Doombringer the 5th - ตอนที่ 143
Ch.143 – งานประมูลแห่งความมืด (4)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 139
งานประมูลแห่งความมืด (4)
Part 1
ทันทีที่การเตรียมตัวเสร็จสิ้น แบล็คโรสก็พุ่งตัวเข้าหาชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ซาลรู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะลานาเทลในเชิงดาบได้ แม้เขาจะหมั่นฝึกฝนมาโดยตลอดแต่เพราะมันไม่ใช่ความถนัดและไม่ใช่สายวิชาที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษความสามารถในเชิงดาบของเขาจึงอยู่แค่ระดับมาตรฐานเท่านั้น ในขณะที่ลานาเทลเป็นนักดาบระดับจักรพรรดิ (Sword Empress) ซึ่งโลกนี้น่าจะมีอยู่เพียงไม่กี่คน การสู้กับเธอด้วยดาบจึงไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง
แต่ซาลก็ไม่ได้คิดจะใช้แค่ดาบในการต่อสู้อยู่แล้ว
ถึงเป้าหมายของเขาจะเป็นการเร่งฟื้นฟูและเก็บออมพลังเวทไว้เพื่อใช้เวทอัญเชิญระดับสูงจัดการกับลานาเทลในคราวเดียว แต่หากไม่สามารถต้านทานจนถึงเวลานั้นได้มันก็ไม่มีความหมาย ซาลจึงคิดว่าต้องพยายามถ่วงเวลาให้ถึงตอนนั้นด้วยทุกวิถีทาง ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้พลังเวทให้น้อยที่สุดด้วย
ในเวลานั้นเอง ร่างของแร็กน่าก็ค่อย ๆ กลายเป็นภาพเบลอ ก่อนจะเลือนหายไป
เหล่าผู้ชมที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ต่างก็คิดว่าแร็กน่าได้ใช้เทคนิคบางอย่างทำการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนหายไปจากสายตา แต่สำหรับนักผจญภัยระดับสูงที่มีสายตาเฉียบคมกว่านั้นจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างที่ดูไม่ถูกต้อง
แบล็คโรสแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะเธอมองออกในทันทีว่านี่คือเวท ‘มิราจ’ เวทพรางตัวด้วยการหักเหแสงที่ซาลคิดค้นขึ้นเอง แม้ในร่างนี้เธอจะมีพลังด้อยกว่าตัวจริงมาก แต่หากสู้กันด้วยดาบ ซาลก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธออยู่ดี การที่เขางัดลูกเล่นเหล่านี้ออกมาใช้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้การต่อสู้น่าสนุกขึ้น
เธอหมุนตัวกลางอากาศครั้งหนึ่งก่อนจะปักดาบทั้งสองเล่มลงบนพื้นศิลาของลานประมูล ทันใดนั้นของเหลวสีดำที่เคลือบคมดาบอยู่ก็ไหลลงไปในรอยแตกที่เกิดจากการปักดาบอย่างรวดเร็ว จนทำให้คมดาบของเธอกลับมาเป็นสีเงินแวววับอีกครั้ง ในขณะเดียวกันรอยแตกบนพื้นศิลาก็ขยายวงกว้างขึ้นและมุ่งตรงไปยังจุดที่แร็กน่าเคยยืนอยู่ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังมุดใต้พื้นศิลาไปยังบริเวณนั้นด้วยความเร็วสูง
ทันทีที่รอยแตกแผ่ไปจนถึง ก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องอย่างรุนแรง ก่อนจะมีก้อนศิลาขนาดใหญ่จำนวนมากกระเด็นกระดอนออกมาจากภาพทิวทัศน์อันบิดเบี้ยว แรงระเบิดทำให้ม่านพรางตาที่ซาลวาดเอาไว้สลายตัวไป เผยให้เห็นคมดาบสีดำขนาดใหญ่นับสิบเล่มที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นศิลาในจุดเดียวกันจนดูเหมือนกับเป็นพุ่มหนามที่สร้างจากโลหะ
นั่นคือการโจมตีของแบล็คโรส แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือคมดาบของเธอแค่พุ่งเสียบขึ้นมาโดยสร้างความเสียหายให้กับพื้นศิลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ากลับมีเศษก้อนศิลาขนาดใหญ่ถูกแรงปะทะจนแตกกระจัดกระจายไปทั่ว ทำให้น่าแปลกใจว่าก้อนศิลาเหล่านั้นมาจากไหน
