Doombringer the 5th - ตอนที่ 16
Ch.16 – วงจรชีวิตของเหล่าสมุนอัญเชิญ
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 16
วงจรชีวิตของเหล่าสมุนอัญเชิญ
Part 1
ภายในรถม้าสีดำซึ่งจอดอยู่ห่างออกจากเมืองไปไม่ไกลนัก
แซนโดรกำลังนั่งกอดอกไขว่ห้าง พลางจ้องมองเด็กผู้ชายที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นรถม้าอยู่ ด้วยสายตาอันเหยียดหยาม ราวกับกำลังจ้องมองสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างทากหรือปลิง
เพราะเรื่องที่เขาก่อ ทำให้แซนโดรต้องหยุดการซื้อของแล้วกลับมาที่รถม้าทันที ซึ่งซาลก็เตรียมใจจะโดนอัดเอาไว้แล้ว แต่พอมาถึง แซนโดรกลับเข้ามานั่งจ้องเขาเงียบ ๆ ทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันจนเหงื่อแตก
หลังจากให้อีกฝ่ายซึมซับความรู้สึกกดดันนี้จนพอใจแล้ว แซนโดรจึงเริ่มเอ่ยปาก
“…เอาชนะพวกนักผจญภัยระดับกลางได้ด้วย …ยอดไปเลยนะคุณชายซาลารัส …แล้ว …ประเดิมเลือดแรก (First Blood) ไปกี่ศพล่ะ?…”
ซาลคลายความกดดันลงเล็กน้อยเมื่อแซนโดรยอมพูดขึ้น แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นจนพูดจาติดขัด
“ยะ.. ยังไม่มีใครตายซะหน่อย แค่ทำให้พวกนั้นเสียกระบวนจนต้องหนีไปเท่านั้นเอง…”
“…โฮ่ …ไหนลองเล่ารายละเอียดมาซิ…”
จากนั้นซาลก็เล่ารายละเอียดของการต่อสู้ให้แซนโดรฟัง ซึ่งแซนโดรก็นั่งฟังด้วยท่าทีที่เรียบเฉย จนกระทั่งเขาเล่าจบ
เมื่อฟังจบ แซนโดรก็กำหมัดแน่นจนมีเสียงกระดูกเบียดกันดังกร๊อบ ทำให้ซาลสะดุ้งโหยง แต่เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรมากไปกว่านั้น เพียงแค่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำที่เจือปนความรู้สึกเหนื่อยหน่าย
“…ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าใส่ทักษะให้มันวิจิตรพิสดารจนเกินไป…”
“ตะ.. แต่ผมก็ใส่ให้แค่ตัวละท่าสองท่าเองนา ใครจะไปนึกว่าพวกเขาจะห่วยขนาดนั้น น่าจะเป็นนักผจญภัยระดับ 5 แล้วแท้ ๆ…”
“…ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนทักษะต่อตัว …แต่อยู่ที่จำนวนทักษะของทั้งกลุ่มและจังหวะในการใช้ทักษะ …อีกเรื่องคือพวกนั้นแค่ไม่ได้ตั้งตัวเท่านั้นแหละ …แค่การต่อสู้มันหลุดการคำนวณออกไปเพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิด …ถ้าให้สู้กันอีกรอบผลอาจต่างออกไปก็ได้ …เพราะงั้นอย่าเพิ่งได้ใจไปนัก…”
แซนโดรเปิดช่องมิติเอากล้วยเคลือบช็อกโกแลตสองแท่งออกมาจากช่องเก็บของและยื่นให้กับนิโคล ดูเหมือนมันจะเป็นของที่นิโคลติดต่อไปให้ช่วยซื้อมาเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งนิโคลก็รับไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนนิดหน่อยเพราะบรรยากาศยังไม่ค่อยจะดี เมื่อยื่นของให้นิโคลเสร็จแล้ว แซนโดรจึงหันมาพูดกับซาลต่อ
“…เคยเล่าเรื่องพลังของการประสานงานเป็นกลุ่มไปแล้วใช่มั้ย? …นักผจญภัยหนึ่งคนอาจสู้กับศัตรูระดับเดียวกันได้แค่สองสามตัว แต่ถ้ารวมพลังกันเป็นกลุ่มจะต่อสู้กับศัตรูระดับสูงกว่าได้นับสิบ …เรื่องนี้ก็ใช้ได้กับเหล่ามอนสเตอร์เช่นกัน …พวกมอนสเตอร์ตั้งแต่ระดับ 5 ขึ้นไปจะเริ่มใช้ทักษะในการต่อสู้ได้ …และยิ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงขึ้นก็จะใช้ทักษะได้หลากหลายและตรงจังหวะเวลามากขึ้น ทำให้ยิ่งกลายเป็นตัวอันตราย …เพราะเหตุนี้บางครั้งแม้เป้าหมายของภารกิจการล่าจะเป็นมอนสเตอร์ระดับ 8 แต่หากอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่และมีทักษะที่หลากหลายมาก ๆ ก็อาจถูกจัดให้เป็นภารกิจระดับ A แทนที่จะเป็นระดับ B ได้…”
“แต่พวกนั้นก็น่าจะมีระดับสูงกว่ามังกรของผมอยู่แล้วนี่นา…”
ซาลโต้แย้งออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนเป็นการบ่นอุบอิบโดยสายตายังคงมองไปทางอื่น ทำให้หางคิ้วของแซนโดรจึงมีอาการสั่นไหวนิด ๆ และแววตาก็เริ่มมีประกายไฟขึ้นมา แต่ยังคงอธิบายต่อ
“…อย่างที่บอกว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่ทันตั้งตัว …อีกเหตุคือทั้งทักษะที่เธอใช้ และเงื่อนไขการใช้ ก็สอดประสานกันดีเกินไป จนทำลายแผนการบุกของพวกเขาได้ …พอแผนถูกทำลายด้วยปัจจัยที่ไม่คาดคิดก็เลยยิ่งตื่นตระหนกจนเสียกระบวนไป …ถ้าให้สู้กันอีกรอบโดยที่พวกเขารู้ว่ามังกรเหล่านั้นทำอะไรได้บ้างแล้ว ผลคงไม่เหมือนเดิมหรอก…”
