Doombringer the 5th - ตอนที่ 141
Ch.141 – งานประมูลแห่งความมืด (2)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 137
งานประมูลแห่งความมืด (2)
Part 1
ภาพเสมือนที่ถูกฉายขึ้นมาเหนือวงเวทของลานประมูล ไม่ใช่หนังสือ, สิ่งของ, หรือวัตถุใด ๆ แต่กลับเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
เธอมีผมยาวสีดำขลับ ดวงตากลมโตซึ่งอยู่ด้านหลังแว่นตากรอบหนานั้นแม้จะดูเศร้าสร้อยแต่ก็งดงามจนยากที่จะละสายตาไปได้ บนศีรษะของเธอยังมีใบหูเรียวแหลมซึ่งมีขนปุกปุยคล้ายกับหูสัตว์อยู่ ซาลยังสังเกตว่ามีพวงหางขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปทรงคล้ายกับปลายพู่กันห้อยออกมาจากบริเวณด้านหลังสะโพกของเธอด้วย ดูจากรูปลักษณ์แล้ว เธอคนนี้น่าจะเป็นเผ่าฮาลฟ์บีสสายพันธุ์สุนัขจิ้งจอก
ในระหว่างนั้นผู้ดำเนินการประมูลก็เริ่มกล่าวคำอธิบายเกี่ยวกับ ‘สินค้า’ ชิ้นนี้
“นี่คือ ‘บรรณารักษ์แห่งโคโรน่า’ ใครที่เป็นนักสะสมหนังสือคงจะเคยได้ยินคำเล่าขานเกี่ยวกับเธอมาบ้างแม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงคำร่ำลือหรือไม่ก็ตาม แต่ทางเราได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าเธอคือ ‘ของจริง’ ครับ
สมาพันธ์เทอร่าได้ซื้อหญิงสาวเผ่าฮาลฟ์บีสคนนี้มาจากพ่อค้าทาสเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพราะความสามารถของเธอก็คือการจดจำรายละเอียดของหนังสือที่เคยอ่านได้หมดทุกตัวอักษรโดยไม่มีวันลืม จึงมีความพยายามจะสร้างเธอให้เป็น ‘สารานุกรมที่มีชีวิต’ ด้วยการจำกัดบริเวณเธอเอาไว้ในห้องสมุดหลวงของอาณาจักรโคโรน่า และให้เธออ่านหนังสือที่รวบรวมมาจากทั่วทั้งโลก ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมานี้
ต้องขอเตือนก่อนว่าเธอไม่ได้ออกมาด้วยความยินยอมของผู้ครอบครองเดิม ผู้ที่ซื้อเธอไปจึงควรคำนึงไว้ด้วยว่าอาจถูกตามล่าจากอาณาจักรโคโรน่าและสมาพันธ์เทอร่าได้ สำหรับราคาเริ่มต้นของการประมูลนั้นอยู่ที่ 5,000 โกลด์ ครับ”
คำเตือนในช่วงท้ายนั้นทำให้ลานประมูลตกอยู่ในความเงียบงัน เพราะผู้เข้าร่วมการประมูลทุกคนต่างก็ต้องขบคิดอย่างหนัก เกี่ยวกับ ‘สินค้า’ ชิ้นนี้
หญิงสาวเผ่าฮาลฟ์บีสคนนี้คือ ‘บรรณารักษ์แห่งโคโรน่า’ เป็นตัวตนในตำนานสำหรับนักสะสมหนังสือ เพราะเธอสามารถจดจำหนังสือทั้งหมดที่เคยอ่านได้ทุกตัวอักษร ลือกันว่าในหัวของเธอมีหนังสือหายากบรรจุอยู่มากกว่าหนึ่งล้านเล่ม ทำให้เธอเปรียบเสมือนห้องสมุดมีชีวิตดี ๆ นี่เอง
การคาดเดาของซาลนั้นถูกต้อง เหล่าผู้ร่วมการประมูลส่วนใหญ่ได้รับแจ้งข่าวเกี่ยวกับการที่หญิงสาวคนนี้จะถูกนำมาขายในงานประมูลล่วงหน้าแล้ว แม้พวกเขาจะไม่ปักใจเชื่อซะทีเดียว แต่เพราะเรื่องนี้สอดคล้องกับข่าวลือที่ว่าบรรณารักษ์แห่งโคโรน่าหนีออกมาจากทวีปเทอร่าเมื่อหลายเดือนก่อน ก็ทำให้ทุกคนต้องเผื่อความเป็นไปได้เอาไว้
และตอนนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
ถึงกระนั้นเหล่าผู้เข้าร่วมงานประมูลก็ยังคงรู้สึกลังเล เพราะหญิงสาวคนนี้นับเป็นสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาล หากต้องสู้ราคากันจริง ๆ ราคาในการประมูลอาจพุ่งขึ้นเป็นหลายหมื่นโกลด์ ดีไม่ดีอาจถึงหลักแสนโกลด์เลยก็ได้ แม้เมื่อเทียบกับปริมาณของหนังสือหายากที่อยู่ในหัวของเธอแล้วมันจะเป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดก็คือแม้จะชนะการประมูลก็อาจต้องถูกตามล่าจากสมาพันธ์เทอร่าซึ่งเป็นองค์กรขนาดยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของอาณาจักรในทวีปเทอร่าทั้งทวีป ทำให้เหล่าผู้ร่วมการประมูลยังอดที่จะรู้สึกลังเลไม่ได้
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงขานราคาจากผู้เข้าประมูลรายหนึ่งดังขึ้น
“5,500 โกลด์”
ทันทีที่มีการเสนอราคา ดาบเงินซึ่งสร้างจากเวทมนตร์ก็พุ่งลงไปปักที่ขอบของวงเวทกลางลานประมูลในทันที ทำให้ผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่น ๆ ทุกคนต่างมองลงไปยังลานประมูลโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อดูว่าดาบราคาเล่มแรกที่ลงไปปักอยู่ในลานประมูลนั้นเป็นของใคร เมื่อพวกเขาเห็นว่าบนดาบมีตัวเลข IX (เก้า) สลักอยู่ ทุกคนก็หันไปดูยังหน้าจอย่อยหมายเลขเก้าที่ฉายอยู่บนผนังอีกด้านหนึ่งของห้องรับรองสำหรับผู้เข้าประมูล และพบว่าผู้ที่อยู่ในหน้าจอนั้นเป็นชายหนุ่มผมแดงหน้าตาสำอางคนหนึ่ง และข้าง ๆ เขาก็มีหญิงสาวเผ่าฮาลฟ์บีสที่มีเส้นผมสีเหลืองสลับดำนั่งอยู่ใกล้ ๆ ด้วย
ผู้ที่เสนอราคาเป็นคนแรกโดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อยก็คือซาลนั่นเอง
การปรากฏตัวของหญิงสาวเผ่าฮาลฟ์บีสที่ถูกนำมาประมูลทำให้แม้แต่โทร่าก็ยังตกอยู่ในอาการตะลึง เพราะนี่เป็นเรื่องที่เธอไม่รู้มาก่อน และมันยังทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ มากมาย แต่เธอก็ได้สติอีกครั้งเพราะการขานราคาของซาล
“นะ.. นี่… นายจะซื้อผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?”