“นั่นมันไม่ใช่ชิ้นส่วนจากพื้นลานประมูลนี่นา แต่เป็นก้อนศิลาจากที่อื่นซึ่งถูกนำมาวางลงบนพื้นของลานประมูลอีกที.. ใช้เวทอัญเชิญก้อนศิลาออกมางั้นเหรอ? นับว่าคิดถูกที่ไม่พุ่งเข้าไปนะเนี่ย ฮุฮุ~”
แบล็คโรสเข้าใจได้ในทันทีว่าศิลาก้อนนั้นเป็นของที่ถูกอัญเชิญออกมาหลังจากทำการอำพรางพื้นที่โดยรอบแล้ว เจตนาก็เพื่อใช้มันเป็น ‘กำแพง’ ในการป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม มิหนำซ้ำหากอีกฝ่ายเลือกที่จะพุ่งเข้าไปโจมตีในระยะประชิดก็อาจชนเข้ากับกำแพงจนได้รับบาดเจ็บเองด้วย
“เด็กคนนั้นน่าจะรู้รูปแบบการโจมตีของดาบเลือดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดที่เขาน่าจะไปหลบก็คือ…”
ในระหว่างกำลังวิเคราะห์จุดที่ซาลอยู่ขณะเกิดการโจมตี เด็กสาวก็สัมผัสได้ถึงจิตต่อสู้ซึ่งแผ่ออกมาจากด้านหลังของเศษศิลาก้อนหนึ่งที่เพิ่งจะลอยข้ามไหล่ของเธอไปเพียงเล็กน้อย เธอจึงรีบพุ่งตัวหลบออกมาจากจุดนั้น
นั่นเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่กรงเล็บโครงกระดูกขนาดยักษ์ซึ่งมีออร่าสีแดงลุกท่วมจะตะปบลงมาจนพื้นศิลาของลานประมูลต้องแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
แบล็คโรสเคลือบคมดาบเล่มหนึ่งด้วยของเหลวสีดำอีกครั้งก่อนจะพลิกตัวกลับมาฟันสวนไปยังก้อนศิลา ทำให้มีคมดาบรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าผ่าก้อนศิลาที่ยังลอยอยู่กลางอากาศจนกลายเป็นสองเสี่ยง เผยให้เห็นชายหนุ่มผมแดงซึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง
“กะแล้วเชียวว่าต้องหลบอยู่ด้านบนของก้อนศิลา แต่แผ่จิตต่อสู้ออกมาก่อนจะปลดปล่อยการโจมตีแบบนี้นับว่ายังควบคุมพลังได้ไม่ดีพอนะคะ”
เธอเดาออกอยู่แล้วว่าซาลคงหลบอยู่ด้านบนของก้อนศิลาเพื่อป้องกันกรณีที่มีการโจมตีจากด้านล่าง และแรงระเบิดก็คงส่งตัวเขาให้ลอยออกมาพร้อม ๆ กับเศษศิลาที่แตกกระจาย แต่การที่เขาติดมากับศิลาก้อนนี้พอดีนั้นไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือความจงใจกันแน่
เด็กสาวหยั่งเท้าลงกับพื้นอีกครั้งเพื่อเตรียมจะพุ่งตัวเข้าไปโจมตีซ้ำ แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นแร็กน่าตวัดดาบในมือสวนกลับมา ทำให้เธอต้องยั้งเท้าลงเพื่อเตรียมปัดป้องการโจมตีนี้ ทว่ากลับไม่มีคลื่นพลังใด ๆ ถูกปลดปล่อยออกมาเลย ราวกับเขาเพียงแค่หวดดาบไปในอากาศเฉย ๆ การกระทำที่ดูไร้เหตุผลนี้จึงทำให้แบล็คโรสต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นเอง ดาบพลังงานเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอห่างออกไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร มันโผล่ออกมาจากอากาศธาตุและพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงราวกับลูกธนูที่เพิ่งจะพ้นจากม่านหมอก ทำให้ดวงตากลมโตของเด็กสาวต้องเบิกโพลงขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพราะดาบพลังงานเล่มนี้ปรากฏออกมาอย่างกะทันหันและไร้ร่องรอยจนเธอไม่สามารถจับสัมผัสการมาของมันได้เลยจนกระทั่งมันอยู่ตรงหน้าแล้ว
แม้จะอยู่ในระยะกระชั้นชิดจนไม่สามารถยกดาบขึ้นมาปัดป้องได้ทัน แต่แบล็คโรสก็ยังเบี่ยงศีรษะหลบการโจมตีไปได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าเส้นผมของเธอก็ยังถูกคมดาบเฉี่ยวผ่านจนขาดปลิวไปหลายเส้น
