Doombringer the 5th - ตอนที่ 15
Ch.15 – ชัยชนะอันแสนสั้น
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 15
ชัยชนะอันแสนสั้น
Part 1
แซนโดรยังคงเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของสายลับทั้งสองคนตลอดการเดินทาง
ดูเหมือนแผนการหลอกล่อที่วางไว้จะได้ผล เพราะทันทีที่พวกสายลับเดินทางมาพบกับมังกรที่แซนโดรทิ้งไว้ในป่า พวกเขาก็รีบเผ่นกลับไปในทันที โดยไม่ได้มีท่าทีว่าจะออกตามหาเป้าหมายใด ๆ ต่ออีก
รถม้าของแซนโดรแล่นย้อนทางมาอีกสักพักก็มาถึงวงเวทเคลื่อนย้ายซึ่งซ่อนไว้ในป่าอีกแห่งห่างจากจุดที่หักเลี้ยวกลับมาพอสมควร แต่แทนที่จะดำเนินการเคลื่อนย้ายทันที แซนโดรกลับลงจากรถม้าและสร้างวงเวทมากมายขึ้นทั้งบนพื้นและบนอากาศ ก่อนจะยืนดูการทำงานของมันอยู่เป็นเวลานาน ซาลซึ่งไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีสงสัย
“ทำอะไรเหรอแซนโดร?”
“…ลองส่งสัญญาณเวทมนตร์เพื่อตรวจสอบเส้นทางของเครือข่ายวงเวทเคลื่อนย้ายดูน่ะ …ถ้าพวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้วแบบนี้ก็อาจมีการวางอุปกรณ์ดักจับสัญญาณการเคลื่อนย้ายเพิ่มเติมจากเวลาปกติด้วย …หากเราทำการเคลื่อนย้ายผ่านพื้นที่ซึ่งถูกเฝ้าระวังอยู่ก็อาจถูกตรวจพบได้…”
หลังจากจบการอธิบายได้ไม่นาน การตรวจสอบก็เสร็จสิ้น แซนโดรจึงเก็บวงเวททั้งหมดและเปิดแผนที่ขอองดินแดนเซนิธาลขึ้นมาบนอากาศแทน ก่อนจะพูดขึ้นโดยที่สายตายังจับจ้องแผนที่นั้นอยู่
“…เส้นทางหลัก ๆ โดยเฉพาะสายที่เฉียดเข้าใกล้เมืองหรือเขตชุมชนถูกดักเอาไว้แล้วจริง ๆ …ถ้าเคลื่อนย้ายผ่านเส้นทางเหล่านั้นจะถูกพบและล่วงรู้ปลายทางเอาได้ …โชคดีที่การเคลื่อนย้ายครั้งล่าสุดเมื่อตอนสายเป็นเส้นทางที่ไม่ได้ผ่านเขตเมือง ไม่งั้นคงจะมีปัญหาใหญ่แน่…”
“แปลว่าเราใช้วงเวทเคลื่อนย้ายไม่ได้แล้วเหรอ?”
“…ก็ไม่ทั้งหมด …บางจุดที่เชื่อมต่อกันในเส้นทางปลอดภัยก็ยังพอมี …เรายังใช้วงเวทเคลื่อนย้ายพวกนั้นได้ …แต่เพราะวงเวทที่ยังใช้งานได้มีน้อยลงมาก …แบบนี้คงต้องเดินทางด้วยรถม้าเป็นหลัก…”
“อา… แบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายวันเลยสิเนี่ย? มันไกลพอๆกับการข้ามอานาจักรจูริสเลยนี่นา?”
วาลาเชีย (Valachia) เมืองของเหล่าแวมไพร์ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรเอ็นซิสนั้นตั้งอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงกึ่งกลางของเขตเหนือ
เดิมทีแซนโดรตั้งใจจะไปยังสกายเรล์มซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของเซนิทาล จึงเดินทางมาเกือบค่อนทางแล้ว
ระยะทางจากตอนกลางของเซนิทาลไปถึงวาลาเชียนั้นแม้จะเดินทางเป็นเส้นตรงก็ยังห่างกันกว่าแปดร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว โดยเฉพาะพื้นที่เซนิทาลนั้นมีถนนค่อนข้างขรุขระและคดเคี้ยวให้รถม้าใช้ความเร็วได้ไม่เต็มที่ การเดินทางจึงยิ่งช้าลงไปอีก
“…น่าจะใช้เวลาสักสองวัน …หรือสามวันเป็นอย่างมาก…”
“แย่จัง… แต่ก็ไม่มีทางเลือกนี่นะ”
“…เสบียงที่เตรียมเอาไว้สำหรับการเดินทางก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย …คงต้องเข้าเมืองไปเตรียมเสบียงกันก่อน…”
พูดจบแซนโดรก็อัญเชิญมังกรโครงกระดูกอีกตัวออกมาตรงพื้นที่ใจกลางของวงเวทเคลื่อนย้าย
“เอ๋? จะทำอะไรอีกเหรอ?”