โทร่าเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยังคงสลัดความตกตะลึงออกไปไม่หมด ราคาเปิดประมูลที่ 5,500 โกลด์นี้นับว่าเป็นราคาที่สูงมาก และการจะชนะการประมูลยิ่งต้องใช้เงินมากกว่านี้อีกหลายเท่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าแร็กน่าเป็นคนที่พอมีฐานะ แต่ก็โทร่าก็คิดว่าอีกฝ่ายจะมีเงินมากขนาดนั้น ในแวบแรกเธอคิดว่าเขาอาจแกล้งเสนอราคาประมูลเล่น ๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาอันจริงจังของแร็กน่า เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเขาตั้งใจจะชนะการประมูลให้ได้จริง ๆ และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสับสน
ซาลไม่ได้ตอบคำถามของโทร่า เขาเพียงมองหน้าจอที่ฉายภาพลานประมูลด้วยแววตาอันเย็นชา ก่อนจะเอ่ยคำถามกลับไป
“ทำไมงานประมูลนี่ถึงมีมนุษย์มาขายด้วยล่ะครับ? นี่เป็นเรื่องปกติของผู้ใช้ศาสตร์มืดงั้นเหรอ?”
“มะ.. ไม่ใช่นะ! ที่นี่ไม่ใช่ตลาดค้าทาสซะหน่อย! ถึงจะไม่มีกฎห้ามเรื่องการค้ามนุษย์และอนุญาตให้นำของเกี่ยวกับหนังสือมาประมูลได้ทุกชนิดก็เถอะ แต่ก็เพิ่งจะมีคนเอามนุษย์มาลงประมูลเป็นครั้งแรกนี่แหละ…”
โทร่ารีบตอบกลับไปด้วยท่าทีร้อนรนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจนิทรรศการของผู้ใช้ศาสตร์มืดผิด และเธอเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีการนำคนเป็น ๆ มาขายในงานประมูลสินค้าเกี่ยวกับหนังสือแบบนี้
การเห็นหญิงสาวเผ่าฮาลฟ์บีสถูกนำมาประมูลทำให้ซาลนึกถึงเรื่องราวแย่ ๆ ที่เขาเคยได้ยินเมื่อตอนเดินทางไปบีสเทีย เขาคิดว่าปัญหาการค้ามนุษย์ควรจะเบาบางลงไปมากแล้วในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขารู้ตัวว่าตนเองยังคงมองโลกในแง่ดีเกินไป
ในระหว่างนั้นเอง ก็มีเสียงขานราคาจากผู้ร่วมการประมูลอีกรายหนึ่งดังขึ้น
“6,000 โกลด์!”
การขานราคาของซาลไม่ได้ทำให้แค่โทร่าเท่านั้นที่ได้สติ แต่ผู้เข้าร่วมการประมูลคนอื่น ๆ ก็เริ่มรู้สึกตัวด้วยว่าการประมูลได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้จะยังลังเลกับปัญหาที่อาจตามมาหลังจากจบการประมูล แต่สิ่งที่ทุกคนคิดตรงกันก็คือ หากมีคนกล้าที่จะประมูลสินค้าอันตรายชิ้นนี้ พวกเขาก็กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
อย่างไรซะนี่ก็เป็นสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาลซึ่งอาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้ครอบครอง หากปล่อยให้คนอื่นได้มันไปโดยที่ตนเองไม่ได้ต่อสู้ ชาตินี้พวกเขาคงตายตาไม่หลับแน่
เมื่อมีการสู้ราคาเกิดขึ้น ผู้เข้าร่วมประมูลคนอื่น ๆ ก็เตรียมที่จะเสนอราคาลงไปบ้าง แม้บางคนจะรู้ตัวว่าเงินทุนที่ตัวเองมีอยู่นั้นอาจไม่เพียงพอต่อการซื้อสินค้ามากมูลค่าชิ้นนี้ แต่อย่างน้อยขอแค่ได้มีส่วนร่วมในการปั่นราคาให้ผู้ชนะการประมูลได้มันไปอย่างยากลำบากหรือให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้มากที่สุดพวกเขาก็พอใจแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่จะมีใครได้ประกาศราคาเพิ่ม ก็มีเสียงขานราคาต่อจากผู้ให้ราคาคนที่สองชนิดที่ห่างกันเพียงชั่ววินาที
“5,500 โกลด์!”
การให้ราคาครั้งนี้ทำให้ทุกคนต้องหันขวับมามองยังหน้าจอหมายเลขเก้าโดยพร้อมเพรียงกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ แม้แต่โทร่าก็ยังต้องหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าที่เหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตา
เพราะซาลได้ทำการย้ำราคาประมูลของเขาที่ 5,500 โกลด์ ทันทีที่มีคนเสนอราคาเพิ่ม และการย้ำราคาเริ่มต้นซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดข้อควรปฏิบัติในการประมูลอย่างมาก
“ทะ.. ทำอะไรของนายน่ะ!? เล่นย้ำราคาตั้งแต่เริ่มแบบนี้ ก็เท่ากับว่าต้องสู้กับผู้เข้าร่วมประมูลเกือบทั้งหมดเลยไม่ใช่เหรอ!?”