“ผมก็ยังไม่ได้เอาจริงเหมือนกันแหละน่า! ถ้าให้ใส่ทักษะเชิงรุกพร้อมเขียนชุดคำสั่งแบบเต็มพิกัดละก็ รับรองว่า! แอ๊กกก!”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็โดนแซนโดรเขกหัวจนหน้าทิ่มซะก่อน
นิโคลซึ่งแม้จะพยายามหันหน้าเข้ามุมรถพลางกินกล้วยเคลือบช็อกโกแลตอยู่เงียบ ๆ แต่เพราะแมลงเต่าทองที่ใช้ในการมองเห็นยังอยู่บนหัวของแซนโดรจึงได้เห็นเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เลยตกใจจนสำลักออกมาเล็กน้อย แต่ก็พยายามเก็บอาการและนั่งกินเงียบ ๆ ต่อไป
“…กะว่าจะไม่ทำแล้วเชียว …แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เข้าใจอะไรเลยนะ…”
แซนโดรลุกจากที่นั่งและย่อตัวลงตรงหน้าซาล ก่อนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาพลางเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ
“…เธอน่ะ เตรียมใจที่จะฆ่าคนเอาไว้แล้วรึยัง?…”
“หะ.. หา?”
ทั้งน้ำเสียงและสายตาของแซนโดรต่างก็บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่คำถามที่ถามเล่น ๆ แต่เธอต้องการคำตอบจริง ๆ และนั่นเป็นสิ่งที่ซาลไม่เคยคิดคิดมาก่อน เขาจึงได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันโดยไม่อาจเอ่ยคำตอบใด ๆ ออกมาได้
“…จากมุมมองของผู้ครองดันเจียนมันอาจดูเหมือนแค่เกม หรือกระดานหมาก …แต่ว่าผู้คนในนั้น เหล่านักผจญภัยน่ะต่างก็เป็นคนจริง ๆ …ถ้าพวกเขาแพ้ในการต่อสู้ อาจหมายถึงความตายก็ได้ …ถ้าอยากชนะมากขนาดนั้น ก็ต้องเตรียมใจที่จะพรากชีวิตของพวกเขาเอาไว้ด้วย …ดีที่นี่เป็นดันเจียนตามธรรมชาติ ถึงจะมีคนมาตายบ้างก็ไม่เป็นไร …เพราะงั้นฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะฆ่าคนไปกี่คน ฉันสนแค่เธอเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้เอาไว้รึยัง?…”
“ตะ.. แต่ว่าผมไม่ปล่อยให้พวกเขาตายหรอกน่า ถ้าฉุกเฉินจริง ๆ จะยกเลิกการอัญเชิญเพื่อหยุดการต่อสู้ก็ได้”
“…ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับเปิดโปงดันเจียน ว่าเป็นดันเจียนและมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้น …แบบนั้นได้เกิดการตรวจสอบและกวาดล้างครั้งใหญ่แน่นอน …ดังนั้นถ้าถึงเวลาจริง ๆ ต่อให้ต้องปล่อยให้พวกนั้นตาย หรือแม้แต่ต้องฆ่าพวกนั้นด้วยตัวเอง เธอก็ต้องรักษาความลับของดันเจียนเอาไว้ให้ได้ …ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เราทำมาก็จะกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า และเธอจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ในการเลี้ยงพวกสมุนได้อีกเลย …แม้แต่การกลับไปสร้างดันเจียนเองก็อาจทำไม่ได้ด้วย…”
“บะ.. แบบนั้นมัน…”
ซาลที่ไม่เคยคิดว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้ได้แต่อึกอักด้วยสีหน้าลำบากใจ
ความจริงเรื่องราวอาจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้ แต่แซนโดรก็พูดข้อสมมุติฐานในทางเลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน เพราะอยากให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
“…ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดที่จะทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้หรอกนะ …จะรักษาความลับของดันเจียน หรือจะรักษาชีวิตของพวกนักผจญภัย ก็เลือกเอาสักอย่างนึง …ถ้าอยากใช้สมุนอย่างเต็มที่ โดยไม่ให้ความลับของดันเจียนรั่วไหล ก็ต้องเตรียมใจที่จะฆ่าคนเอาไว้ด้วย…”
ซาลนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบคำพูดเหล่านั้นว่าอะไรดี ส่วนแซนโดรเมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีสำนึกผิดจริง ๆ แล้ว ก็ลุกกลับไปนั่งบนที่ของตัวเองตามเดิม ก่อนจะพูดต่อ
“…ที่จริงการฝึกเขียนชุดคำสั่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะในอนาคตต้องได้ใช้แน่ …แต่สำหรับตอนนี้ต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการถูกเปิดโปงเอาไว้ก่อน …จัดเหล่าสมุนให้แยกกันซะ อย่าให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพจนเกินไป …แล้วก็ปรับเงื่อนไขการใช้ทักษะให้ดูโง่ลงอีกหน่อยด้วย อย่าให้เหมาะเจาะเกินไปนัก แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา…”
