Doombringer the 5th - ตอนที่ 144
Ch.144 – งานประมูลแห่งความมืด (5)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 140
งานประมูลแห่งความมืด (5)
Part 1
ของเหลวสีแดงเข้มปริมามหาศาลได้ไหลอาบไปทั่วลานประมูลจนทำให้มันมีสภาพราวกับเป็นทะเลเลือด และผู้ที่ยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของทิวทัศน์อันน่าขนลุกนั้นก็คือเด็กสาวผมดำคนหนึ่ง ที่คอและหน้าท้องของเธอต่างก็มีบาดฉกรรจ์ซึ่งมีเลือดไหลอาบลงไปจนถึงปลายเท้า ร่างกายของเธอซีดเผือดจากการเสียเลือดจนกลายเป็นสีขาวซีด ตรงกันข้ามกับดวงตาของเธอที่เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทโดยมีนัยน์ตาสีเหลืองอำพันอยู่ภายในแทน ทำให้เธอดูราวกับเป็นซากศพที่มีชีวิต
แต่ในเวลานั้นเองก็เกิดปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดขึ้น เพราะเลือดที่ไหลรินออกมาจากปากแผลของเด็กสาวได้หยุดลงแถมยังไหลย้อนกลับเข้าไปในร่างกายของเธออย่างผิดธรรมชาติ โดยดึงเอาทะเลเลือดที่เจิ่งนองอยู่บริเวณปลายเท้าขึ้นมาด้วย
ไม่นานนัก บาดแผลฉกรรจ์บนร่างกายของเด็กสาวก็เริ่มสมานตัวเองอย่างรวดเร็วจนกลับเป็นผิวขาวนวลละเอียดอันไร้รอยขีดข่วน อาภรณ์ที่ฉีกขาดของเธอจนก็กลับสู่สภาพสมบูรณ์อีกครั้ง ราวกับเธอไม่เคยได้รับการบาดเจ็บใด ๆ มาก่อนเลย
เหล่าผู้ชมที่ดูการประลองครั้งนี้อยู่ต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เพราะแม้แต่ในหมู่ผู้ใช้ศาสตร์มืด ก็มีเพียงน้อยคนที่จะรู้จักความสามารถแบบนี้
“นั่นมัน… ‘ดีโวริ่งบลัด’ (Devouring Blood) หนึ่งในทักษะระดับสูงสุดของเผ่าแวมไพร์ที่สามารถใช้เลือดในการย่อยสลายสิ่งมีชีวิตอื่นแล้วแปรสภาพให้กลายเป็นเลือดได้ ว่ากันว่าถ้ามีระดับพลังสูงกว่าอีกฝ่ายมาก ๆ จะสามารถใช้ท่านี้กลืนกินคู่ต่อสู้ได้ทั้งตัวเลยนะคะ แต่ถึงจะไม่สามารถดูดกลืนคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันได้ก็ยังใช้แปรสภาพสิ่งมีชีวิตรอบ ๆ อย่างต้นไม้ใบหญ้าให้กลายเป็นเลือดแล้วนำมาฟื้นฟูร่างกายหรือใช้ในการต่อสู้ได้อยู่ดี วิชานี้ก็ถือว่าเป็นทักษะระดับทริปเปิลเอสของเผ่าแวมไพร์เหมือนกัน มิน่าล่ะหนูแบล็คโรสคนนั้นถึงกล้าลงไปประลองทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นักผจญภัยธรรมดา เพราะเธอมีไพ่เด็ดแบบนี้เก็บเอาไว้นั่นเอง”
เนเน็ตที่ยืนดูการต่อสู้ผ่านหน้าจอเวทมนตร์ของห้องควบคุมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เพราะแม้จะเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะนี้มาบ้าง แต่เธอก็เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นของจริงเป็นครั้งแรก
“แบล็คโรส… เด็กเผ่าแวมไพร์ที่สนิทสนมกับอากาล่อนคนนั้น… ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นนักผจญภัยระดับสูง แต่ไม่นึกว่าจะซุกซ่อนความสามารถแบบนี้เอาไว้ด้วย… เห็นทีคงต้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบปูมหลังของแต่ละคนให้เข้มงวดขึ้นซะแล้ว…”
ไลคัสที่นั่งชมการต่อสู้อยู่ข้าง ๆ ได้พูดพึมพำกับตัวเองออกมา ทำให้เนเน็ตได้แต่ยิ้มอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปติดตามการต่อสู้อีกครั้ง
ที่ลานประมูล แบล็คโรสซึ่งฟื้นฟูร่างกายกลับมาจนสมบูรณ์แล้วก็ยกมือขวาขึ้นมาที่ระดับอกก่อนจะกำและแบมืออยู่หลายครั้งในขณะที่จ้องมองมันพลางครุ่นคิดไปด้วย
“ยังรู้สึกชาตามปลายนิ้วอยู่นิดหน่อยแถมยังโคจรพลังได้ไม่ค่อยสมบูรณ์ แปลว่ายังได้เลือดกลับมาไม่ครบ… ใช้ ‘ดีโวริ่งบลัด’ ในร่างนี้เป็นการกระทำที่ฝืนตัวเองเกินไปจริง ๆ … แค่แปรสภาพต้นไม้ประหลาดนั่นให้กลายเป็นเลือดแล้วดึงกลับมารักษาตัวเองเท่านี้ก็เต็มที่แล้ว… เรามีพลังไม่พอที่จะแปรสภาพเลือดที่เหลืออยู่บนพื้นทั้งหมดนี้ให้เป็นอาภรณ์เลือด แต่อย่างน้อยก็ยังพอควบคุมและใช้งานมันได้ล่ะ…”
หลังจากสำรวจความสมบูรณ์ของร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็เหลือบตากลับขึ้นมามองดูชายหนุ่มผมแดงที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรอีกครั้งและเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายในทันที
การเคลื่อนไหวของแบล็คโรสทำให้ทั้งแร็กน่าและเหล่าผู้ชมที่ดูการต่อสู้อยู่ต่างก็ต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงโดยพร้อมเพรียงกัน นั่นก็เพราะทันทีที่เธอพุ่งตัวออกมา บ่อเลือดขนาดใหญ่ที่เจิ่งนองอยู่ก็เคลื่อนตัวไปตามพื้นศิลาของลานประมูลพร้อม ๆ กับเธอด้วย