โทร่าหันไปถามซาลด้วยท่าทีตื่นตระหนก เพราะเธอไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่เลยสักนิด แวบหนึ่งเธอคิดว่าแร็กน่าคงพยายามจะก่อเรื่องหรือเล่นสนุกด้วยวิธีการแปลก ๆ อีก แต่เมื่อเห็นแววตาอันจริงจังจริงจังผิดกับยามปกติของเขา เธอก็ต้องรู้สึกแปลกใจ
“ไม่รู้หรอกนะครับว่าคนที่เอาผู้หญิงคนนี้มาประมูลคือใคร แต่ผมจะไม่ยอมให้มันได้เงินมากไปกว่านี้แม้แต่แดงเดียว”
เมื่อพูดจบ ซาลก็เอามือแตะสัมผัสลงบนวงเวทเล็ก ๆ ที่อยู่บนโต๊ะของห้องรับรอง ทำให้ร่างของเขาถูกเทเลพอร์ทลงไปยังลานประมูลในทันที
——————————————————————————–
Part 2
บนลานประมูล ซาลได้ถูกเทเลพอร์ทลงมายังด้านหลังของดาบหมายเลขเก้าซึ่งอยู่บนลานประมูล และในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีชายอีกคนหนึ่งถูกเทเลพอร์ทลงมาด้านหลังของดาบที่ปักอยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงหนังแบบเรียบ ๆ แม้บนศีรษะของเขาจะมีหมวกปีกกว้างสวมอยู่ทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ถนัด แต่ดูจากเค้าหน้าและหนวดเคราอันดกหนาแล้ว เขาน่าจะมีอายุเกือบ 40 ปีได้
ทันทีที่ลงมาถึง ชายคนนั้นก็ส่งเสียงเดาะลิ้นแสดงอาการไม่พอใจออกมา ก่อนจะเอ่ยคำพูดขึ้น
“นี่ เจ้าหนู แกเล่นเป็นรึเปล่าเนี่ย? ใครเขาย้ำราคากันตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้มั่งเล่า? รึเงินที่พ่อแม่ให้มันเหลือกินเหลือใช้มากจนต้องเอามาโยนทิ้งเล่นน่ะ? เฮ้อ… ฉันล่ะเบื่อไอ้พวกคุณชายไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้จริง ๆ จะเล่นอะไรก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่อย่ามาเสร้างความวุ่นวายให้กับผู้ใหญ่เขาจะได้มั้ย?”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ขื่อว่า เจมส์ แมคเคลน สาเหตุที่เขาบ่นเป็นหมีกินผึ้งทันทีที่ลงมาถึงก็เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่คิดว่าตนเองจะชนะการประมูลแต่ก็อยากจะช่วยปั่นราคาไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ชนะการประมูลต้องเสียเงินเพิ่มอีกเยอะ ๆ
เจมส์รีบเสนอราคาเป็นคนที่สองเพราะนี่เป็นช่วงที่ควรจะปลอดภัยที่สุดในการปั่นราคา เนื่องจากการย้ำราคาควรจะมีขึ้นหลังจากผู้ประมูลสู้ราคากันไปจนสูง ๆ แล้วมากกว่า การกระทำอันเหนือความคาดหมายของซาลจึงทำให้เจมส์รู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะเขาไม่นึกว่าจะต้องลงมาเปลืองแรงกับการประมูลนี้จริง ๆ
ซาลก็พอจะคาดเดาเรื่องนี้ออกเขาจึงเข้าใจในความหงุดหงิดของอีกฝ่าย แต่เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา
“ถ้าไม่อยากเสียเวลาก็ยอมแพ้ไปสิครับ ให้ผมดึงดาบราคาออกซะ แล้วคุณก็จะได้กลับไปนั่งจิบชาชมการประมูลต่อไป ดีมั้ยครับ?”
เพราะตัวเขาเองก็กำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซาลจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูเป็นการประชดประชันอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายวัยกลางคนจึงขยับหมวกของเขาให้เข้าที่ ก่อนจะยิ้มเยาะออกมา
“ถ้าอยากได้ประสบการณ์ชีวิตมากขนาดนั้นละก็ ฉันก็จะสงเคราะห์ให้!”
เมื่อพูดจบ เจมส์ก็ชักปืนรีโวลเวอร์ขึ้นมาถือไว้บนมือทั้งสองข้างพร้อมกับเล็งไปทางซาลและเตรียมเหนี่ยวไก
วงเวทขนาดเล็กจำนวนนับสิบวงปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของเจมส์ ทันทีที่เขาเหนี่ยวไก กระสุนที่ออกจากปากกระบอกปืนก็จะพุ่งเข้าปะทะกับวงเวทก่อน และกลายสภาพเป็นลำแสงสีขาวพุ่งเข้าหาเป้าหมาย เมื่อวงเวทคู่หนึ่งถูกยิงจนสลายไป วงเวทอีกคู่ก็จะลอยเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกับการเหนี่ยวไกครั้งต่อไปของเจมส์ กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำราวกับการทำงานของเครื่องจักร และในเวลาเพียงหนึ่งวินาที เจมส์ก็ลั่นไกจนไม่เหลือกระสุนอยู่ในรังเพลิงแล้ว
มันคือการลั่นไกหกนัดในหนึ่งวินาที ทำให้มีกระสุนลำแสงสิบสองนัดพุ่งฝ่าอากาศตรงไปยังซาลราวกับเป็นพายุฝนดาวตก
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ซาลในร่างแร็กน่าพุ่งตัวตรงไปยังห่ากระสุนที่กำลังใกล้เข้ามา
การที่เขาตัดสินใจย้ำราคาตั้งแต่แรกไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากให้ผู้ที่นำหญิงสาวเผ่าฮาลฟ์บีสมาประมูลได้เงินมากขึ้น แต่เพราะหากปล่อยให้มีการสู้ราคากันของผู้เข้าประมูลรายอื่น ๆ จำนวนคนที่ลงมาในลานประมูลเมื่อเขาทำการย้ำราคาก็จะยิ่งมากตามไปด้วย ซึ่งซาลไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะนักผจญภัยระดับ S จำนวนมากด้วยตัวคนเดียวได้
แม้เขาจะยังมีเหล่าขุนพลเป็นไพ่เด็ด ทำให้การต่อสู้กับนักผจญภัยระดับ S คราวละ 7-8 คนไม่ใช่เรื่องที่ตึงมือนัก แต่ซาลต้องการจะแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดด้วย การอัญเชิญสมุนที่มีฝีมือระดับ S ออกมาได้เป็นจำนวนมากแม้จะดูน่าทึ่ง แต่สำหรับวงการนักผจญภัยแล้วมันยังไม่ใช่ภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่งที่เด่นชัดพอ เขาต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ตรงหน้าด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจริง ๆ