“เข้าใจแล้ว…”
ซาลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและสีหน้าที่ดูเศร้าหมอง แซนโดรเองก็ไม่ได้อยากจะทำลายความเชื่อมั่นของเขาไปพร้อมกับการสั่งสอน จึงทิ้งคำพูดไว้เพื่อปลอบขวัญเขานิดหน่อย
“…เรื่องชุดคำสั่งน่ะยังมีวิธีพลิกแพลงการใช้อีกมากมาย …ลองคิดทบทวนวิธีใช้ดูดี ๆ ถ้าเป็นเธอละก็ น่าจะหาวิธีใช้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพกว่านี้ได้ …เอาไปคิดดูล่ะ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็ลงจากรถม้าและมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของต่อ
นิโคลที่เห็นซาลยังนั่งซึมไม่หายจึงพยายามเข้ามาปลอบใจ
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะคะ คุณแซนโดรเขาแค่ไม่อยากให้คุณต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่พรากชีวิตคนอื่นน่ะค่ะ ถึงวิธีการพูดอาจอ้อมค้อมไปสักหน่อย แต่เธอก็มีเจตนาดีนะคะ”
“เรื่องนั้น ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก… แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ระวังซะหน่อย”
แม้จะท่าทีสำนึกผิด แต่สีหน้าของซาลที่ทั้งขมวดคิ้วและบุ้ยปากนั้นก็แสดงออกว่ายังไม่ยอมรับในเรื่องนี้ซะทีเดียว นิโคลคิดว่าท่าทางดื้อรั้นที่เหมือนจะแสดงความแง่งอนกับแซนโดรนิด ๆ นี้ก็ดูน่ารักดี จึงแอบอมยิ้มออกมา แต่อย่างไรเธอก็ต้องพูดเตือนเพื่อไม่ให้เขาทำเรื่องที่ต้องเสียใจในภายหลัง
“เธอคงอยากให้คุณระมัดระวังมากขึ้น เพราะว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดความผิดพลาดได้น่ะค่ะ ยังไงคุณก็ไม่คิดจะล้อเล่นกับชีวิตคนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ เพราะงั้นก็มาหาทางใช้งานเหล่าสมุนอย่างปลอดภัย ไม่ให้นักผจญภัยเกิดอันตราย และไม่ให้ดันเจียนถูกเปิดโปงด้วยจะดีกว่าค่ะ”
“ผิดแล้วล่ะ”
“เอ๋?”
“โลกนี้ไม่มีอะไรที่ถูกกำหนดมาอย่างแน่นอนตายตัวหรอกน่า ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่เลือกทางแรกก็ต้องเลือกทางที่สอง มันต้องมีทางที่สามอยู่เสมอ! คอยดูเถอะ เดี๋ยวผมจะหาทางใช้สมุนแบบเต็มพิกัดโดยไม่ให้ดันเจียนถูกเปิดโปง และไม่มีนักผจญภัยตายเลยให้ดู!”
ซาลลุกขึ้นพูดด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นเต็มพิกัด
นิโคลได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับคำพูดนั้น เธอเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแซนโดรถึงต้องเข้มงวดกับซาลนัก
———————————————————————————————————-
Part 2
เช้าวันต่อมารถม้าก็แล่นมาถึงฝั่งตะวันตกของเซนิธาล
เพราะไม่สามารถใช้วงเวทเคลื่อนย้ายได้ ทำให้แม้จะเดินทางตลอดคืนก็ยังเดินทางมาได้แค่หนึ่งในสามของระยะทางเท่านั้น แต่ทุกคนก็ยังทำตัวกันตามปกติ ทั้งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา ไม่มีใครแสดงท่าทีเป็นกังวลแม้แต่นิดเดียว ราวกับลืมกันไปแล้วว่ากำลังถูกพีชคีปเปอร์ไล่ล่าตัวอยู่
แซนโดรทำเบอเด็นน์อามูเล็ทอันใหม่ให้กับซาล เพราะอันเก่าถูกใช้ไปตอนที่เขาพยายามหนีจากมังกรที่อคาทอช
“…เอ้า นี่เป็น ‘เบอเด็นน์อามูเล็ท’ อันใหม่ …ฉันปรับแรงดึงดูดเพิ่มเป็น 25% แล้ว น่าจะไหวนะ …แล้วอย่าทำหายอีกล่ะ…”
“ไม่ได้ทำหายซะหน่อย! แต่จะให้หยิบกลับมายังไงล่ะ!?”
ซาลขมวดคิ้วตอบกลับไป ส่วนแซนโดรที่แค่พูดหยอกเล่นเฉย ๆ ก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก
หลังจากรับสร้อยมาสวมแล้ว ซาลก็หันไปปรับแต่งเหล่าสมุนต่อ เพราะแม้จะพยายามปรับชุดคำสั่งอย่างเต็มที่แล้ว แต่สมุนที่ปล่อยลงไปเดี่ยว ๆ หรือแม้แต่อยู่เป็นคู่ก็ยังยื้อเวลาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
แซนโดรซึ่งมองดูอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นเหล่าสมุนของซาลซึ่งตอนนี้มีแต่มังกรล้วน ๆ ก็อดถามขึ้นไม่ได้
“…จะว่าไปแล้ว …เธอนี่เลี้ยงแต่มังกรนะ …ไม่คิดจะสร้างสมุนแบบอื่นบ้างรึไง?…”
“จริงๆก็อยากจะสร้างสมุนสายนักรบเอาไว้ด้วยนะ อย่างเช่น ‘วาลไครี่’ น่ะ!”
