Doombringer the 5th - ตอนที่ 139
Ch.139 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (10)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 135
นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (10)
Part 1
“…คุณไลคัส… คุณไลคัส… ได้ยินรึเปล่าคะ?…”
ท่ามกลางห้วงสติอันเลือนราง ไลคัสได้ยินเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมา ในทีแรกมันเป็นเพียงเสียงอันแผ่วเบาที่แทบจะจับเนื้อหาใจความไม่ได้ ราวกับมันเป็นเสียงแว่วจากที่อันห่างไกล แต่เมื่อเวลาผ่านไป เสียงนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็ได้สติ
ไลคัสลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาของเขามองเห็นทุกอย่างเป็นเพียงภาพมัว และในสมองของเขาก็ยังคงมีเพียงความว่างเปล่า เขาใช้เวลาตั้งสติและรวบรวมสมาธิอยู่พักหนึ่งในขณะมองไปยังพื้นที่รอบ ๆ หลังจากผ่านไปเกือบสิบวินาทีสายตาของเขาก็เริ่มเข้าที่ ทำให้ไลคัสพบว่าตนเองกำลังนั่งทรุดตัวอยู่บนสนามหญ้าแห่งหนึ่ง
เขารู้สึกงุนงงเพราะไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ในที่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่และมาได้อย่างไร ไลคัสจึงพยายามเพ่งสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ภาพที่เขาเห็นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อยจนในที่สุดไลคัสก็พบว่าความจริงแล้วเขายังคงอยู่ในห้องควบคุมของพีระมิด ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหน
เพียงแค่ในตอนนี้ห้องทั้งห้องกำลังถูกปกคลุมด้วยพืชไม้นานาพรรณจนดูราวกับเป็นสวนพฤกษชาติ โดยบริเวณพื้นห้องได้ถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าขนาดเล็กสีเขียวชอุ่ม ผนังของห้องก็ถูกเถาวัลย์และไม้เลื้อยซึ่งแตกใบสีเขียวอ่อนปกคลุมไปจนถึงเพดาน คงเหลือช่องว่างเอาไว้แค่ส่วนที่เป็นหน้าจอเวทมนตร์, แผงควบคุม, และหลอดไฟเท่านั้น
สภาพของห้องที่เป็นอยู่นี้ได้ไปกระตุ้นความทรงจำบางอย่างจนทำให้ไลคัสนึกถึงตัวการที่เป็นคนทำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ และมันก็ทำให้เขาจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างชัดเจนด้วย
“นี่มัน!? หนอย! เจ้านั่น! มันไปไหนแล้ว!? แล้วนี่ ระบบของเราถูกแทรกแซงและดึงข้อมูลออกไปรึเปล่า!? อะ.. อึก…”
ไลคัสเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนังและพบว่าเวลาได้ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แค่คิดว่าในระหว่างนี้สามารถเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้บ้างก็ทำให้เขากระวนกระวายจนสงบอารมณ์ไม่อยู่ ทว่าหลังจากคำรามอย่างเกรี้ยวกราดไปได้เพียงไม่กี่คำ เขาก็รู้สึกหน้ามืดราวกับความดันเลือดลดลงอย่างกะทันหันจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้ไลคัสเกือบจะทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ยังดีที่ข้าง ๆ เขามีหญิงสาวผมสีฟ้าอ่อนซึ่งสวมแว่นตากรอบหนาเข้ามาช่วยพยุงไว้ได้ทัน เธอมีปลอกแขนซึ่งมีแถบสีขาวคาดอยู่ที่ต้นแขน เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยแพทย์ประจำงานนั่นเอง
“ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะคุณไลคัส ทางทีมเทคนิคของเราทำการตรวจสอบแล้ว ยังไม่มีการแทรกแซงหรือขโมยข้อมูลออกไปจากระบบค่ะ คุณไลคัสสงบอารมณ์ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งโคจรพลังเวทหรือจิตต่อสู้ตอนนี้ด้วย ไม่งั้นอาจหมดสติไปอีกค่ะ”
หญิงสาวกล่าวพูดในขณะที่ช่วยพยุงไลคัสกลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเขา ซึ่งเมื่อได้นั่งสงบสติสักพักหนึ่งแล้วอาการหน้ามืดวิงเวียนที่เขาเผชิญก็ค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ไลคัสจึงหันกลับไปถามเจ้าหน้าที่สาวอีกครั้ง
“อืม… ยังไม่มีการแทรกแซงระบบงั้นเหรอ… ขอบใจนะ คัลเดรีย ไม่นึกว่าจะมาเสียท่าแบบนี้… แต่ที่สำคัญคือพิษนี่… ทั้งที่เป็นพิษแบบแพร่กระจายในอากาศ แต่ทำไมระบบป้องกันสารพิษของห้องถึงไม่ทำงานล่ะ? เดี๋ยวซิ คนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง? ถ้าขนาดฉันยังโดนทำให้หมดสติด้วยพิษนี่ได้ แปลว่ามันต้องเป็นพิษที่รุนแรงมากแน่ ๆ “
ภายในส่วนต่าง ๆ ของพีระมิดจะมีระบบกรองอากาศซึ่งสามารถตรวจจับสารพิษได้อยู่ เพื่อใช้ป้องกันในกรณีที่มีการพยายามก่อเหตุร้ายด้วยผงพิษหรือแก๊ส หากมีการตรวจพบสารที่เป็นอันตรายปะปนอยู่ในอากาศ ระบบก็จะส่งเสียงแจ้งเตือนและทำการปิดกั้นพื้นที่พร้อมกับถ่ายเทอากาศภายในพื้นที่นั้น ๆ ใหม่ในทันที การที่คนในห้องควบคุมทั้งหมดถูกพิษโดยไร้ซึ่งการแจ้งเตือนจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลก
ที่สำคัญคือตัวไลคัสเองก็มีภูมิต้านทานพิษในระดับหนึ่งเพราะความสามารถที่ได้มาจากการฝึกฝน พิษทั่ว ๆ ไปจึงไม่ควรจะทำอันตรายเขาได้ หรือต่อให้เป็นพิษระดับสูง มันก็ควรจะถูกลดทอนประสิทธิภาพลงบ้าง หากแม้แต่เขายังถูกทำให้สลบด้วยพิษชนิดนี้ เหล่าเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ซึ่งมีความต้านทานพิษต่ำกว่าเขาก็อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ทำให้ไลคัสเริ่มเป็นกังวลมากขึ้น
