Doombringer the 5th - ตอนที่ 138
Ch.138 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (9)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 134
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (9)
Part 1
ที่ห้องควบคุมของพีระมิด ไลคัสกำลังเฝ้าดูการ ‘เชิญตัว’ แร็กน่าออกจากชั้นหกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แม้แววตาของเขาจะยังมีร่องรอยของความไม่พอใจหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เนเน็ตได้แอบไปติดต่อกับผู้นำกลุ่มคนอื่น ๆ เพื่อบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยเจตนาที่จะชี้นำความเห็นของทุกคนที่มีต่อเรื่องนี้นั่นเอง
ผู้นำกลุ่มแต่ละคนต่างก็รู้นิสัยของไลคัสดีว่าเป็นคนขี้ระแวงเกินเหตุ ประกอบกับทุกคนต่างก็เป็นประจักษ์พยานการทดสอบความบริสุทธิ์ใจของแร็กน่าด้วย ‘ลูกแก้วแห่งเจตจำนง’ มาแล้ว เมื่อได้รับฟังคำบอกเล่าของเนเน็ตที่นำเสนอไปในแนวเรียกร้องความเห็นใจให้กับแร็กน่า ความเห็นของทุกคนจึงเป็นไปในลักษณะเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการเรียกประชุมทางไกลผ่านแหวนสื่อสารเพื่อขอความเห็นจากเหล่าผู้นำกลุ่มให้ช่วยชี้ขาดสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ประชุมจึงมีมติให้ไลคัสยอมผ่อนปรนในเรื่องนี้ซะ แน่นอนว่าตัวไลคัสเองก็ไม่พอใจนัก แต่เพราะไม่สามารถต้านทานเสียงข้างมากได้ สุดท้ายเขาจึงต้องยอมแบบมีเงื่อนไข คือให้ทำการกักบริเวณแร็กน่าไว้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งแทน
การอนุญาตให้แร็กน่าเป็นผู้เลือกสถานที่ที่จะถูกกักบริเวณเองนั้นเป็นฝีมือการต่อรองขั้นสุดท้ายของเนเน็ต ซึ่งแม้จะไม่พอใจนัก แต่ไลคัสก็ยอมรับปากเพื่อให้จบเรื่องไป
นั่นเพราะเขายังมีแผนการอีกอย่างที่สั่งการลงไปในทางลับเช่นกัน
ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องควบคุม เขาแบกถุงผ้าขนาดใหญ่คล้ายกับถุงใส่ของเอาไว้บนบ่า ทันทีที่เดินมาถึงหน้าบัลลังก์ที่นั่งของไลคัส เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยกถุงและเทของข้างในลงบนพื้น ทำให้มีนักเวทแคระในชุดคลุมสีเขียวแก่กลิ้งกลุก ๆ ออกมา
แม้จะถูกเทลงกับพื้นอย่างไม่ค่อยจะนุ่มนวลนัก แต่นักเวทแคระในชุดคลุมสีเขียวแก่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น มันเพียงส่งเสียง ‘อืม~’ เบา ๆ คล้ายกับคนงัวเงียก่อนจะดึงถุงผ้าจากมือของเจ้าหน้าที่มาใช้ห่มตัวเพื่อนอนต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งไลคัสและเจ้าหน้าที่ซึ่งนำนักเวทแคระตัวนี้มาต่างก็ต้องขมวดคิ้วลงด้วยความข้องใจ
“นี่มัน… หลับมาตลอดทางเลยเรอะ?”