ซาลมุ่งตรงไปยังห่ากระสุนของอีกฝ่ายโดยไม่คิดที่จะหลบหลีก เขาวิเคราะห์แล้วว่าด้วยความเร็วของกระสุนบวกกับความต่อเนื่องในการยิงซึ่งมากถึงสิบสองนัดต่อหนึ่งวินาที การพยายามหลบหลีกออกด้านข้างคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามสามารถปรับเปลี่ยนวิถีกระสุนให้ครอบคลุมเส้นทางการหลบหลีกและยิงดักทางได้อย่างง่ายดาย แต่การโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้ควรจะมีพลังทำลายไม่สูงนัก มันเป็นการโจมตีที่ใช้ตรึงอีกฝ่ายให้อยู่กับที่และสร้างอาการบาดเจ็บสะสมเพื่อชดเชยพลังทำลายมากกว่า เขาจึงเลือกที่จะเข้าปะทะตรง ๆ เพื่อเข้าถึงตัวฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุด จะได้กดดันอีกฝ่ายให้ต้องสับเปลี่ยนจากฝ่ายรุกไปเป็นฝ่ายตั้งรับด้วย
ในจังหวะที่พุ่งตัวออกไป ซาลก็ง้างมือซ้ายขึ้นพร้อมกับรวบรวมพลังเวท จนมีวงเวทวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาสวมบริเวณข้อมือของเขา เมื่อห่ากระสุนของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เขาก็ชกมือออกไปอย่างเต็มแรง ทันใดนั้นวงเวทก็แตกตัวออกและมีหัวกะโหลกมังกรขนาดใหญ่ซึ่งมีออร่าสีแดงเพลิงลุกท่วมปรากฏออกมา
กะโหลกมังกรนั้นมีความยาวรวมทั้งสิ้นเกือบห้าเมตร มันบดบังตัวเขาจนมิดราวกับเป็นโล่ขนาดใหญ่ กระสุนแสงของเจมส์ที่พุ่งเข้ามากระทบกับกะโหลกมังกรต่างก็เกิดการแฉลบและกระเด้งกระดอนกันไปคนละทิศคนละทางเหมือนกับเป็นแค่เมล็ดถั่ว มีเพียงบางนัดที่ตกกระทบและฝังลงไปในเนื้อกระดูก แต่มันก็ไม่อาจเจาะทะลุหรือสร้างร่องรอยได้มากไปกว่ารูเล็ก ๆ กะโหลกมังกรเพลิงจึงพุ่งตรงไปหาเจมส์โดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
การโจมตีสวนกลับที่พลิกสถานการณ์ได้ในคราวเดียวนี้ทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เพราะการโจมตีของเจมส์นั้นจัดว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบ แม้กระสุนแต่ละนัดอาจมีพลังทำลายไม่สูงนัก ทว่ามันก็เป็นการโจมตีที่สามารถสร้างการบาดเจ็บให้กับนักผจญภัยระดับ S ได้อย่างแน่นอน แถมด้วยปริมาณการโจมตีที่มากถึงสิบสองนัด ทำให้มีการป้องกันเพียงไม่กี่ชนิดที่จะสามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้
แต่ชายหนุ่มที่ชื่อแร็กน่าก็ใช้วิชาที่พวกเขาไม่รู้จักในการทำให้การโจมตีนั้นไร้ผล และพลิกกลับมาเป็นฝ่ายโจมตีแทนได้ในคราวเดียว
นี่เป็นเวทอัญเชิญที่นำเอาการอัญเชิญแบบจำกัดคุณสมบัติกับการอัญเชิญหนึ่งกระบวนท่ามาผสมผสานและปรับปรุงจนได้เวทอัญเชิญแบบใหม่ขึ้นมา ซาลเรียกมันว่า ‘การอัญเชิญเฉพาะส่วน’
ในที่นี้เขาได้ทำการอัญเชิญเฉพาะส่วนหัวของ ‘ชาร์’ มังกรโครงกระดูกระดับ A ที่เขาและเหล่าขุนพลจับได้ออกมา ซึ่งส่วนหัวกะโหลกเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว และซาลยังใช้เวทเสริมพลังป้องกันให้กับชิ้นส่วนอัญเชิญเป็นพิเศษด้วย มันจึงสามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบาย
ผู้ที่ตกตะลึงกับสถานการณ์นี้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจมส์ที่เพิ่งจะบรรจุกระสุนชุดใหม่เข้าไปในปืนรีโวลเวอร์ของเขาเสร็จ ในทีแรกเขาคิดจะปลดปล่อยการโจมตีชุดที่สองในทันที แต่เมื่อเห็นกะโหลกมังกรขนาดยักษ์ที่พุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับออร่าสีแดงเพลิงราวกับเป็นลูกอุกาบาต เขาก็ต้องรีบเปลี่ยนแผน
เจมส์กลิ้งตัวหลบออกมาจากเส้นทางที่กะโหลกมังกรกำลังพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วและรีบลุกขึ้นนั่งอีกครั้งก่อนจะเล็งปืนทั้งสองกระบอกไปเพื่อโจมตีสกัดฝ่ายตรงข้าม แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงจนขนหัวลุก
เพราะเบื้องหน้าของเขามีกรงเล็บโครงกระดูกขนาดใหญ่ซึ่งมีออร่าสีแดงเพลิงลุกท่วมกำลังลากผ่านพื้นศิลาของลานประมูลจนเกิดเสียงเสียดหูดังสนั่น เมื่อมองต่อไปอีกเขาก็เห็นท่อนแขนของมังกรโครงกระดูกทั้งท่อนกำลังตวัดกรงเล็บเข้าใส่เขา โดยมีแร็กน่าที่กำลังทำท่าตวัดกรงเล็บด้วยมือขวาลอยตัวอยู่ด้านหลัง
การเคลื่อนไหวของทั้งสองเป็นไปในจังหวะเดียวกันแบบไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับแร็กน่ากำลังควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนมังกรข้างนั้นด้วยแขนของเขาเอง
ด้วยความใหญ่โตของแขนมังกรซึ่งตวัดกรงเล็บออกมาได้ไกลกว่าสิบเมตรทำให้เจมส์ตกอยู่ในระยะโจมตีของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว เขาไขว้กระบอกปืนเข้าหากันและใช้งานเวทป้องกันยามฉุกเฉินเพื่อต้านทานการโจมตีที่กำลังจะมาถึง ทำให้มีวงเวทป้องกันจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นและซ้อนตัวกันจนเป็นลูกบอลห่อหุ้มร่างของเจมส์เอาไว้
ทว่าด้วยการตวัดกรงเล็บโครงกระดูกขนาดยักษ์เพียงครั้งเดียว วงเวทป้องกันทั้งหมดนั้นก็ถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ และสลายตัวไป
ร่างของเจมส์ลอยกระเด็นออกมาจากเศษซากของวงเวทป้องกัน โชคดีที่วงเวทเหล่านั้นช่วยซึมซับการโจมตีส่วนใหญ่ไป แต่เขาก็ยังถูกกรงเล็บถากเข้าจนเป็นแผลฉกรรจ์ ทันทีที่ลงถึงพื้น เขาก็ทรุดตัวลงเพราะอาการบาดเจ็บ แต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่แร็กน่าด้วยความเจ็บใจ เขาไม่คิดว่าตนเองทำอะไรที่เป็นการประมาทคู่ต่อสู้ แต่ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ ซาลจึงให้หัวกะโหลกมังกรที่ยังคงลอยอยู่ใกล้ ๆ อ้าปากออกและทำท่าเหมือนเตรียมจะพ่นไฟ พอเห็นเช่นนั้นเจมส์ก็แสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาและรีบประกาศอย่างร้อนรนในทันที
“ยะ.. ยอมแล้ว! ฉันขอสละสิทธิ์!”