“…ฉันจะส่งมันข้ามไปที่อาณาจักรซิลวานเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ …หากตรวจพบการเคลื่อนย้ายทางไกลและหาเป้าหมายในเซนิธาลไม่พบ …พวกนั้นก็มีแต่ต้องหันไปค้นหาที่ปลายทางของการเคลื่อนย้าย ก็คือซิลวานเท่านั้น…”
ต้นไม้โดยรอบเริ่มปรากฏอักขระเวทขึ้นมาบนลำต้น พร้อม ๆ กับวงเวทที่ค่อย ๆ ประสานลวดลายขึ้นบนพื้น แต่แซนโดรก็กลับขึ้นมาบนรถม้าก่อนและเคลื่อนรถออกจากที่นั่นทันทีโดยไม่ได้รอดูการเคลื่อนย้าย
รถม้าเคลื่อนออกมาจากป่าโดยทิ้งมังกรโครงกระดูกเอาไว้เบื้องหลัง ซาลแอบมองตามทางช่องหน้าต่างและได้เห็นแสงสว่างเจิดจ้าเกิดขึ้นภายในป่า เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ามังกรตัวนั้นถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว
———————————————————————————————————-
Part 2
ระหว่างเดินทาง ซาลก็ดึงแผนผังดันเจียนที่วางไว้ในอคาทอชขึ้นมาตรวจสอบ
เขาวางดันเจียนในพื้นที่เขตใต้ทั้งสิ้นยี่สิบแห่ง และด้วยการคำนวณอันแม่นยำของแซนโดรทำให้ทุกแห่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อกันได้เกือบจะพอดีเป๊ะ เมื่อเรียกดูผังของดันเจียนทั้งยี่สิบแห่งพร้อมกันแล้วมันจึงดูราวกับเป็นแผนที่แผ่นเดียวกัน แม้มองจากภายนอกแล้วสัดส่วนของผังจะเล็กมากจนมองรายละเอียดลำบาก แต่สำหรับซาลที่เป็นเจ้าของพื้นที่นั้นสามารถขยายดูพื้นที่แต่ละแห่งด้วยสายตาตัวเองได้ตามใจชอบ จึงไม่มีปัญหาในการจัดการเลย
ในผังดันเจียนขนาดใหญ่นี้แสดงให้เห็นถึงกลุ่มนักผจญภัยกลุ่มละ 4-5 คน กระจายอยู่ทั่วทั้งดันเจียน รวม ๆ เกือบสิบกลุ่มด้วยกัน นิโคลที่เห็นแผนที่สามมิตินั้นและรู้สึกคุ้นเคยกับภูมิประเทศจึงเอ่ยทักขึ้นมา
“เอ๋ นั่นมัน แผนที่ของอคาทอชส่วนล่างเหรอคะ? แต่ลักษณะแบบนี้มัน…”
“มันคือดันเจียนมิติที่สร้างทับพื้นที่จริงเพื่อใช้ในการฝึกร่างอัญเชิญไงล่ะ”
จากนั้นซาลก็อธิบายเรื่องของการสร้างดันเจียนมิติ และการพัฒนาร่างอัญเชิญด้วยวิทยาการใหม่ที่เขาค้นพบให้นิโคลฟัง
“เห~ มีวิธีแบบนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย ยอดไปเลยนะคะ”
แซนโดรซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมาถามซาลารัสถึงความคืบหน้า
“…จะว่าไป …สมุนของเธอพัฒนาไปถึงไหนแล้วล่ะ?…”
“อื้ม ทั้งสิบหกตัวตอนนี้เข้าสู่ช่วงกลางกลางของระดับ 4 หมดแล้วล่ะ มีสองตัวที่ใกล้จะเป็นระดับ 5 แล้วด้วย!”
“…อืม …แค่สองวันก็ได้ขนาดนี้ นับเป็นความเร็วที่ใช้ได้ทีเดียว …แต่มันจะเริ่มช้าหลังจากนี้แหละนะ…”
“ด้วยพลังเวทของผมตอนนี้น่าจะอัญเชิญสมุนลงไปได้ราว ๆ วันละสามรอบล่ะมั้ง แบบนี้อีกเมื่อไหร่มันถึงจะเป็นระดับ 10 ล่ะ?”
“…ก็คงสักสิบปีล่ะมั้ง…”
“หา!?”