“เอ่อ… ใช่ครับ ตอนที่พวกผมไปจับตัวมา มันก็กำลังนอนอยู่ ทีแรกผมกับทีมก็ค่อนข้างระวังตัว เพราะคิดว่าอาจเป็นกลลวงอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะเข้าไปใกล้แค่ไหน หรือจนกระทั่งจับตัวมันใส่ถุงมาแล้ว นักเวทแคระตัวนี้ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะตื่นเลย มันแค่พลิกตัวไปมาอยู่ในถุงเป็นระยะ ๆ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยครับ…”
ไลคัสหรี่ตาลงและเพ่งพิจารณานักเวทแคระตรงหน้าอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นมาและเริ่มรวบรวมพลังเวท
“จะอะไรก็ช่าง ที่ฉันต้องการรู้มากที่สุดก็คือในร่างนักเวทแคระนี่มีตัวตนที่มีพลังระดับ S ซ่อนอยู่จริงรึเปล่าต่างหาก มาดูกันดีกว่าว่าเจ้าหนุ่มนั่นมันมีพลังเหนือกว่าที่เราคาด หรือแค่แสดงปาหี่ตบตากันแน่”
เมื่อพูดจบ ไลคัสก็ปลดปล่อยเวทมนตร์ที่อยู่ในมือ ทำให้เกิดเปลวเพลิงสีเทาพุ่งเข้าใส่ร่างของนักเวทแคระที่นอนอยู่บนพื้น และเผาไหม้ร่างน้อย ๆ นั้นจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไป
ในเวลาไม่นาน ห้วงมิติเหนือบริเวณที่นักเวทแคระตัวนั้นเคยนอนอยู่ก็เริ่มบิดเบี้ยว ก่อนจะเกิดแสงสีเขียวสว่างเจิดจ้า และมีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา
หญิงสาวคนนั้นมีผมสั้นสีเขียวเข้มราวกับใบไม้สดเช่นเดียวกับอาภรณ์ที่เธอสวมใส่ มันเป็นชุดที่ดูเหมือนกับการนำใบไม้จำนวนมากมาถักทอกันโดยมีเถาวัลย์เส้นเล็ก ๆ แต่งแต้มเป็นลวดลายให้ สิ่งที่ห่อหุ้มเท้าของเธออยู่ก็เป็นรากไม้สีน้ำตาลที่ซึ่งถักสานกันอย่างวิจิตรบรรจง และบริเวณขมับทั้งสองข้างของเธอก็มีกิ่งไม้เล็ก ๆ ซ้อนตัวเป็นเครื่องประดับอันดูแปลกตาด้วย
เธอโผล่ออกมาจากห้วงมิติในลักษณะของการนอนคว่ำหน้า แม้เธอจะอยู่สูงจากพื้นไม่มากนักแต่ร่างของเธอก็หล่นลงมากระแทกพื้นดังแอ๊ก แถมหน้าผากของเธอยังโขกเข้ากับพื้นห้องด้วย ทำให้เจ้าตัวต้องร้องออกมา
“โอ๊ย! อะ.. อูย… อะไรกันเนี่ย… นี่เรานอนดิ้นจนตกเตียงอีกแล้วงั้นเหรอ? อะ.. เอ๋?”
หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบคลึงหน้าผากเพื่อบรรเทาความเจ็บพลางสอดส่ายสายตามองรอบ ๆ ไปด้วย แล้วเธอก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเพราะพบว่าตนเองตื่นมาในพื้นที่ที่ไม่คุ้นตาเลย มันเป็นห้องอันมืดทึบที่มีเพียงแสงสลัว ๆ จากหน้าจอเวทมนตร์ตามผนังให้ความสว่างอยู่ และรอบตัวเธอยังมีกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำนับสิบคนรายล้อมอยู่ด้วย
“เห? เดี๋ยวนี้เรานอนดิ้นขนาดนี้แล้วรึเนี่ย? ที่นี่มันที่ไหนกันหว่า? เอ…”
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีสับสน จนกระทั่งเธอมาสบตากับชายแก่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้านหลังของเธอเข้า แววตาอันไม่เป็นมิตรของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็เอ่ยคำทักทายอีกฝ่ายไปด้วยรอยยิ้มที่ดูแข็งเกร็ง
“เอ่อ… สะ.. สวัสดีฮะ”
เมื่อได้ยินคำทักทายด้วยถ้อยคำแปร่ง ๆ ของหญิงสาว ไลคัสก็หรี่ตาลงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป
“เอลฟ์? ไม่สิ ‘ไดรแอด’ งั้นเหรอ? ว่าแต่แกเป็นตัวผู้หรือตัวเมียกันแน่?”