สิ้นคำประกาศ ร่างของเจมส์ก็ถูกเทเลพอร์ทออกจากลานประมูลไป พร้อมกับดาบราคาของเขาที่ค่อย ๆ สลายตัวไปด้วย
——————————————————————————–
Part 3
การต่อสู้ที่จบลงอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
นั่นเพราะวิชาที่แร็กน่าใช้ออกมานั้นเป็นของที่แปลกประหลาดสุดจะบรรยาย มังกรโครงกระดูกที่ปรากฏออกมาเฉพาะส่วนและขยับเขยื้อนตามการเคลื่อนไหวของแร็กน่านั้นทำให้เขาดูเหมือนกับชายหนุ่มที่มีวิญญาณมังกรสิงสถิตอยู่ เพียงแค่กวัดแกว่งมือเท้าก็สามารถปลดปล่อยการโจมตีที่มีพลังเทียบเท่ากับมังกรได้ดังใจ
การปะทะกันในจังหวะแรกทำให้ทุกคนมองว่าพลังของแร็กน่าเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามมาก เพราะโดยปกติหากเป็นการโจมตีที่มีพลังใกล้เคียงกันก็ควรจะเกิดการหักล้างกันไปจนหมด หรือไม่ก็ต้องเสื่อมสภาพลงจากการปะทะ แต่กะโหลกมังกรของแร็กน่าสามารถพุ่งฝ่าการซัลโวแบบหมดแม็กของเจมส์ไปได้อย่างสบายโดยไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัวเลย โดยปกติแล้วนี่เป็นสิ่งที่จะเกิดเมื่อพลังของทั้งสองฝ่ายห่างกันมากเท่านั้น
เหล่าผู้เข้าร่วมการประมูลต่างก็ได้ข้อสรุปในแนวทางเดียวกัน เว้นแต่เพียงโทร่า
ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเธอ ทำให้โทร่าสามารถแยกแยะโครงสร้างเวทมนตร์ในเชิงละเอียดได้ เธอจึงไม่หลงเข้าใจผิดเหมือนกับคนอื่น แต่สิ่งที่เห็นก็ยังทำให้เธอรู้สึกตกใจอยู่ดี
“หัวกะโหลกมังกรนั่น… มันไม่ใช่ภาพมายาที่เกิดขึ้นจากการก่อรูปร่างของพลังงาน แต่เป็นสสารที่มีอยู่จริงและเสริมด้วยพลังเวทมนตร์อีกที เทียบกันแล้วก็ไม่ต่างกับกระสุนเวทมนตร์ของเจ้ามือปืนนั่นเท่าไหร่ เมื่อพลังที่เสริมให้กับวัตถุมีระดับใกล้เคียงกัน ผลของการปะทะจึงตัดสินด้วยความหนาแน่นของวัตถุ ซึ่งกระสุนเม็ดเล็ก ๆ ไม่มีทางจะเจาะทะลุหัวกะโหลกของมังกรได้อยู่แล้ว… ที่สำคัญคือ.. นั่นเป็นเวทอัญเชิญงั้นเหรอ? ทำไมถึงอัญเชิญโบนดราก้อนออกมาแค่เฉพาะส่วนได้ล่ะ!?”
แม้จะดูออกว่าแร็กน่าไม่ได้มีพลังเหนือกว่าคู่ต่อสู้หลายเท่าตัวอย่างที่คนอื่นคิด แต่สิ่งที่เธอได้จากการวิเคราะห์ก็ยิ่งทำให้โทร่าต้องตกตะลึงมากยิ่งขึ้น เพราะเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเวทที่สามารถอัญเชิญสมุนออกมาใช้งานแค่เฉพาะส่วนแบบนี้ด้วย
เธอจ้องมองไปยังภาพของแร็กน่าที่ยังคงยืนอยู่ในลานประมูลโดยอดคิดไม่ได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้ช่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยปริศนาอันน่าพิศวงซะจริง
ในระหว่างนั้นเองโทร่าก็สังเกตเห็นว่า แร็กน่าไม่ได้เทเลพอร์ทกลับขึ้นมายังห้องรับรอง แต่เขากลับเดินตรงไปยังดาบราคาของตนเองและยืนเฝ้ามันไว้โดยไม่ขยับไปไหน ราวกับเป็นการสื่อเจตนาว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องดาบเล่มนี้เป็นอันขาด
เหล่าผู้เข้าร่วมการประมูลรายอื่น ๆ ต่างก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือการแสดงเจตจำนงของแร็กน่าที่จะไม่ยอมให้ใครได้สินค้าชิ้นนี้ไป เว้นแต่จะข้ามศพเขาไปก่อนเท่านั้น
นี่ถือเป็นการท้าทายที่ค่อนข้างอุกอาจ เพราะมันคือการประกาศสงครามกับผู้เข้าร่วมประมูลคนอื่น ๆ ทุกคน แต่ในขณะเดียวกันการกระทำนี้ก็ส่งผลทางจิตวิทยาให้แต่ละคนต้องครุ่นคิด
เหตุใดชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าถึงกล้าปักหลักในลานประมูลเพื่อรอการท้าประลองจากทุกคน? หากไม่เพราะเขาเสียสติไปแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ก็ต้องมีความมั่นใจในฝีมือของตัวเองมาก ๆ ว่าเขาจะสามารถเอาชนะผู้เข้าร่วมการประมูลทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้
การที่แร็กน่ายังมีสติดีอยู่หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แต่เขาสามารถเอาชนะนักผจญภัยระดับ S ได้ในชั่วพริบตาจริง ๆ หลายคนจึงเริ่มคิดว่าแร็กน่าอาจเป็นนักผจญภัยระดับ SS หรือสูงกว่านั้น ที่ปลอมตัวมาร่วมประมูลโดยเฉพาะ
ทว่าในเวลาไม่นาน บรรยากาศอันเงียบเชียบของลานประมูลก็ถูกทำลายลง ด้วยเสียงขานราคาที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“6,000 โกลด์!”
“6,500 โกลด์!”
“7,000 โกลด์!”
ผู้ร่วมประมูลสามคนทำการขานราคาอย่างต่อเนื่องโดยแทบไม่เว้นระยะห่างกันเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ราวกับเป็นการนัดแนะกันมา ทำให้ซาลถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งเพราะความประหลาดใจ แต่เขาก็ยังตั้งสติและย้ำราคาได้ก่อนจะมีคนเสนอราคามากไปกว่านี้
“5,500 โกลด์!”