การโจมตีด้วยรูปแบบอันเป็นปริศนานี้ทำให้เด็กสาวต้องยั้งเท้าลงเพื่อหยุดคิด เพราะเธอไม่เคยเจอการโจมตีในลักษณะนี้มาก่อน ในขณะเดียวกันแร็กน่าที่ลงสู่พื้นเรียบร้อยแล้วก็ตวัดดาบอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีคลื่นพลังหรือดาบพลังงานใด ๆ ปรากฏออกมาเช่นเคย
แบล็คโรสรีบดีดตัวถอยออกมาเพื่อทิ้งระยะห่าง ตามสัญชาติญาณ ทันใดนั้นก็มีดาบพลังงานหนึ่งเล่มปรากฏขึ้นใกล้กับจุดที่เธอเคยอยู่และพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง แต่คราวนี้ด้วยระยะห่างที่มากขึ้นจึงทำให้เธอสามารถใช้ดาบในมือปัดมันออกไปได้
จุดที่เธออยู่นั้นห่างจากแร็กน่ากว่ายี่สิบเมตร ในระยะขนาดนี้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีระยะไกลในรูปแบบใดก็ควรปรากฏเค้าลางให้เห็นก่อนที่มันจะมาถึงตัวบ้าง แต่ดาบพลังงานนั้นกลับเข้ามาถึงตัวเธอในระยะประชิดโดยไม่มีร่องรอยอะไรเลย ซ้ำยังเกิดขึ้นแทบจะในทันทีหลังจากมีการตวัดดาบ ราวกับมันแทบจะไม่ได้ใช้เวลาในการเดินทางแม้แต่น้อย นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก
แร็กน่ายังคงตวัดดาบเพื่อทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบล็คโรสที่ยังอ่านรูปแบบของการโจมตีนี้ไม่ออกได้แต่โฉบตัวหลบไปมาโดยไม่กล้าเข้าไปใกล้ เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูการต่อสู้นี้อยู่จึงเริ่มส่งเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง
“การโจมตีนั่นมันอะไรกันน่ะ!? แค่ปลดปล่อยออกมาก็ถึงตัวเป้าหมายได้เลยงั้นเหรอ!? นี่มันเป็นท่าโจมตีที่มีความเร็วระดับเดียวกับ ‘เทพสายฟ้า’ เลยนะเนี่ย!”
“ไม่หรอก นี่มันเหนือกว่านั้นอีก เพราะไม่มีทั้งเสียงและร่องรอย เป็นการโจมตีที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ!”
“เจ้าหนุ่มที่ชื่อแร็กน่านั่นมันเป็นใครกันแน่!? ใช้ได้ทั้งเวทมนตร์และทักษะทางดาบระดับสูงแบบนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อมาก่อน!”
ในสายตาของนักผจญภัยทั่วไปแล้วการโจมตีของแร็กน่าเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก เพราะหากดูจากภายนอกแล้วมันเป็นการโจมตีที่ทั้งรวดเร็วและไร้ร่องรอย แต่สำหรับเหล่านักผจญภัยระดับสูงแม้จะยอมรับว่านี่เป็นท่าโจมตีที่มีความเร็วใกล้เคียงกับนักดาบระดับทริปเปิลเอสอย่าง ‘เทพสายฟ้า’ แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าพลังทำลายของดาบที่ปรากฏออกมากลับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้มันดูเป็นการโจมตีที่มากด้วยปริศนามากกว่าจะน่าเกรงขาม
แน่นอนว่าแบล็คโรสผู้กำลังเผชิญหน้ากับทักษะนี้อยู่ด้วยตนเองก็คิดถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน
“ดาบพลังนี่… มันเข้าถึงเป้าหมายได้หลังจากตวัดดาบเพียงเสี้ยววินาที ถ้าเป็นการพุ่งฝ่าอากาศธรรมดา ๆ ยังไงก็ต้องมีร่องรอยให้เห็นบ้าง หรือถ้ามองไม่ทันเพราะความเร็วมันสูงมาก ก็น่าจะเกิดเสียงฟ้าร้องจากการพุ่งทะลุกำแพงเสียงตามมาด้วย แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย… แถมความเร็วหลังจากที่มันปรากฏออกมาก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำไมความเร็วของมันถึงลดลงอย่างกะทันหันขนาดนั้นได้ล่ะ?