“นั่นเพราะมันคือ ‘สลีปปิ้งบิวตี้’ (Sleeping Beauty) เป็นยาสลบที่ถูกสกัดมาจากดอกไม้ที่มีชื่อเดียวกันน่ะค่ะ เกสรของดอกไม้ชนิดนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษซึ่งส่งผลต่อระบบเลือดและระบบประสาท ทำให้ความดันในร่างกายลดต่ำลงและสูญเสียการรับรู้จนหมดสติไป แต่พิษชนิดนี้จะไม่ทำงานจนกว่าโลหิตในกาย, พลังเวท, หรือจิตต่อสู้ของผู้ที่ถูกพิษมีการไหลเวียนอย่างรวดเร็วเกินระดับปกติ ระบบตรวจสอบทั่ว ๆ ไปจึงไม่สามารถตรวจจับมันได้ เพราะความจริงแล้วมันไม่เชิงว่าจะเป็นสารพิษ แต่เป็นสมุนไพรที่ส่งผลต่อระบบร่างกายมากกว่า แล้วก็เพราะแบบนี้ คุณสมบัติในการต้านทานพิษจึงไม่มีผลด้วยค่ะ มันจัดเป็นหนึ่งในสามสิบหกพันธุ์ไม้มายาที่พบเห็นได้ไม่กี่แห่งบนโลกเท่านั้นเลยนะคะ”
“มีพิษแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ? พิษที่จะไม่ทำงานจนกว่าจะเกิดเงื่อนไข แถมยังไร้สีไร้กลิ่นด้วย ของอันตรายแบบนี้…”
“นั่นคือจุดที่น่าแปลกค่ะ ความจริงแล้ว ‘สลีปปิ้งบิวตี้’ น่ะเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาก ยาสลบที่สกัดจากเกสรของมันจึงมีกลิ่นหอมไปด้วย แต่ที่นี่กลับไม่มีกลิ่นแบบนั้นอยู่เลย เจ้าหน้าที่ชุดแรกที่เข้ามาดูห้องนี้ก็โดนพิษเข้าไปโดยไม่รู้ตัวจนสลบไสลกันไปอีกหลายคน ฉันกับทีมน่ะเป็นเจ้าหน้าที่ชุดที่สองแล้วค่ะ”
“กลิ่นหอมงั้นเหรอ? มันไม่มีกลิ่นอะไรเลย… ไม่สิ ของที่เจ้านั่นเอาออกมามันเป็นเห็ดต่างหาก ไม่ใช่ดอกไม้ด้วยซ้ำ”
“เอ๋? เห็ดเหรอคะ? อืม… รึว่าจะเป็นคนที่มีความสามารถในการปรับปรุงพันธุ์พืช แต่การจะนำคุณสมบัติเฉพาะของพืชมายาอย่าง ‘สลีปปิ้งบิวตี้’ มาใส่ลงในพืชชนิดอื่นแบบนี้… ไม่สิ เห็ดน่ะมันไม่ใช่พืชด้วยซ้ำนะคะ! ดอกไม้กับเห็ดน่ะอยู่คนละคิงด้อมกันเลยค่ะ!”
คัลเดรียกล่าวโพล่งออกมาด้วยดวงตากลมโต นั่นก็เพราะเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงยาและชื่นชอบการปรุงยาเป็นชีวิตจิตใจ นับแต่จำความได้เธอก็หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพืชและสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ในการปรุงยาอยู่เสมอ เมื่อได้ยินว่ามีคนที่สามารถสร้างพืชสมุนไพรชนิดใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จักขึ้นมาได้ เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
ไลคัสไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทางของคัลเดรียสักเท่าไหร่นัก เขาเพียงแค่พยายามสงบจิตใจลงพลางกวาดสายตามองดูห้องควบคุมที่กลายสภาพเป็นสวนพฤกษชาติ และคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดไปด้วย
“ยาสลบที่จะไม่ทำงานหากไม่คิดต่อสู้… หากการพูดคุยจบลงอย่างสันติก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าจะมีการใช้กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ ทุกอย่างก็ต้องจบลงโดยสันติอยู่ดี…”
ไลคัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังเหม่อลอยอยู่ในห้วงความคิด แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคอ พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา ทำให้คัลเดรียอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“หึหึหึ… หลักฐานของการไม่คิดร้ายงั้นเหรอ…”
เพราะยูนิตี้เพียงทำให้ทุกคนสลบไปโดยไม่ได้ทำอันตรายต่อใครและไม่ได้แตะต้องข้อมูลในระบบเลยสักนิด มันจึงเป็นการแสดงหลักฐานถึงการไม่มีเจตนาร้ายตามที่เจ้าตัวได้เคยลั่นวาจาเอาไว้ แม้จะรู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง แต่ไลคัสก็ต้องยอมรับว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จริง ๆ แต่แทนที่จะรู้สึกโกรธ เขากลับรู้สึกสงบใจลงได้มากกว่า
เพราะอย่างน้อยคู่กรณีในคราวนี้ก็ไม่ใช่ศัตรู
ความจริงแล้วการถูกยึดห้องควบคุมนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก จริงอยู่ว่าที่ชั้นสิบยังมีห้องควบคุมสูงสุดที่เหล่าผู้นำระดับสูงสามารถใช้ควบคุมสั่งการระบบของพีระมิดได้อยู่ แต่ก็ต้องมีการแจ้งบอกเพื่อโอนสิทธิ์การควบคุมไปยังชั้นสิบด้วย หมายความว่าในกรณีที่ถูกโจมตีอย่างเงียบเชียบและโดนยึดห้องควบคุมไปโดยไม่มีใครรู้ตัวแบบนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็ยังมีเวลาในการเจาะระบบ หรือทำการปิดระบบป้องกันของพีระมิดลงก่อนห้องควบคุมบนชั้นสิบจะเข้ามารับช่วงต่อได้
หากแร็กน่าเป็นคนที่คิดร้ายต่อกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดจริง แค่อาศัยช่วงที่ทุกคนสลบทำการปิดระบบป้องกันของพีระมิดเพื่อให้พรรคพวกที่อยู่ภายนอกใช้วงเวทเคลื่อนย้ายบุกเข้ามา ก็จะสามารถสร้างความโกลาหลได้อย่างรุนแรงแล้ว
การที่ทุกอย่างยังเป็นปกติคือสิ่งที่ยืนยันว่าแร็กน่าและสมุนของเขาไม่ได้คิดร้ายต่อกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืด ทำให้ไลคัสยอมคลายความกังวลลงในที่สุด
ในเวลาไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินสองคนเดินเข้ามาในห้องควบคุม ทั้งสองรีบตรงมายังด้านหน้าของเก้าอี้บัญชาการที่ไลคัสนั่งอยู่ พวกเขาค้อมหัวเพื่อแสดงความเคารพอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเอ่ยคำพูดขึ้นในทันที
“คุณไลคัสครับ คนที่มาบุกห้องควบคุมน่ะเป็นสมุนของเจ้าแร็กน่าสินะครับ? เราเตรียมทีมสำหรับเข้าจับกุมมันเอาไว้แล้ว ขอแค่สั่งมาคำเดียว พวกเราก็พร้อมจะลงมือทันทีครับ!”
