Doombringer the 5th - ตอนที่ 142
Ch.142 – งานประมูลแห่งความมืด (3)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 138
งานประมูลแห่งความมืด (3)
Part 1
งานประมูลแห่งความมืดนับเป็นหนึ่งในอีเวนท์ที่เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดให้ความสนใจมากที่สุด เพราะในการประมูลมักจะมีของหายากที่พบเห็นไม่ได้โดยทั่วไปมาลงประมูล และการแข่งขันราคาของผู้เข้าร่วมการประมูลก็มักจะเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อรวมกับกฎพิเศษที่ให้มีการใช้กำลังบังคับราคากันได้ก็ยิ่งทำให้การประมูลทวีความตื่นเต้นเร้าใจขึ้นไปอีก มันจึงเป็นกิจกรรมที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ค่อนข้างหลากหลาย
ภายในนิทรรศการ จะมีช่องถ่ายทอดสดสำหรับการประมูลโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ร่วมงานสามารถรับชมการประมูลได้จากทุกที่ภายในพีระมิด โดยเฉพาะในย่านร้านค้าที่ชั้นหกก็มักจะพร้อมใจกันเปิดการถ่ายทอดสดให้ลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้านได้รับชม เพราะสำหรับเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดแล้ว งานประมูลแห่งความมืดก็เปรียบเสมือนมหกรรมกีฬาประจำปีที่ทุกคนต้องให้ความสนใจ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตกยุค
แน่นอนว่าระดับของการประมูลที่ผู้คนนิยมรับชมมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นการประมูลระดับ S ซึ่งจะมีทั้งอาติแฟคหายากและยอดฝีมือระดับ S จำนวนมากมาประลองกัน ทำให้ผู้เข้าชมนิทรรศการจำนวนมากถึงกับยอมหยุดกิจกรรมอื่น ๆ และมานั่งจับจองที่ในร้านอาหารเพื่อรอชมงานประมูลกันโดยเฉพาะเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของการประมูลนั้นกลับเป็นไปอย่างน่าเบื่อ เพราะมีแค่การแข่งราคากันเพียงอย่างเดียว แถมราคาที่ต่อสู้กันก็ไม่จัดว่าสูงนัก ทำให้เหล่าผู้ชมต่างก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครลุกออกจากโต๊ะเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่ร้านที่เปิดการถ่ายทอดสดก็ไม่มีร้านไหนคิดจะเปลี่ยนช่องไปเป็นงานประมูลของระดับอื่น ๆ เช่นกัน
เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืด หรืออย่างน้อยก็ต้องคอยปกปิดฐานะของผู้ใช้ศาสตร์มืดจากโลกภายนอก การจะเอาตัวรอดในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มืดได้นั้นจำเป็นจะต้องอาศัยสัญชาติญาณและไหวพริบที่ดี เพื่อให้หลบเลี่ยงจากอันตรายไปได้ และสัญชาติญาณของพวกเขาก็กำลังบอกว่า ช่วงต้นของงานประมูลอันน่าเบื่อนี้ เป็นเพียงความสงบก่อนที่พายุใหญ่จะมาถึงเท่านั้น
ทันทีที่สินค้าชิ้นสุดท้ายถูกนำมาวางประมูล ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคิดไม่ผิด การประมูลที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และมันต้องเป็นการแข่งขันอันดุเดือดชนิดที่หาชมได้ยากในรอบหลายปีอย่างแน่นอน เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่รับชมการถ่ายทอดสดจากที่ต่าง ๆ จึงเฝ้าดูการประมูลครั้งนี้แบบตาไม่กะพริบ
และเมื่อการประมูลเริ่มต้นขึ้น หนึ่งในผู้เข้าร่วมการประมูลที่เป็นชายหนุ่มผมแดงก็ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ
การย้ำราคาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็คิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการสมคบคิดในการประมูล บ้างก็คิดว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของนักประมูลหน้าใหม่ที่ตัดสินใจแบบง่าย ๆ แต่ไม่ว่าเจตนาของชายหนุ่มผมแดงคนนี้คืออะไร เหล่าผู้ชมก็ได้ข้อสรุปเดียวกันว่าเขาไม่มีทางที่จะชนะการประมูลได้ เพราะต่อให้ชนะการประมูลรอบแรก ก็ยังต้องต่อสู้กับผู้ประมูลคนอื่น ๆ อีกกว่าสามสิบคน ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นไปได้
ทว่าชายหนุ่มผมแดงก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงจนตาค้าง
เพราะเขาสามารถเอาชนะนักผจญภัยระดับ S สามคนพร้อมกันได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ต่อให้เป็นนักผจญภัยระดับ SS แต่การรับมือกับคู่ต่อสู้ระดับ S ถึงสามคนพร้อมกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้อพูดถึงการเอาชนะทั้งสามคนในกระบวนท่าเดียว เพราะความห่างชั้นระหว่างสองระดับไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น แต่ชายหนุ่มผมแดงกลับสามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ทั้งหมดพร้อมกันได้ด้วยท่าโจมตีที่มีรูปลักษณ์เป็นมังกรศิลาน้ำแข็งอันน่าเกรงขาม นับเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนไปมาก
ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ ควรจะต้องเป็นนักผจญภัยระดับ SSS (ทริปเปิลเอส) หรือไม่ก็ต้องมีท่าโจมตี/อาติแฟค ระดับใกล้เคียงกัน จึงจะสามารถโค่นนักผจญภัยระดับ S ถึงสามคนลงได้อย่างง่ายดาย และในโลกนี้ก็มีผู้ที่ฝึกฝนตนเองจนมีพลังหรือฝีมืออยู่ในระดับทริปเปิลเอสยู่เพียงไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น
เมื่อเห็นผลของการต่อสู้อันน่าสะพรึงที่ปรากฏบนหน้าจอ เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่รับชมงานประมูลจากที่ต่าง ๆ จึงพากันเปิดหน้าจอเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อค้นหาข้อมูลของชายหนุ่มผมแดงคนนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งข้อมูลของผู้เข้าร่วมการประมูลไม่ใช่สิ่งที่ถูกปกปิดเป็นความลับอยู่แล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลาและดูสำอางผิดกับความแข็งแกร่งดุจปิศาจของชายหนุ่มผมแดงคนนั้นจึงปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอของทุกคนในเวลาเพียงไม่นาน
เขามีชื่อว่า ‘แร็กน่า’ มันเป็นชื่อที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดทุกคนที่ได้ดูการประมูลในครั้งนี้ (และอาจรวมไปถึงทุกคนที่ได้รับชมบันทึกภาพหลังจากวันนี้ด้วย) ต้องจดจำเอาไว้ในทันที
เหล่าผู้นำกลุ่มของผู้ใช้ศาสตร์มืดกลุ่มต่าง ๆ ก็กำลังรับชมการประมูลรอบนี้อยู่เช่นกัน
แม้ทุกคนจะเป็นผู้ที่มีฝีมืออยู่ในจุดสูงสุดของระดับ SS และเคยมีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชนแล้ว แต่ท่าโจมตีอันทรงพลังของแร็กน่าก็ทำให้พวกเขาอดทึ่งไม่ได้ เพราะต่อให้ตัวเจ้าตัวจะยังไม่ใช่นักผจญภัยระดับทริปเปิลเอสแต่การโจมตีนั้นก็มีพลังอยู่ในระดับทริปเปิลเอสอย่างแน่นอน