ถ้าแค่ทำให้ตัวดาบล่องหนจนกว่าจะเข้ามาใกล้ ระยะเวลาที่มันใช้ในการเข้าถึงเป้าหมายก็ยังนับว่าสั้นเกินไปอยู่ดี และถ้าจะทำแบบนั้นก็สู้ทำให้ล่องหนไปตลอดเลยไม่ดีกว่ารึ? แต่ถ้าบอกว่ามันพุ่งมาด้วยความเร็วสูงจนมองไม่ทัน ผลกระทบที่เกิดกับสภาพแวดล้อมก็ยังไม่สัมพันธ์กับความเร็วอยู่ดี และการที่มันลดทั้งพลังและความเร็วลงอย่างกะทันหันก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลด้วย… ยังกับมันพุ่งทะลุห้วงมิติมาอย่างนั้นแหละ แต่แบบนั้นก็ต้องมีร่องรอยการบิดผันของห้วงมิติให้เห็นบ้างสิ… ตัวดาบมันจะโผล่ออกมาเฉย ๆ ได้ยังไง…”
หลังจากวิเคราะห์อยู่เป็นเวลานาน ดวงตาของแบล็คโรสก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้งราวกับเธอเพิ่งจะนึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างได้ เธอจึงรอจังหวะที่ซาลปลดปล่อยการโจมตีออกมาอีกครั้งแล้วรีบพุ่งตัวสวนเข้าไปในทันที
การเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันนี้นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนที่ชมการต่อสู้อยู่ การร่นระยะห่างเข้าไปหาการโจมตีที่ทั้งรวดเร็วและไร้ร่องรอยแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะจะทำให้การปัดป้องหรือหลบหลีกเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก
ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่ทุกคนคิด เพราะดาบพลังของแร็กน่ากลับปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของแบล็คโรสและพุ่งต่อไปยังจุดที่เธอเคยอยู่ ราวกับว่ามันผ่านทะลุตัวเธอไปซะเฉย ๆ
ปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนต้องรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง ในขณะที่แบล็คโรสก็เผยรอยยิ้มบนริมฝีปากน้อย ๆ ของเธอออกมา
——————————————————————————–
Part 2
ความลับของการโจมตีอันไร้ร่องรอยนั้นไม่ใช่ ‘ความเร็ว’ แต่เป็น ‘ตำแหน่ง’ ที่มันปรากฏออกมา
เพราะมันไม่มีทั้งการบิดผันทางมิติ, ไม่มีคลื่นกระแทกจากการผ่านกำแพงเสียง, และความเร็วหลังจากที่มันปรากฏขึ้นก็ไม่สัมพันธ์กับความเร็วก่อนหน้าด้วย แบล็คโรสจึงได้ข้อสรุปว่าดาบพลังนี้ไม่ได้เดินทางผ่านอากาศมายังเป้าหมาย แต่มันปรากฏขึ้นตรงหน้าเป้าหมายเลยต่างหาก
จิตต่อสู้เป็นพลังงานที่มีมวลหนาแน่นกว่าพลังเวท ทั้งยังมีแรงยึดเหนี่ยวกับตัวผู้ใช้สูงกว่าด้วย การก่อรูปร่างของพลังงานขึ้นมาเพื่อใช้ในการโจมตีจึงสามารถทำได้เพียงในระยะใกล้ ๆ เช่นคลื่นพลังจากการตวัดดาบก็จะถูกสร้างขึ้นบนคมดาบก่อนแล้วค่อยปล่อยออกไป หรือดาบพลังงานที่สร้างขึ้นจากจิตต่อสู้ก็จะก่อตัวขึ้นในรัศมี 1-2 เมตรจากตัวผู้ใช้เท่านั้น เพราะยิ่งไกลออกไปเท่าไหร่ การประสานจิตต่อสู้ให้ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างก็จะยิ่งทำได้ยาก ระยะที่คนทั่วไปจะสามารถประสานจิตต่อสู้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการโจมตีได้จึงอยู่ที่ไม่เกิน 3 เมตร
แต่ดาบพลังงานของซาลนั้นสามารถก่อตัวขึ้นจากระยะที่ห่างออกไปได้กว่ายี่สิบเมตร นั่นคือเหตุผลที่มันสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้แทบจะในทันทีอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมันพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงจนสายตาไม่อาจมองได้ทัน
นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไป เพราะนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยปรากฏผู้ใช้ดาบที่สามารถประสานจิตต่อสู้ขึ้นมาเป็นรูปร่างได้ในระยะไกลขนาดนี้มาก่อน จึงแทบจะไม่มีใครเลยที่คาดเดาถึงความเป็นไปได้นี้ ยกเว้นก็แต่ลานาเทลซึ่งพอจะรู้ปูมหลังของซาลและเคยเห็นพรสวรรค์ของเขามาแล้ว