ในมุมมองของผู้ชมที่ดูผ่านหน้าจอเวทมนตร์จะเห็นเหมือนกับบ่อเลือดขนาดใหญ่นั้นเป็นเงาของวัตถุอะไรบางอย่างที่ทอดลงมาจากฟากฟ้าและเคลื่อนที่ตามการเคลื่อนไหวของแบล็คโรสไป แต่สำหรับแร็กน่าที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้โดยตรงและเห็นบ่อเลือดทอดยาวไปไกลเกือบสุดระยะสายตานั้น มันทำให้เกิดภาพราวกับว่าลำน้ำเลือดสีดำสนิทกำลังถาโถมเข้ามาหาเขาอย่างเชี่ยวกรากพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวของเด็กสาว
เดิมทีบ่อเลือดนั้นก็แผ่กว้างออกจากจุดที่แบล็คโรสยืนอยู่เป็นรัศมีเกือบยี่สิบเมตรอยู่แล้ว ส่วนแร็กน่านั้นยืนอยู่ห่างจากบริเวณปลายขอบของมันไปเพียงไม่กี่เมตร เมื่อบ่อเลือดทั้งวงเคลื่อนตัวเข้ามาหาเขาอย่างกะทันหันจึงทำให้ลำน้ำเลือดพุ่งเข้ามาถึงตัวเขาได้ภายในชั่วอึดใจ
แม้จะรู้สึกตัวช้าไปเล็กน้อย แต่แร็กน่าก็ยังตั้งสติได้ทันและรีบดีดตัวออกจากจุดที่ยืนอยู่ในทันทีเพื่อทิ้งระยะห่างจากบ่อเลือดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าในระหว่างที่เขากำลังลอยตัวอยู่ในอากาศนั้นเอง แบล็คโรสก็สะบัดดาบในมือขวาของเธอไปข้างหน้าราวกับเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นธารเลือดใต้ฝ่าเท้าของเธอก็เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนไหลไปอาบชโลมบริเวณที่อีกฝ่ายสามารถใช้ในการลงสู่พื้นได้เกือบทั้งหมด
ด้วยภาวะคับขัน แร็กน่าจึงรีบวาดมือไปบนอากาศเพื่อร่ายเวท ก่อนจะกำหมัดแล้วทำท่าดึงเหมือนกับกำลังฉุดกระชากอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นร่างของเขาก็หยุดอยู่กลางอากาศก่อนจะพุ่งทแยงขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง ราวกับเขาคว้าจับเชือกที่ไม่มีใครมองเห็นเอาไว้ได้ และใช้มันดึงตัวเองขึ้นฟ้าไป
มันคือเวทบินแบบเฉพาะตัวของซาลที่อาศัยการลดแรงดึงดูดในจุดที่ตนอยู่และเพิ่มแรงดึงดูดในอีกจุดหนึ่งเพื่อสร้างแรงเหนี่ยวนำในการเคลื่อนที่ไปบนอากาศ แต่เพราะรีบใช้ออกมาในจังหวะที่กำลังจวนตัวทำให้เขาไม่สามารถเลือกทิศทางในการเคลื่อนที่ได้มากนัก ตอนนี้แร็กน่าจึงพุ่งตัวย้อนกลับไปทางแบล็คโรสแทน
เขาวาดมือร่ายเวทอีกครั้งเพื่อทำการผ่อนแรง ทำให้ร่างของแร็กน่าค่อย ๆ ลอยช้าลงจนหยุดอยู่กลางอากาศ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปลี่ยนทิศ ทะเลเลือดที่อยู่เบื้องล่างก็เกิดการปั่นป่วนบ้าคลั่งและยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีเสาเลือดสี่ต้นพุ่งขึ้นมาล้อมเขาเอาไว้จากทุกทิศ
เมื่อเสาเลือดเหล่านั้นพุ่งตัวขึ้นมาได้ระดับแล้ว ส่วนยอดของมันก็ค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาหาชายหนุ่มจากด้านบน ส่วนแบล็คโรสเองก็พุ่งตัวตามขึ้นมาด้วยเสาเลือดต้นที่ห้าซึ่งเธอยืนอยู่บนยอด ทำให้รูปร่างของทะเลเลือดที่แปรเปลี่ยนไปนี้เริ่มชัดเจนขึ้น
ตอนนี้มันกลายเป็นอุ้งมือขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากเลือดสีดำสนิท เสาทั้งสี่ต้นที่กำลังโน้มลงมาก็คือนิ้วชี้ไปจนถึงนิ้วก้อยที่กำลังบีบกำ ส่วนเสาต้นที่ห้าซึ่งดันตัวแบล็คโรสขึ้นมาก็คือนิ้วโป้งนั่นเอง และแร็กน่าก็กำลังลอยตัวอยู่ท่ามกลางอุ้งมือขนาดยักษ์นี้
แบล็คโรสที่ยืนอยู่บนนิ้วโป้งกำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมเต็มพิกัดราวกับว่าเธอสามารถพุ่งตัวออกมาโจมตีได้ทุกเมื่อ ส่วนนิ้วมือขนาดยักษ์ทั้งสี่ที่ล้อมเขาจากทุกด้านนั้น ซาลรู้ว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์หรือเพิ่มความเร็วในฉับพลันได้ตลอดเวลา การจะหลบหนีออกจากอุ้งมือโลหิตนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และนิ้วมือแต่ละนิ้วยังค่อย ๆ บีบวงแคบเข้ามาพร้อมกับแบล็คโรสที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ แปลว่ายิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป พื้นที่ที่เขาเคลื่อนไหวได้ก็จะยิ่งถูกจำกัดลง และทำให้โอกาสในการหนีรอดลดต่ำลงไปอีก
ความจริงคือแค่ในภาวะที่เป็นอยู่นี้ ซาลก็คิดว่าการหลบหนีออกจากวงล้อมเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้แล้ว เพราะความเชี่ยวชาญในเวทลอยตัวของเขายังไม่สูงถึงระดับที่สามารถเคลื่อนไหวไปบนอากาศได้อย่างอิสระนั่นเอง เขาอาจเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศได้สักครั้งสองครั้งเพื่อหลบนิ้วมือที่บีบเข้ามา แต่ด้านหลังก็ยังมีแบล็คโรสที่รอเข้าโจมตีเป็นลำดับที่สามอยู่อีก และความสามารถในการเคลื่อนที่บนอากาศของเธอก็เหนือกว่าเขามากด้วย
ทางเลือกของซาลจึงเหลือแค่ใช้เวทอัญเชิญในการฝ่าออกจากวงล้อมไปให้ได้เท่านั้น
“พลังเวทของเขายังไม่น่าจะฟื้นฟูถึงระดับที่อัญเชิญนิโคลออกมาได้อีกครั้ง หรือถึงทำได้ก็ไม่น่าจะปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ แบบนั้นเราก็ยังพอจะใช้ทะเลเลือดนี้ป้องกันการโจมตีได้อยู่ ตัวเลือกลำดับถัดไปคือการใช้เดธเซนเทนซ์ของคุณแซนโดร แต่เราก็พอจะมีวิธีรับมือเอาไว้แล้วล่ะนะ”