ไลคัสกับเนเน็ตก็กำลังติดตามการประมูลจากห้องควบคุมของพีระมิด การแสดงของแร็กน่าก็ทำให้พวกเขารู้สึกทึ่งเช่นกัน ใบหน้าของเนเน็ตมีอาการตกตะลึงอยู่เพียงไม่นานก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันชื่นชม ส่วนไลคัสนั้นยังคงจ้องมองหน้าจอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่อีกเป็นเวลานาน ทำให้ยากที่จะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“สมกับเป็นลูกชายของแซนโดรเลยนะคะ พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ดีจังเลยนะคะที่เขาไม่ใช่ศัตรูน่ะ“
เนเน็ตเอ่ยคำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันยียวนเพราะเธอมีเจตนาที่จะเย้าแหย่ไลคัสอยู่เล็กน้อย เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับแร็กน่ามาโดยตลอด แต่ภาพที่เห็นในงานประมูลก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าหากเขาเป็นผู้ที่คิดร้ายจริงละก็ ตอนที่ถูกนำตัวไปไต่สวนต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส เขาก็สามารถอาศัยโอกาสนั้นลงมือได้ทันที แต่แร็กน่าก็ไม่ได้ทำ แถมเขายังอดทนกับการเฝ้าคุมอย่างเข้มงวดของไลคัสมาโดย (เกือบจะ) ตลอด แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่มีเจตนาร้ายจริง ๆ
ไลคัสก็พอจะรู้เจตนาที่ต้องการประชดประชันของเนเน็ตอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไร และอีกใจหนึ่งเขาก็ยอมรับว่าตนเองได้ตัดสินใจผิดพลาดไปจริง ๆ จึงไม่ได้ตอบโต้ถ้อยคำเสียดสีนั้น และกล่าวกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ถ้าไม่ใช่ก็ดีแล้ว”
เพราะอีกฝ่ายไม่ได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ เนเน็ตจึงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรซะในเวลานี้เธอเองก็มีเรื่องอื่นที่ควรตื่นเต้นและต้องให้ความสนใจมากกว่าอยู่แล้ว เธอจึงยอมรามือไปโดยง่าย และหันกลับไปมองยังหน้าจอเวทมนตร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
ที่ห้องรับรองหมายเลขเก้าของงานประมูล โทร่าที่เฝ้าดูการต่อส้ของแร็กน่าผ่านหน้าจอเวทมนตร์ก็ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงจนตาค้าง
เพราะระดับฝีมือของเขาที่สามารถเอาชนะนักผจญภัยระดับ S ถึงสามคนได้พร้อมกันนั้นเป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอไปมาก อีกทั้งวิชาที่เขาใช้ออกมาก็เป็นสิ่งที่น่าทึ่งเข้าไปอีก
“มังกรนั่นก็ไม่ใช่ภาพมายาเหมือนกัน… มันเป็นตัวตนจริง ๆ ที่ถูกอัญเชิญออกมา แถมยังมีพลังระดับทริปเปิลเอสด้วย! นั่นเป็นเวทอัญเชิญจริง ๆ น่ะเหรอ!? แต่เจ้านั่นมันไม่น่าจะมีพลังเกินระดับ S ไปได้เลยนี่นา! ทำไมถึงอัญเชิญตัวตนระดับทริปเปิลเอสออกมาได้ล่ะ!?”
ตามปกติแล้วร่างอัญเชิญไม่ควรจะมีพลังสูงกว่าผู้อัญเชิญไปได้ มันเป็นกฎพื้นฐานของเวทอัญเชิญที่มีมาช้านาน แม้ในปัจจุบันจะมีวิธีการบางอย่างที่ช่วยให้ผู้ร่ายเวทสามารถอัญเชิญร่างที่มีพลังสูงกว่าตนเองออกมาได้อยู่บ้าง แต่โทร่าก็มองออกว่าแร็กน่าอัญเชิญมังกรเหมันต์ตัวนี้ออกมาด้วยพลังของเขาเองโดยไม่ได้ใช้อาติแฟคหรือวิธีการพิเศษใด ๆ เป็นตัวช่วย ความเป็นจริงตรงหน้าที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกอย่างสิ้นเชิงนี้จึงทำให้เธอรู้สึกสับสนจนอธิบายไม่ถูก
ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มีเพียงแค่สองอย่าง คือแร็กน่าผู้นี้อาจเป็นคนที่มีพลังระดับทริปเปิลเอสแต่ใช้วิธีการบางอย่างปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ หรือไม่เขาก็มีเคล็ดวิชาเฉพาะตัวที่ทำให้สามารถอัญเชิญตัวตนที่มีพลังระดับทริปเปิลเอสออกมาได้ ซึ่งไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร มันก็นับเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
ไม่ใช่เพียงโทร่าที่คิดแบบนี้ แต่เหล่าผู้อาวุโสที่เฝ้าดูการประมูลอยู่ต่างก็ได้ข้อสรุปออกมาในแนวทางที่ไม่ต่างกันนัก
ความจริงคือทุกคนที่ได้รับชมการถ่ายทอดสดงานประมูลครั้งนี้ต่างก็ต้องมีความคิดแบบเดียวกัน คือวงการนักผจญภัยและกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดกำลังมีดาวจรัสแสงดวงใหม่ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ซึ่งเขาก็คือชายหนุ่มที่ชื่อแร็กน่าคนนี้นี่เอง
——————————————————————————–
Part 2
ที่ลานประมูล ร่างของชายหญิงทั้งสามซึ่งถูกเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมจนกลายเป็นสีขาวโพลนก็ถูกเทเลพอร์ทออกไปจากลานประมูลทีละคน เพราะพวกเขาทุกคนล้วนหมดสติ และไม่อยู่ในสภาพที่จะทำการต่อสู้ได้อีก ดาบราคาของพวกเขาที่ปักอยู่บริเวณขอบของวงเวทในลานประมูลจึงค่อย ๆ สลายตัวไปด้วย
ซาลเองก็กระโดดลงจากหลังของมังกรเหมันต์ ก่อนจะหันกลับไปมองร่างที่กำลังสลายกลายเป็นละอองแสงของมังกรตัวนั้นอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มและแววตาที่มีความรู้สึกอาลัยอยู่ภายใน
เมื่อมังกรตัวนั้นหายไปจนสมบูรณ์แล้ว ซาลก็หยิบมานาโพชั่นเม็ดหนึ่งขึ้นมาและโยนเข้าปากเพื่อฟื้นฟูพลังเวท ก่อนจะเดินกลับไปยืนประจำที่ดาบราคาของเขาเพื่อรอการขานราคาครั้งต่อไป แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่ามีคนกล้าเสนอราคาขึ้นมาอีกก็ตาม
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะแม้เวลาจะผ่านไปพักหนึ่งแล้วก็ไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูลรายใดเสนอราคาขึ้นมาอีก เนื่องจากพวกเขาได้ประจักษ์ถึงฝีมือของแร็กน่าแล้ว และรู้ตัวดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แม้จะไม่ชัดเจนว่าตัวแร็กน่ามีพลังอยู่ในระดับทริปเปิลเอสจริงหรือไม่ แต่ท่าโจมตีของเขาซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นมังกรก็มีพลังไม่ด้อยไปกว่าระดับนั้นเลย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยง
เพราะการที่แร็กน่าปล่อยให้คู่ต่อสู้ทั้งสามคนถูกเทเลพอร์ทออกจากลานประมูลไปแปลว่าเขายังยั้งมืออยู่ แต่หากยังไปตอแยและทำให้เขาเสียเวลามากไปกว่านี้ แร็กน่าอาจหงุดหงิดและลงมืออย่างเต็มที่ในการต่อสู้ครั้งต่อไปเพื่อจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดและเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูด้วย จึงไม่มีใครอยากจะเป็นไก่ที่ถูกเชือดในงานนี้