“เด็กคนนั้นน่ะ สามารถสร้างดาบพลังงานขึ้นมาได้โดยแทบไม่ต้องสอนเลยด้วยซ้ำ ความสามารถในการประสานพลังงานให้เป็นรูปร่างคือทักษะที่ติดตัวมาจากการเป็นซัมมอนเนอร์ เมื่อบวกกับพื้นเพที่เป็นนักเวทอยู่แล้ว การประยุกต์การร่ายเวทระยะไกลมาใช้กับการสร้างดาบพลังก็คงไม่แปลก นั่นคือตัวจริงของการโจมตีอันรวดเร็วและไร้ร่องรอยนี้
ความจริงถ้าทำได้ขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องตวัดดาบเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ยังทำท่าตวัดดาบทุกครั้งก็เพื่อจะหลอกให้เข้าใจผิดว่ามันเป็นการโจมตีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากปลายดาบ แบบนั้นจะทำให้เข้าใจความเร็วของการโจมตีคลาดเคลื่อน และทำให้ไขปริศนาของมันได้ยากขึ้นด้วย ยังเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ ฮุฮุฮุ~”
แบล็คโรสแอบอมยิ้มในขณะที่พุ่งตัวไปยังแร็กน่าด้วยความเร็วสูง เพราะเธอมองการโจมตีของเขาออกโดยทะลุปรุโปร่งแล้ว
“การที่ดาบพลังงานพุ่งตัวมาข้างหน้าทันทีที่มันปรากฏ แปลว่ามันไม่ได้เริ่มขยับหลังจากก่อรูปร่างเสร็จสมบูรณ์ แต่มีการขยับไปด้วยในขณะที่กำลังก่อรูปร่างอยู่ ตำแหน่งที่แท้จริงที่จิตต่อสู้เริ่มก่อรูปร่างจึงต้องอยู่ห่างจากจุดที่มันปรากฏต่อสายตาในระดับหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนไปเน้นการจับสัมผัสจิตต่อสู้ที่กำลังก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าแทนที่จะใช้ตามองเพียงอย่างเดียวก็จะทำให้รู้ได้ว่าตอนไหนที่ดาบพลังงานนั้นกำลังจะปรากฏขึ้น เท่านี้การปัดป้องก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว”
สำหรับคนที่ยังหลงคิดว่าดาบพลังงานของซาลเป็นการโจมตีอันรวดเร็วจนมองไม่ทันก็คงไม่กล้าที่จะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายแบบนี้ เพราะระยะห่างที่ลดลงก็เท่ากับว่าจะมีเวลาให้ปัดป้องน้อยลงด้วย แต่สำหรับแบล็คโรสที่รู้ตัวจริงของการโจมตีนี้แล้ว เธอไม่ลังเลเลยที่จะเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง เพราะมั่นใจแล้วว่ามันไม่ใช่อะไรที่อยู่เหนือความสามารถในการหลบหลีกหรือปัดป้องของเธอนั่นเอง
ทางด้านซาล เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบการโจมตีครั้งล่าสุดได้ทั้งยังมุ่งหน้าตรงเข้ามาด้วยความเร็วเต็มพิกัด เขาก็รู้ตัวทันทีว่าความลับของท่าโจมตีนี้ได้ถูกเปิดโปงแล้ว
“ก็ไม่คิดว่าของแบบนี้จะหลอกจอมดาบอย่างลานาเทลได้นานอยู่แล้วล่ะนะ… อย่างน้อยก็ช่วยซื้อเวลาได้ในระดับนึงแหละ ทีนี้แผนต่อไปก็…”
เพราะการโจมตีเดิมคงใช้ไม่ได้ผลแล้ว ซาลจึงวาดมือซ้ายไปบนอากาศเพื่อร่ายเวท ทันใดนั้นก็ปรากฏม่านหมอกหนาทึบขึ้นมาห่อหุ้มตัวเขาไว้ก่อนที่มันจะแพร่กระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงกับพื้นและใช้มือขวาแตะสัมผัสลงไปบนพื้นศิลาของลานประมูล ทำให้มีอักขระเวทมนตร์จำนวนมากแผ่กระจายออกไปตามพื้นและก่อรูปร่างกันขึ้นเป็นวงเวทอย่างรวดเร็ว
เพราะหมอกที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้เคลื่อนตัวค่อนข้างช้า ผิดกับวงเวทที่ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ขอบของวงเวทขนาดยักษ์นั้นโผล่พ้นออกมานอกพื้นที่ที่หมอกปกคลุมอยู่ เมื่อเห็นภาพนั้นเหล่าผู้ชมที่ดูการต่อสู้อยู่ก็ส่งเสียงอื้ออึงกันอีกครั้ง
“วงเวทนั่น! จะปลดปล่อยการโจมตีระดับทริปเปิลเอสอีกแล้วเหรอ!?”