“ใช่ครับ เรายังได้คนมีฝีมือจากกลุ่มอื่น ๆ มาช่วยด้วย ต่อให้สมุนของมันทั้งแปดตัวฝีมือระดับ S จริง ๆ เราก็ยังรับมือได้ครับ!”
ชายหนุ่มทั้งสองกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่มีโทสะเจือปนอยู่เล็กน้อย เพราะสำหรับเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังระดับสูงอย่างพวกเขาแล้วการที่ห้องควบคุมถูกบุกรุกถือเป็นการเหยียดหยามกันอย่างมาก แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรอีก ไลคัสก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม ก่อนจะตอบกลับไปด้วยคำพูดที่ไม่ได้อยู่ในความคาดคิดของชายหนุ่มทั้งสองเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไปถอนกำลังคนออกมาซะ ไม่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แค่ให้คนคอยดูตามปกติก็พอแล้ว”
“เอ๋!? ว่าไงนะครับ!? ตะ.. แต่ว่า…”
ไลคัสไม่ได้ย้ำคำพูดตัวเอง เขาเพียงแค่เหลือบไปมองชายหนุ่มด้วยแววตาอันแข็งกร้าว ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าซักไซ้อะไรต่ออีก ทั้งสองจึงรีบขอตัวออกจากห้องเพื่อไปจัดการตามคำสั่งในทันที
หลังจากชายหนุ่มทั้งสองออกจากห้องไปแล้ว คัลเดรียก็กล่าวอำลากับไลคัสเช่นกัน
“ถ้ายาสลบนี่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ ‘สลีปปิ้งบิวตี้’ มันก็น่าจะหมดฤทธิ์ภายในไม่เกินสามสิบนาทีนี้ล่ะค่ะ ในระหว่างนี้อย่าเพิ่งโคจรพลังหรือใช้อารมณ์ก็พอ แต่ถ้าเกิดอาการแทรกซ้อนอะไรอีกก็เรียกหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
“อืม เธอไปเถอะ ขอบใจมาก”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากไลคัส คัลเดรียจึงค้อมหัวลงเป็นการทำความเคารพก่อนที่จะปลีกตัวออกมา
แต่ในระหว่างที่เดินออกจากห้อง เธอก็อดครุ่นคิดถึงการสนทนาของไลคัสกับชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้
“คนที่สร้างเห็ดพันธุ์ใหม่นี้ขึ้นมาคือสมุนของคนที่ชื่อแร็กน่างั้นเหรอ…”
คัลเดรียอยากพบกับคนที่สร้างเห็ดชนิดใหม่นี้ขึ้นมา และอยากรู้ว่าเขายังมีพืชชนิดอื่น ๆ ที่ปรับแต่งพันธุ์ขึ้นเองมากกว่านี้อีกรึเปล่าด้วย เธอจึงเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ในระหว่างที่เดินออกจากห้องไป
——————————————————————————–
Part 2
อีกด้านหนึ่งที่ชั้นแปดของงาน ซาลกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกซึ่งมีขนาดราว ๆ 4 x 4 เมตร โดยมีโทร่าที่ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
นี่เป็นหนึ่งในห้องรับรองสำหรับผู้เข้าร่วมงานประมูล เพราะชั้นแปดนี้คือส่วนของ ‘งานประมูลแห่งความมืด’ ซึ่งลานประมูลนั้นถูกจัดแบ่งออกเป็นหลายระดับ และยังแบ่งการประมูลออกเป็นวันละสองรอบ โทร่าบอกกับเขาว่าห้องนี้เป็นห้องที่ใช้นั่งรอรอบการประมูล ทั้งยังเป็นห้องที่ใช้เข้าร่วมการประมูลในเวลาเดียวกันด้วย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่ แต่ซาลก็ไม่ได้ซักถามอะไรและรอฟังคำอธิบายจากฝ่ายตรงข้ามแทน
เขาเลือกชั้นนี้เป็นสถานที่กักบริเวณเพราะตามข้อมูลที่เซธกับอาซาเรลสำรวจมาได้ก่อนจะไปก่อเรื่องนั้นระบุว่า บนชั้นแปดซึ่งเป็นลานประมูลนี้มีผู้ใช้ศาสตร์มืดระดับสูงมารวมตัวกันมากกว่าชั้นอื่น ๆ ที่แปลกคือสัดส่วนของผู้ใช้ศาสตร์มืดสายบู๊ที่ไม่น่าจะสนใจงานวรรณกรรมกลับมีเยอะกว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดประเภทหนอนหนังสือซึ่งควรจะเป็นผู้เข้าร่วมหลักของงานนิทรรศการ เมื่อบวกกับท่าทีของโทร่าที่เคยตะล่อมให้เขามาที่ชั้นแปดตั้งแต่แรกก็ยิ่งทำให้ซาลคิดว่าเงื่อนไขของการประมูลคงเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
และตอนนี้เขาก็กำลังรับฟังรายละเอียดของงานประมูลจากโทร่าผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นไกด์ของเขาต่อไป (อย่างไม่ค่อยที่จะเต็มใจนัก)
“อันดับแรก ลานประมูลของชั้นแปดจะถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับด้วยกัน คือ A B C D และ S การจัดลำดับก็เหมือนกับที่ใช้แบ่งดันเจี้ยนนั่นแหละคือ D จะเป็นระดับต่ำสุด และ S จะเป็นระดับสูงสุด ของที่ถูกนำมาเปิดประมูลในลานประมูลแต่ละแห่งก็จะเป็นของที่มีมูลค่าในระดับนั้นด้วย ทำให้ทั้งราคาเปิดประมูลและผู้เข้าร่วมการประมูลมักจะมีระดับตามนั้นเช่นกัน โฮก~”
“อืม แบ่งลานประมูลตามเกรดของสินค้าผมก็พอจะเข้าใจนะครับ แต่แบ่งระดับของผู้เข้าร่วมประมูลด้วยเหรอครับ? แปลว่าถ้าจะเข้าร่วมประมูลสินค้าระดับ S ก็ต้องเป็นนักผจญภัยระดับ S ? แล้วถ้าเงินทุนของผู้เข้าร่วมประมูลไม่สัมพันธ์กับระดับของตัวเองล่ะครับ เช่นนักผจญภัยระดับล่าง ๆ อาจมีคนที่ทุนหนาพอที่จะซื้อของแพง ๆ อยู่บ้างก็ได้ หรือนักผจญภัยระดับสูงก็ใช่ว่าจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้กันทุกคน แบบนั้นเจ้าของสินค้าจะไม่เสียโอกาสเหรอครับ?”