แบล็คโรสแอบยิ้มออกมาเมื่อพิจารณาถึงทางเลือกต่าง ๆ ของซาลที่จะช่วยให้รอดไปจากสถานการณ์นี้ได้ เธอมั่นใจว่าตนเองเตรียมวิธีรับมือเอาไว้หมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีไม้ตายก้นหีบอะไรออกมาใช้พลิกสถานการณ์ได้อีก และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นจนหายใจแรงกว่าปกติ
——————————————————————————–
Part 2
ทางด้านซาล เขาก็รู้ข้อจำกัดของตนเองในสถานการณ์นี้ดีเช่นกัน จึงเร่งหาวิธีรับมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถึงจะฝืนอัญเชิญนิโคลออกมาได้แต่พลังโจมตีก็คงจะไม่สมบูรณ์ ถ้าลานาเทลหลบลงไปใต้ทะเลเลือดนี้และใช้มันเป็นที่กำบัง แอพโซลูทซีโร่คงแผ่ไปไม่ถึงแน่… ส่วนเดธเซนเทนซ์ของแซนโดรก็เป็นการโจมตีจากด้านบน นิ้วเลือดทั้งสี่นี้กำลังเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่บังการยิงได้พอดี แถมตัวเราเองยังอยู่ในรัศมีการยิงด้วย หรือต่อให้เราไม่ได้อยู่ตรงนี้ ลานาเทลก็คงหลบการโจมตีที่ต้องใช้เวลารวบรวมพลังแบบนั้นได้อยู่ดี ถ้าใช้พลังเวทหมดแล้วและต้องอาศัยแค่เชิงดาบในการต่อสู้ เราก็ไม่มีทางชนะแน่… จะทำยังไงดีนะ…”
ไม่ว่าจะพยายามครุ่นคิดเท่าไหร่ ซาลก็นึกหาวิธีที่จะรอดพ้นไปจากสถานการณ์นี้ไม่ออก ทะเลเลือดที่แบล็คโรสแปรสภาพให้กลายเป็นฝ่ามือเลือดขนาดยักษ์นี้คืออุปสรรคสำคัญที่จำกัดทางเลือกของเขาเอาไว้ เพราะอีกฝ่ายสามารถใช้งานมันได้ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับตามแต่สถานการณ์ ราวกับว่าเขาต้องต่อสู้โดยอยู่ในอุ้งมือของฝ่ายตรงข้ามจริง ๆ
“บ้าชะมัด.. ถ้าไม่มีฝ่ามือเลือดนี่ละก็…… เดี๋ยวซิ? ฝ่ามือเลือดงั้นเหรอ!?”
ทันใดนั้นซาลก็มีสีหน้าเหมือนกับเพิ่งจะคิดอะไรออกและเริ่มการร่ายเวทอัญเชิญ
เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แววตาของแบล็คโรสก็ฉายแววประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง เพราะด้วยเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นร่างอัญเชิญของนิโคลหรือแซนโดรก็ไม่น่าจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ทัน
“คิดอะไรออกแล้วเหรอคะ? แต่ฝ่ามือเลือดก็บีบเข้ามาจนเลยระยะปลอดภัยแล้วล่ะ ไหนขอดูซิว่าจะมีไม้เด็ดอะไรซ่อนไว้อีก”
แบล็คโรสย่อตัวลงเพื่อเตรียมตอบสนองต่อเวทอัญเชิญที่อีกฝ่ายร่ายออกมา เธอมั่นใจว่าซาลคงทำได้แค่พยายามฝ่าวงล้อมออกไปจากฝ่ามือเลือดด้วยสิ่งที่เขาอัญเชิญออกมาเท่านั้น และเมื่อร่างอัญเชิญหายไป เธอก็จะอาศัยจังหวะนั้นในการเข้าโจมตี
วงเวทขนาดเท่าตัวคนก่อรูปร่างและประสานตัวกันอย่างรวดเร็วขึ้นที่ปลายฝ่ามือของแร็กน่า จากนั้นมันก็เปล่งแสงสว่างวาบจนดูราวกับเป็นประตูที่สร้างขึ้นจากแสง ก่อนจะมีร่างของคนผู้หนึ่งก้าวออกมา
ทันทีที่เห็นร่างนั้น ดวงตาของแบล็คโรสก็ต้องเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกตะลึง และอาการระรื่นของเธอก็เลือนหายไปจากใบหน้าโดยสิ้นเชิง
เพราะบุคคลที่ก้าวออกมาจากวงเวทเป็นหญิงสาวผู้มีผมยาวสีดำขลับราวกับเส้นไหม เธอมีดวงตาสีม่วงใสที่ส่องประกายราวกับอัญมณีคู่หนึ่งประดับอยู่บนใบหน้าอันเรียวงามได้สัดส่วน รอยยิ้มของเธอทั้งดูเยือกเย็นและทรงอำนาจ ราวกับเธอเป็นราชินีผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง
แม้คนทั่วไปอาจไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้คือใคร แต่สำหรับแบล็คโรสแล้วเธอรู้ได้ในทันทีว่า หญิงสาวผมดำที่ถูกอัญเชิญออกมานี้ก็คือร่างเสมือนของ ลานาเทล ซันรีเวอร์ ราชินีแวมไพร์แห่งวาลาเชียนั่นเอง
ในระหว่างที่แบล็คโรสยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง หญิงสาวผมดำก็ชักดาบเคลย์มอร์คู่ใจออกมา ก่อนจะหมุนปลายดาบลงแล้วทิ้งตัวลงไปปักดาบเข้าใส่อุ้งมือเลือดที่อยู่เบื้องล่าง โดยมีแร็กน่าที่เอามือข้างหนึ่งยึดไหล่ของหญิงสาวเอาไว้ตามลงไปด้วย
ทันทีที่ถูกแทง อุ้งมือเลือดขนาดยักษ์นั้นก็เกิดการสั่นไหวอย่างหนัก พื้นผิวที่เคยควบแน่นจนแทบจะเป็นของแข็งก็กลับคลายตัวลงจนดูคล้ายกับของเหลวอีกครั้ง มันไหลเชี่ยวราวกับทะเลคลั่งที่กำลังปั่นป่วนด้วยลมพายุ ในเวลาเดียวกันนั้น บริเวณไหล่ของหญิงสาวผมดำผู้กุมดาบอยู่ก็เริ่มมีเส้นใยสีแดงเข้มปรากฏออกมา เส้นใยเหล่านั้นเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและถักทอกันจนกลายเป็นผ้าคลุมสีดำสนิทซึ่งมีเงาสีแดงสะท้อนยามที่ถูกแสงตกกระทบ มันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วสวนทางกับอุ้งมือเลือดที่ถูกดาบปักตรึงอยู่ซึ่งดูจะค่อย ๆ ลดขนาดลงทีละน้อย
“ยะ.. แย่แล้ว!!”