ซาลอุทานออกมาด้วยใบหน้าเหยเกซึ่งปนความไม่พอใจอยู่นิดหน่อยเพราะเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกวนประสาทด้วยการบอกตัวเลขที่เกินจริง แต่แซนโดรก็อธิบายให้เขาฟังต่อด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย
“…ในช่วงแรกที่สมุนพัฒนาค่าสถานะได้เร็วน่ะเพราะได้ค่าประสบการณ์จากการต่อสู้สูง …แต่เมื่อพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง พบเจอการต่อสู้มาสารพัดรูปแบบแล้ว ประสบการณ์ที่ได้รับจะลดลง และเริ่มพัฒนาค่าสถานะจากความชำนาญในการต่อสู้แทน ซึ่งต้องใช้เวลาเยอะกว่า
…อีกเรื่องคือค่าสถานะที่ต้องใช้ในการเลื่อนระดับนจะคิดตามสัดส่วนของระดับก่อนหน้า …เช่นที่ระดับหนึ่งถ้ามีค่าสถานะพื้นฐาน 50 แต้ม จะขึ้นระดับสองก็ต้องพัฒนาค่าสถานะ 50% ก็คือพัฒนาแค่ 25 แต้ม แต่ถ้าเป็นที่ระดับห้า อาจมีค่าสถานะสัก 300 แต้ม แต่ต้องพัฒนาค่าสถานะ 70% ถึงจะขึ้นระดับหก ก็ต้องพัฒนา 210 แต้ม …การเลื่อนระดับในขั้นที่สูงขึ้นจึงต้องใช้การพัฒนาค่าสถานะมากขึ้นตามไปด้วย…”
ซาลที่ได้ฟังคำอธิบายอย่างจริงจังก็คลายสีหน้าไม่พอใจลง แต่มันกลับเปลี่ยนเป็นสีหน้างุนงงแทน
“อืม… ยังรู้สึกงง ๆ อยู่ แต่ก็พอเข้าใจว่ายิ่งระดับสูงก็จะยิ่งช้าสินะ”
“…ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจกับเรื่องระดับมากนักก็ได้ …เพราะยังไงความเก่งก็ขึ้นกับค่าสถานะมากกว่า …ระดับน่ะเป็นแค่ตัวช่วยที่เราตั้งขึ้นเพื่อให้จัดลำดับหรือหมวดหมู่ได้ง่ายเท่านั้นเอง…”
“แต่จะได้ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ใหม่ ๆ ก็ต้องทำการเลื่อนระดับไม่ใช่เหรอ?”
“…ความจริงเงื่อนไขการติดตั้งคุณสมบัติเฉพาะก็คือค่าสถานะนั่นแหละ …แต่สมุนอัญเชิญปกติจะออกแบบมาให้มีค่าสถานะพอดีเป๊ะกับการสวมใส่ทักษะต่าง ๆ ในระดับนั้นอยู่แล้ว เลยเหมือนว่าถูกกำหนดด้วยระดับ …แต่สำหรับสมุนที่พัฒนาตัวเองได้อย่างของเธอ แค่มีค่าสถานะบางอย่างถึงก็น่าจะใช้งานทักษะเฉพาะได้เลยนะ…”
“เห~ พัฒนาได้กระทั่ง ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ของมังกรเลยเหรอคะเนี่ย ยอดไปเลยค่ะ”
นิโคลที่นั่งฟังอยู่ด้วยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็อดเอ่ยปากชมเชยไม่ได้ ทำให้ซาลเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก
“จริงด้วย! เรามีมังกรตัวเป็น ๆ นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยนี่นา! ถ้าเป็นนิโคลละก็จะต้องรู้แน่ ๆ เลยว่าจะได้ทักษะอะไรตอนไหนบ้าง!”
“เอ่อ… มังกรจริง ๆ น่ะไม่รู้ค่าสถานะของตัวเองเป็นตัวเลขเหมือนกับพวกสมุนอัญเชิญหรอกนะคะ เพราะงั้นคงบอกไม่ได้หรอกค่ะว่าจะได้ทักษะใหม่ ๆ มาตอนไหนบ้าง มันเป็นของที่พอถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วก็จะทำได้เองด้วยสัญชาติญาณมากกว่า”
“งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง… แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอรู้ ‘คุณสมบัติเฉพาะ’ ที่มังกรจะมีได้ใช่ม้า!”
“ถ้าเป็นทักษะของเผ่ามังกรน้ำแข็ง หรือทักษะพื้นฐานของมังกร ก็พอจะรู้ค่ะ”
“พวกทักษะพื้นฐานหรือทักษะระดับกลางก็พอมีบันทึกไว้ในหนังสืออยู่แล้วน่ะ แต่ผมอยากจะรู้ทักษะระดับสูงๆมากกว่า… จริงสิ! ท่าที่นิโคลใช้ตอนหนีออกมาน่ะคือท่าอะไรเหรอ? เป็นท่าสุดยอดของมังกรน้ำแข็งแล้วรึเปล่า?”
“เป็นท่าสุดยอดแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้หรอกนะคะ แต่ท่านั้นเรียกว่า ‘แอพโซลูทซีโร่’ (Absolute Zero) ค่ะ เป็นท่าที่ลดอุณหภูมิโดยรอบจนอนุภาคทุกชนิดหยุดการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง ทำให้ถูกแช่แข็งในพริบตา”
“เห~ เจ๋งไปเลยนี่นา มังกรน้ำแข็งระดับสูง ๆ จะมีท่านี้กันหมดทุกคนสินะ?”