‘ไดรแอด’ (Dryad) หรือนางไม้ จัดเป็นมอนสเตอร์ธาตุไม้ระดับสูงชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปจะมีรูปลักษณ์คล้ายกับหญิงสาวที่มีใบไม้และพืชพรรณเป็นอาภรณ์ แม้จะมีสติปัญญาสูง แต่ไดรแอดในหลายพื้นที่ของโลกก็ยังคงดำเนินชีวิตในแบบมอนสเตอร์ที่รักสงบ มีเพียงไดรแอดในเขตซิลวานเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากเผ่าเอลฟ์มาเป็นเวลานับร้อยปีจนสามารถยกระดับขึ้นมาเป็นอารยะชนได้
แม้จะมีปลายหูเรียวแหลมคล้ายกับเอลฟ์ แต่ใบหูของไดรแอดจะไม่ยาวเท่า อีกทั้งอาภรณ์ของไดรแอดจะทำจากวัสดุธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์ และอาภรณ์บางชิ้นยังมีลักษณะพิเศษคือเหมือนกับเป็นของที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้สามารถแยกแยะไดรแอดออกจากเอลฟ์ได้
หญิงสาวที่ถูกไลคัสเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอันไร้มารยาทก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็ยิ้มออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเคอะเขินและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันร่าเริง
“อ่า ลืมไปเลย ความจริงแล้วผมเป็นผู้ชายน่ะฮะ ร่างที่เห็นอยู่นี้เป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นแหละ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกนะฮะ… อ๊ะ จริงสิ ลืมแนะนำตัวเลย ผมชื่อยูนิตี้ ยินดีที่ได้รู้จักฮะ”
โดยปกติยูนิตี้ก็จะใช้คำลงท้ายที่ชัดเจนกว่านี้ แต่เวลาอยู่ในร่างผู้หญิง หากลงท้ายว่า ‘ครับ’ ก็จะฟังดูขัดกับรูปลักษณ์และน้ำเสียงจนเกินไป ครั้นจะให้ลงท้ายว่า ‘ค่ะ’ เจ้าตัวก็รู้สึกกระดากปากอยู่ดีเพราะอย่างไรตัวเขาเองก็เป็นผู้ชาย จึงเลี่ยงไปใช้คำว่า ‘ฮะ’ แทน
วิธีพูดแบบกึ่งชายกึ่งหญิงที่กล่าวออกมาด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มและน้ำเสียงใส ๆ อันไพเราะของยูนิตี้นั้นทำให้ผู้ฟังที่อยู่โดยรอบยิ่งรู้สึกขัดแย้งมากขึ้นไปอีก แต่ไลคัสก็สลัดความหงุดหงิดที่อยู่ในใจทิ้งไปและกลับเข้าเรื่อง
“ที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระพวกนั้นหรอก แต่เป็นเจตนาที่แท้จริงของพวกแกต่างหาก ถึงจะไม่รู้ว่าแกเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่เชื่อเถอะว่าฉันทำให้แกทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นได้ก็แล้วกัน ดังนั้นถ้าฉลาดละก็…”
“โอ้ ได้สิ! คุณลุงอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลย!”
ยูนิตี้ยกมือขึ้นและตอบกลับไปอย่างฉะฉานด้วยรอยยิ้มกว้างโดยที่ไลคัสยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ พฤติกรรรมอันผิดความคาดหมายนี้ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมต่างกันมามองหน้ากันด้วยความงงงวย ส่วนไลคัสก็ขมวดคิ้วจนรอยย่นบนใบหน้าของเขายิ่งดูเด่นชัดขึ้นไปอีก เพราะคาดเดาไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
——————————————————————————–
Part 2
การให้ความร่วมมือแต่โดยดีของยูนิตี้ทำให้ไลคัสยิ่งรู้สึกระแวงสงสัยมากขึ้นอีก เขาเริ่มเกิดธงในใจว่าคำพูดของหญิงสาว(?) ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรเชื่อถือ แต่ไลคัสก็ยังเชื่อว่าการสนทนากับอีกฝ่ายจะทำให้เขาได้เบาะแสเกี่ยวกับสิ่งที่อยากรู้บ้างไม่มากก็น้อย จึงเริ่มการสอบปากคำในทันที
“อันดับแรก พวกแกเป็นใคร? มีความสัมพันธ์ยังไงกับเจ้าหนุ่มที่ชื่อแร็กน่านั่น”
“พวกเรา? คงหมายถึงคนอื่น ๆ ด้วยสินะฮะ พวกเราคือ ‘แปดขุนพลวินาศ’ (Doom General) แห่งกองทัพแร็กน่า เป็นสมุนคนสนิทของท่านแร็กน่าฮะ”
“แปดขุนพลวินาศงั้นเหรอ? ใช้คำใหญ่โตจังเลยนะ อุปโลกน์ตำแหน่งลอย ๆ ขึ้นมาให้สมุนของตัวเองแบบนี้ แปลว่าเจ้าหนุ่มแร็กน่านั่นก็เป็นคนที่หลงตัวเองไม่เบาทีเดียว คงใฝ่ฝันอยากมีอำนาจจนตัวสั่นแต่ไม่มีปัญญาจะทำให้มันเป็นจริงได้ล่ะสิ ถึงต้องเสกลูกสมุนมาตั้งกองทัพลอย ๆ เหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้เพื่อสนองความใคร่ของตัวเองน่ะ?”