‘วาลไครี่’ (Valkyrie) คือนักรบหญิงซึ่งมีพลังแห่งแสง มักใช้ดาบหรือหอกเป็นอาวุธ และอาจมีปีกอยู่ที่หลังด้วย เป็นร่างอัญเชิญที่เหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์หรือทูตสวรรค์ชอบใช้กัน แต่สมุนชนิดนี้เป็นร่างอัญเชิญแบบพิเศษ ไม่ใช่ตัวตนที่สามารถพบเห็นตามธรรมชาติได้
“…ร่างอัญเชิญแบบนั้นจะเอาไปปล่อยฝึกที่ไหนได้ล่ะ …ถ้าจะฝึกสมุนประเภทนักรบละก็ ลองพวก ‘ลิซาร์ดแมน’ ดูดีมั้ย?…”
‘ลิซาร์ดแมน’ (Lizardman) คือมอนสเตอร์ประเภทนักรบที่มีรูปร่างเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์เลื้อยคลาน หรืออาจเรียกว่าเป็นมนุษย์กิ้งก่าก็ได้ เผ่าพันธุ์นี้มักอาศัยอยู่ตามป่าดงดิบหรือเขตบึงโคลน โดยทั่วไปจะมีสติปัญญาในระดับต่ำแม้จะรู้จักประดิษฐ์อาวุธและชุดป้องกันขึ้นมาใช้ก็ตาม จึงถูกจัดหมวดให้เป็นมอนสเตอร์ มีเพียงเผ่าลิซาร์ดแมนซึ่งอยู่ในพื้นที่หนึ่งของทวีปเทอร่าเท่านั้นที่มีสติปัญญาสูงพอจนสามารถสร้างอารยธรรมและได้รับการยอมรับให้เป็นเผ่าพันธุ์ระดับเดียวกับพวกกึ่งมนุษย์เผ่าอื่น ๆ
ความจริงแซนโดรอยากเสนอพวก ‘สเกลตัน’ หรือ ‘แบล็คไนท์’ มากกว่า แต่เพราะมันเป็นสมุนธาตุมืดของสายเนโครแมนเซอร์โดยเฉพาะ ทำให้นักเวทอัญเชิญธรรมดาอย่างซาลไม่สามารถพัฒนาพวกมันจนเต็มประสิทธิภาพได้ จึงเสนอลิซาร์ดแมนขึ้นมาแทนเพราะน่าจะใกล้เคียงและลงตัวที่สุด แต่ซาลที่ได้ยินชื่อลิซาร์ดแมนก็แสดงสีหน้ารังเกียจถึงขั้นเบะปาก
“อี๋ ลิซาร์ดแมน.. มนุษย์กิ้งก่านั่นน่ะเหรอ? ไม่เอาด้วยหรอก ไม่เห็นเท่เลยอะ แถมหน้าตายังน่าขยะแขยงอีก แค่เห็นผมก็ขนลุกแล้ว แหยะ”
แซนโดรที่เห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางรังเกียจขนาดนั้นออกมาก็เริ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะความข้องใจ
“…อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนักจะได้มั้ย แค่รูปลักษณ์ภายนอกจะไปใส่ใจทำไม มันเป็นสมุนที่เอาไว้สู้นะ ไม่ได้เอาไว้ประกวดแข่งกับใคร …อีกอย่าง กิ้งก่ามันก็เป็นญาติกับมังกรนั่นแหละ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย เธอเองชอบมังกรขนาดนั้น ทำไมต้องไปรังเกียจกิ้งก่าด้วยล่ะ…”
คำพูดนั้นของแซนโดรทำให้นิโคลสะดุ้งเฮือกและหันขวับมามองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เธอไม่แน่ใจว่าแซนโดรพูดจริงหรือพูดเล่นจึงไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความเข้าใจที่ผิดนี้ไปดีรึเปล่า แต่การถูกนำไปเหมารวมกับกิ้งก่าก็ทำให้เธอรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาก
ทางด้านซาลยิ่งมีอาการหนักกว่า เขาถลึงตามองแซนโดรด้วยใบหน้าอันบิดเบี้ยวเพราะถูกล่วงละเมิดในสิ่งที่เขาชื่นชอบในระดับเทิดทูนบูชาเข้าให้แล้ว
“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!? มังกรน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนะ! กิ้งก่าจะมาเทียบได้ยังไง!?”