“เท่าที่ฉันรู้มา ท่าระดับสูงสุดของมังกรแต่ละตัวจะไม่เหมือนกันหรอกนะคะ”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
“ว่ากันว่าท่าพวกนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่จะสะท้อนถึงอุปนิสัยหรือจิตใจของแต่ละคน ทำให้ได้ทักษะที่แตกต่างกันออกไปค่ะ”
“เห~ ของนิโคลก็เป็นการแช่แข็งทั้งโลกเนี่ยนะ แปลว่าจริง ๆ แล้วก็แอบโหดนี่นา~”
ซาลแสยะยิ้มและมองนิโคลด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ด้วยความจงใจที่จะหยอกล้อเธอเล่น ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยท่าทีลนลานตามที่เขาหวัง
“ฉะ! ฉันแค่อยากจะได้ท่าที่ช่วยยุติการต่อสู้หรือหยุดยั้งการเข่นฆ่าเท่านั้นเองค่ะ! ไม่ได้คิดจะทำร้ายใครเลยนะคะ!”
“…อืม …จับแช่แข็งก่อนแล้วค่อยทรมานให้ตายอย่างช้าๆสินะ …ไม่เลว ๆ…”
แซนโดรก็พูดเสริมอีกแรงด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูอำมหิต เหมือนจะสื่อว่าได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มีรสนิยมเดียวกัน ทำให้นิโคลยิ่งมีท่าทีร้อนรนเข้าไปใหญ่
“ไม่ใช่แบบนั้นนะค้า~” > <
เมื่อหยอกล้อนิโคลจนพอใจแล้ว ซาลกับแซนโดรจึงกันมาคุยกันเรื่องสมุนอัญเชิญอีกครั้ง
“จะว่าไปแล้ว ถ้าทักษะระดับสูงสุดเกิดจากจิตใจแบบนี้ แล้วร่างอัญเชิญที่ไม่มีจิตใจมันจะเป็นยังไงล่ะ?”
“…ทักษะที่พัฒนาจากอุปนิสัยหรือจิตใจแบบนี้มันคงจะเกินขอบเขตที่ร่างอัญเชิญจะทำได้นะ …ดังนั้นคงไม่เกิดการพัฒนาทักษะขึ้นมาหรอก…”
“เห.. แบบนี้ก็แย่น่ะสิ”
ซาลเริ่มคิดถึงวิธีที่จะสร้างจิตใจให้กับร่างอัญเชิญได้ บางทีเขาควรจะลองกลับไปค้นงานวิจัยของศาสตร์มืดดูว่ามีงานชิ้นไหนพอจะช่วยในเรื่องนี้ได้บ้าง
“…ยังไงทักษะที่เธอว่าก็เป็นเรื่องอีกยาวไกล …อาจต้องพัฒนาสมุนถึงระดับ A เลยก็ได้ …ตอนนี้อย่าเพิ่งไปกังวลเรื่องนั้นจะดีกว่า…”
“ระดับ A งั้นเหรอ… ถ้าระดับ 10 ยังใช้เวลาเป็นสิบปี แล้วระดับ A จะใช้เวลาเท่าไหร่ล่ะเนี่ย…”
“…ที่ว่าสิบปีนั่นเพราะนับจากการต่อสู้แค่วันละสามรอบ …แต่ถ้าได้สู้มากกว่านั้นก็อาจร่นระยะเวลาลงมาได้นะ…”
“ให้สู้มากขึ้นเหรอ… ก็ต้องอัญเชิญลงไปบ่อย ๆ สินะ งั้นเดี๋ยวไปเหมามานาโพชั่นมาให้หมดเลย!”
“…ความจริงถ้าการต่อสู้ในแต่ละครั้งยาวนานขึ้นก็ทำให้ได้ประสบการณ์ในการต่อสู้มากขึ้นเหมือนกันนะ …ลองใช้ชุดคำสั่งสำหรับพวกสมุนดูบ้างรึยัง?…”
เมื่อได้ยินแซนโดรทัก ซาลก็เปิดหน้าจอแสดงคุณสมบัติของสมุนขึ้นมาดู
“ชุดคำสั่ง ที่มี ‘อะเกรสซีฟ’ (Agressive) โจมตีเมื่อเห็นศัตรู ‘ดีเฟนซีฟ’ (Defensive) โจมตีเฉพาะเมื่อถูกโจมตีก่อน และ ‘พาสซีฟ’ (Passive) นิ่งเฉยตลอดเวลา เนี่ยน่ะเหรอ?”
“…นั่นมันแค่คำสั่งอย่างง่าย …ลองดูตรงชุดคำสั่งระดับสูงดูสิ …จะสามารถปรับแต่งพฤติกรรมการต่อสู้ของสมุนได้ …ช่วยให้มันสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น…”
ซาลลองเปิดดูชุดคำสั่งระดับสูงของสมุนที่มี ก็พบว่ามีแผนผังการใส่คำสั่งสำหรับลูกสมุนพร้อมทั้งเงื่อนไขและทางเลือกโผล่ขึ้นมามากมายจนตาลายไปหมด
“นะ.. นี่มันอะไรเนี่ย? ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่ามีของแบบนี้ด้วย แล้วอะไรเป็นอะไรเนี่ย?”
