสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้แต่การกระทำของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย ในที่สุดเขาจึงต้องเป็นฝ่ายตัดบท
“พอใจรึยังครับ?”
“อ้อ! แหม ขอโทษทีนะ ฉันนี่เผลอตัวเรื่อยเลย พอดีในห้องนั้นมันมืดฉันก็เลยเห็นหน้าเธอไม่ค่อยถนัด พอได้ดูชัด ๆ แบบนี้แล้วถึงเพิ่งสังเกตว่าเธอเองก็หน้าตาน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย หน้าหวานขนาดนี้ คงจะแต่งหญิงขึ้นไม่เลวเลยนะ สนใจจะลองบ้างมั้ย?”
คำพูดของหญิงผมทองทำให้ซาลนิ่วหน้าลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระแอมออกมาเบา ๆ
“อะแฮ่ม… ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ”
“อ้อ! ฉันนี่เสียมารยาทจริง ๆ เลย ฉันชื่อ เนเน็ต เอ็นนีด (Nenet Ennead) เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มที่ดูแลการจัดนิทรรศการครั้งนี้ และความจริงก็คอยจับตาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดนั่นแหละ เธอบอกว่าอยากจะคุยกับผู้มีอำนาจตัดสินใจสินะ? แปลว่าจะสารภาพผิดและกล่าวคำขอโทษงั้นสิ?”
เนเน็ตเอ่ยถามด้วยแววตาที่ดูขี้เล่นเล็กน้อย เพราะเธอเองก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เจตนาที่ซาลต้องการจะพบกับผู้มีอำนาจตัดสินใจ แต่ก็ยังจงใจหยอดคำถามแบบทีเล่นทีจริงเพื่อให้เขาปฏิเสธ ทำให้ซาลรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่น่าจะรับมือได้ยาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขากลับรู้สึกถูกโรคกับคนที่ดูเจ้าเล่ห์แบบนี้มากกว่าคนที่ดูเงียบขรึมซะอีก ท่าทีของหญิงสาวจึงไม่ทำให้ซาลเกิดความหนักใจสักเท่าไหร่นัก
“ผมต้องการจะพบผู้มีอำนาจเพื่อจะรับฟังคำขอโทษต่างหาก คุณเนเน็ตน่ะรู้ความผิดของฝ่ายจัดงานรึเปล่าครับ?”
คำพูดของซาลทำให้โทร่าและเหล่าสมาชิกของฝ่ายดูแลนิทรรศการต่างก็ขมวดคิ้วและแสดงอาการไม่พอใจออกมา เพราะสิ่งที่ซาลพูดนั้นจะเรียกว่าเป็นการกลับขาวเป็นดำกลับผิดเป็นถูกเลยก็ว่าได้ มีเพียงเนเน็ตที่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“เห~ เราเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษงั้นเหรอ? แต่คนที่ก่อเรื่องในตลอดช่วงเที่ยงนี้คือเธอกับพวกสมุนของเธอนี่นา?”
“สมุนของผมก็แค่ป้องกันตัวไปตามสถานการณ์เท่านั้นเอง ถ้าอีกฝ่ายไม่ลงมือก่อนละก็ พวกเขาก็ไม่ตอบโต้หรอกครับ”
“อืม~ แต่มีสมุนของเธอบางตัวที่เข้าไปในเขตหวงห้ามนี่นา แบบนั้นทางเราก็มีสิทธิ์จะดำเนินการตามสมควรไม่ใช่เหรอ?”
เนเน็ตถามกลับด้วยสีหน้าที่เหมือนกับเป็นการถามหยั่งเชิงเช่นเคย นี่เป็นคำถามที่เธอรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องปฏิเสธอยู่แล้ว แต่เธอก็สนใจว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยคำตอบแบบไหนมากกว่า
“หืม? ผมนึกว่าการสอดแนมฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องปกติที่อนุญาตให้ทำกันได้ซะอีก เพราะตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในงาน คนของฝ่ายจัดงานก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของผมโดยตลอดเลยนี่นา นอกจากจะให้คุณโทร่าคอยประกบแล้ว ก็ยังมีหูตาอีกมากมายคอยสอดส่องจากที่ห่างไกล แม้แต่สมุนอัญเชิญของผมก็ยังมีคนตามสะกดรอยด้วย นี่ผมเข้าใจผิดไปงั้นรึเนี่ย?”