หลังจากผ่านไปห้าวินาที ดาบราคาของซาลก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าขึ้น เป็นการส่งสัญญาณว่าเขากำลังจะเป็นผู้ชนะการประมูลในอีกไม่กี่วินาทีนี้ ซึ่งเหล่าผู้เข้าร่วมการประมูลคนอื่น ๆ ก็ได้แต่จ้องมองลานประมูลอย่างเงียบงันโดยไม่สามารถทำอะไรได้ จึงดูเหมือนว่าแร็กน่าคงเป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้อย่างแน่นอนแล้ว
แต่ในจังหวะนั้นเองก็มีเสียงใส ๆ อันไพเราะราวกับเสียงของเด็กผู้หญิงเอ่ยราคาขึ้น
“5,000 โกลด์”
เสียงขานราคานั้นทำให้เหล่าผู้เข้าร่วมการประมูลรวมไปถึงทุกคนที่รับชมการประมูลอยู่ต่างก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง แม้แต่ซาลที่ยืนอยู่ในลานประมูลก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาด้วย
เพราะการย้ำราคาเริ่มต้นของการประมูลอีกครั้งแบบนี้เป็นสิ่งที่มีแต่ผู้ดูแลการประมูลเท่านั้นที่ทำได้ และมันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ดูแลการประมูลเห็นว่าการประมูลดำเนินไปอย่างไม่ชอบธรรมเท่านั้น
ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นี่ไม่ควรจะเป็นเรื่องแปลก เพราะโดยปกติหากผู้ดูแลการประมูลเห็นว่ามีคนที่ระดับฝีมือสูงกว่าผู้อื่นจงใจใช้กำลังในการบังคับราคาประมูล ผู้ดูแลการประมูลก็จะลงมาแทรกแซงเพื่อให้การประมูลเป็นไปอย่างยุติธรรมเสมอ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในการประมูลระดับ S มาก่อน เพราะผู้ที่จะสามารถใช้กำลังหักหักหาญการประมูลที่เต็มไปด้วยนักผจญภัยระดับ S ได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือระดับทริปเปิลเอสเท่านั้น ซึ่งในโลกนี้มีนักผจญภัยระดับทริปเปิลเอสอยู่เพียงไม่ถึงร้อยคน แม้นั่นจะเป็นเพียงจำนวนที่ได้รับการเปิดเผยและอาจมีอีกหลายคนที่ยังเก็บตัวอยู่ แต่จำนวนที่แท้จริงก็คงไม่ต่างจากนี้ไปสักเท่าไหร่นัก นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงยังไม่เคยมีนักผจญภัยระดับทริปเปิลเอสคนไหนปรากฏตัวในงานประมูลมาก่อนเลย
สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ทั้งที่รู้ว่าผู้เข้ามาป่วนการประมูลครั้งนี้อาจเป็นนักผจญภัยระดับทริปเปิลเอส แต่ผู้ดูแลการประมูลก็ยังกล้าที่จะทำการย้ำราคาเริ่มต้นเพื่อท้าประลองกับอีกฝ่าย แปลว่าผู้ดูแลการประมูลคนนี้ก็ต้องมั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับทริปเปิลเอสได้เช่นกัน
“ทางฝ่ายจัดการประมูลมีผู้ดูแลที่มีฝีมือระดับทริปเปิลเอสอยู่ด้วยงั้นเหรอ!? ไม่สิ หรือว่าจะเป็นหนึ่งในเหล่าผู้อาวุโสลงมาจัดการด้วยตัวเอง? แต่ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดูแลการประมูลอยู่คือคุณอากาล่อนนี่นา?”
“คุณอากาล่อนน่ะยังมีฝีมือไม่ถึงระดับทริปเปิลเอสหรอก ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนที่มีฝีมือถึงด้วย ถึงบางคนอาจจะมีท้าไม้ตายหรือเคล็ดวิชาที่ทำให้สามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ระดับทริปเปิลเอสได้ก็เถอะ แต่พวกเขาคงไม่งัดมันออกมาใช้เพื่อหยุดการประมูลแบบนี้หรอก”
“บางทีผู้ดูแลคนนั้นอาจเห็นอะไรที่เรามองไม่เห็นก็ได้ เช่นมองออกว่าเจ้าหนุ่มผมแดงนั่นก็ไม่ใช่คนที่มีพลังระดับทริปเปิลเอสจริง ๆ หรืออาจรู้จุดอ่อนของอีกฝ่ายเข้า ก็เลยกล้าที่จะลงมาท้าประลองน่ะ!”
เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นา ๆ จนเกิดเสียงอื้ออึง แต่เมื่อมีแสงของเวทเทเลพอร์ทส่องสว่างขึ้นบนลานประมูล ทุกคนก็หยุดการพูดคุยลงทันทีและหันไปดูภาพบนหน้าจอเวทมนตร์โดยพร้อมเพรียงกัน ทำทุกพื้นที่กลับสู่ความเงียบเชียบโดยฉับพลัน
ผู้ที่เทเลพอร์ทเข้ามาในลานประมูลเป็นเด็กสาวตัวเล็กซึ่งมีเส้นผมสีดำสนิททอดยาวลงไปถึงบั้นเอว เธอสวมผ้าคลุมสีดำซึ่งส่องเงาสะท้อนสีแดงเข้มยามแตะต้องกับแสงสว่าง ส่วนปกของผ้าคลุมที่ตั้งขึ้นนั้นบดบังใบหน้าของเด็กสาวไปบางส่วนจนทำให้เห็นรูปลักษณ์ไม่ถนัด แต่ดวงตากลมโตสีม่วงอ่อนซึ่งโผล่พ้นขอบปกและส่องประกายแวววับราวกับอัญมณีออกมานั้นก็เพียงพอต่อการทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องหลงใหลในความงามอันเร้นลับของเธอได้แล้ว
เด็กสาวคนนั้นก็คือแบล็คโรส รองหัวหน้ากลุ่มแซนโดรโฮลิก คนสนิทของอากาล่อน และเป็นผู้ดูแลการประมูลกิตติมศักดิ์ของการประมูลรอบนี้นั่นเอง
——————————————————————————–
Part 3
การปรากฏตัวของแบล็คโรสทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน
เขาไม่รู้มาก่อนว่าแบล็คโรสเป็นคนของฝ่ายจัดงาน เพราะเจ้าตัวไม่ได้มีปลอกแขนของฝ่ายจัดงานสวมอยู่ แถมโทร่าก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ด้วย การที่เธอมาเป็นผู้ดูแลการประมูลจึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก
แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ซาลก็มั่นใจไปกว่า 80% แล้วว่าแบล็คโรสผู้นี้ก็คือลานาเทลที่ปลอมตัวมาด้วยวิธีการอะไรบางอย่าง ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัวจริงของเขาแล้วหรือไม่ แม้ในการต่อสู้รอบที่ผ่านมาเขาจะเปิดเผยฝีมือไปค่อนข้างมาก ถึงขนาดอัญเชิญร่างเสมือนของนิโคลออกมาใช้ แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้วลานาเทลก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นร่างมังกรของนิโคลเช่นกัน เรื่องที่เธอจะเดาตัวจริงของเขาออกจึงยังค่อนข้างก้ำกึ่งอยู่
ประเด็นสำคัญคือ หากเธอไม่รู้ตัวจริงของเขาจึงลงมาขัดขวางการประมูล มันก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ต่อให้เธอรู้ ด้วยนิสัยขี้แกล้งของลานาเทลแล้วเธอก็คงจะรีบลงมาขัดขวางการประมูลเพื่อความสนุกอยู่ดี ซาลจึงเดาไม่ออกเลยว่าความจริงเธอรู้หรือเธอไม่รู้กันแน่ เพราะไม่ว่าทางไหน การประทำของเจ้าตัวก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่
อีกด้านหนึ่ง แบล็คโรสก็กำลังแอบอมยิ้มอยู่ใต้ปกของผ้าคลุมโดยพยายามคงสายตาเรียบเฉยเอาไว้
การคาดเดาของซาลนั้นถือว่าค่อนข้างใกล้เคียง เพราะเด็กสาวที่ชื่อแบล็คโรสคนนี้เป็นผู้ที่มีความทรงจำและอุปนิสัยของลานาเทลอยู่จริง ๆ ต่างกันแค่รูปลักษณ์และระดับพลังที่ด้อยกว่าเท่านั้น