ซาลตั้งใจจะย้ำราคาทันทีที่มีคนเสนอราคาเพิ่มทุกครั้งเพื่อให้การต่อสู้เป็นไปแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับมือคู่ต่อสู้จำนวนมากเพียงลำพังได้ แต่การขานราคาอย่างต่อเนื่องของผู้เข้าประมูลทั้งสามก็ทำให้เขาเสียจังหวะจนเกือบพลาดไป
ตามปกติแล้วคนแปลกหน้าที่ไม่เคยนัดแนะกันมาก่อนก็ไม่ควรจะเสนอราคาติด ๆ กันได้อย่างเหมาะเจาะขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าของกลุ่มคนที่มีประโยชน์ร่วมกัน
ร่างของผู้ให้ราคาทั้งสามคนถูกเทเลพอร์ทลงมายังลานประมูลในเวลาไล่เลี่ยกัน คนแรกเป็นชายวัยกลางคนซึ่งสวมชุดเกราะเหล็กอันแน่นหนา คนที่สองเป็นชายหนุ่มในชุดหนังซึ่งมีดาบสองเล่มสะพายอยู่ที่เอวแต่ละข้าง คนที่สามเป็นหญิงสาวในเสื้อโค้ทสีขาวดูทะมัดทะแมง ในมือของเธอถือหอกเล่มยาวอยู่ด้วย
สามคนนี้คือสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม ‘เครสเซนต์ซินดิเคท’ ซึ่งแฝงตัวเข้ามาในงานประมูลเพื่อคอยหาจังหวะช่วยเหลือกันให้คนในกลุ่มของตนเป็นผู้ชนะการประมูล โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่แสดงการร่วมมือกันอย่างเด่นชัดแบบนี้ เพราะหากถูกสงสัยเข้า ทางฝ่ายผู้จัดการประมูลอาจส่งคนลงมาแทรกแซง แต่ตอนนี้การย้ำราคาของแร็กน่ากำลังทำให้แผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ไม่สามารถดำเนินการได้ เหล่าสมาชิกของเครสซินฯ ที่แฝงตัวอยู่ในการประมูลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่วมมือกันกำจัดตัวปัญหาให้พ้นทางไป
การย้ำราคาทันทีที่มีคนเสนอราคาเพิ่มไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับการประมูล ในอดีตก็มีหลายคนที่ใช้วิธีแบบนี้ในการ ‘ลักไก่’ อยู่บ้างเหมือนกัน คือรอให้เหลือคู่แข่งซึ่งตนมั่นใจว่าเอาชนะได้ไม่ยากอยู่เพียงจำนวนหนึ่งแล้วจึงทำการย้ำราคาซ้ำ ๆ เพื่อทำการประลองทีละคน แบบนี้ก็สามารถเอาชนะในการประมูลได้เหมือนกัน
ในภายหลังจึงมีวิธีการแก้เผ็ดคนที่ใช้วิธีนี้ในการประมูล ด้วยการให้ผู้ร่วมการประมูลแต่ละคนรีบทำการขานราคาติด ๆ กันก่อนที่อีกฝ่ายจะทำการย้ำราคาได้ แบบนี้เมื่อมีการย้ำราคา ทุกคนที่เสนอราคาไปก่อนหน้าก็จะสามารถลงมายังลานประมูลพร้อมกันและร่วมมือกันต่อสู้ได้
นั่นคือสิ่งที่ซาลกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
เพราะเพิ่งจะเคยเข้าร่วมงานประมูลเป็นครั้งแรก ทำให้เขาไม่รู้ว่ามีวิธีการแก้ทางแบบนี้อยู่ด้วย จังหวะที่ชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีจึงเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีสิทธิ์ลงมาในลานประมูลได้ถึงสามคน
แม้สถานการณ์จะดูล่อแหลม ทว่าสิ่งที่ซาลเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องจะเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่ แต่เป็นควรจะเอาชนะอย่างไรจึงจะได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับที่เขาต้องการมากที่สุดต่างหาก
ถ้าเหตุการณ์เลวร้ายถึงที่สุดจริง ๆ ซาลก็ยังสามารถอัญเชิญเหล่าขุนพลออกมาช่วยในการต่อสู้ได้ และด้วยกำลังของแปดขุนพล (ซึ่งจริง ๆ ตอนนี้อยู่กับตัวแค่เจ็ดเพราะลืมเก็บยูนิตี้มาด้วย) ต่อให้มีผู้ร่วมประมูลคนอื่น ๆ หลุดเข้ามาในลานประมูลคราวละ 4-5 คน เขาก็ยังรับมือได้อย่างสบาย แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่ซาลอยากจะใช้ในการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี
เขายังคงต้องการให้ทุกคนเห็นถึงความแข็งแกร่งของชายที่ชื่อ ‘แร็กน่า’ ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเหล่าสมุนที่เขาเรียกออกมา
อย่างไรก็ตาม การจะเอาชนะคู่ต่อสู้ถึงสามคนในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญคือต่อให้ชนะได้ แต่หากผู้ร่วมการประมูลคนอื่น ๆ เห็นว่าเขาต้องผ่านการต่อสู้อันยากลำบากและกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ ก็อาจมีคนฉวยโอกาสนี้เสนอราคาเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะคิดว่ามีโอกาสชนะ และสถานการณ์แบบนี้ก็จะวนซ้ำไปเรื่อย ๆ จนเขาอาจต้องสู้กับผู้เข้าร่วมการประมูลจนครบทั้งสามสิบเจ็ดคนเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น การนำแปดขุนพลออกมาช่วยก็คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
หากต้องการจะจบการประมูลด้วยตัวเองโดยไม่ต้องนำแปดขุนพลออกมา ทางเดียวก็คือเขาต้องชนะผู้เข้าประมูลทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉียบขาดและรวดเร็วที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของพลัง และทำให้ผู้เข้าร่วมการประมูลคนอื่น ๆ ยอมตัดความคิดที่จะสู้กับเขาไปซะ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซาลก็แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะเขามีวิธีการที่จะทำแบบนั้นได้อยู่พอดี
——————————————————————————–
Part 4
อีกด้านหนึ่ง คนของเครสซินฯ ทั้งสามคนก็หันมาสบตากันเล็กน้อยเพื่อเป็นการให้สัญญาณในการเริ่มโจมตี