แซนโดรกลอกตาไปทางอื่นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แวบหนึ่งในใจก็แอบคิดอยู่ว่าจะแกล้งแหย่ซาลด้วยการพูดจาหยามเหยียดมังกรให้มากกว่านี้ดีมั้ยนะ แต่เพราะเหลือบไปเห็นนิโคลที่นั่งทำหน้าเจื่อนอยู่ข้าง ๆ จึงนึกขึ้นได้ว่ามีผู้เสียหายโดยตรงนั่งอยู่ตรงนี้อีกคนทำให้ไม่สะดวกที่จะพูดจาเกินเลยไปนัก เธอจึงยอมตัดบทไปแค่นั้น
“…เอาเถอะ ถือซะว่าฉันเข้าไม่ถึงเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน …แต่เรื่องสมุนอัญเชิญน่ะ มอนสเตอร์ตามธรรมชาติที่เป็นสายนักรบมีอยู่ไม่มากหรอกนะ ถ้าไม่ใช้ลิซาร์ดแมนแล้วจะใช้อะไรล่ะ?…”
ซาลยังมีท่าทีไม่พอใจอยู่นิดหน่อย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมถอนคำพูดแล้ว (แม้จะฟังดูอ้อม ๆ ไปนิด) เขาจึงไม่คิดจะสืบสาวต่อไป และหันมาพิจารณาเรื่องสมุนอัญเชิญต่ออีกครั้ง ส่วนนิโคลที่ไม่ได้ติดใจอะไรมากอยู่แล้ว เมื่อเห็นสถานการณ์คลี่คลายก็เลยเบาใจลง
ซาลครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังทำให้ทั้งห้องโดยสารตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงล้อรถกับเสียงฝีเท้าม้าแว่วเข้ามาให้ได้ยินเบา ๆ เท่านั้น เพราะห้องโดยสารมีโครงสร้างที่ช่วยกั้นเสียงจากภายนอกไว้ได้พอสมควร
หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่ง ซาลก็ทำหน้าเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วถ้าปรับรูปลักษณ์ของมันล่ะ?”
“…ปรับรูปลักษณ์เหรอ?…”
แซนโดรถามย้ำด้วยท่าทางสงสัย ซาลจึงอธิบายต่อ
“อย่างม้าที่ลากรถคันนี้อยู่น่ะ จริง ๆ มันเป็นไนท์แมร์ใช่มั้ยล่ะ แต่แซนโดรก็ปรับรูปลักษณ์ภายนอกของมันให้ดูเหมือนม้าปกติแทน งั้นถ้าเราลองปรับรูปลักษณ์ของวาไครี่ให้มันดูเป็นมอนสเตอร์ที่น่าจะมีอยู่บนโลกนี้ได้มากขึ้นล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทำให้แซนโดรมีสีหน้าเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้เช่นกัน
“…อืม …รูปลักษณ์ของวาไครี่งั้นเหรอ …ถ้าเอาปีกออก เปลี่ยนเป็นพวกผ้าคลุมแทน …แล้วปรับแต่งสภาพภายนอกให้ดูหมอง ๆ หน่อย ก็น่าจะทำให้ดูเหมือนพวก ‘ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ ได้อยู่มั้ง…”
‘ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ (Fallen Champion) คือมอนสเตอร์ประเภทร่างอัญเชิญที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากจิตตกค้างของเหล่านักรบที่พ่ายแพ้หรือตายในการต่อสู้ ทำให้เกิดมอนสเตอร์อัญเชิญที่มีรูปร่างเป็นนักรบขึ้นมา
“มีจริง ๆ เหรอ!? แบบนั้นก็ดีน่ะสิ! แบบนี้ก็เลี้ยงวาไครี่ได้ไม่มีปัญหาแล้วใช่ม้า~”
ซาลแสดงอาการดีใจออกมาเพราะคิดว่าแก้ปัญหาได้แล้ว แต่พอเห็นแซนโดรที่ยังมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่เขาก็ลดอาการลงเพราะรู้ว่ามันคงไม่ง่ายอย่างที่คิด
“…จะว่าได้ก็ได้อยู่ …แต่ในฝั่งตะวันตกของเซนิธาลปกติจะไม่ค่อยมี ‘ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ ให้เห็นหรอกนะ …ถ้าเป็น ‘ลิซาร์ดแมน’ ยังจะหาได้ง่ายกว่า ถึงได้เสนอขึ้นมาไงล่ะ…”
“ถ้างั้นควรไปแถวไหนถึงจะเหมาะล่ะ?”
“…’ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ มักปรากฏตัวตามซากปรักหักพังของเมืองหรือโบราณสถาน ของพวกนั้นจะมีเยอะในเซนิธาลฝั่งตะวันออก …แต่เราก็ย้อนมาถึงฝั่งตะวันตกแล้วน่ะนะ แถบนี้ไม่ค่อยมีพื้นที่ในลักษณะนั้นเท่าไหร่ …เอาไว้ฉันจะลองหาที่เหมาะ ๆ ให้เธอได้แวะสร้างดันเจียนก็แล้วกัน…”
เมื่อนึกถึงการต้องแวะวางดันเจียนที่ละนิดที่ละหน่อยแล้วซาลก็รู้สึกว่าเป็นการเสียเวลาขึ้นมา เขาอยากได้พื้นที่ดันเจียนขนาดใหญ่ให้วางดันเจียนปูพรมได้อย่างอคาทอชมากกว่าจึงเอ่ยถามแซนโดรถึงเรื่องนั้น
“อืม… ยังมีที่ไหนที่เป็นพื้นที่ดันเจียนขนาดใหญ่เหมือนกับอคาทอชอีกรึเปล่าอะ?”
“…ที่แบบนั้นความจริงก็ยังมีอยู่อีกหลายแห่ง …แต่ถ้าจะให้เป็นที่ ๆ เหมาะที่สุดและกว้างใหญ่ที่สุด น่าจะเป็นที่โครซิส ล่ะมั้ง…”
“อาณาจักรโครซิสงั้นเหรอ?”