ไลคัสแสร้งพูดยั่วยุเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย เขาคิดว่าหากจี้ถูกจุดก็อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามหลุดคำพูดที่ไม่ตั้งใจออกมาได้ มันเป็นเรื่องพื้นฐานของการเค้นข้อมูล ทว่ายูนิตี้ที่ได้ยินคำพูดเย้ยหยันนั้นกลับเพียงแค่ยิ้มแหย ๆ ก่อนจะตอบกลับมา ราวกับเขารู้สึกกระอักกระอ่วนกับคำที่ไลคัสเลือกใช้มากกว่าเนื้อความของสิ่งที่พูดออกมาซะอีก
“แหะ ๆ ๆ คุณลุงก็พูดเกินไป ถึงท่านแร็กน่าจะเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ถึงกับหลงตัวเองหรอกนา และกองทัพของเราก็เป็นกองทัพจริง ๆ นะ! อยู่ที่นี่คงไม่ค่อยสะดวกที่จะนำออกมาแสดงเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่โอกาสเอื้ออำนวย คุณลุงก็จะได้เห็นเองแหละฮะ”
ยูนิตี้ตอบกลับไปด้วยใบหน้าอันสดใสไร้ซึ่งความรู้สึกขุ่นมัวเจือปน ทำให้ไลคัสยิ่งอ่านไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเท็จกันแน่ แต่การสนทนานี้เพิ่งจะเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
“พูดจาฉะฉานดีนี่ แม้แต่ ‘เรเวอแนนท์’ ระดับสูงก็ยังไม่มีความคิดความอ่านหรือปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วขนาดนี้เลย ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะภายในพีระมิดนี้มีขอบเขตป้องกันการอัญเชิญตัวตนจากภายนอกเข้ามาละก็ ฉันคงนึกว่าแกเป็นคนที่เจ้าแร็กน่าใช้เวทอัญเชิญเรียกตัวมาซะอีก สรุปแล้วแกเป็นตัวอะไรกันแน่?”
“พวกเราเป็นสมุนที่ท่านแร็กน่าสร้างขึ้นมา ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงคล้าย ๆ กับการสร้าง ‘โฮมูนครูส’ ล่ะมั้งฮะ แต่นี่เป็นวิทยาการลับที่ท่านแร็กน่าพัฒนาขึ้นมาเองฮะ”
แม้มันอาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไปหน่อย แต่ยูนิตี้ก็รู้ว่าไลคัสไม่มีทางเชื่อทุกอย่างที่เขาพูดในทันทีอยู่แล้ว บวกกับตัวยูนิตี้ได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามีเรื่องอะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดบ้าง และเรื่องนี้ก็จัดเป็นเรื่องที่ต่อให้อีกฝ่ายเชื่อตามนั้นจริง ๆ ก็ยังไม่นับว่าเป็นผลเสีย เขาจึงตอบออกไปตามตรง
ไลคัสหรี่ตาลงและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แม้เขาจะไม่เชื่อคำพูดของยูนิตี้ซะทั้งหมด แต่เขาก็มองออกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ทว่าเป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นจากเวทมนตร์ เมื่อรวมกับเขตป้องกันของพีระมิดที่ทำให้ไม่สามารถอัญเชิญตัวตนจากภายนอกเข้ามาได้ ก็แปลว่าหญิงสาวคนนี้ต้องเป็นสมุนอัญเชิญที่อยู่ในช่องมิติของแร็กน่าตั้งแต่แรกจริง ๆ เรื่องนี้ทำให้ทฤษฎีและข้อสันนิษฐานหลายอย่างเริ่มมีมูลขึ้น
ในระหว่างที่ความเงียบงันดำเนินไป ยูนิตี้ก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าเพราะเขานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นว่าการสนทนานี้น่าจะใช้เวลาอีกพักใหญ่ ยูนิตี้จึงตัดสินใจว่าควรทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้ด้วย เขาจึงทาบมือขวาลงไปบนพื้นศิลาของห้องควบคุมและเริ่มถ่ายเทพลังเวท