“ไม่น่าเชื่อ! คราวนี้วงเวทนั่นก่อรูปร่างขึ้นเร็วกว่าคราวที่แล้วอีกนะ รึว่าเมื่อกี้จะยังไม่ได้เอาจริง!?”
“ใช้เวทระดับนี้ได้ตามใจชอบเลยงั้นเหรอ!? หมอนั่นเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย!?”
แบล็คโรสที่มองเห็นขอบของวงเวทซึ่งโผล่พ้นม่านหมอกออกมาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ได้ยั้งเท้าลง เพราะไม่เชื่อว่านี่จะเป็นการอัญเชิญระดับทริปเปิลเอสจริง ๆ
“หมอกนี่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากระยะไกลงั้นเหรอ? หรือเพื่อใช้อำพรางรูปร่างที่แท้จริงของวงเวทกันแน่? ความเร็วในการสร้างวงเวทที่ผิดปกตินี้… แถมยังมีขอบวงเวทโผล่พ้นม่านหมอกออกมาอีก ยังกับจงใจจะให้เห็นอย่างนั้นแหละ… คิดจะหลอกให้เข้าใจว่าเป็นเวทอัญเชิญระดับทริปเปิลเอสงั้นเหรอคะ? ฮุฮุฮุ~ ความจริงแล้วนี่น่าจะเป็นเวท ‘อัญเชิญพื้นที่’ อย่างพวกหลุมทรายหรือบึงโคลนขึ้นมาใช้เป็นกับดักมากกว่า”
เพราะมั่นใจว่านั่นเป็นกลลวง แบล็คโรสจึงเร่งความเร็วขึ้นอีก แต่เพราะความเป็นไปได้ที่วงเวทนี้จะอัญเชิญหลุมทรายหรือบ่อโคลนสำหรับใช้พันธนาการออกมา เธอจึงพุ่งตัวขึ้นไปบนอากาศเพื่อเปลี่ยนจากการวิ่งบนพื้นเป็นการร่อนบินด้วยผ้าคลุมซึ่งตอนนี้เปลี่ยนรูปร่างเป็นแผ่นกระดานทรงสามเหลี่ยมคล้ายกับปีกของเครื่องร่อนแทน
ในระหว่างที่บินอยู่ แบล็คโรสก็ย้อมดาบทั้งสองเล่มของเธอให้กลายเป็นสีดำไปด้วย แต่คราวนี้ของเหลวสีดำที่ไหลออกมาไม่ได้ชโลมคมดาบแค่เหมือนกับเป็นปลอกบาง ๆ ดังคราวก่อน ทว่ากลับซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าจนดาบอันเรียวเล็กในมือของเธอเริ่มเปลี่ยนทั้งรูปร่างและขนาดกลายเป็นดาบใหญ่ไปแทน
นี่เป็นการเตรียมตัวสำหรับการโจมตีครั้งใหญ่ เพราะแบล็คโรสคิดจะทำลายทั้งม่านหมอกและพื้นที่อะไรก็ตามที่ซาลอัญเชิญออกมาพร้อมกันในคราวเดียว
เธอโฉบตัวเข้าไปใกล้ม่านหมอกราวกับนกนางแอ่นที่กำลังโผบิน เมื่อได้ระยะ เด็กสาวก็ง้างดาบทั้งสองเล่มในมือขึ้นอย่างสุดแรงเพื่อจะปลดปล่อยการโจมตี ทว่ายังไม่ทันจะได้สะบัดดาบลงอีกครั้งก็มีวัตถุลึกลับพุ่งออกมาจากม่านหมอกและเสียบเข้ากลางลำตัวของเธอในทันที
ดวงตาของแบล็คโรสเบิกโพลงขึ้นอีกครั้งเพราะความตกตะลึง ร่างของเธอที่ยังคงปักตรึงอยู่กับวัตถุนั้นถูกลากดึงให้สูงจากพื้นขึ้นไปอีกโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอจึงได้แต่กัดฟันและพยายามมองดูว่าตัวจริงของการโจมตีอันไม่คาดฝันนี้คืออะไรกันแน่
แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่พุ่งแทงและดันร่างของเธอให้ออกห่างจากพื้นไปเรื่อย ๆ นี้คือปลายยอดของต้นไม้สีเทาที่ไร้ใบต้นหนึ่ง
เธอถูกยอดไม้ที่โผล่ออกมาจากม่านหมอกเสียบทะลวงร่างเข้านั่นเอง
——————————————————————————–
Part 3
ซาลรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมองออกว่าวงเวทของเขาไม่ใช่เวทอัญเชิญระดับทริปเปิลเอส