แบล็คโรสอุทานออกมาก่อนจะรีบพุ่งตัวลงไปเพื่อยับยั้งการกระทำของอีกฝ่าย เพราะสิ่งที่หญิงสาวผมดำกำลังทำอยู่นั้นก็คือการใช้ดาบเขี้ยวแวมไพร์ดูดกลืนฝ่ามือเลือดแล้วนำมาสร้างเป็นผ้าคลุมของตนแทนนั่นเอง
ทันใดนั้นหญิงสาวผมดำก็ดึงดาบออกจากฝ่ามือเลือดอย่างแรง เสี้ยววินาทีต่อมาอุ้งมือขนาดยักษ์นั้นก็แตกสลายกลายเป็นของเหลวไปอีกครั้ง ราวกับสิ่งที่ยึดเหนี่ยวรูปร่างของมันไว้ได้ถูกทำลายลงจนไม่อาจคงสภาพได้อีก ส่วนหญิงสาวก็ตวัดดาบในมือขึ้นไปปัดป้องการโจมตีของแบล็คโรสได้อย่างรวดเร็วผิดกับรูปร่างที่ดูใหญ่โตและเทอะทะของมัน
การโจมตีของแบล็คโรสถูกสกัดเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการตวัดดาบแค่เพียงครั้งเดียว แถมตัวเธอยังถูกผลักให้ถอยหลังกลับไปอีกหลายเมตรด้วย ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะตั้งหลักได้อีกครั้ง หญิงสาวผมดำก็กุมดาบมั่นด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะฟันออกไปอย่างแรง แม้ตัวของหญิงสาวจะไม่ได้ขยับออกจากจุดที่ยืนอยู่ แต่ก็เกิดคมดาบสีดำทรงจันทร์เสี้ยวแผ่พุ่งออกมาจากการโจมตีนั้นและตรงเข้าใส่แบล็คโรสในทันที
ด้วยความเร็วของคมดาบบวกกับระยะที่ค่อนข้างกระชั้นชิด แบล็คโรสจึงได้แต่ไขว้ดาบเพื่อป้องกันการโจมตีนั้นเอาไว้ เธอถูกแรงปะทะดันให้ถอยห่างออกไปอีกนับสิบเมตรกว่าจะสะบัดดาบในมือเพื่อเปลี่ยนทิศทางของคมดาบสีดำนั้นไปทางอื่นได้ ทว่าเมื่อหันกลับมาอีกครั้งเธอก็ต้องพบกับภาพที่น่าตกตะลึงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เพราะดาบเคลย์มอร์ในมือของฝ่ายตรงข้ามกำลังถูกเคลือบด้วยของเหลวสีดำซึ่งซ้อนตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่าจนตัวดาบที่เคยมีความยาวเกือบสองเมตรอยู่แล้วยิ่งยาวขึ้นไปอีก ในเวลาเดียวกันผ้าคลุมผืนใหญ่บนหลังของหญิงสาวก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ราวกับมันกำลังถูกดูดเข้าไปในตัวเธอแล้วส่งผ่านมาใช้สร้างคมดาบสีดำสนิทนี้
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พริบตา ผ้าคลุมผืนใหญ่ที่เคยโบกสะบัดอยู่บนหลังของหญิงสาวก็หดสั้นลงจนหายวับไป ส่วนดาบเคลย์มอร์ในมือของเธอก็ถูกเคลือบด้วยของเหลวสีดำจนมีความยาวเพิ่มขึ้นเป็นเกือบห้าเมตร แม้ความกว้างของมันจะคงเดิมก็ตาม
ทันใดนั้น หญิงสาวผมดำก็แผ่จิตสังหารอันรุนแรงออกมา ก่อนที่จะตวัดดาบในมือฟันออกไปด้วยความเร็วที่นักผจญภัยทั่วไปไม่สามารถมองได้ทัน
แบล็คโรสรับรู้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ได้ในทันที เธอจึงเร่งความเร็วเต็มพิกัดเพื่อบินหลบออกจากการโจมตีนั้นตั้งแต่สัมผัสถึงจิตสังหารที่ปลดปล่อยออกมาได้ แต่ก็ไม่ทันการ
เพราะทันทีที่หญิงสาวผมดำสะบัดดาบลง ร่างของแบล็คโรสก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนในทันที
เนื่องจากกำลังอยู่ในท่าบิน คมดาบอันรวดเร็วนั้นจึงสับเข้าที่กลางร่างของแบล็คโรสพอดี ทำให้ร่างกายท่อนบนของเธอยังคงพุ่งต่อไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ลดลง ส่วนร่างกายท่อนล่างที่หลุดออกจากตัวนั้นก็ค่อย ๆ ร่วงลงไปบนพื้นอย่างไร้การควบคุม
สุดท้ายแล้วแบล็คโรสที่เหลือร่างกายอยู่เพียงครึ่งเดียวก็สูญเสียพลังในการบินและร่วงลงไปบนพื้นในจุดที่ไม่ห่างจากร่างกายอีกส่วนของเธอนัก
——————————————————————————–
Part 3
คมดาบของหญิงสาวผมดำไม่เพียงแค่ผ่าร่างของแบล็คโรสให้กลายเป็นสองส่วน มันยังสร้างรอยบากขนาดใหญ่ที่มีความลึกสุดจะหยั่งถึงขึ้นบนพื้นศิลาของลานประมูลด้วย แม้แต่ท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังอยู่ในสภาพบิดเบี้ยวราวกับห้วงมิติกำลังจะฉีกขาด ก่อให้เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาทราวกับภูผาถล่มดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่รับชมการต่อสู้ผ่านหน้าจอเวทมนตร์อยู่ต่างก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กันเพราะสถานการณ์ที่พลิกกลับไปกลับมาอย่างฉับพลัน และเพราะการโจมตีอันน่าสะพรึงของหญิงสาวผมดำที่ถูกอัญเชิญมาโดยแร็กน่า
“สภาพแบบนั้น.. แปลว่าเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวเรล์มนี่คะ? การโจมตีนั่นมันมีพลังทำลายถึงระดับที่สามารถฉีกทอนห้วงมิติและสร้างความเสียหายให้กับเรล์มได้เลยเหรอคะเนี่ย?”