การกระทำของยูนิตี้ทำให้ไลคัสเหลือบตากลับมามองเขาอีกครั้ง ส่วนเหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งรายล้อมอยู่ก็เปลี่ยนท่ายืนเป็นท่าเตรียมพร้อมและเริ่มรวบรวมพลังเวทเพื่อให้สามารถสกัดการกระทำอันไม่พึงประสงค์ได้ทุกเวลา
ทันใดนั้นก็มีพลังเวทสีเขียวแผ่ออกจากมือของยูนิตี้ที่สัมผัสกับพื้นอยู่และค่อย ๆ ไหลอาบไปตามพื้นราวกับของเหลว แสงของมันทั้งดูนุ่มนวลและอ่อนโยนจนทำให้รู้สึกสงบ เหล่าเจ้าหน้าที่โดยรอบจึงได้แต่เผลอมองการกระทำของยูนิตี้โดยไม่ได้ลงมือขัดขวาง เพราะพวกเขาไม่รู้สึกถึงการคุกคามจากกระแสเวทมนตร์ที่แผ่ออกมาเลย
ไม่นานนักก็มีต้นอ่อนของใบหญ้าค่อย ๆ แตกยอดออกมาจากพื้นศิลาที่ถูกพลังเวทสีเขียวนั้นปกคลุม มันเติบโตอย่างรวดเร็วและแผ่บริเวณออกไปรองรับร่างสะโอดสะองของยูนิตี้เอาไว้อย่างพอดิบพอดี ราวกับเป็นฟูกนอนที่สร้างขึ้นจากใบหญ้า
บริเวณใกล้ ๆ กับข้อมือของยูนิตี้ยังมีเห็ดสีน้ำตาลอีกต้นหนึ่งผุดแทรกขึ้นมาจากพื้นหญ้า มันเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเห็ดดอกใหญ่ที่มีความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบครึ่งเมตร ซึ่งทันทีที่มันโตได้ขนาด ยูนิตี้ก็เอามือตบลงบนดอกเห็ดเบา ๆ จนเกิดเสียงดัง ปุ ปุ เหมือนกับจะปัดฝุ่นออกไป ก่อนจะเหยียดขาและเอนตัวลงนอนตะแคงโดยใช้เห็ดดอกนั้นแทนหมอนอิง
การสร้างเตียงหญ้าและหมอนอิงเห็ดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งพับเพียบเป็นการนอนเอกเขนกนี้อยู่เหนือความคาดคิดของไลคัสและเจ้าหน้าที่ทุกคนจนไม่มีใครปรับอารมณ์ได้ทัน เพราะผู้ต้องสงสัยที่กำลังถูกสอบปากคำในห้องมืดโดยมีเจ้าหน้าที่นับสิบคนรุมล้อมกลับใช้เวทมนตร์สร้างของอำนวยความสะดวกขึ้นมาแล้วทำตัวตามสบายราวกับอยู่ในบ้านของตัวเองซะอย่างนั้น
ที่น่าแปลกคือการกระทำทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบนั้นช่างดูเป็นธรรมชาติและไร้พิษภัยจนเหล่าเจ้าหน้าที่ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรลงมือสกัดการกระทำขอองอีกฝ่ายดีหรือไม่ รู้ตัวอีกทีฝ่ายตรงข้ามก็สร้างเตียงหญ้าเสร็จไปแล้ว เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้สึกข้องใจตัวเองจนอธิบายไม่ถูก
——————————————————————————–
Part 3
ผู้ที่ไม่ได้หลงไปกับบรรยากาศแปลก ๆ นั้นมีเพียงไลคัสซึ่งเตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยเปลวเพลิงสีเทาของเขาออกมาได้ทุกเมื่อ แต่จากการอ่านด้วยสายตา พลังเวทที่หญิงสาวใช้ออกมาก็ไร้ซึ่งจิตคุกคามหรือรังสีฆ่าฟันใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ท่วงของเธอก็ยังดูเนิบนาบเชื่องช้าและเต็มไปด้วยช่องโหว่ ทำให้สุดท้ายแล้วไลคัสก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรเช่นกัน
แต่การที่อีกฝ่ายเปลี่ยนอิริยาบทมาเป็นการทำตัวตามสบายขนาดนี้ก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกขัดลูกตาไม่ได้
“ท่าทางจะสบายอารมณ์เหลือเกินนะ? คิดว่าจะรอดจากที่นี่ออกไปได้รึไง?”
“เห? ไม่ใช่ว่าถ้ายอมให้ความร่วมมือและตอบทุกคำถาม คุณลุงก็จะยอมปล่อยผมไปหรอกเหรอฮะ? จะว่าไปผมก็ไม่ได้ฟังให้จบเองซะด้วย…”
“ฉันแค่จะบอกว่าถ้ายอมร่วมมือดี ๆ ก็จะให้ตายอย่างไม่ต้องทรมานต่างหากล่ะ”
“เอ๋!? แค่นั้นเองเหรอ!? เอ.. แต่เอาเถอะ ตายแบบสบาย ๆ มันก็ยังดีกว่าตายแบบทรมานน่ะนะ เอ้า คุณลุงมีอะไรจะถามอีกมั้ยฮะ?”