เพราะแบล็คโรสไม่ได้ทุ่มเทสุดกำลังตั้งแต่แรกในการต่อสู้ การโจมตีของเธอเหมือนกับเป็นการหยั่งเชิงหรือทดสอบมากกว่า แถมเธอยังสามารถไขปริศนาการโจมตีของเขาได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนไม่น่าจะทำได้ ซาลจึงค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัวจริงของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งคู่เคยประมือกันมาแล้วตอนที่เธอทดสอบความสามารถในเชิงดาบของเขา และตอนนั้นซาลก็ได้ใช้ลูกเล่นลักษณะนี้ในการต่อสู้ด้วย ลานาเทลที่เคยเห็น ‘การอัญเชิญพื้นที่’ มาก่อนจึงน่าจะคาดคะเนว่าวงเวทนี้เป็นเวทที่อัญเชิญหลุมทรายออกมาเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเธอ
เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีรับมือที่เธอน่าจะใช้ก็คือการหลีกเลี่ยงพื้นราบและเปลี่ยนไปใช้การโจมตีจากบนอากาศแทน ซาลจึงทำการซ้อนแผนด้วยการอัญเชิญดงไม้อันไร้ใบดงนี้ออกมา เพื่อทำการโจมตีลานาเทลที่อยู่บนอากาศ
ต้นไม้เหล่านี้ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา แต่มันเป็นต้นไม้ที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นโดยยูนิตี้
ด้วยเจตนาที่จะสร้างเส้นใยธรรมชาติที่สามารถดูดซับและหักล้างจิตต่อสู้ได้เพื่อจะนำมาใช้ถักทอเป็นอาภรณ์ที่มีพลังป้องกันสูง ยูนิตี้จึงนำต้น ‘ไอดราซิล’ (Idrassil) ต้นไม้ที่กล่าวกันว่าเป็นพืชพงศ์เดียวกับต้นไม้ในตำนานอย่าง ‘อิกดราซิล’ มาใช้เป็นต้นแบบในการปรับปรุงพันธุ์ เพราะต้นไอดราซิลจัดเป็นต้นไม้ประหลาดที่มีพลังงานคล้ายกับจิตต่อสู้ห่อหุ้มอยู่บนเปลือกของมันตลอดเวลา
ท้ายสุดแล้วแม้ความพยายามของยูนิตี้จะล้มเหลวเพราะไม่สามารถสกัดเส้นใยออกจากเปลือกของต้นไอดราซิลที่ปรับปรุงพันธุ์จนมีเปลือกแข็งราวกับหินแล้วได้ แต่คุณสมบัติของมันที่มีพลังงานคล้ายกับจิตต่อสู้ความเข้มข้นสูงห่อหุ้มอยู่ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซาลจึงสั่งให้เก็บมันไว้และนำบางส่วนมาปลูกในช่องมิติของเขา
ต้นไอดราซิลที่โตเต็มที่จะมีความสูงกว่าสามสิบเมตรทั้งที่ลำต้นอาจมีเส้นรอบวงเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น ดงของต้นไอดราซิลที่ขึ้นซ้อนกันจึงมีลักษณะเหมือนกับหอกที่ถูกมัดรวมกัน เมื่อบวกกับคุณสมบัติพิเศษของมันที่ห่อหุ้มด้วยพลังงานคล้ายกับจิตต่อสู้ความเข้มข้นสูงอยู่ตลอดเวลา ซาลจึงคิดว่ามันน่าจะนำมาใช้เป็นอาวุธได้ในบางกรณีนั่นเอง
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขานำมันออกมาใช้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาต้องนับว่าเกินคาด
เหล่านักผจญภัยที่เฝ้าดูการต่อสู้นี้อยู่ต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึงไม่แพ้กัน เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นการโจมตีอันแปลกประหลาดแบบนี้
ในขณะเดียวกัน แบล็คโรสที่ยังถูกเสียบคาอยู่บนยอดไม้ก็แสยะยิ้มออกมา แม้ดวงตาของเธอจะไม่ได้ยิ้มด้วยเลยก็ตาม
“เจ็บ… พลาดจนได้รึเนี่ย… เราประเมินเด็กคนนี้ต่ำไปงั้นเหรอ? ไม่สิ.. การพัฒนาของเขามันก้าวล้ำไปไกลกว่าที่เราคาดคิดมากกว่า… ความจริงแค่นี้ก็น่าจะพอได้แล้ว แต่ว่า…”