คำตอบแบบประชดประชันที่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ของซาลทำให้เนเน็ตแอบอมยิ้มพลางกลอกตาไปทางอื่นครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันมาตอบกลับด้วยท่าทางขี้เล่นเช่นเคย
“เธอเองก็เข้างานมาแบบไม่ค่อยจะถูกครรลองเท่าไหร่นี่นา ถึงจะถูกจับตาดูเป็นพิเศษมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติหรอกนะ”
“หลักฐานที่ใช้ยืนยันตัวตนผมก็แสดงไปแล้ว แม้แต่อุปกรณ์จับเท็จที่อาจแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นร้ายมากกว่าดี ผมก็ยอมให้ความร่วมมือและผ่านการทดสอบมาได้ ถ้าขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจก็ควรจะบอกกันตรง ๆ ไม่ใช่พูดต่อหน้าว่าผ่านแต่ยังแอบควบคุมกันเหมือนนักโทษ การทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้ครับ”
ซาลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวและแววตาที่ดูจริงจัง ทำให้เนเน็ตต้องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแม้รอยยิ้มของเธอจะยังไม่จางไปจากใบหน้า ก่อนหน้านี้เธอก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่านี่อาจเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มไม่พอใจและนำไปสู่การจงใจก่อกวน เมื่อคำตอบของอีกฝ่ายสอดคล้องกับสิ่งที่เธอคิดไว้ในทีแรก ประกอบกับเธอเชื่อว่าซาลเป็นลูกชาย(?) ของแซนโดรอยู่แล้ว เนเน็ตจึงไม่รู้สึกติดใจอะไรนัก
“เฮ้อ~ จะว่าไงดีล่ะ อย่างที่บอกแหละว่าผู้นำกลุ่มที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้นมาน่ะมีอยู่หลายคน ถึงสมาชิกส่วนใหญ่จะไม่ติดใจกับที่มาของเธอ แต่ก็มีคนที่ยังรู้สึกเคลือบแคลงอยู่น่ะนะ”
“เรื่องนั้นนับเป็นข้ออ้างสำหรับส่วนรวมได้ด้วยเหรอครับ?”
“แหม~ เธอนี่ไม่ยอมลดราวาศอกเลยนะ เอาเถอะ เรื่องคราวนี้ฉันยอมรับว่าทางเราก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน แต่การที่เธอส่งสมุนเข้าไปในเขตหวงห้ามก็ถือเป็นการล้ำเส้นจนเกินไป ถึงเราจะไม่ลงโทษเธอเป็นการพิเศษ แต่ก็คงต้องทำการกักบริเวณเธอเอาไว้ที่ชั้นใดชั้นหนึ่งก่อนเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย อย่างน้อยก็จนกว่าแซนโดรจะมาล่ะนะ แต่เพื่อเป็นการชดเชยฉันจะให้เธอเป็นคนเลือกชั้นที่ต้องการจะถูกกักบริเวณด้วยตัวเองก็แล้วกัน เธออยากจะอยู่รอแซนโดรที่ชั้นไหน บอกมาได้เลย”
ข้อเสนอของเนเน็ตนับว่าค่อนข้างใจดีและอยู่เหนือความคาดหมายที่ซาลประเมินเอาไว้ ทำให้อะไร ๆ ผิดไปจากแผนที่เขาตั้งใจไว้ ในทีแรกเขาคิดว่าคงจะต้องถูกกักบริเวณอยู่ในกองอำนวยการการจัดงานที่ชั้นเก้าหรือชั้นสิบ แต่เมื่ออีกฝ่ายให้เลือกจุดกักบริเวณตามใจชอบแบบนี้ การจะไปเลือกพื้นที่หวงห้ามแบบนั้นก็ดูจะผิดปกติวิสัยไปสักหน่อย เขาจึงจำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่น่าจะมีความสำคัญในระดับรองลงมาแทน
“ทีแรกคิดว่าถ้าเข้าไปในเขตหวงห้ามด้วยตัวเองได้ก็จะหาโอกาสสร้างสถานการณ์โชว์ฝีมือหรือผูกมิตรและหาข่าวจากคนวงในซะหน่อย แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ละก็…”
หลังจากหลับตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซาลก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยคำตอบไปยังเนเน็ต
“ถ้างั้นผมขอไปที่ชั้นแปดของนิทรรศการก็แล้วกันครับ”