“…ใช่ …เพราะที่นั่นน่ะเคยถูกเหล่าปิศาจบุกถล่มจนราบ …ทั้งยังเป็นสนามรบของทั้งทัพสวรรค์, โลก, และนรก เหล่าอสูรและนักผจญภัยที่ตายที่นั่นก็มีมากมาย …เวทมนตร์และวิญญาณที่ตกค้างอยู่ทำให้เกิดละอองเวทมนตร์แพร่กระจายอยู่ทั่วไป …เกือบทั้งอาณาจักรเลยเปรียบเสมือนพื้นที่ดันเจียนขนาดใหญ่เลยล่ะ…”
เมื่อพูดถึงโศกนาฏกรรมของโครซิส นิโคลก็มีสีหน้าหม่นหมองลงขึ้นมาแวบหนึ่ง แม้จะยังไม่มีใครหันไปมอง แต่ทั้งสองคนก็ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้พอดี ซาลจึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“จะ.. จริงสิ! ว่าไปแล้วเนี่ย นิโคลมีนิสัยต่างจากเผ่ามังกรคนอื่น ๆ ลิบลับเลยนะ! พวกเผ่ามังกรคนอื่น ๆส่วนใหญ่จะเย่อหยิ่งและเหยียดหยามมนุษย์แท้ ๆ แต่นิโคลกลับไม่เป็นแบบนั้นเลย ทั้งอ่อนน้อม และเป็นมิตรด้วย ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้แน่ ๆ ว่าเป็นเผ่ามังกรน่ะ”
แซนโดรหย่อนหนังตาลงด้วยความเบื่อหน่าย เธอเข้าใจว่าซาลพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้นิโคลคิดมาก แต่ความจริงเวลาแบบนี้ควรพูดถึงเรื่องอื่นไปเลยมากกว่าจะหันไปชวนเจ้าตัวคุย จึงคิดในใจว่าเจ้าเด็กคนนี้ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ทางด้านนิโคลเองก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนเป็นห่วงอยู่แล้วจึงหันมาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“จริง ๆ แล้ว คนของเผ่ามังกรก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นไปซะทั้งหมดหรอกนะคะ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตในโลกภายนอกมากกว่า พวกที่อยู่ในเมืองมักจะเรียกพวกเราว่าพวกเร่ร่อน ส่วนพวกเราก็จะเรียกพวกเขาว่าพวก ‘ฮิคกี้’ ค่ะ”
“ฮิคกี้เหรอ?”
ซาลไม่รู้จักคำ ๆ นี้ แซนโดรจึงช่วยอธิบายให้
“…มันเป็นภาษาของโลกเก่าน่ะ …ย่อมาจาก ‘ฮิคิโคโมริ’ หมายถึงพวกที่ชอบเอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในบ้าน …เป็นพวกต่อต้านสังคม ไม่ยอมออกมาพบปะผู้คน…”
“ใช่แล้วค่ะ ก็พวกนั้นน่ะคิดว่าได้รับรู้ทุกอย่างเพียงพอแล้วจาก ‘อีเทอนัลดรีม’ การออกมายังโลกภายนอกจะทำให้ซึมซับวัฒนธรรมแย่ ๆ โดยเฉพาะจากเหล่ามนุษย์ ก็เลยไม่ชอบที่จะออกมาภายนอก และไม่ชอบให้เผ่ามังกรคนอื่น ๆ ออกท่องโลกภายนอกด้วยค่ะ”
“อืม… ทำไมพวกเขาถึงได้รังเกียจมนุษย์ขนาดนั้นล่ะ? เพราะเรื่องที่เราเคยทำให้โลกล่มสลายน่ะเหรอ?”
“นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งค่ะ แต่โดยรวมแล้วน่าจะมาจากสิ่งที่ได้พบได้เห็นใน ‘อีเทอนัลดรีม’ น่ะค่ะ”
“สิ่งที่พบเห็นใน ‘อีเทอนัลดรีม’ เหรอ?”
“ค่ะ ใน ‘อีเทอนัลดรีม’ น่ะ จะมีภาพเหตุการณ์มากมายถ่ายทอดเข้ามาในหัวของเรา ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกเก่า เกี่ยวกับมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ในโลกเก่าได้กระทำ ทั้งกับพืช กับสัตว์ รวมไปถึงกับมนุษย์ด้วยกันเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลที่เห็นว่าเผ่ามังกรรังเกียจมนุษย์เพราะเรื่องนี้จึงคิดว่าภาพของมนุษย์ที่ปรากฏในอีเทอนัลดรีมคงไม่ดีเท่าไหร่
“มัน… มีแต่เรื่องแย่ ๆ เหรอ?”
“ความจริงก็มีทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่แย่ปะปนกันไปนะคะ แต่เรื่องที่แย่หลาย ๆ อย่างมันก็เลวร้ายซะจนน่าหดหู่มากทีเดียว ความโหดร้ายบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะกระทำกับมนุษย์ด้วยกันได้ มังกรหลายตัวที่พบเห็นสิ่งเหล่านี้เข้ามาก ๆ ก็ถึงกับสูญเสียจิตและดับสูญไปใน ‘อีเทอนัลดรีม’ เลยนะคะ ส่วนพวกที่รอดมาได้ก็จะเกิดทัศนะคติในแง่ลบต่อมนุษย์มาก ๆ เลยค่ะ”
“แต่นิโคลเองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นา… ใช่มั้ย?”
ซาลเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่แสดงความกังวลออกมาเล็กน้อย แต่นิโคลก็ยิ้มและส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะตอบกลับไป
“มันอาจเป็นเรื่องของมุมมองน่ะค่ะ ถึงจะได้พบด้านที่เลวร้ายมากมาย แต่ก็ยังมีด้านที่ดี ๆ ให้ได้เห็นอยู่เหมือนกัน ฉันเลยคิดว่ามนุษย์ไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมด อีกอย่างคือมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกเก่า ฉันอยากจะดูด้วยตาตัวเองมากกว่าว่ามนุษย์ในโลกนี้เป็นยังไง ถึงได้เลือกเป็นนักผจญภัยและออกเดินทางไงล่ะคะ”
“แล้ว เป็นยังไงเหรอ?”
ซาลเอ่ยถามด้วยท่าทางสงสัยใครรู้ ในใจของเขาก็แอบลุ้นอยู่ว่านิโคลจะประเมินมนุษย์ออกมาเช่นไร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงตอบกลับมาด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้มราวกับดอกไม้บานเช่นเคย
“ฉันก็ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการอ่านคนเท่าไหร่หรอกนะคะ ส่วนตัวคิดว่าโดยเนื้อแท้แล้วมนุษย์ของโลกนี้กับโลกเก่าไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่เพราะได้รับโอกาสครั้งที่สอง มนุษย์จึงพยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำให้โอกาสที่ได้รับมานั้นต้องเสียเปล่าไป และทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อจะสร้างสรรค์โลกให้เป็นที่ ๆ ดียิ่งขึ้น เพื่อชดเชยกับความผิดพลาดที่ได้กระทำไว้ ฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมค่ะ นิสัยที่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด ทั้งยังทุ่มเทเพื่อชดเชยกับความผิดนั้น นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์น่าคบหาค่ะ”
ซาลยิ้มอย่างปลื้มใจกับคำตอบของนิโคล แต่แซนโดรกลับแอบยิ้มเยาะเงียบ ๆ ให้กับคำตอบนั้นเพราะคิดว่านิโคลประเมินมนุษย์สูงเกินไปแล้ว
———————————————————————————————————-
Part 3
เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่าย รถม้าก็แล่นมาถึงเมืองเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่ง
แซนโดรแยกตัวเข้าเมืองไปเพื่อซื้อของเพิ่มเติมเพราะครั้งที่แล้วยังได้ของมาไม่ครบจำนวนที่ต้องการ ส่วนซาลนั้นขอให้แซนโดรช่วยอัญเชิญร่างเสมือนของเขาไปยังห้องสมุดของมาลาไคท์คีป เพื่อที่จะได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม
แม้สมุนเกือบทั้งหมดจะเลื่อนระดับขึ้นมาจนถึงช่วงปลายของระดับ 4 แล้วแต่ก็ยังกินค่าร่ายแค่ตัวละประมาณ 5% ของพลังเวทที่มีอยู่ ทำให้ซาลสามารถอัญเชิญทุกตัวออกมาได้พร้อมกัน อัตราการฟื้นฟูพลังเวทของเขาอยู่ที่ราว ๆ 20% ต่อชั่วโมง จึงทำให้อัญเชิญสมุนออกมาชดเชยตัวที่ถูกกำจัดไปได้ราว ๆ ชั่วโมงละสี่ตัว
แม้ซาลจะใจร้อนอยากใช้มานาโพชั่นเพื่อเติมพลังเวทจะได้อัญเชิญสมุนออกมาเติมได้เยอะกว่านี้ แต่แซนโดรอยากให้เขาค่อย ๆ ฟื้นฟูพลังเวทด้วยตัวเองเพื่อพัฒนาอัตราการฟื้นฟูในระยะยาวมากกว่า ซาลจึงต้องหาทางใช้งานสมุนในจำนวนที่มีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
จากการทดลองใช้ชุดคำสั่งหลากหลายรูปแบบพบว่าการที่สมุนแค่ตัวหรือสองตัวสามารถใช้ทักษะเชิงป้องกันได้ก็ไม่ช่วยให้ผลของการต่อสู้เปลี่ยนไปมากนัก ไม่ว่าจะเป็นทักษะเสริมการป้องกัน หรือฟื้นฟูพลังชีวิต ก็ช่วยยื้อเวลาไปได้อีกแค่นิดหน่อยเท่านั้น
“อืม… ถ้าใช้ทักษะหลากหลายชนิดประสานงานกันก็จะแรงเกินไป แต่พอใช้น้อยก็แทบไม่มีผลอีก มีวิธีอื่นที่จะช่วยให้สู้ได้นาน ๆ มั้ยนะ…”
แม้การฝึกร่างอัญเชิญด้วยดันเจียนแบบเปิดจะเป็นวิธีแสนสะดวก แค่อัญเชิญทิ้งไว้แล้วรอให้มีนักผจญภัยมาสู้ จากนั้นค่อยอัญเชิญตัวใหม่ลงไปเติม ไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูหรือควบคุมจัดการอะไรมากไปกว่านี้ แต่เพราะการต่อสู้แต่ละครั้งจะจบลงในเวลาไม่นานทำให้ร่างอัญเชิญเกิดการพัฒนาไม่มากนัก