เดิมทีแบล็คโรสไม่ได้คิดจะมาพังการประมูลของซาลแต่แรก เธอคิดว่าจะลงมาหยอกล้อเขาสักนิดหน่อยแล้วยอมให้อีกฝ่ายชนะไปในที่สุด แต่เมื่อกลับเป็นฝ่ายพลาดท่าไปจริง ๆ แบบนี้ เธอก็เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากจะยอมแพ้เอ่อล้นขึ้นมา
ทันใดนั้น นัยน์ตาสีม่วงใสของเธอก็กลับกลายเป็นสีเหลือง และส่วนที่เป็นสีขาวของดวงตาก็กลับกลายเป็นสีดำไปแทน
“นาน ๆ จะได้สนุกขนาดนี้ ขอต่อเวลาอีกหน่อยก็แล้วกันนะคะ”
แบล็คโรสไขว้ดาบทั้งสองของเธอเข้ากับลำคอของตัวเอง ก่อนจะทำการเฉือนมันออกจนเป็นแผลเหวอะ ทำให้มีเลือดสีแดงเข้มพุ่งกระฉูดออกมาราวกับเป็นน้ำพุ
ภาพอันน่าสยดสยองนี้ทำให้ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่ต่างก็ต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้แต่ซาลในร่างแร็กน่าก็ยังแสดงอาการตกใจออกมาทางสีหน้าด้วย
เลือดของแบล็คโรสที่พุ่งออกมาได้อาบชโลมส่วนยอดของดงต้นไอดราซิลจนกลายเป็นสีแดงเข้มไปทีละน้อย แต่ไม่นานนักสีแดงของเลือดที่อาบอยู่ก็ทวีความเข้มขึ้นจนแทบจะกลายเป็นสีดำไปแทน
ในเวลานั้นเองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับส่วนยอดของดงต้นไอดราซิล เพราะส่วนยอดที่ถูกของเหลวสีดำอาบชโลมอยู่นั้นกลับถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วราวกับโดนน้ำกรด จากปลายยอดที่เติบโตเต็มที่ก็ค่อย ๆ หดลีบลง และสลายหายไปในที่สุด ในขณะเดียวกันของเหลวสีดำก็เพิ่มปริมาณขึ้นและหลั่งไหลลงไปอาบชโลมยังส่วนที่อยู่ถัดไปของต้นไอดราซิลต่อก่อนจะกัดกินลำต้นต่อไปเรื่อย ๆ
ความเร็วของการกัดกินนี้ตอบสนองกับปริมาณของของเหลวสีดำที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการย่อยสลายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทุกเสี้ยววินาที
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ดงต้นไอดราซิลความสูงเกือบสามสิบเมตรที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ก็ถูกย่อยสลายจากยอดลงมาถึงโคนต้น จนเหลือเพียงของเหลวสีดำที่ไหลทะลักและท่วมออกไปทั่วบริเวณ ทำให้ซาลต้องรีบหลบออกมาให้พ้นจากรัศมีของมันเป็นการด่วน
“ละ.. ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย!? เอาจริงดิ!?”
เขาหันกลับไปมองร่างเล็ก ๆ ของแบล็คโรสที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเลือดพลางพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือด ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมาและจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีดำสนิทที่มีนัยน์ตาสีเหลืองอยู่ภายใน
สำหรับคนทั่วไปแล้วมันคงเป็นรอยยิ้มอันน่าขนลุก แต่ซาลยังคงเห็นมันเป็นรอยยิ้มอันขี้เล่นที่แฝงไปด้วยความรู้สึกกระหายความสนุก ทำให้เขาต้องนิ่วหน้าลง
เพราะตอนนี้เขาชักจะรู้สึกหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของลานาเทลขึ้นมาจริง ๆ แล้ว