“ฟังดี ๆ สิ ฉันบอกว่า ‘มักจะมีระดับตามนั้น’ ไม่ใช่ ‘ต้องมีระดับตามนั้น’ เพราะสิ่งที่แบ่งระดับเอาไว้น่ะมีแค่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว ส่วนผู้เข้าร่วมการประมูลจะอยู่ระดับไหน ไม่มีการกำหนดเอาไว้หรอก โฮก~ แต่ด้วยลักษณะเฉพาะของการประมูลแห่งความมืดแล้ว ทำให้ไม่ค่อยมีการข้ามไปประมูลของที่อยู่สูงหรือต่ำกว่าระดับของตัวเองสักเท่าไหร่หรอก”
“เห? ทำไมเหรอครับ?”
“ถ้าแค่อธิบายปากเปล่าคงต้องใช้เวลานาน ฉันจะให้ดูบันทึกการประมูลรอบเที่ยงของลานประมูลระดับ A ที่เพิ่งจะผ่านไปก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ โทร่าก็เอามือแตะสัมผัสลงบนขอบของโต๊ะทรงกลมสีขาวที่วางคั่นกลางระหว่างโซฟาที่นั่งของเธอกับซาล ทำให้มีหน้าจอเวทมนตร์จอหนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศเหนือโต๊ะตัวนั้น
มันเป็นภาพของลานกว้างซึ่งมีพื้นที่ไกลสุดลูกหูลูกตาราวกับเป็นอีกห้วงมิติหนึ่ง จุดศูนย์กลางของลานกว้างนี้คือวงเวทสีขาวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสามสิบเมตร ไม่นานนักก็มีหน้าจอเวทมนตร์จำนวนมากทยอยกันปรากฏขึ้นบนอากาศและเรียงตัวกันเป็นวงแหวนอยู่เหนือวงเวทเบื้องล่าง
ภายในหน้าจอเวทมนตร์แต่ละหน้าจอมีภาพของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอันหลากหลายปรากฏอยู่ ซาลสังเกตว่าสิ่งที่เหมือนกันก็คือทุกคนในหน้าจอต่างก็กำลังนั่งอยู่ในห้องรับรองแบบเดียวกับที่เขาและโทร่านั่งอยู่นี่เอง ทำให้เขาพอจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘นี่เป็นห้องที่ใช้เข้าร่วมการประมูล’ มากขึ้นด้วย
ซาลนับหน้าจอเวทมนตร์ที่อยู่เหนือลานประมูลได้ 24 หน้าจอด้วยกัน แต่ดูจากขนาดของหน้าจอแล้วเขาคิดว่านี่คงไม่ใช่จำนวนสูงสุดที่มีคนเข้าร่วมประมูลได้ เพราะดูเหมือยังมีที่ว่างให้คนเข้ามาร่วมได้อีกมาก เมื่อหน้าจอเวทมนตร์ทั้งหมดปรากฏขึ้นมาจนครบแล้ว วงเวทบนพื้นก็เริ่มเรืองแสงอ่อน ๆ ก่อนจะฉายภาพของหนังสือปกแข็งสีดำเล่มหนึ่งขึ้นมาบนอากาศ พร้อมกับมีเสียงของพิธีกรผู้ดำเนินการประมูลดังขึ้นด้วย
“สำหรับสินค้าชิ้นแรกของการประมูลรอบนี้คือ ‘มนตราเลือดฉบับมนุษย์’ เรียบเรียงโดย เฮแมท โลจิสต์ นักวิจัยผู้ทำการศึกษาและพัฒนามนตราเลือดร่วมกับเผ่าแวมไพร์มาเป็นเวลาหลายสิบปี จนในที่สุดก็สามารถคิดค้น ‘มนตราเลือด’ แบบที่มนุษย์สามารถใช้งานได้เป็นผลสำเร็จ
อย่างที่ทราบกันดีว่าโดยปกติแล้วคุณสมบัติพื้นฐานในการฝึกวิชาเกี่ยวกับเลือดไม่ว่าจะเป็นมนตราเลือด (Blood Magic) หรือการแปรสภาพเลือด (Blood Craft) ก็คือต้องเป็นเผ่าแวมไพร์ เพราะนี่เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะของเผ่าที่เผ่าแวมไพร์ทำการวิจัยและพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ตำราเล่มนี้จะมี ‘เคล็ดลับ’ ที่ทำให้คนทั่วไปก็สามารถฝึกฝนมนตราเลือดได้โดยไม่ต้องเป็นแวมไพร์ แม้ระดับของมนตราเลือดที่ฝึกฝนและใช้งานได้อาจไม่สูงเท่ากับแวมไพร์จริง ๆ ก็ตาม
ราคาประมูลเริ่มต้นของตำราเล่มนี้อยู่ที่ 100 โกลด์ ขอเชิญผู้เข้าร่วมประมูลทำการยื่นราคาประมูลได้ครับ”
เมื่อสิ้นคำประกาศ ภาพสามมิติของหนังสือปกดำก็เลือนหายไป และวงเวทที่อยู่บนพื้นก็เริ่มเรืองแสงสีฟ้าอ่อนขึ้นมาแทน
“110 โกลด์!”