เนเน็ตกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เพราะเธอเพิ่งเคยเห็นการโจมตีที่รุนแรงขนาดสั่นคลอนห้วงมิติได้เป็นครั้งแรก
ไลคัสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็แสดงอาการตกใจออกมาเพราะท่าโจมตีอันทรงพลังนั้นเช่นกัน แต่ความสนใจของเขานั้นมุ่งเน้นไปยังร่างอัญเชิญผู้ปลดปล่อยการโจมตีออกมามากกว่า
“ทั้งดูดกลืนฝ่ามือเลือดไปเป็นของตัวเองและใช้มันเสริมพลังให้กับดาบจนสร้างการโจมตีแบบนั้นได้ นับว่าเป็น ‘บลัดคราฟต์’ ระดับสูงมากทีเดียว ร่างอัญเชิญนั่นต้องเป็นแวมไพร์ไม่ผิดแน่นอน แต่แวมไพร์ที่ใช้ทักษะระดับสูงขนาดนี้ได้น่าจะมีแค่ลานาเทลแห่งวาลาเชียเพียงคนเดียว ซึ่งเธอก็ตายไปตั้งหลายปีแล้วนี่นา…”
เมื่อนึกถึงชื่อของลานาเทลขึ้นมาได้ ดวงตาของไลคัสก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาจ้องมองไปยังหน้าจอเวทมนตร์ซึ่งกำลังฉายภาพของหญิงสาวผมดำที่กำลังค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงไป
แม้จะเห็นรูปพรรณไม่ชัดนัก แต่เขาก็ยังมองออกว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนที่มีรูปโฉมงดงามและมีดวงตาสีม่วงใสราวกับอัญมณี มันเป็นรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกับท่านหญิงลานาเทลแห่งวาลาเชียที่เขาเคยได้ยินมามาก
“รึว่านั่นจะเป็น ‘เรเวอแนนท์’ ของลานาเทลแห่งวาลาเชีย!? ไม่จริงน่า.. เป็นไปไม่ได้! พวกแวมไพร์ไม่มีทางปล่อยให้ศพของผู้มีศักดิ์เทียบเท่ากับราชินีอย่างลานาเทลถูกนำไปทำเป็นเรเวอแนนท์หรอก! แต่พลังของร่างอัญเชิญนั่น… แถมยังรูปลักษณ์นั่นอีก… เจ้าหนุ่มแร็กน่านี่มันเป็นใครกันแน่!?”
แม้จะไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังทำให้ไลคัสรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เพราะหากสามารถอัญเชิญออกมาได้ทั้งมังกรน้ำแข็งและราชินีแห่งแวมไพร์ละก็ แร็กน่าผู้นี้ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถเทียบเท่ากับ ‘ราชาแห่งลิช’ (Lich King) ในตำนานของโลกเก่าแล้ว
สำหรับผู้เข้าร่วมการประมูลคนอื่น ๆ รวมไปถึงเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ แม้จะมีเพียงไม่กี่คนได้ข้อสันนิษฐานในลักษณะเดียวกับไลคัสหรือเชื่อมโยงแร็กน่าเข้ากับตำนานของโลกเก่า แต่ความคิดที่ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนในหัวของทุกคนก็คือ
แร็กน่าผู้นี้เป็นบุคคลที่ไม่ควรล่วงละเมิดด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ ก็ตาม
ที่ลานประมูลซึ่งอยู่ในสภาพยับเยิน ร่างครึ่งท่อนของแบล็คโรสซึ่งเหลืออยู่แค่ถึงส่วนบริเวณชายโครงก็กำลังคืบคลานไปตามพื้นโดยทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวเอาไว้ด้านหลัง
“แย่ที่สุด… เป็นเพราะร่างนี้ไม่สามารถใช้บลัดคราฟต์ระดับสูงได้อย่างสมบูรณ์ ฝ่ามือเลือดก็เลยถูก ‘ร่างนั้น’ ซึ่งมีขีดความสามารถเหนือกว่าทำการดูดไปแปรสภาพเป็นของตัวเองได้… เราประมาทเกินไปจริง ๆ … ไม่คิดว่าจะโดนพลิกสถานการณ์ด้วยวิธีแบบนี้… ตัวร่างอัญเชิญเดิมทีก็คงไม่ได้มีพลังอะไรมากนัก แต่เพราะได้รับพลังจากการดูดกลืนฝ่ามือเลือด ทำให้สามารถปลดปล่อยท่าโจมตีแบบนั้นออกมาได้… ที่สำคัญคือ เรายังไม่เคยใช้ท่านั้นให้ใครเห็นเลยแท้ ๆ ซาลารัสก็ยังไม่รู้แน่ ๆ แต่ร่างเสมือนก็ยังใช้ออกมาเอง แปลว่ามีการอัพเดทข้อมูลให้เทียบเท่ากับตัวจริงโดยอัตโนมัติงั้นเหรอ? ฮืม… ขี้โกงที่สุดเลย…”
แบล็คโรสได้แต่บ่นงึมงำกับตัวเองด้วยสีหน้าบูดบึ้งในขณะที่พยายามคืบคลานไปข้างหน้า ตอนนี้ดวงตาของเธอกลับเป็นปกติอีกครั้งทำให้ใบหน้าอันเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรงของเด็กสาวยิ่งดูน่าเวทนากว่าเดิม
แม้จะห้ามเลือดเอาไว้ได้ด้วยการแปรสภาพเลือดบริเวณปากแผล แต่เธอก็ยังเสียเลือดไปมาก และการปฐมพยาบาลแบบฉุกเฉินนี้ก็คงสภาพอยู่ได้ไม่นานนัก หากมันเป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการโจมตีธรรมดาเธออาจยังพอจะฟื้นฟูตัวเองกลับขึ้นมาได้มากกว่านี้อีกหลายส่วน แต่เพราะมันเป็นการบาดเจ็บที่เกิดจากท่าโจมตีซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับพลังงานทุกชนิดซึ่งสถิตอยู่ในร่างของเป้าหมายได้ ทำให้นอกจากจะเสียเลือดแล้ว แบล็คโรสยังสูญเสียทั้งพลังชีวิต, พลังเวทมนตร์, และจิตต่อสู้ไปเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถใช้งานทักษะต่าง ๆ ได้ดังใจอีก แม้แต่การขยับตัวก็ยังกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ความจริงแล้วนี่เป็นท่าโจมตีที่เธอคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้กับแซนโดร เมื่อถูกนำมาใช้กับตัวเองแบบนี้จึงทำให้แบล็คโรสยิ่งรู้สึกเจ็บใจมากขึ้นอีกหลายเท่า