“ถึงรูปลักษณ์จะแตกต่างออกไปและระดับพลังจะไม่สัมพันธ์กับอายุที่แท้จริง แต่คน ๆ นี้ก็คือซาลารัสไม่ผิดแน่… มังกรน้ำแข็งที่อัญเชิญออกมาเมื่อครู่นี้คงจะเป็นร่างที่แท้จริงของนิโคลสินะ… การจะอัญเชิญตัวตนระดับสูงแบบนั้นออกมาได้คงต้องสิ้นเปลืองพลังเวทไปไม่น้อย ต่อให้ร่าง ‘แร็กน่า’ นี้มีพลังเวทมากกว่าตัวจริงแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้การอัญเชิญระดับนั้นติด ๆ กันได้หรอก เพราะฉะนั้น… ขอดูฝีมือหน่อยก็แล้วกันนะคะ”
แม้ตัวเธอจะไม่ได้มีพลังสูงถึงระดับทริปเปิลเอส แต่แบล็คโรสก็พอจะรู้ข้อจำกัดในการใช้เวทอัญเชิญของซาลอยู่บ้าง เธอจึงคิดว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการประลองกับเขา เพราะอีกฝ่ายน่าจะยังไม่สามารถอัญเชิญตัวตนระดับทริปเปิลเอสออกมาได้อีกในเวลาอันใกล้นี้
เพราะไม่อยากให้ซาลมีเวลาในการฟื้นฟูพลังเวท แบล็คโรสจึงชักดาบคู่ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเธอออกมา และพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามในทันที
ความจริงฝ่ายผู้ดูแลการประมูลที่ลงมาย้ำราคาเริ่มต้นควรแจ้งเหตุผลในการแทรกแซงให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับรู้ก่อนเริ่มการประลอง แต่แบล็คโรสเห็นว่าไหน ๆ เธอก็เป็นแค่ผู้ดูแลกิตติมศักดิ์อยู่แล้ว จึงจงใจละเว้นธรรมเนียมปฏิบัตินี้ไป เพราะเธอสามารถอ้างว่าเป็นมือใหม่ได้นั่นเอง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งตรงเข้ามาหาแบบไม่มีการเกริ่นนำหรือกล่าวทักทายใด ๆ ซาลก็ถึงกับชะงักไปวูบหนึ่งเพราะคาดไม่ถึง แต่เขาก็ยังตั้งสติได้และรีบคิดหาทางรับมือ
ในตอนนี้ซาลเพิ่งจะฟื้นฟูพลังเวทกลับมาได้ไม่ถึง 30% เขาไม่แน่ใจว่าลานาเทลในร่างนี้มีพลังสูงสุดอยู่ในระดับไหน แต่การคิดเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อนน่าจะปลอดภัยกว่า ซาลจึงคิดว่าควรออมพลังเวทเอาไว้เพื่อใช้ในการอัญเชิญระดับทริปเปิลเอสอีกครั้งจะเป็นการดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงชักดาบออกมาและเริ่มโคจรจิตต่อสู้เพื่อเตรียมรับมือ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะใช้เชิงดาบในการต่อสู้ ดวงตากลมโตของแบล็คโรสก็ยิ่งเบิกโพลงและเปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม เธอตวัดดาบในมือทั้งสองจากล่างขึ้นบนจนไขว้กันเป็นรูปกากบาท ทำให้มีคลื่นพลังงานรูปจันทร์เสี้ยวไขว้กันแผ่พุ่งออกไป และพริบตาต่อมาเธอก็ตวัดดาบทั้งสองลงอีกครั้ง ทำให้มีคลื่นพลังงานแบบเดียวกันอีกชุดหนึ่งถูกปลดปล่อยตามไปติด ๆ
ซาลมองออกว่านี่เป็นการโจมตีกดดันเพื่อให้เขาต้องทำการหลบหลีกออกจากจุดที่ยืนอยู่ และทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ลานาเทลก็จะอาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้ามาโจมตีเขาในระยะประชิด ซึ่งการจะหลบหลีกหรือรับมือฝ่ายตรงข้ามในระหว่างกำลังเคลื่อนที่นั้นถือเป็นภาวะที่ค่อนข้างเสียเปรียบ ซาลจึงตั้งใจว่าจะรับการโจมตีนี้ตรง ๆ แล้วค่อยทำการสวนกลับอย่างฉับพลันแทน
ทว่าเมื่อคลื่นพลังที่ตรงเข้ามาอยู่ห่างจากตัวเขาไปเพียงไม่กี่เมตร ก็มีเงาร่างขนาดเล็กสีดำทะมึนร่างหนึ่งพุ่งโฉบออกมาจากด้านหลังของคลื่นพลัง และพุ่งแซงคลื่นพลังทั้งสองชุดก่อนจะตรงเข้ามาหาซาล