“…ชุดคำสั่งพวกนี้จะทำงานในรูปแบบของเงื่อนไขเหตุการณ์ …คือถ้าเกิดเหตุการณ์ A ขึ้น ก็ให้สมุนตอบสนองด้วยการกระทำ B …เช่นถ้ามีศัตรูร่ายเวทโจมตี ก็ให้ใช้ทักษะเพิ่มการป้องกันเวท …หรือถ้าพลังชีวิตลดต่ำกว่าครึ่ง ก็ให้ใช้เวทรักษา อะไรแบบนี้…”
“เห!? ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย! ทำไมถึงไม่บอกแต่แรกล่ะ!?”
“…มอนสเตอร์ระดับล่าง ๆ น่ะมันไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอกนะ …เพราะงั้นถ้าใส่ชุดคำสั่งที่ดูฉลาดเกินไปละก็จะทำให้เป็นที่ผิดสังเกตได้ ฉันเลยไม่ค่อยอยากให้ใช้ …แต่ในเมื่อตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้ดันเจียนแบบเปิดแทนแล้ว …แถมนักผจญภัยก็ยังสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดเวลา ถึงให้สมุนมีพฤติกรรมแปลกไปบ้างก็ไม่น่ามีปัญหา …แต่เธอก็อย่าใส่ชุดคำสั่งให้มันวิจิตรพิสดารมากจนเกินไปนักก็แล้วกัน…”
“เข้าใจล่ะ แบบนี้ก็จะทำให้ยื้อการต่อสู้ได้นานขึ้น และเก็บประสบการณ์ได้มากขึ้นด้วย!”
“…ย้ำอีกทีนะ อย่าสร้างชุดคำสั่งให้มันวิจิตรพิสดารมากนัก …เพราะถ้าพฤติกรรมมันแปลกจากปกติไปมาก คนจะสงสัยเอาได้…”
“โอเค! ไม่มีปัญหา!”
แซนโดรหรี่ตามองซาลด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะไว้ใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอดูแล้วค่อยมาเขกกระโหลกเอาทีหลัง
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาจนใกล้จะถึงเขตเมือง แซนโดรจึงหาที่จอดพักรถในที่ลับตาคนห่างจากตัวเมืองนิดหน่อยก่อนจะลงจากรถเพื่อไปซื้อของใช้ตามที่ตั้งใจเอาไว้
———————————————————————————————————-
Part 3
“…เพื่อให้เป็นที่สังเกตน้อยลง ฉันจะเข้าเมืองไปคนเดียว …พวกเธอรออยู่บนรถนี่แหละ…”
“อะ.. เอ่อ…”
เมื่อแซนโดรพูดว่าจะไปคนเดียว นิโคลก็แสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเสียดายออกมา
เธออยากจะตามไปด้วยเพราะไม่ได้เข้าไปเที่ยวในเมืองเป็นเวลานานแล้ว แต่เพราะต้องคลุมผ้าเอาไว้ตลอดเวลาจึงทำให้เป็นจุดเด่น แถมแซนโดรยังบอกแล้วว่าจะไปคนเดียว นิโคลจึงไม่กล้าพูดออกมา
พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย แซนโดรก็พอจะเดาใจออก จึงเอื้อมมือไปหยิบแมลงเต่าทองบนศีรษะของนิโคลมาวางไว้บนหัวของตัวเองแทน
แมลงเต่าทองตัวนั้นคือสมุนอัญเชิญที่นิโคลใช้ในการมองเห็นแทนดวงตานั่นเอง
“เอ๊ะ?”
“…นี่เป็นแหวนสื่อสาร …ถ้าเห็นอะไรที่อยากซื้อก็บอกมาได้เลยนะ ฉันจะได้ซื้อมาให้…”
“ขะ.. ขอบคุณค่ะ!”
แซนโดรส่งแหวนสื่อสารให้กับนิโคล ซึ่งเธอก็รับไว้ด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่ปลื้มปิติ แต่ยังไม่ทันที่แซนโดรจะหันหลังกลับไป นิโคลก็ทักขึ้นอีกครั้ง
“อ๊ะ จริงสิ! ช่วยเปิดช่องเก็บของแล้วรับนี่ไปด้วยนะคะ!”