เสียงประกาศราคาจากผู้เข้าร่วมการประมูลคนหนึ่งดังออกมาจากหน้าจอเวทมนตร์ที่มีภาพของเขาอยู่ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มก้อนพลังงานเวทมนตร์รวมตัวกันเหนือวงเวทและก่อรูปร่างจนกลายเป็นดาบสีเงินที่มีหมายเลข XII (สิบสอง) สลักอยู่บนตัวดาบ เมื่อดาบเล่มนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ มันก็พุ่งลงไปปักลงบนขอบของวงเวทที่อยู่บนพื้น และเริ่มดูดซับแสงจากวงเวทจนเข้ามาในตัว จนดาบเล่มนั้นส่องแสงเรืองรองออกมา พร้อมกับมีตัวเลข 110 ที่เขียนด้วยอักขระเวทมนตร์ปรากฏอยู่เหนือด้ามดาบด้วย
ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีเสียงขานราคาจากผู้ร่วมประมูลคนอื่น ๆ ดังตามมา ทำให้มีดาบเวทมนตร์อีกหลายเล่มปรากฏขึ้นและทยอยกันไปปักลงบนขอบด้านอื่น ๆ ของวงเวท
“120 โกลด์!”
“150 โกลด์!”
“200 โกลด์!”
ดูเหมือนผู้ที่ต้องการตำราเล่มนี้จะมีอยู่เพียงสี่คน เพราะหลังจากดาบเล่มที่สี่ของผู้ขานราคา 200 โกลด์ปักลงบนวงเวทแล้วก็ไม่มีดาบของผู้ประมูลรายใหม่ปรากฏขึ้นอีก ผู้ให้ราคาคนแรกจึงขานราคาเพิ่มอีกครั้ง
“220 โกลด์!”
สิ้นคำประกาศ ดาบหมายเลข XII ของเขาก็เรืองแสงสว่างออกมามากกว่าเดิมพร้อมกับที่ตัวเลข 110 เหนือด้ามดาบได้แปรรูปลักษณ์ไปเป็น 220 แทน
“อืม รูปแบบการลงราคาก็มีเอกลักษณ์ดีนะครับ แต่มันก็ไม่ค่อยต่างกับการประมูลทั่ว ๆ ไปรึเปล่า?”
“รอดูไปก่อนสิ โฮก~ ใกล้จะถึงช่วงสนุกแล้วล่ะ หุหุหุ”
คำกล่าวของโทร่าทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เขาจึงหันกลับไปจับตาดูการประมูลอีกครั้ง
การประมูลยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ทำให้ราคาที่มีคนเสนอพุ่งสูงขึ้นไปจากราคาตั้งต้นอีกหลายเท่าตัว จนในที่สุดก็เหลือเพียงผู้ประมูลหมายเลข XII (สิบสอง) กับหมายเลข VII (เจ็ด) เพียงสองคนเท่านั้นที่ยังแข่งราคากันอยู่
“450 โกลด์!”
“500 โกลด์!”
สิ้นคำประกาศราคา 500 โกลด์ของผู้ประมูลหมายเลข VII ลานประมูลก็ตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วระยะหนึ่ง เพราะไม่มีผู้ประมูลรายอื่นเสนอราคาที่สูงกว่านี้อีก และหลังจากผ่านไปห้าวินาที ดาบเงินของผู้เข้าประมูลคนอื่น ๆ ก็เริ่มยอแสงลง ตรงกันข้ามกับดาบของผู้เข้าประมูลหมายเลข VII ที่เรืองแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณว่าการประมูลกำลังจะได้ผู้ชนะ
แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงให้ราคาจากผู้เข้าประมูลหมายเลข XII ดังขึ้นอีกครั้ง
“450 โกลด์!!”
การประกาศราคาครั้งนี้ทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะมันเป็นการให้ราคาซ้ำเดิมซึ่งต่ำกว่าราคาที่มีคนประกาศล่าสุด ตามปกติแล้วนี่ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่กระทำได้ หรือต่อให้ทำก็ไม่ควรจะมีความหมายอะไรเพราะผู้ที่ชนะการประมูลควรจะเป็นผู้ที่ให้ราคาสูงสุด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปถามอะไรกับโทร่า ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในลานประมูล
เพราะชายคนหนึ่งถูกเทเลพอร์ทเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังของดาบที่มีหมายเลข XII สลักไว้ ซาลจำหน้าของชายคนนั้นได้ทันทีเพราะเคยเห็นหน้าของเขาจากหน้าจอเวทมนตร์ที่ฉายอยู่ในลานประมูลมาแล้ว เขาก็คือผู้เข้าร่วมประมูลหมายเลข XII นั่นเอง
——————————————————————————–
Part 3
อีกฟากหนึ่งของลานประมูล ที่ด้านหลังของดาบที่มีเลข VII สลักอยู่ ก็มีร่างของชายอีกคนหนึ่งถูกเทเลพอร์ทเข้าไปในลานประมูลเช่นกัน แน่นอนว่าเขาก็คือผู้เข้าร่วมการประมูลหมายเลข VII ซึ่งให้ราคาสูงสุดคือ 500 โกลด์ไปก่อนหน้านี้
ทั้งสองคนต่างก็จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาอันเป็นปรปักษ์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายแทบจะในเวลาเดียวกัน ทันทีที่เข้าปะทะ ทั้งคู่ก็ทำการต่อสู้กันอย่างดุเดือดในทันที
แม้ทุกอย่างจะดูชัดเจน แต่ซาลกลับไม่เข้าใจเหตุผลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เลยสักนิด เขาจึงหันไปถามโทร่าด้วยสีหน้างุนงง
“เอ๋? นะ.. นี่มัน? พวกเขากำลังทำอะไรกันเหรอครับ? ทำไมถึงต้องต่อสู้กันล่ะ?”