เธอยังคงคืบคลานไปบนพื้นเพื่อกลับไปหาร่างกายท่อนล่างของตนเอง เพราะมีเพียงการประสานเข้ากับชิ้นส่วนนั้นจึงจะสามารถสมานปากแผลได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยิ่งคลานต่อไป ความเร็วในการคลานก็ยิ่งลดลงเรื่อย ๆ เพราะเธอใกล้จะหมดแรงแล้ว
“ไม่ไหวจริง ๆ รึเนี่ย… เห็นทีคงจะไม่มีทางอื่นนอกจากประกาศยอมแพ้เพื่อเทเลพอร์ทออกจากลานประมูลแล้วให้ทีมแพทย์ช่วยทำการรักษา… แต่เราก็ไม่อยากพูดคำนั้นเลย…”
การเอ่ยคำว่ายอมแพ้ออกมาตรง ๆ คือสิ่งที่แบล็คโรสถือว่าเป็นการเสียเกียรติอย่างที่สุด เธอจึงไม่คิดที่จะพูดมันออกมาแม้จะอยู่ในสภาพอันน่าเวทนานี้ก็ตาม ดวงตาของเธอค่อย ๆ ปิดลงทีละน้อยราวกับเด็กที่กำลังจะนอนหลับ เธอคิดว่าหากเลิกฝืนทนและปล่อยให้ตัวเองหมดสติไปก็น่าจะถูกปรับให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการต่อสู้ได้เช่นกัน แบล็คโรสจึงหลับตาลงและยอมให้สติของเธอเริ่มเลือนรางไป
แต่ยังไม่ทันที่สติของเธอจะดับวูบลง เด็กสาวก็รู้สึกได้ว่ามีเงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังทาบทับลงบนร่างของเธอ เธอจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งและเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นกำเนิดของเงานั้น และพบว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่เหนือร่างของเธอก็คือชายหนุ่มผมแดงที่ชื่อแร็กน่านั่นเอง
ดวงตาของแบล็คโรสเบิกโพลงขึ้นอีกครั้งเพราะสิ่งที่แร็กน่าอุ้มอยู่ในมือของเขาก็คือร่างกายส่วนครึ่งท่อนล่างของเธอ
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร แร็กน่าก็นั่งชันเข่าลงและวางชิ้นส่วนของร่างกายในมือลงประกบกับร่างกายท่อนบนของเธอ แบล็คโรสจึงรีบประสานร่างกายทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันอีกครั้ง ไม่นานนักมันก็กลับมาเชื่อมต่อกัน และบาดแผลของส่วนที่เคยเป็นรอยตัดซึ่งผ่าร่างของเธอออกเป็นสองเสี่ยงก็เริ่มจางลง
การกระทำของแร็กน่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่รับชมการประลองอยู่มาก โดยปกติแล้วคนที่มีความแข็งแกร่งระดับนี้มักจะต้องผ่านการต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตายมาอย่างโชกโชน จนทำให้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตและจะลงมือปลิดชีวิตศัตรูอย่างเด็ดขาดเสมอ จึงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะแสดงความเมตตาต่อศัตรูในลักษณะนี้ด้วย หลายคนจึงเริ่มมองแร็กน่าว่าเป็นคนที่มีความเมตตา และไม่น่าจะเป็นคนที่เลวร้ายอะไร
แต่สำหรับแบล็คโรสแล้วนี่ไม่ใช่การกระทำที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอนัก เธอจึงเผยรอยยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เพราะรู้สึกว่าคราวนี้ตนเองได้พ่ายแพ้แล้วจริง ๆ
“ใจอ่อนกับศัตรูแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะคะ ถ้าหากว่า… อะ.. เอ๊ะ!?”
ในระหว่างที่แบล็คโรสกำลังยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง แร็กน่าก็ชิงอุ้มตัวเธอขึ้นจากพื้นแล้ววางเธอคว่ำหน้าลงบนเข่าข้างที่ยกชันอยู่ของเขา ทำให้เด็กสาวต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นะ.. นี่ คิดจะทำอะไรกันคะ?”
แบล็คโรสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่เกิดจากอาการประหม่า ท่าที่เธอนอนคว่ำหน้าอยู่บนเข่าของแร็กน่านี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ และเธอก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ ซึ่งแร็กน่าก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และสายตาอันเย็นชาที่ปรายมองลงมายังร่างน้อย ๆ ของเด็กสาวซึ่งนอนอยู่บนหัวเข่าของเขาในสภาพไร้ทางสู้
“รู้ความผิดของตัวเองรึเปล่า?”
แร็กน่าเอ่ยคำถามกลับไปสั้น ๆ ถึงแค่นั้นจะทำให้แบล็คโรสเข้าใจความหมายของมันได้แล้ว แต่เธอก็ยังพยายามทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่ดี
“พะ.. พูดเรื่องอะไรน่ะคะ? ความผิดอะไรกัน? ฉันก็แค่ทำไปตามหน้าที่ของผู้ดูแลการประมูลเท่านั้นเอง”
แบล็คโรสกล่าวตอบโดยหันไปสบตากับแร็กน่าเพื่อพยายามแสดงความจริงใจ ทว่าแร็กน่าที่ได้รับคำตอบนั้นกลับหรี่ตาลงและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปเปิดชายเสื้อคลุมของแบล็คโรสออก เผยให้เห็นกางเกงในทรงฟักทองสีขาวปลอดที่เธอใส่อยู่ข้างใต้ชุดคลุมสีดำสนิทนี้
การกระทำอันคาดไม่ถึงของแร็กน่าทำให้แบล็คโรสรู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง แม้สิ่งที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมของเธอจะเป็นกางเกงในทรงฟักทองที่ไม่ค่อยเปิดเผยเนื้อหนังหรือสัดส่วนของผู้ใส่ให้ใครเห็นมากนัก แต่เธอก็ยังรู้สึกถึงความอับอายที่แล่นพล่านขึ้นมาจนใบหน้าซึ่งเคยซีดเผือดของเธอเริ่มจะกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะเปล่งเสียงต่อว่าหรือซักถามอีกฝ่าย ฝ่ามือของแร็กน่าก็หวดเข้าที่ก้นของเธอจนเกิดเสียงดัง ป้าบ!