เงาร่างนั้นก็คือแบล็คโรสที่พุ่งตัวด้วยความเร็วสูงจนเหนือกว่าคลื่นพลัง และโฉบแซงพวกมันขึ้นมาโจมตีซาลด้วยดาบคู่ในมือนั่นเอง
นั่นเป็นเวลาที่ซาลตระหนักว่าการโจมตีทั้งสองชุดนั้นไม่ได้เพียงแค่ทำเพื่อกดดันให้เขาเคลื่อนที่ แต่ยังใช้ในการบดบังทัศนะวิสัยของเขาไม่ให้เห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามด้วย
แบล็คโรสฟาดดาบในมือเข้าใส่ซาลอย่างต่อเนื่อง เธอโจมตีเขาแบบไม่มีช่องว่างให้พักหายใจในขณะที่ตัวเองยังลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งซาลก็ทำได้แค่ปัดป้องอย่างสุดความสามารถเท่านั้น ในขณะเดียวกันคลื่นพลังทั้งสองชุดที่แบล็คโรสปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ก็กำลังใกล้เข้ามา แต่ตัวเขาเองยังคงติดพันกับการต่อสู้จนไม่สามารถสลัดตัวให้หลุดออกนอกวิถีของการโจมตีได้
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของซาลก็ส่องประกายขึ้น มันเป็นประกายแสงซึ่งเกิดจากการโคจรจิตต่อสู้ที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายอย่างรวดเร็ว ทำให้แบล็คโรสรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม
พริบตาต่อมา ดาบพลังงานจำนวนสี่เล่มก็ก่อรูปร่างขึ้นรอบตัวซาลอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มันเสร็จสมบูรณ์เขาก็แทงดาบเข้าใส่ร่างของแบล็คโรสที่ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทำให้ดาบพลังงานทั้งสี่ตอบสนองด้วยการพุ่งขึ้นไปแทงร่างเล็ก ๆ อันดูบอบบางของเด็กสาวโดยพร้อมเพรียงกัน
ปริมาณการโจมตีที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้แบล็คโรสจำเป็นต้องโฉบตัวหลบออกไป ซึ่งซาลก็อาศัยจังหวะนั้นฟาดดาบในมือลงอีกครั้ง ทำให้ดาบพลังงานทั้งสี่เล่มเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวจากการพุ่งแทงกลายมาเป็นการฟันลงเบื้องล่าง และเข้าปะทะกับคลื่นพลังงานทั้งสองชุดที่กำลังจะเข้ามาถึงตัวซาลพอดี
เมื่อการแลกเปลี่ยนการโจมตีครั้งนี้เสร็จสิ้น ทั้งคู่ก็ผละออกจากกันอีกครั้ง ซึ่งแบล็คโรสก็หันกลับมามองดูซาลด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นและความรู้สึกชื่นชม
“ดูเหมือนจะยังไม่ทิ้งวิชาสายดาบไปซะทีเดียวสินะคะ แถมด้วยคุณสมบัติของนักเวทอัญเชิญยังทำให้สามารถใช้ ‘ดาบพลัง’ (Force Blade) ได้หลากหลายและอิสระขึ้นด้วย แบบนี้ถึงจะเอาจริงอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง ฮุฮุฮุ~”
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว แบล็คโรสก็ไขว้ดาบของเธอขึ้นมาเบื้องหน้าอีกครั้ง ไม่นานก็มีของเหลวสีแดงเข้มจนแทบจะเป็นสีดำค่อย ๆ ไหลออกมาจากด้ามดาบและชโลมคมดาบทั้งสองเล่มให้กลายเป็นสีแดงทะมึนไปแทน มันก็คือ ‘บลัดเอนชานท์’ (Blood Enchant) ท่าเสริมพลังดาบซึ่งเป็นวิชาเฉพาะตัวของเผ่าแวมไพร์นั่นเอง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซาลก็ตระหนักว่าการต่อสู้ที่แท้จริงยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเลยด้วยซ้ำ