แม้จะสงสัยนิดหน่อยแต่แซนโดรก็นำแบบจำลองห้องมิติห้องหนึ่งออกมาเพื่อให้นิโคลใส่ของเข้าไป
ทันใดนั้นวัตถุดิบจากมอนสเตอร์จำนวนมากมายก็ไหลทะลักเข้ามาจนเกือบเต็มห้องที่มีความกว้างถึงเก้าตารางเมตรนั่น
“…นี่มัน?…”
“เป็นพวกวัตถุดิบที่ฉันสะสมเอาไว้น่ะค่ะ การเดินทางยังไงก็ต้องมีค่าใช้จ่ายใช่มั้ยล่ะค่ะ โดยเฉพาะค่าอาหารของฉันด้วย.. แหะ ๆ เพราะงั้นก็เอาของพวกนี้ไปขายแลกเงินมาก็แล้วกันค่ะ ถ้ายังไม่พอก็มาเอาเพิ่มได้นะคะ! ยังมีอีกเยอะเลยค่ะ!”
“…อืม …ก็เก็บกวาดมอนสเตอร์อยู่ที่อคาทอชมาเป็นร้อยปีเลยนี่นะ …จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงินหรอก …แต่จะขอรับไว้ก็แล้วกัน…”
“ค่ะ!”
เมื่อพูดคุยกันเสร็จแล้ว แซนโดรก็เดินเข้าเมืองไป ส่วนนิโคลก็ตั้งใจดูทิวทัศน์รอบ ๆ ผ่านทางสายตาของเต่าทองบนหัวของแซนโดรด้วยท่าทางตื่นเต้น
อีกด้านหนึ่ง ซาลก็กำลังง่วนอยู่กับการปรับแต่งชุดคำสั่งของเหล่าสมุนเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย
“อืม… จะทำให้สมุนต่อสู้ได้นานขึ้น ก็ต้องใช้งานพวกทักษะที่ช่วยเสริมการป้องกันสินะ…”
สมุนของซาลทั้งสิบหกตัวเป็นมังกรทั้งหมด แบ่งออกเป็นสี่ธาตุคือ ดิน, น้ำ, ลม, และ ไฟ ธาตุละสี่ตัวด้วยกัน
ธาตุดิน, น้ำ, และ ลม มีทักษะสายรักษาด้วยกันทั้งหมด แถมแต่ละธาตุยังมีท่าเสริมการป้องกันของตัวเองด้วย แต่ประสิทธิภาพจะต่างกันหน่อย มีเพียงธาตุไฟธาตุเดียวที่แทบไม่มีทักษะเกี่ยวกับการป้องกันเลยแม้แต่น้อย
“อืม… ธาตุไฟนี่คงยื้อไม่ได้แฮะ คงต้องจับคู่กับธาตุอื่น ๆ เอาล่ะมั้ง… แต่จะยื้อการต่อสู้โดยไม่ทำให้พวกนักผจญภัยมีอันตรายนี่มันก็ ยากเหมือนกันแฮะ”
ด้วยการเขียนชุดคำสั่งขึ้น การจะทำให้สมุนฉีกวงออกไปโจมตีนักผจญภัยในแนวหลังก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทำให้เกิดการเสียกระบวนแล้วพวกนักผจญภัยก็อาจตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นเจ็บหนักหรือพลาดท่าเสียชีวิตได้ เขาจึงพยายามเขียนแต่ชุดคำสั่งในเชิงรับเท่านั้น
[มังกรดิน]
เมื่อการต่อสู้เกิดขึ้น ให้ร่ายเวทเสริมพลังป้องกัน
เมื่อเลือดลดต่ำกว่า 35% ให้ใช้ทักษะ ‘สโตนสกิน’
[มังกรน้ำ]
เมื่อถูกโจมตีด้วยสกิลหมู่ ให้ร่ายเวทรักษาแบบหมู่กับทั้งกลุ่ม
เมื่อพันธมิตรเลือดลดต่ำกว่า 35% ให้ใช้เวทรักษาระดับสูงฟื้นฟูพลัง
[มังกรลม]
เมื่อสัมผัสการร่ายเวทได้ ให้ใช้ท่าสกัดการร่ายเวท
เมื่อถูกเล็งเป้าโจมตีด้วยสกิล ให้ใช้ท่าพิเศษหลบหลีกการโจมตี
“อืม… มังกรไฟนี่มีท่าอะไรที่พอจะใช้แทนท่าเชิงรับได้บ้างหว่า… อ๊ะ อันนี้น่าจะได้แฮะ”
[มังกรไฟ]
เมื่อไม่มีพันธมิตรอยู่ใกล้ๆ ให้ร่ายเวท ‘ไฟร์ชิลด์’ เสริมพลังให้กับตัวเอง
‘ไฟร์ชิลด์’ (Fire Shield) คือเวทที่จะสร้างเกราะไฟขึ้นมาล้อมรอบตัว ช่วยเพิ่มความต้านทานเวทโดยเฉพาะธาตุไฟ และยังทำความเสียหายให้กับศัตรูหรือพันธมิตรที่อยู่ใกล้ ๆ ด้วย