แม้การต่อสู้ของแร็กน่ากับเจมส์จะจบลงอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าระดับพลังของทั้งสองคนต่างกันมาก แต่ด้วยประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในโลกมืดมาอย่างโชกโชนก็ทำให้ทั้งสามคนนี้มองออกว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความต่างของวิธีการในการใช้พลัง ไม่ใช่ความต่างของพลังโดยตรง เพราะหากแร็กน่าเป็นคนที่มีพลังระดับ SS ขึ้นไปจริง ๆ เจมส์ก็น่าจะโดนกรงเล็บของมังกรโครงกระดูกฉีกร่างออกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว แต่นี่เจ้าตัวกลับยังลุกขึ้นมาขอสละสิทธิ์ได้ด้วยเสียงอันดังและชัดถ้อยชัดคำ แปลว่าอวัยวะภายในของเขายังปกติดีและมีอาการบาดเจ็บเพียงภายนอกเท่านั้น นั่นทำให้ทั้งสามมั่นใจว่าแร็กน่าเป็นคนที่พวกเขาสามารถต่อกรได้
ทั้งสามคนชักอาวุธประจำกายออกมาและแยกย้ายกันโจมตี ชายวัยกลางคนซึ่งสวมเกราะหนักยกโล่ขนาดใหญ่ขึ้นมาบังด้านหน้าก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาซาลด้วยย่างก้าวอันหนักแน่นและทรงพลัง แม้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาจะไม่สูงนัก แต่ทุกครั้งที่เท้าของเขาย่ำลงกับพื้น จิตต่อสู้ของชายในชุดเกราะก็จะลุกโชนและเพิ่มปริมาณขึ้น นี่คือท่า ‘เมเทโอชาร์จ’ (Meteor Charge) ท่าระดับสูงของดีเฟนเดอร์ คลาสระดับสามของอัศวิน ซึ่งจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น 10% ทุก ๆ ย่างก้าวที่ย่ำออกไปในระหว่างที่อยู่ในผลของท่านี้
หลังจากวิ่งออกไปได้สิบก้าว ความเข้มข้นของจิตต่อสู้ที่ห่อหุ้มร่างของเขาอยู่ก็เพิ่มปริมาณเป็นสองเท่า ทำให้ออร่าสีเหลืองอ่อนที่ปกคลุมอยู่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม เมื่อถึงยี่สิบก้าวความเข้มข้นของจิตต่อสู้ก็เพิ่มเป็นสามเท่า ออร่าสีเหลืองเข้มนั้นจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นสีส้ม จนตอนนี้เขาดูราวกับเป็นลูกอุกาบาตขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งตรงไปยังแร็กน่า
และตอนนี้ระยะห่างของทั้งสองยังเหลืออยู่อีกกว่ายี่สิบก้าว จึงเป็นที่น่าพรั่นพรึงว่าในยามที่เขาเข้าปะทะ พลังที่สะสมมาจะมีปริมาณมหาศาลขนาดไหน
ทางด้านซ้าย ชายหนุ่มในชุดหนังก็แยกออกเป็นห้าร่างและเรียงตำแหน่งกันเป็นรูปหัวลูกศรก่อนจะตีวงเพื่ออ้อมเข้ามาโจมตีซาลจากด้านข้าง ทั้งห้าคนต่างก็ถืออาวุธคนละชนิดกัน โดยสองคนด้านหลังสุดถือปืนไรเฟิลกับธนู สองคนตรงกลางมีดาบคู่และหอกเป็นอาวุธ ส่วนคนหน้าสุดถือโล่คู่กับดาบ ทั้งกลุ่มนั้นดูราวกับเป็นปาร์ตี้นักผจญภัยจัดสำเร็จซึ่งมีครบเกือบทุกตำแหน่งและพร้อมรับมือได้ทุกสถานการณ์
ทางด้านขวา หญิงสาวผู้ใช้หอกก็วิ่งอ้อมไปจนถึงระยะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันกลับมาย่อเข่าลงกับพื้นแล้วดีดตัวพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เมื่ออยู่สูงได้ระดับ หญิงสาวก็ทิ้งตัวดิ่งลงมาพร้อมกับหอกที่อยู่ในมือ ปลายหอกนั้นเริ่มส่องแสงสีขาวและแผ่ออร่าออกมาปกคลุมทั้งตัวหอกและผู้ที่จับมันอยู่จนทั้งสองแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ตอนนี้เธอดูเหมือนกับเป็นดาวตกที่กำลังพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศลงมายังโลกเบื้องล่างโดยมีแร็กน่าเป็นเป้าหมาย นี่คือท่า ‘เฮเว่นไดฟ์’ (Heaven Dive) ท่าโจมตีสูงสุดของแลนเซอร์ ซึ่งมีพลังทำลายมหาศาลชนิดที่สามารถโค่นมอนสเตอร์ระดับ S ในการโจมตีครั้งเดียวได้อย่างสบาย
ในระหว่างที่คู่ต่อสู้ทั้งสามคนกระจายกำลังกันออกไปเพื่อเตรียมการโจมตีประสานกันจากรอบทิศ ซาลกลับไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เขาเพียงแค่ย่อตัวลงและเอามือข้างหนึ่งแตะสัมผัสลงบนพื้น ก่อนจะรวบรวมพลังเวทปริมาณมหาศาลเพื่อสร้างวงเวทขึ้นมา
ชุดอักขระและโครงสร้างเวทมนตร์อันซับซ้อนได้ก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นวงเวทที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสองเมตร จากนั้นชุดอักขระและโครงสร้างของวงเวทก็หลั่งไหลออกไปรอบด้านก่อนจะก่อตัวเป็นวงเวทวงใหม่อีกสี่วงอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศห่างจากวงเวทเดิมไปหลายเมตร ชุดอักขระปริมาณมหาศาลยังหลั่งไหลออกจากปลายมือของซาลอย่างต่อเนื่องและกระจายตัวกันไปเติมวงเวททุกวงให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ก่อนที่มันจะสลายตัวและไหลออกไปสร้างวงเวทใหม่ในจุดที่ห่างออกไปอีก กระบวนการนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างรวดเร็วจนในที่สุดโครงสร้างของวงเวททุกอันก็สอดประสานกันจนกลายเป็นวงเวทขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบยี่สิบเมตร
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่การโจมตีของคู่ต่อสู้ทั้งสามคนกำลังจะเข้ามาถึงตัว
แต่แทนที่เขาจะมีสีหน้าเป็นกังวล ซาลกลับยิ้มออกมา
มันไม่ใช่รอยยิ้มอันเย้ยหยันที่มีให้กับอีกฝ่าย แต่เป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่แฝงความรู้สึกดีใจอยู่ภายใน
“ไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะ… ไม่รู้ว่าตัวจริงกำลังทำอะไรอยู่… คิดถึงจังเลยน้า~”
เมื่อสิ้นคำพูดของซาล วงเวทขนาดยักษ์ที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา
สมาชิกของเครสซินฯ ทั้งสามคนไม่มีความคิดที่ยั้งการโจมตีเอาไว้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาเชื่อมั่นว่าระดับพลังของแร็กน่าไม่ได้เหนือไปกว่าพวกตนสักเท่าไหร่นัก อย่างมากก็คงอยู่แค่ช่วงปลายของระดับ S หรือต่อให้อยู่ในจุดสูงสุดของระดับ S ก็ใช่ว่าจะต้านทานการโจมตีประสานของพวกเขาสามคนพร้อมกันได้ โดยเฉพาะท่า ‘เมเทโอชาร์จ’ ของชายในชุดเกราะซึ่งสะสมพลังมาเกือบห้าเท่าแล้วนั้นมีพลังทำลายเทียบเท่ากับการโจมตีของนักผจญภัยระดับ SS ด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่แร็กน่าอัญเชิญออกมาจะเป็นอะไร มันก็ควรจะต้องถูกทำลายลงในการโจมตีครั้งนี้
นั่นเป็นเวลาที่ปีกขนาดใหญ่ของมังกรซึ่งถูกปกคลุมด้วยเกล็ดเกราะอันหยาบหนาราวกับแผ่นศิลาปรากฏออกมาจากวงเวท
ปีกข้างหนึ่งยกขึ้นไปบังการโจมตีของหญิงสาวและหอกของเธอที่กำลังพุ่งลงมาราวกับดาวตก ทันทีที่มันกระทบเข้ากับผิวที่เหมือนกับหินอัคนีนั้น พลังงานอันมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนเกิดแสงสว่างเจิดจ้าและเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทว่าปีกของมังกรที่รับการโจมตีนั้นเข้าไปกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เป็นปลายหอกของหญิงสาวเองต่างหากที่เกิดการบิดงอจนผิดรูปไป แถมแรงสะท้อนของการปะทะยังทำให้เธอรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งร่างอีกด้วย
ปีกอีกข้างหนึ่งถูกวาดเข้ามากั้นด้านหน้าของซาลจนเหมือนกับเป็นกำแพงเหล็ก ชายในชุดเกราะที่พุ่งเข้ามาด้วยพลังที่สะสมจนมากเป็นห้าเท่านั้นคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะชนกำแพงนี้ให้ทะลุเข้าไปถึงตัวแร็กน่าในคราวเดียว ทว่าทันทีที่โล่ของเขาปะทะเข้ากับปีกศิลาจนเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท ตัวโล่ที่เคยมีรูปทรงนูนออกไปด้านหน้าเล็กน้อยก็ยุบตัวแบนราบลงราวกับเป็นแผ่นสังกะสี ข้อมือของเขาก็บิดงอจนแทบหักเพราะร่างของเขายังพยายามเคลื่อนไปข้างหน้าในขณะที่ตัวโล่ถูกหยุดอย่างกะทันหัน แม้แต่ศีรษะของเขาก็โขกเข้ากับโล่อย่างจังจนเกิดเสียงดัง ก่อนที่เจ้าตัวจะถอยโซเซออกมาด้วยความงุนงง ราวกับคนเมาที่วิ่งไปขนกำแพงเข้า
ในเวลานั้น ร่างอันใหญ่โตซึ่งเป็นเจ้าของปีกศิลาทั้งสองข้างก็ปรากฏขึ้นมาจากวงเวท
มันเป็นมังกรขนาดใหญ่ที่มีเกล็ดเกราะอันหยาบหนาราวกับหินผาปกคลุมทั่วทั้งตัว ออร่าสีฟ้าคล้ายกับไอเย็นได้แผ่พุ่งออกมาจากช่องว่างของแผ่นเกราะจนดูเหมือนกับเปลวไฟอันคุกรุ่น แต่มันกลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบสุดจะบรรยายได้ ร่างขนาดมหึมานั้นจึงดูเหมือนกับรูปสลักของมังกรที่แกะขึ้นจากภูผาน้ำแข็งสีเทาหม่น และผู้ที่ยืนอยู่บนหลังของมันก็คือชายหนุ่มที่มีผมสีแดงดุจดั่งเปลวเพลิง
เขาก็คือแร็กน่านั่นเอง
ชายที่เป็นสมาชิกคนสุดท้ายของเครสซินฯ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน ร่างทั้งห้าที่พุ่งออกไปทางด้านซ้ายนั้นเป็นร่างแยกทั้งหมด ส่วนตัวเขาทำการพรางตัวและอ้อมไปยังด้านหลังเพื่อโจมตีปิดท้าย นี่เป็นการแยกกันโจมตีจากทั้งสี่ทิศ ทว่าการโจมตีอันรุนแรงของเพื่อนทั้งสองคนกลับถูกหยุดเอาไว้ได้ราวกับเป็นของเด็กเล่น ทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ร่างแยกทั้งห้าของเขาที่วิ่งมาถึงแค่ด้านข้างของมังกรตัวใหญ่นั้นจึงหยุดชะงักไปด้วย
เขารู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงสันหลัง ในทีแรกเขาคิดว่านั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดจากความกลัว แต่ทันใดนั้นเขาก็เอะใจว่าลมหายใจที่เขาพ่นออกมาจากปากได้กลายเป็นไอควันสีขาวไปแล้ว
เพราะอุณหภูมิของลานประมูลกำลังลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจริง ๆ
“ขอรบกวนหน่อยนะครับ.. แอพโซลูทซีโร่!!”
สิ้นคำประกาศของซาล มังกรเหมันต์ตัวนั้นก็ชูคอขึ้นและอ้าขากรรไกรออกราวกับกำลังจะส่งเสียงคำราม แต่แทนที่จะเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง เสียงทุกอย่างบนโลกกลับหยุดนิ่งจนกลายเป็นความเงียบเชียบ พริบตานั้นก็มีกลุ่มก้อนพลังงานสีขาวแผ่ออกจากร่างของมันและสาดส่องออกไปทั่วทุกสารทิศ ทุกสิ่งที่สัมผัสเข้ากับพลังงานสีขาวนี้ต่างก็ต้องหยุดนิ่งและถูกเกล็ดน้ำแข็งย้อมให้กลายเป็นสีขาวปลอด ไม่ว่าจะเป็นชายในชุดเกราะ หญิงสาวผู้ใช้หอก ร่างแยกทั้งห้าของชายหนุ่ม รวมไปถึงตัวเขาเองที่อยู่ด้านหลัง แม้แต่พื้นศิลาของลานประมูล ดาบราคา และหน้าจอเวทมนตร์ที่ผู้เข้าร่วมประมูลใช้ในการสังเกตการณ์ก็ถูกย้อมให้กลายเป็นสีขาวไปทั้งหมด
และในที่สุด ลานประมูลที่ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีขาวโพลนก็เหลือเพียงความเงียบงัน