แม้จะถูกข่มขู่ด้วยชีวิต แต่ยูนิตี้ก็ยังยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ที่ดูเหมือนไม่กังวลกับอะไรเลย ทำให้ไลคัสรู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกมาทางสีหน้า และดำเนินการสอบปากคำต่อไป
“พวกแกได้รับคำสั่งอะไรมา? ทำไมถึงต้องแอบปลอมตัวลอบเข้ามาในงานด้วย?”
“เรื่องปลอมตัวนั่นเป็นแค่การปกปิดฝีมือเท่านั้นเองฮะ ไม่ใช่เพื่อปกปิดฝีมือของเรา แต่เพื่อปกปิดฝีมือของท่านแร็กน่า ของแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับนักผจญภัยไม่ใช่เหรอฮะ? เพราะการหงายไพ่ทั้งหมดออกมาแต่แรกมันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ส่วนคำสั่งที่พวกเราได้รับมาจากท่านแร็กน่าก็ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ให้เดินเที่ยวงานกันตามสบายและรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจไปด้วยในระหว่างเดินเที่ยว ก็เท่านั้นเองฮะ”
“เฮอะ! แค่เที่ยวงานงั้นเรอะ? รู้รึเปล่าว่าพวกพ้องของแกไปก่อเรื่องเอาไว้มากแค่ไหน? ทั้งทำร้ายเจ้าหน้าที่ แถมยังลอบเข้าไปในเขตหวงห้ามเพื่อสอดแนมด้วยนะ”
“เอ๋? มีคนทำแบบนั้นด้วยเหรอฮะ? อืม~ แต่จะว่าไปมันก็เป็นไปได้แฮะ… เพราะในกลุ่มขุนพลก็มีคนที่ค่อนข้างเกเรอยู่ด้วย ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีใครที่กล้าลงมือก่อนนะฮะ (คิดว่า) คงจะโดนยั่วยุหรือทำไปเพื่อป้องกันตัวมากกว่า และถ้าพูดถึงการยั่วยุแล้ว ก็มีหลายคนที่ไม่ยอมเพิกเฉยเวลาที่ถูกยั่วยุอยู่เหมือนกัน…”
ยูนิตี้เว้นวรรคไปเหมือนกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง เขาไม่แน่ใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ก็พยายามอธิบายเท่าที่จะทำได้
ไลคัสที่เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่านักเวทแคระมาโดยตลอดก็สังเกตเห็นถึงจุดนี้เช่นกัน เขารู้มานานแล้วว่านักเวทแคระแต่ละตัวมีอุปนิสัยและการกระทำที่แตกต่างกันออกไป คำอธิบายที่ดูกำกวมของยูนิตี้จึงไม่นับเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยนัก
“แล้วเจ้านายของแก… เจ้าหนุ่มที่ชื่อแร็กน่านั่นน่ะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? มันเข้ามาร่วมงานนี้เพราะอะไร? ลองบอกมาซิ”
ไลคัสไม่ได้คาดหวังที่จะได้รับฟังความจริงจากอีกฝ่าย แต่เขาก็อยากจะถามเพื่อดูว่าฝ่ายตรงข้ามจะเลือกคำตอบแบบไหนหรือใช้อะไรเป็นข้ออ้างสนับสนุนให้กับคำตอบนั้น เพราะมันจะช่วยให้เขาสามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ได้มากขึ้นด้วย เขารอคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่ายูนิตี้กลับอมยิ้มและตอบกลับมาด้วยท่าทางเคอะเขิน
“อ่า~ จะว่าไงดี ผมคิดว่าโดยหลัก ๆ แล้วท่านแร็กน่าก็แค่อยากหาอะไรสนุก ๆ ทำเท่านั้นเองฮะ คงเพราะช่วงนี้เจอเรื่องเครียดติดต่อกันล่ะมั้ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท่านจะคิดมาเที่ยวเล่นแค่เพียงอย่างเดียวนะฮะ! ท่านแร็กน่าน่ะต้องการจะมาหาพันธมิตรเพื่อช่วยในการต่อกรกับพีสคีปเปอร์ในวันข้างหน้าด้วย และงานนิทรรศการนี่ก็เป็นโอกาสดีในการพบปะผู้คนไงล่ะฮะ”
เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น ไลคัสก็หลับตาลงและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและรวบรวมพลังเวทในมืออีกครั้ง
“ขอบใจสำหรับความร่วมมือนะ ทีนี้ฉันก็จะให้แกได้ตายอย่างไม่ทรมาน ตามสัญญาล่ะ”
ไลคัสกล่าวออกมาด้วยแววตาอันเย็นชา ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อคำพูดของยูนิตี้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เพราะเขาอยากดูปฏิกิริยาสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะแสดงออกมาในยามที่ถูกบีบคั้นจนสุดทาง เพื่อใช้มันประกอบการตัดสินใจว่าข้อมูลที่ฟังมานั้นมีความน่าเชื่อถือมากหรือน้อยแค่ไหนกันแน่
แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะแทนที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีตื่นตระหนกหรือโกรธแค้น หญิงสาวกลับปรายตาไปทางอื่นและแสดงสีหน้าอันเศร้าสร้อยออกมาแทน
“คุณลุงน่ะไม่มีความคิดที่จะเชื่อใจใครเลยงั้นเหรอ… ก่อนหน้านี้คงเคยถูกหักหลังหรือต้องสูญเสียคนสำคัญเพราะความเชื่อใจไปสินะ… แต่การปฏิเสธทุกอย่างและไม่คิดที่จะเชื่อใจใครอีกโดยสิ้นเชิงแบบนั้นน่ะ มีแต่จะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยซะเปล่า ๆ เพราะหากเราไม่มอบความเชื่อใจให้กับผู้อื่นก่อนแม้เพียงนิด ก็จะไม่มีใครมอบความเชื่อใจให้กับเราเช่นกัน”
คำพูดของยูนิตี้ทำให้ไลคัสหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มันเป็นถ้อยคำที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนยากจะบรรยายขึ้นภายในจิตใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ใช้ความโกรธข่มความรู้สึกทั้งหมดนั้นเอาไว้
“แก… อยากตายมากสินะ?”
“ยังไงคุณลุงก็คงไม่ยอมเชื่อว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายงั้นสิ? นั่นสินะ ไม่ว่ายังไงคำอธิบายก็เป็นเพียงแค่ลมปาก การกระทำต่างหากที่จะชี้วัดเจตนาอันแท้จริงได้… งั้นถ้าผมแสดงหลักฐานให้ดูได้ว่าพวกเราไม่ได้คิดร้ายล่ะฮะ? คุณลุงจะยอมทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งรึเปล่า?”
ไลคัสหรี่ตาลงเพราะคำพูดที่คาดไม่ถึงของอีกฝ่าย แม้เขาจะคิดว่ามันคงเป็นแค่ลูกเล่นเพื่อยืดเวลาตายออกไปอีกนิด แต่เขาก็อยากจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีไม้เด็ดอะไรมานำเสนอเช่นกัน
“โฮ่ หลักฐานงั้นเหรอ? ไหนลองว่ามาซิ”
“ฮะ ถ้าเดาไม่ผิดละก็ ที่นี่คือห้องควบคุมซึ่งใช้สั่งการและดูแลความปลอดภัยภายในพีระมิดใช่มั้ยฮะ? ถ้าผมหรือท่านแร็กน่ามีเจตนาไม่ดีและคิดจะก่อเรื่องขึ้นที่นี่จริง ๆ ละก็ การทำให้ห้องนี้หมดสภาพในการใช้งานต้องเป็นความสำคัญลำดับแรก ๆ เลย เพราะหากยึดห้องนี้ได้ หรือทำให้มันไม่สามารถใช้งานได้แค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้เราดำเนินการกับพีระมิดได้เกือบทุกอย่างแล้ว”
“ถึงจะยึดห้องนี้ได้ก็ใช่ว่าจะทำให้ระบบป้องกันของพีระมิดสิ้นสภาพลงหรอกนะ แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงก็คงทำให้วุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็แล้วไงล่ะ?”
“เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ผมจะปล่อยให้ห้องนี้อยู่ต่อไป โดยไม่ทำอะไรกับระบบหรือผู้คนในห้องนี้เลยแม้แต่น้อยฮะ แบบนี้ถือว่าเป็นหลักฐานที่เพียงพอมั้ยฮะ”
คำกล่าวของยูนิตี้ทำให้ทั้งไลคัสและเหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่โดยรอบต่างก็เขม่นตาด้วยความโกรธ เพราะคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นสื่อว่าการจะจัดการกับทุกคนในห้องนี้เป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจก็จะยอม ‘ละเว้น’ ทุกคนเอาไว้
สำหรับไลคัสและเหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งต่างก็เป็นนักผจญภัยชาญศึก ไม่มีคำพูดใดที่จะดูถูกเหยียดหยามกันมากไปกว่าคำพูดนี้อีกแล้ว
“สุดท้ายก็แค่พ่นเรื่องไร้สาระออกมางั้นรึ? แต่ไม่ต้องห่วง ฉันเป็นคนรักษาสัญญาอยู่แล้ว ยังไงก็จะให้แกได้ตายแบบไม่ทรมานนั่นแหละนะ”
เมื่อพูดจบ ไลคัสก็เร่งพลังเวทในมือขึ้นเพื่อเตรียมจะปลดปล่อยเปลวเพลิงออกไปเผาไหม้อีกฝ่ายให้เป็นเถ้าถ่าน แต่ทันใดนั้นเองการโคจรพลังเวทของเขาก็เริ่มติดขัด พร้อมกับสายตาที่มีอาการพร่ามัวอย่างกะทันหัน
“นะ.. นี่มัน!?”