การกระทำของแร็กน่าทำให้แบล็คโรสต้องสะดุ้งโหยง ดวงตากลมโตของเธอที่ยังเบิกค้างอยู่ด้วยอาการตกใจเริ่มมีหยาดน้ำตาปริ่มออกมา ไม่ใช่เพียงแค่เพราะความเจ็บปวดจากการถูกตี แต่เพราะความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยามด้วยการจับนอนคว่ำหน้าแล้วเปิดชายเสื้อคลุมออกเพื่อตีก้นเหมือนกับเป็นการทำโทษเด็กเล็ก ๆ ด้วย
นี่เป็นสภาพที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตซึ่งเธอไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน และไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เจอเลยแม้แต่น้อย
“ทำอะไรน่ะ!? อยากตายรึไง!? กล้าทำกับฉันแบบนี้แล้วคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้งั้นเหรอ!?”
แบล็คโรสคำรามออกมาด้วยโทสะอันพลุ่งพล่านจนแทบขาดสติ สีหน้าของเธอดูโกรธเกรี้ยวจนแทบจะกินเลือดกินเนื้อของฝ่ายตรงข้ามได้ ผิดกับแร็กน่าที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและมองลงมายังเด็กสาวที่กำลังโกรธจัดด้วยสายตาอันเย็นชา
“ก็รู้ทั้งรู้ว่าเป็นผมแต่ก็ยังจงใจจะลงมาป่วนอีก… แถมพอแพ้ไปรอบนึงแล้วแทนที่จะยอมรามือไปก็กลับเอาจริงซะนี่ ตัวเองบีบคั้นคนอื่นขนาดนี้แล้วยังมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้… ทางนี้ต่างหากที่จะไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ น่ะ! ยอมรับความผิดซะ!”
“อย่าได้ใจเกินไปนะ! แค่ฟลุคชนะก็คิดว่าเก่งแล้วงั้นเหรอ!? ถ้าฉันเอาจริงละก็.. อ๊าย!!”
ยังไม่ทันที่แบล็คโรสจะพูดได้จบประโยค ฝ่ามือของแร็กน่าก็หวดเข้าที่ก้นของเธออีกครั้งจนมีเสียงดัง ป้าบ! ดังสนั่น ทำให้เด็กสาวมีสีหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับหยาดน้ำตาที่เพิ่มมากขึ้น
“เจ้าเด็กบ้า! อยากตายจริง ๆ ใช่มั้ย!? คอยดูเถอะ! ฉันจะ.. อะ.. อ๊าย! อ๊ายยย!”
เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับผิดแถมยังพูดจาข่มขู่ แร็กน่าจึงหวดฝ่ามือเข้าใส่ก้นของแบล็คโรสแบบไม่ยั้ง จนมีเสียงดัง ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ! ต่อเนื่องกันไม่หยุด
ความจริงแล้วซาลก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นอะไรอีกฝ่ายขนาดนั้น แต่เพราะในระหว่างที่หวดมือลงไป แรงดีดสะท้อนที่ส่งกลับมายังมือของเขาพร้อมกับเสียงอันดังก็ทำให้เจ้าตัวเริ่มรู้สึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมา เมื่ออีกฝ่ายยังคงมีท่าทีแข็งกร้าว เขาจึงเผลอหวดแบบไม่ยั้งด้วยความมันมือ จนต้องพยายามขบเม้มริมฝีปากเอาไว้เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์
แบล็คโรสทั้งรู้สึกเจ็บปวดและอับอายกับสถานการณ์นี้จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดเธอก็ต้องกล้ำกลืนฝืนพูดคำที่เธอไม่คิดจะยอมพูดออกมา
“ยะ.. ยอมแล้ว! ฉันยอมแพ้แล้ว!”
ทันทีที่คำพูดนั้นถูกเอ่ยออกมา ร่างของแบล็คโรสก็ถูกเทเลพอร์ทออกจากลานประมูลไป จึงเหลือแต่เพียงแร็กน่าที่ยังคงนั่งชันเข่าอยู่บนลานประมูลตามลำพัง
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งพีระมิด เพราะเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่กำลังดูการถ่ายทอดสดอยู่ต่างก็ต้องรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก
ภาพลักษณ์ของแร็กน่าก่อนหน้านี้ที่ทุกคนมองว่าเป็นผู้มีความเมตตาได้ถูกลบเลือนไปจนสิ้น และแทนที่ด้วยภาพของคนโหดเหี้ยมต่ำช้าที่รังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ซึ่งไร้ทางสู้ได้อย่างไม่ปรานีแทน
——————————————————————————–
Part 4
ที่ห้องโถงกลางของฝ่ายดูแลการประมูล แบล็คโรสได้ถูกเทเลพอร์ทกลับเข้ามาในสภาพที่ยังคงทรุดตัวคว่ำหน้าอยู่ เจ้าหน้าที่หญิงสองคนซึ่งอยู่หน่วยแพทย์จึงรีบตรงเข้าไปหาเธอเพื่อสอบถามอาการบาดเจ็บ
“คะ.. คุณแบล็คโรส เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
แบล็คโรสไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าหน้าที่หญิงแต่ยังคงทรุดตัวคว่ำหน้าต่อไปด้วยอาการสั่นเทา ทำให้อีกฝ่ายไม่แน่ใจว่าการสั่นนี้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บ หรือเป็นเพราะความโกรธกันแน่
แต่ในที่สุด เด็กสาวก็ส่งเสียงออกมา
“ฮะ.. ฮึก… แง๊~~~~”
แบล็คโรสส่งเสียงร้องไห้จ้าก่อนจะลุกขึ้นแล้ววิ่งกุมหน้าออกจากห้องโถงของฝ่ายดูแลการประมูลไป ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้แต่ยืนนิ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี
ใกล้ ๆ กับห้องโถงของฝ่ายดูแลการประมูลคือจุดที่ใช้พักสินค้าที่ถูกนำมาประมูลในงาน และที่นั่นก็มีหญิงสาวผมดำซึ่งสวมแว่นตากรอบหนาและมีหูเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกอยู่บนศีรษะกำลังนั่งปะปนอยู่กับของชิ้นอื่น ๆ
ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากห้วงมิติ หญิงสาวจึงนำแท็บเล็ตเวทมนตร์ขนาดพอ ๆ กับสมุดเล่มเล็ก ๆ ออกมาจากช่องมิติส่วนบุคคลและเปิดดูข้อความที่ถูกส่งเข้ามา ทันใดนั้นดวงตาของหญิงสาวก็หรี่ลงด้วยอาการประหลาดใจ