“นี่คือกฎพิเศษของการประมูลแห่งความมืดไงล่ะ ถ้าทำการขานราคาเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สองจะเป็นการ ‘ย้ำราคา’ แปลว่าจะไม่ยอมให้ราคาที่สูงไปกว่านี้แล้ว แต่สินค้าน่ะจะขายให้กับผู้ที่จ่ายเงินมากสุดเท่านั้น ดังนั้นหากยืนยันที่จะซื้อสินค้าในราคานี้ก็ต้องไป ‘กำจัด’ คู่แข่งที่ให้ราคาสูงกว่าตนเองซะก่อน ด้วยการลงไปในลานประมูลเพื่อดึงดาบของคนที่ให้ราคาสูงกว่าออกให้หมด แบบนี้ถึงจะเป็นผู้ชนะการประมูลด้วยการให้ราคาต่ำกว่าได้ไงล่ะ โฮก~”
“หา!? มะ.. มีกฎแบบนี้ด้วยเหรอครับ? งั้นมันก็ไม่ต่างไปจากการต่อสู้แย่งชิงของกันเลยน่ะสิ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้มั้ง เดิมทีกฎนี้ก็มีขึ้นเพื่อตอบสนองการเล่นนอกกฎนั่นแหละ โฮก~ เพราะเมื่อก่อนนี้เราทำการประมูลกันแบบธรรมดา ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดก็จะได้ของไป แต่เพราะผู้เข้าร่วมประมูลทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด และผู้ใช้ศาสตร์มืดจำนวนมากก็ไม่ค่อยคำนึงถึงกฎเกณฑ์หรือวิธีการ หลังจบการประมูลจึงมักจะเกิดกรณีที่ผู้ชนะการประมูลถูกดักซุ่มโจมตีเพื่อปล้นชิงเอาสินค้าไป ถ้าโชคดีก็แค่บาดเจ็บ แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจถึงตายได้ ทางฝ่ายผู้ลงมือเองบางทีก็พลาดพลั้งหรือเจอคู่มือที่เหนือกว่าจนโดนฆ่าตายซะเองเช่นกัน
เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อสภาพโดยรวมของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดสักเท่าไหร่นัก เพราะเราต้องมาเสียนักสู้ฝีมือดีไปกับการฆ่าฟันกันเองตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แถมมันยังเป็นการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นภายในกลุ่มด้วย เพราะการบาดเจ็บล้มตายของใครสักคนมักนำไปสู่การตามล่าล้างแค้นของใครอีกคนเสมอ เราจึงตั้งกฎการประมูลแบบนี้ขึ้นเพื่อให้คนที่ต้องการจะใช้กำลังแย่งชิงสิ่งของสามารถท้าสู้อย่างเปิดเผยได้ หากแพ้ชนะกันในการต่อสู้ซึ่ง ๆ หน้าก็จะไม่มีพรรคพวกหรือญาติโกโหติกามาติดใจเอาความในภายหลัง และเรายังสามารถเข้าแทรกแซงเพื่อยุติการต่อสู้ก่อนที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ด้วยนะ”
คำอธิบายของโทร่าทำให้ซาลต้องครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แม้กฎการประมูลแบบเถื่อน ๆ นี้จะเป็นอะไรที่สมกับกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดดี แต่เขาก็ยังข้องใจในอีกหลายประเด็นด้วยกัน
“แบบนี้ถ้าฝ่ายท้าประลองเป็นผู้ชนะ เจ้าของสินค้าก็จะเสียประโยชน์รึเปล่าครับ? เพราะแทนที่จะขายของได้ด้วยราคาประมูลสูงสุด ก็กลับขายได้ในราคารองแทน อย่างการประมูลในบันทึกนี้ ถ้าฝ่ายย้ำราคาชนะ เจ้าของสินค้าก็จะได้เงินแค่ 450 โกลด์ แทนที่จะได้ 500 โกลด์น่ะสิครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะผู้ขายสินค้าจะได้เงินตามราคาสูงสุดที่มีคนเสนอ ก็คือ 500 โกลด์นั่นแหละ โดยส่วนต่างอีก 50 โกลด์ จะถูกหักจากผู้เสนอราคา 500 โกลด์ซึ่งแพ้ในการประลอง กลับกันถ้าฝ่ายที่ย้ำราคาเป็นฝ่ายแพ้ เขาก็ต้องจ่ายเงิน 450 โกลด์ไปฟรี ๆ เป็นค่าธรรมเนียม และคนที่เสนอราคา 500 โกลด์ซึ่งเป็นผู้ชนะก็จ่ายเงินแค่ 50 โกลด์แทนไงล่ะ”
“ถ้าท้าแล้วแพ้ก็ต้องเสียเงินไปฟรี ๆ เลยงั้นเหรอ!? โหดใช้ได้เลยแฮะ… แต่ก็นะ มันเป็นการดึงดันจะซื้อของที่อยู่เหนือกำลังทรัพย์ของตัวเองนี่นา ถึงจะค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าเป็นของที่อยากได้จริง ๆ มันก็ดีกว่าการตัดใจล่ะมั้ง… เอ๊ะ แต่แบบนี้สู้เสนอราคาไว้แค่น้อย ๆ ไว้ไม่ดีกว่าเหรอครับ เพราะไม่ว่าแพ้หรือชนะก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินเยอะไง”
“ถ้าคิดจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่มันไม่ค่อยเวิร์คหรอก ลองดูต่อไปสิ โฮก~”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลจึงหันกลับมาดูการต่อสู้ในลานประมูลอีกครั้ง ซึ่งในเวลาไม่นานการต่อสู้ก็จบลง โดยผู้เข้าประมูลหมายเลข XII ซึ่งเสนอราคา 450 โกลด์ เป็นฝ่ายชนะ ตามร่างกายของเขามีร่องรอยของการบาดเจ็บอยู่ทั่วไปหมด อีกทั้งสีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนมันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากทีเดียว
ชายคนนั้นเดินตรงไปยังดาบเงินซึ่งมีหมายเลข VII สลักอยู่และดึงมันขึ้นจากพื้น ซึ่งทันทีที่ถูกดึงออก ตัวดาบก็ค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงไปในที่สุด ทำให้ตอนนี้ดาบหมายเลข XII ของเขากลายเป็นดาบที่เลขราคามากสุดอีกครั้ง หลังจากนั้นร่างของเขาก็ถูกเทเลพอร์ทออกจากลานประมูลไป
แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเสนอราคาดังมาจากหนึ่งในสองของผู้ร่วมประมูลคนที่เหลือ
“460 โกลด์!”