“ถ้าติดไอ้นี่ไว้ก็น่าจะทำให้แท๊งหรือพวกสายประชิดต้องถอยห่างออกมาและพึ่งการทำความเสียหายจากพวกนักเวทหรือนักธนูแค่เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะซื้อเวลาไปได้อีกหน่อยล่ะ”
เมื่อเขียนชุดคำสั่งให้กับสมุนทุกตัวครบแล้ว ซาลก็มองหาพื้นที่เหมาะ ๆ ในการจะปล่อยสมุนลงไป
เขาเห็นนักผจญภัยกลุ่มหนึ่งกำลังตรงไปยังพื้นที่ซึ่งมี ‘ไวเวิร์น’ (Wyvern คือสายพันธุ์หนึ่งของมังกร มีแค่สองขา และมีแขนเป็นปีกขนาดใหญ่) อยู่สามตัว จึงอัญเชิญมังกรทั้งสี่ธาตุลงไปผสมโรงด้วย
นักผจญภัยกลุ่มนี้มีสมาชิกห้าคนด้วยกัน
จากที่ดูการแต่งกายแล้ว มีคนที่เป็นคลาสสายนักรบอยู่สองคน คนหนึ่งถือโล่น่าจะเป็นอัศวิน อีกคนถือดาบสองมือน่าจะเป็นวอริเออร์ แนวหลังมีนักเวทหนึ่งคนและนักธนูหนึ่งคน ส่วนคนสุดท้ายถือคทาเล็ก ๆ ดูน่าจะเป็นฮีลเลอร์ ทั้งห้าคนเป็นนักผจญภัยชาย
ซาลอัญเชิญแมลงตัวเล็ก ๆ ลงไปเพื่อใช้สอดแนมเหล่านักผจญภัยเช่นเคย
การพบมังกรขนาดเล็กอยู่กันเป็นกลุ่มไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ในพื้นที่นี้ แถมมังกรเกือบทั้งหมดยังดูเป็นแค่มอนสเตอร์ระดับ 4-5 เหล่านักผจญภัยจึงเริ่มการต่อสู้โดยไม่มีทีท่าลังเลอะไรนัก
เพราะมีมังกรหลากหลายธาตุอยู่รวมกัน นักเวทจึงเปิดการโจมตีด้วย ‘อาเคนเอกซ์โพลชั่น’ (Arcane Explosion) เวทระเบิดแบบไร้ธาตุ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงกับมังกระทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะกับเหล่าไวเวิร์นซึ่งปลิวตามแรงระเบิดไปกระแทกกับหน้าผาเลยทีเดียว
ในจังหวะนั้น นักธนูก็ยิง ‘ไบน์ดิ้งช็อต’ (Binding Shot) ตรึงมังกรธาตุไฟเอาไว้กับพื้น และเริ่มร่าย ‘ชาร์จช็อต’ (Charge Shot) เพื่อซ้ำไวเวิร์นให้ตายสนิท ส่วนอัศวินก็พุ่งเข้าไปดึงความสนใจจากกลุ่มมังกร โดยมีนักรบตามเข้าไปติด ๆ
นักรบใช้ท่า ‘บรูทัลสไตรค์’ (Brutal Strike) ท่าโจมตีอันรุนแรงของดาบสองมือกับมังกรดินที่ถูกดึงความสนใจอยู่ ท่านี้สร้างความเสียหายอย่างหนักจนมันทรุดลง อัศวินซึ่งแทงค์อยู่จึงใช้ท่า ‘เอ็กซีคิวท์’ (Execute) เพื่อเป็นการปิดบัญชี
ทว่าพริบตาก่อนที่เขาจะลงดาบนั้นเอง มังกรธาตุดินก็ใช้ทักษะ ‘สโตนสกิน’ ทำให้เกล็ดของมันแปรสภาพไปจนแข็งแกร่งราวกับหินผา ท่านี้เป็นท่าเสริมพลังต้านทานทางกายภาพโดยเฉพาะ อัศวินที่ใช้ท่า ‘เอ็กซีคิวท์’ สับลงไปเต็มแรงจึงถูกแรงสะท้อนจากการปะทะย้อนกลับมาจนมือชา แถมเสียงเคร้งของดาบที่กระทบกับของแข็งอย่างแรงก็ดังมากระทบแก้วหูจนเกิดอาการอื้ออึง อัศวินผู้เป็นคนลงดาบจึงกลับเป็นฝ่ายชะงักงันไป
ในขณะเดียวกันก็มีเวทรักษาจากมังกรน้ำที่อยู่ใกล้เคียงช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับมังกรดินที่เพิ่งรอดจากการลงดาบสุดท้าย จนมันสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง นักผจญภัยทั้งสองจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“เฮ้ย!? อะไรกันน่ะ!? เวทรักษางั้นเหรอ!?”
“แถมก่อนหน้านั้นยังมีท่าเพิ่มพลังป้องกันอีก! พวกนี้เป็นมอนสเตอร์ระดับ 5 แน่เหรอ!?”