ไลคัสรู้สึกตัวได้ในทันทีว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดอะไรได้ เหล่าเจ้าหน้าที่ในชุดคลุมสีดำนับสิบคนที่ยืนล้อมวงอยู่โดยรอบก็ค่อย ๆ ล้มตัวลงกับพื้นทีละคนสองคน แม้แต่เหล่าผู้ดูแลซึ่งนั่งประจำอยู่ตามหน้าจอเวทมนตร์ก็นั่งคอพับคล้ายกับสิ้นสติไปด้วย
ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ล้มลงบนพื้นจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว มีเพียงไลคัสที่ยังคงประคองสติและยืนอยู่ได้
ทุกคนในห้องถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว มันอาจเป็นเวทมนตร์หรือยาสลบที่ทำให้ทุกคนหมดสติ ไลคัสเร่งทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ที่จะทำเรื่องนี้ได้มีเพียงแค่หญิงสาวซึ่งกำลังถูกเขาสอบปากคำอยู่เท่านั้น แต่ไลคัสก็นึกไม่ออกว่าเธอแอบลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบตาลงไปเห็นดอกเห็ดสีน้ำตาลที่หญิงสาวใช้วางแขนเอนกายแทนหมอนอิงอยู่ และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“เห็ดนั่น… มันปล่อยสปอร์ที่มีฤทธิ์เป็นยาสลบออกมางั้นเหรอ!? ตอนที่ตบดอกเห็ดเบา ๆ ไม่ใช่เพื่อปัดฝุ่น แต่เพื่อให้สปอร์ตกลงมาและกระจายตัวออกไปเร็วขึ้น! แก!! ไอ้หมาลอบกัด!!”
ไลคัสเหวี่ยงฝ่ามือเพื่อปลดปล่อยเปลวเพลิงสีเทาเข้าใส่ยูนิตี้ที่นอนเอนกายอยู่บนพื้น ทว่าการโจมตีอันเชื่องช้านั้นก็โดนเพียงแค่เตียงหญ้าและดอกเห็ดที่เหลืออยู่ เพราะยูนิตี้ที่ตั้งท่ารอมาโดยตลอดสามารถดีดตัวหลบออกจากจุดนั้นได้อย่างง่ายดาย
เปลวเพลิงสีเทาที่ซัดลงบนเตียงหญ้าทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แม้แต่ดอกเห็ดก็แตกตัวออกและสลายกลายเป็นควันไปอย่างรวดเร็ว ทว่าควันที่มีความเข้มข้นและกระจายตัวรวดเร็วจนผิดปกตินี้ก็ทำให้ดวงตาของไลคัสเบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียท่าซ้ำสอง
เนื่องจากดอกเห็ดที่ถูกทำลายได้สลายตัวและปลดปล่อยสปอร์ออกมาในปริมาณที่เข้มข้นกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้สติของไลคัสที่ยืนอยู่ในระยะประชิดเริ่มที่จะหลุดลอยไป
“แหม~ ตัวเองก็ไปแอบจับตัวคนอื่นมาตอนที่เค้านอนหลับแท้ ๆ ยังกล้าใช้คำพูดแบบนี้อีกนะฮะ แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปนั่นแหละ นี่คือหลักฐานในการแสดงความบริสุทธิ์ใจของผม เพราะฉะนั้นก็หลับให้สบายนะฮะ”
ยูนิตี้ที่โผล่มาด้านหลังของไลคัสกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้ไลคัสยิ่งรู้สึกโกรธจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนขมับ ทว่าร่างกายของเขาที่ทั้งสัมผัสและสูดสปอร์ของเห็ดเข้าไปเต็ม ๆ ก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาจึงได้แต่ส่งเสียงคำรามในลำคอ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้นไป