คำประกาศนั้นทำให้เลขราคาที่ลอยอยู่เหนือดาบหมายเลข XXIII (ยี่สิบสาม) เปลี่ยนแปลงจาก 300 ไปเป็น 460 แทน และกลายเป็นดาบที่มีเลขราคาสูงสุดในขณะนี้
เรื่องนี้ทำให้ชายซึ่งเป็นผู้เข้าประมูลหมายเลข XII ได้แต่มองไปยังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขาได้รับบาดเจ็บมากเกินไปจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขารู้ตัวดีว่าไม่อยู่ในสภาพที่จะทำการประลองกับใครได้อีก จึงได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ
เมื่อไม่มีใครเสนอราคาที่สูงไปกว่านั้นอีก การประมูลจึงจบลง โดยผู้ประมูลหมายเลข XXIII เป็นฝ่ายชนะไป และบันทึกการประมูลก็จบลง
“เห? นึกว่าพอคนที่เสนอราคา 450 ชนะ การประมูลก็จะจบลงแล้วซะอีก แต่ปรากฏว่ายังไม่จบหรอกเหรอครับ?”
“อืม การย้ำราคาและลงไปในลานประมูลเพื่อดึงดาบของคนอื่นออกน่ะเป็นแค่การกำจัดคู่แข่งที่ให้ราคาสูงกว่าในขณะนั้น แต่ไม่ได้ทำให้การประมูลจบลง ผู้ที่เคยเสนอราคาอันดับรอง ๆ ลงไปจะยังสามารถประกาศราคาเพิ่มได้อยู่ แต่หากผู้เสนอราคารายใหม่เป็นฝ่ายชนะ เขาจะต้องจ่ายเงินตามราคาที่ตนเองเสนอไป
เช่นในกรณีนี้ผู้เข้าประมูลหมายเลข XXIII ต้องจ่าย 460 โกลด์ ส่วนผู้เข้าประมูลหมายเลข XII นั้นไม่มีสิทธิ์เสนอราคาเพิ่มเพราะเคยย้ำราคาที่ 450 โกลด์ไปแล้ว ทางเดียวที่จะชนะการประมูลคือลงไปประลองเพื่อดึงดาบราคาของฝ่ายตรงข้ามออกอีกครั้ง แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขาบาดเจ็บเกินกว่าจะสู้ต่อจึงต้องยอมตัดใจไป และเขาจะต้องเป็นคนจ่ายเงินส่วนต่างของราคาสูงสุดที่เคยมีคนเสนอไว้เพื่อเป็นค่าชดเชยให้เจ้าของสินค้าด้วย ก็คือต้องจ่าย 40 โกลด์นั่นเอง”
“อย่างนี้นี่เอง… ถ้าจงใจเสนอราคาต่ำ ๆ ทิ้งไว้แล้วทำการย้ำราคา ถึงจะสู้ชนะได้หนึ่งรอบ ก็ยังมีคนอีกมากมายที่เสนอราคาเพิ่มได้เพราะราคามันต่ำ เท่ากับจะมีคู่ต่อสู้ที่ต้องประลองให้ชนะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าแข่งราคากันไปก่อนจนเหลือคู่แข่งแค่ไม่กี่คน แบบนี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่ต้องทำการประลองกับผู้ร่วมประมูลมากกว่าหนึ่งรายได้”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ โฮก~ การย้ำราคาน่ะคือการประกาศว่าจะไปดึงดาบราคาของผู้ร่วมประมูลทุกคนที่เสนอราคาสูงกว่าออก และผู้ร่วมประมูลที่ถูกดึงดาบออกจากลานประมูลแล้วจะหมดสิทธิ์ในการประมูลในทันที ดังนั้นทุกคนก็จะต้องลงไปในลานประมูลเพื่อปกป้องดาบราคาของตนเองโดยมีศัตรูคนเดียวกัน แปลว่ามันจะไม่ใช่การต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่เป็นหนึ่งต่อหมู่น่ะสิ”
“ออ… กำลังสงสัยอยู่พอดีว่าถ้าย้ำราคาต่ำในขณะที่มีคนให้ราคาสูงมากกว่าหนึ่งคนจะเป็นยังไง ดูไปแล้วการย้ำราคาเนี่ยก็เป็นอะไรที่เสี่ยงสุด ๆ เลยนี่ครับ อย่างตะกี้ก็มีคนที่รอจังหวะแล้วแอบโดดขึ้นมาตัดราคาหลังการต่อสู้จบลงด้วย แปลว่าต่อให้แข่งราคาจนเหมือนจะเหลือคู่แข่งไม่กี่คนแล้วเอาชนะในการประลองได้ ก็ยังอาจโดนพวกซุ่มรอจังหวะโผล่มาชิงประมูลไปได้อยู่ดี”
“นั่นคือจุดที่ทำให้การประมูลแห่งความมืดเป็นกิจกรรมที่สนุกและน่าติดตามจนเราสามารถนำไปถ่ายทอดสดหรือขายบันทึกภาพของการประมูลแล้วนำเงินมาเข้าสมาพันธ์ได้เป็นกอบเป็นกำเลยไงล่ะ โฮก~ เพราะเงื่อนไขของการประมูลที่เป็นแบบนี้ทำให้การประมูลเป็นไปอย่างเข้มข้นและมีมิติ ผู้ประมูลจะต้องวางแผนว่าควรแข่งราคาจนถึงเท่าไหร่ ควรย้ำราคารึไม่ ต้องมองให้ออกว่ามีคนแอบซุ่มรอเพิ่มราคาอยู่อีกรึเปล่า ต้องประเมินว่าตนเองจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามและรับมือกับผู้ร่วมการประมูลคนอื่น ๆ ที่อาจเข้ามาแทรกแซงได้รึไม่ นี่จึงเป็นงานที่ผู้เข้าร่วมต้องใช้ทั้งทักษะทางร่างกาย, กำลังทรัพย์, และสติปัญญาเพื่อบรรลุเป้าหมาย เป็นการแข่งขันที่ตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่ากีฬาหรืองานประลองทั่ว ๆ ไปซะอีกนะ โฮก~”