เพราะข้อความที่ถูกส่งมานั้นเขียนเอาไว้ว่า
[การประมูลจบลงที่ราคา 7,000 โกลด์ หักค่าธรรมเนียมการประมูล 10% แล้วคุณจะได้รับเงินทั้งหมด 6,300 โกลด์ ทางฝ่ายจัดงานได้โอนเงินเข้าบัญชีที่คุณทำการลงทะเบียนเอาไว้แล้ว สามารถตรวจสอบได้ทันที ขอบคุณที่ร่วมทำการประมูลกับเราค่ะ]
หญิงสาวนิ่งเงียบไปพักหนึ่งหลังจากได้อ่านข้อความนั้น เธอปิดเท็บเล็ตลงและนำมันเก็บกลับไปในช่องมิติส่วนบุคคล ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบคลึงบริเวณริมฝีปากและทำท่าครุ่นคิดด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่ไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ ออกมา
“มีการสู้ราคากันแค่ถึง 7,000 โกลด์เองเหรอ? ทั้งที่เราอุตส่าห์ปล่อยข่าวออกไปให้ผู้เข้าร่วมการประมูลระดับ S รู้กันจนทั่วแล้วแท้ ๆ … ความจริงน่าจะมีการสู้ราคากันจนเฉียดหลักแสนโกลด์ได้ไม่ยากนี่นา… เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ…”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองในระหว่างที่ครุ่นคิดไปด้วย แต่ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายจัดงานคนหนึ่งเดินเข้ามา
“คุณบรรณารักษ์ครับ ตอนนี้การประมูลจบลงแล้ว ผมจะพาคุณไปหาผู้ชนะการประมูลเพื่อทำการส่งมอบนะครับ”
“……เข้าใจแล้วค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
หญิงสาวหูจิ้งจอกลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินตามเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดงานออกจากห้องไป เพราะเธอก็คือ ‘บรรณารักษ์แห่งโคโรน่า’ สินค้าที่ถูกนำมาวางประมูลในการประมูลระดับ S และแร็กน่าเพิ่งจะเป็นผู้ชนะการประมูลไปได้นั่นเอง
อีกด้านหนึ่งที่ห้องควบคุมของพีระมิด ไลคัสกับเนเน็ตก็ยังคงอยู่ในอาการอึ้ง เพราะการกระทำอันคาดไม่ถึงของแร็กน่า
“แหม~ พ่อหนุ่มคนนั้นน่ะ เป็นคนที่คาดเดาอารมณ์ยากจริง ๆ เลยนะคะ ฮุฮุฮุฮุ~”
เนเน็ตพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน แต่สีหน้าของเธอก็ยังซ่อนความรู้สึกกระอักกระอ่วนเอาไว้ไม่มิด เธอเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าแร็กน่าจะ ‘ลงทัณฑ์’ แบล็คโรสด้วยวิธีการอันโหดร้าย (?) ต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ เธอถึงกลับต้องทบทวนว่าตนเองประเมินอุปนิสัยของชายหนุ่มคาดเคลื่อนไปบ้างรึเปล่า
ไลคัสยังคงนิ่งเงียบโดยมีทีท่าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดมันออกมาอย่างไรดีจนสุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดกลับลงไป ในระหว่างนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องควบคุมและกล่าวรายงานกับไลคัสด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
“คะ.. คุณไลคัสครับ! มีข้อความถูกส่งมาจากช่องทางลับ เขียนกำกับว่าเป็นข้อความแบบด่วนที่สุดเลยครับ!”
คำพูดของเจ้าหน้าที่หนุ่มทำให้ทั้งไลคัสและเนเน็ตต่างก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบยื่นแหวนสื่อสารวงหนึ่งให้กับไลคัส ซึ่งเขาก็รับมันมาและสวมลงบนนิ้ว ก่อนจะหมุนแหวนนั้นเพื่อเปิดการทำงาน
ทันทีที่ถูกใช้งาน ลวดลายอักขระบนแหวนก็ส่องประกายขึ้นและฉายข้อความสามมิติขึ้นบนอากาศ มันเป็นข้อความที่มีเพียงผู้สวมแหวนเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นได้ แต่จะพูดให้ชัดคือเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสที่สวมแหวนของสมาชิกระดับผู้นำพร้อมกับแหวนวงนี้เท่านั้นที่จะเห็นข้อความในแหวนได้ เมื่อได้อ่านข้อความนั้น ดวงตาของไลคัสก็เบิกโพลงขึ้น และรีบออกคำสั่งไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ในห้องด้วยเสียงอันดังในทันที
“สั่งการลงไปให้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังเป็นระดับสูงสุด! เรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโสของกลุ่มต่าง ๆ เป็นการด่วนด้วย!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของไลคัส เนเน็ตก็แสดงอาการตกใจออกมา ก่อนจะหันไปถามเขาถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เรียกประชุมผู้อาวุโสงั้นเหรอคะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แล้วใครเป็นคนส่งข้อความนั้นมากัน?”
“นี่เป็นข้อความที่แซนโดรส่งมา… ส่วนเนื้อหาของข้อความ เธออ่านเอาเองก็แล้วกันนะ…”
ไลคัสกล่าวพูดพลางถอดแหวนแล้วยื่นให้กับเนเน็ต ซึ่งเธอก็รับมาและสวมลงบนนิ้วของเธอก่อนจะเปิดการทำงานของมันอีกครั้ง
ทันทีที่เห็นข้อความที่ฉายออกมาจากแหวน สีหน้าของเนเน็ตก็ต้องแปรเปลี่ยนไปในทันที
เพราะข้อความที่ถูกฉายออกมานั้นมีใจความว่า
[พีสคีปเปอร์สืบรู้ที่ตั้งของสถานที่จัดงานแล้ว พวกมันกำลังรวบรวมไพร่พลเพื่อไปบุกโจมตี รีบยกเลิกการจัดงานแล้วให้ทุกคนแยกย้ายกันหลบหนีซะ]