เหตุการณ์ที่พลิกผันบวกกับความสับสนที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์เริ่มจะดูวุ่นวาย
แม้แต่ไวเวิร์นที่ทรุดจากแรงระเบิดอยู่ก็ได้รับการฟื้นฟูพลังด้วย ทำให้นักธนูต้องรีบยิง ‘ชาร์จช็อต’ ก่อนจะสะสมพลังได้เต็มพิกัด แต่ก็ไม่พอที่จะสังหารมันอยู่ดี
นักเวทที่เริ่มเห็นถึงสถานการณ์ไม่คาดคิดจึงหันมาร่ายเวท ‘ธันเดอร์โบลท์’ อีกครั้งเพื่อรีบซ้ำเหล่ามอนสเตอร์ที่บาดเจ็บให้ตายไปเร็ว ๆ แต่จู่ ๆ ก็ถูกท่าสกัดการร่ายเวทของมังกรลมเข้าจนต้องชะงักไป
“สกัดการร่ายเวทงั้นเหรอ!? บ้าน่า!?”
นักเวทที่ถูกสกัดการร่ายก็ยิ่งตื่นตระหนก หากโดนท่านี้เข้าไปจะทำให้ร่ายเวทบทใหม่ไม่ได้ไปร่วมสิบวินาที ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ตัดสินเป็นตายได้เลย
เพราะยังไม่มีมอนสเตอร์ตายเลยสักตัว ทำให้ความเสียหายที่แนวหน้าได้รับค่อนข้างหนัก ฮีลเลอร์ประจำกลุ่มพยายามร่ายเวทบัพเสริมการป้องกันและรักษานักรบแนวหน้าทั้งสองคนไปด้วย แต่นั่นก็เป็นงานที่หินทีเดียว
ระหว่างที่กำลังยื้อกันอยู่นั้นเอง มังกรไฟที่ถูกตรึงไว้ก็หลุดจากพันธนาการ และเพราะอยู่ตรงนั้นแค่เพียงลำพัง มันจึงใช้ทักษะ ‘ไฟร์ชิลด์’ จนเหมือนมีชุดเกราะไฟหุ้มลำตัวอยู่ และพุ่งตรงมายังกลุ่มนักผจญภัย
“เฮ้ย ๆ ๆ นั่นมันอะไรน่ะ!?”
“แย่แล้ว! รีบถอยก่อนเร็วเข้า!”
ไนท์ใช้ ‘ชิลด์แสลม’ ทุบลงพื้นเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของเหล่ามังกรก่อนจะผละออกมา แต่มังกรลมกลับพุ่งหลบขึ้นไปบนอากาศได้อย่างฉิวเฉียดและตามเขาออกมาติด ๆ นักดาบจึงต้องใช้ท่า ‘แบช’ (Bash) ทำให้มันชะงักไป เพื่อให้หลุดจากการติดตาม
นักธนูได้วาง ‘ฟรอสแทรป’ (Frost Trap) และ ‘สตาติกแทรป’ (Static Trap) กับดักสำหรับสกัดการเคลื่อนไหวจำนวนมากเอาไว้กลางทางเพื่อไม่ให้เหล่ามังกรตามมาได้ ซึ่งก็ได้ผล เมื่อเหล่ามังกรตามมาเหยียบกับดักเข้าก็ถูกตรึงเอาไว้ จนเหล่านักผจญภัยหนีออกไปจากบริเวณได้ในที่สุด
ซาลมองสถานการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึงไม่แพ้เหล่านักผจญภัย แต่ความรู้สึกของเขานั้นแตกต่างออกไป
“ชนะ… ด้วยล่ะ…”
ในทีแรกเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่เมื่อตั้งสติได้ ซาลก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจอีกครั้ง
“ชนะแล้ว! ยะฮิ้ววว! ครั้งแรกเลยนะเนี่ย! เป็นไงล่ะ! พลังที่แท้จริงของกองทัพซาลารัส! ฮ่า ๆ ๆ ๆ !”
“…เจ้า เด็ก บ้า !!!!…”
จู่ ๆ เสียงของแซนโดรก็ตะคอกออกมาจากทิศทางไหนก็ไม่รู้ ซาลที่กำลังโลดเต้นอยู่ด้วยท่าทางร่าเริงจึงตาเบิกโพลงทั้งที่มีรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า และชะงักไปทั้งแบบนั้น
เขาเหลือบมองไปที่ประตูรถ ก็ไม่เห็นว่าแซนโดรกลับมาแต่อย่างใด จึงมองไปรอบ ๆ ถึงได้เห็นนิโคลกำลังยิ้มแห้ง ๆ โดยในมือมีแหวนสื่อสารถูกยกค้างอยู่
เพราะเธอกำลังติดต่อกับแซนโดรผ่านแหวนสื่อสาร ทำให้แซนโดรได้ยินเสียงตะโกนของซาลด้วย
สีหน้าอันร่าเริงจนถึงเมื่อสักครู่นี้ของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง เพราะรู้ชะตากรรมของตัวเองที่กำลังจะมาถึง