“อืม อย่างนี้นี่เอง… ต้องใช้ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ และสติปัญญา แต่ยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกำลังกาย เพราะแบบนี้คุณโทร่าถึงบอกว่าไม่ค่อยมีการข้ามระดับของผู้เข้าร่วมการประมูลสินะครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ เพราะงานประมูลของระดับ A ก็มักจะมีแต่ผู้ที่มีฝีมือระดับ 9-10 มาเข้าร่วม คนที่มีฝีมือต่ำกว่านั้นถ้ามาเข้าร่วมก็มีแต่จะกลายเป็นเหยื่อ หรือถ้าเป็นคนที่มีฝีมือแค่ระดับ 10 แต่ดันไปแจมการประมูลระดับ S ซึ่งมีผู้มีฝีมือระดับ S เต็มไปหมด ก็ยากที่จะเอาชนะการประมูลได้เช่นกัน แต่ละคนจึงมักจะเลือกการประมูลที่ตรงกับระดับของตัวเองมากกว่า”
“เอ แบบนี้ถ้าคนที่มีฝีมือระดับสูงจงใจที่จะลงไปเข้าร่วมงานประมูลระดับต่ำ สมดุลของการประมูลจะไม่เสียเหรอครับ? เช่นถ้ามีนักผจญภัยระดับ S ลงไปเข้าร่วมงานประมูลระดับ A หรือ B แทน แบบนี้ก็สามารถโขกราคาตามใจชอบได้น่ะสิครับ เพราะคนอื่น ๆ ไม่ใช่คู่มือของเขาอยู่แล้ว”
“สำหรับเรื่องนั้นเราก็มีมาตรการหลายอย่างเอาไว้รองรับเช่นกัน อย่างแรกคือการกำหนดสิทธิ์การประมูลของผู้เข้าร่วมการประมูลเอาไว้ ให้ต้องทำการประมูลแต่ของระดับนั้นไปจนจบงาน แต่ละคนสามารถขอลดระดับของสิทธิ์ลงได้ แต่ไม่สามารถเพิ่มระดับของสิทธิ์ได้ ยกตัวอย่างเช่นหากยื่นขอสิทธิ์เข้าร่วมการประมูลระดับ A ไปแล้ว ก็ต้องเข้าร่วมการประมูลระดับ A ไปตลอดทั้งงาน ไม่สามารถเข้าร่วมงานประมูลระดับ S ได้ แบบนี้หากมีนักผจญภัยระดับ S จงใจไปเข้าร่วมการประมูลระดับ A เขาก็จะต้องประมูลแต่ของระดับ A ไปจนจบงาน ทำให้เสียโอกาสในการได้ของระดับ S ไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก
อย่างที่สองคือเราจะไม่มีการแจ้งรายการของสิ่งของที่จะถูกนำมาเปิดประมูล ผู้เข้าร่วมการประมูลจะเข้าร่วมโดยไม่รู้เลยว่าจะได้พบกับของอะไรบ้าง เมื่อเป็นแบบนี้การลงมาประมูลของในระดับที่ต่ำกว่าตนเองก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง เพราะอาจเจอแต่ของที่ไม่ถูกใจหรือใช้การไม่ได้ กลายเป็นเสียสิทธิ์การประมูลของระดับสูงไปฟรี ๆ แล้วยังไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลยอีก
อย่างที่สามคือเรามี ‘ผู้ดูแลการประมูล’ อยู่ พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นนักผจญภัยระดับ S ที่ได้รับสิทธิ์ให้ลงมือแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมได้อย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ที่พบว่ามีนักผจญภัยระดับสูงจงใจลงมาร่วมการประมูลที่มีระดับต่ำกว่าตนเองเพื่อเอาเปรียบคนอื่น ผู้ดูแลการประมูลจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงด้วยการย้ำราคาตั้งต้นของสินค้า บีบให้ฝ่ายตรงข้ามต้องลงมาสู้เพื่อปกป้องดาบราคาเอาไว้ หรือไม่ก็ต้องยอมถูกถอนดาบและหมดสิทธิ์ในการประมูลไป หลังจากนั้นคนอื่น ๆ ก็จะได้ทำการประมูลกันต่อตามปกติ”
“เห~ แล้วถ้าคนที่เข้าร่วมการประมูลระดับต่ำนั่นมีฝีมือสูงกว่าผู้ดูแลการประมูลล่ะครับ?”
“โดยปกติแล้วผู้ที่มีฝีมือระดับ S ในช่วงปลาย จะไม่ค่อยสนใจของที่มีระดับต่ำกว่าตัวเองหรอกนะ เพราะมันจะไม่ค่อยมีประโยชน์กับเขาแล้ว จึงมีน้อยครั้งมากที่ผู้ดูแลการประมูลในสนามต้องรับมือกับศัตรูที่เหนือกว่า แต่ในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือสูงมากจริง ๆ เราจะทำการเปลี่ยนตัวผู้ดูแลการประมูลเป็นระดับ SS ซึ่งปกติคนที่รับหน้าที่นี้อยู่ก็คือคุณอากาล่อนน่ะนะ แต่เพราะนายทำให้คุณอากาล่อนล้มป่วย เพราะงั้นผู้ที่ทำหน้าที่แทนก็คงเป็นคุณเนเน็ต หรือไม่ก็ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ สักท่านหนึ่งน่ะ โฮก~”
“ให้ผู้อาวุโสออกโรงเลยเหรอเนี่ย ว้าว~”
“เพราะงานประมูลแห่งความมืดนี่ถือเป็นกิจการสำคัญของสมาพันธ์ เราจึงต้องทำการดูแลอย่างรัดกุมที่สุด ไม่ให้ความนิยมของงานประมูลเสื่อมถอยลงจนผู้คนหมดความสนใจน่ะ โฮก~ เอาล่ะ ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า นายอยากได้สิทธิ์ของการประมูลระดับไหน ฉันจะได้ดำเนินการให้”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ซาลก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดโดยหลบสายตาไปทางอื่น ราวกับกำลังรู้สึกเขินกับคำพูดของตัวเอง
“แหม~ คุณโทร่าก็ไม่น่าถามเลย มันต้องเป็นระดับ S อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โทร่าก็หรี่ตาลงพร้อมกับบุ้ยปากและส่งเสียง ‘ชิ’ ออกมาเบา ๆ ก่อนจะเปิดหน้าจอเวทมนตร์บนโต๊ะขึ้นมาเพื่อดำเนินการ