ความจริงถ้าไม่คิดอะไรมากนี่ก็เป็นวิธีที่สบายและให้ผลลัพธ์ในระดับที่น่าพอใจแล้วเมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องใช้ในการจัดการ แต่ซาลก็คิดว่ามันยังส่วนที่ต้องปรับปรุงอยู่อีกหลายจุด
เช่นบางช่วงที่ละไปทำอย่างอื่นแล้วสมุนถูกจัดการไปก็จะเกิดช่องว่างจนกว่าเขาจะมาอัญเชิญสมุนตัวใหม่ลงไปแทน ทำให้ต้องหมั่นเข้ามาตรวจสอบบ่อย ๆ เหมือนกัน หรืออย่างเช่นในตอนที่ใช้ร่างเสมือนอยู่นี้ เขาจะไม่สามารถจัดการดันเจียนได้เลย ทำให้เกิดช่องว่างเป็นเวลานาน
“ถ้ามีวิธีทำให้สมุนตัวใหม่ออกมาเองได้ก็ดีสินะ… เอ๋.. เหมือนจะมีวิธีอยู่นี่นา”
ซาลนึกย้อนไปถึง ‘วงเวทอัญเชิญไร้สิ้นสุด’ (Spawning Circle) ที่แซนโดรใช้ในการสร้างกองทัพสเกลตัน ก็เป็นวงเวทที่ถูกออกแบบให้อัญเชิญสมุนออกมาเรื่อย ๆ เมื่อมีพลังเวทพอเพียง เป็นอีกวิทยาการที่เขาสนใจจึงได้ลองศึกษารายละเอียดของมันดูในระดับหนึ่งแล้ว
“ถ้าเป็นไอ้นี่ก็น่าจะใช้อัญเชิญสมุนออกมาเรื่อย ๆ ได้ แต่มีวิธีที่จะทำให้มันอัญเชิญสมุนลงไปในดันเจียนเองมั้ยนะ…”
เขาพลิกดูงานวิจัยของ ‘วงเวทอัญเชิญไร้สิ้นสุด’ เพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วก็พบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘จุดอัญเชิญ’ (Spawning Point) เป็นวงเวทขนาดเล็กสำหรับใช้กำหนดจุดที่จะให้สมุนถูกอัญเชิญออกมาได้ตามต้องการ
“โอ้ ไอ้นี่น่าจะใช้ได้นะเนี่ย แค่ซ่อนจุดอัญเชิญไว้ในตำแหน่งเหมาะ ๆ สักแห่งก็น่าจะโอเค ที่เหลือก็แค่หาแหล่งกำเนิดพลังเวทที่จะเติมให้กับวงเวท …จะทำเสาเวทมนตร์แบบของแซนโดรก็คงไม่ไหวแฮะ แถมมันยังใช้เวลานานสุด ๆ เลยด้วย ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่…”
ซาลนึกถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เขาเคยผ่านตาตอนที่พยายามหาวิธีชดเชยค่าร่ายของสมุนอัญเชิญ จึงลองคุ้ยหามันดูอีกครั้ง และในเวลาไม่นานเขาก็หาพบ
“นี่ไงล่ะ! วงเชื่อมพลังเวท! ถ้าเชื่อมต่อไอ้นี่เข้ากับวงเวทอัญเชิญไร้สิ้นสุดก็น่าจะใช้เป็นแหล่งกำเนิดพลังเวทในการอัญเชิญสมุนออกมาเรื่อย ๆ ได้!”
‘วงเชื่อมพลังเวท’ (Mana Link Circle) เป็นวงเวทที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนของเจ้าของในการแจกจ่ายพลังเวทไปยังวงเวทอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับมัน เมื่อเกิดการร่ายเวทขึ้นวงเวทจะทำการดึงพลังเวทจากเจ้าของมาเติมให้กับวงเวทที่กำลังทำงานโดยอัตโนมัติ
มันเป็นของที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้นักเวทคนหนึ่งสามารถยืมพลังเวทจากนักเวทอีกคนในการร่ายเวทได้ แต่เพราะข้อจำกัดที่ใช้ได้กับวงเวทที่เชื่อมต่อกันเท่านั้น และยังมีวิทยาการใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การหยิบยืมพลังเวททำได้ง่ายกว่านี้ มันจึงเป็นงานวิจัยที่ถูกทิ้งร้างไป
“ถ้าปรับแต่งไอ้นี่สักหน่อย พร้อมกับเพิ่มชุดโครงสร้างของ ‘วงเวทอัญเชิญไร้สิ้นสุด’ ลงไปในวงเวทของสมุน ก็น่าจะทำให้สมุนอัญเชิญตัวเองออกมาเสริมเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติได้ ทีนี้ก็ไม่ต้องคอยมาเช็คบ่อย ๆ แล้ว!”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ซาลก็ปลดเวท ‘โพสเซสชั่น’ ออก เพื่อกลับมายังร่างจริง
หลังจากทำการปรับแต่งวงเวทอัญเชิญและต่อมันเข้ากับวงเชื่อมพลังเวทแล้ว ซาลก็เปิดผังดันเจียนขึ้นมาเพื่อมองหาที่เหมาะ ๆ ในการวางจุดอัญเชิญ
ในระหว่างกวาดสายตาอยู่นั้น เขาก็พบการต่อสู้ของเหล่านักผจญภัยในพื้นที่ดันเจียนอยู่ประปราย
นักผจญภัยกลุ่มหนึ่งกำลังพลาดท่าจนต้องถอยหนีจากกลุ่มมอนสเตอร์อย่างหัวหกก้นขวิด ซึ่งหลังจากออกมาตั้งหลักฟื้นฟูพลังกันใหม่แล้วพวกเขาก็กลับเข้าไปสู้อีกครั้งและเอาชนะได้
“การพลาดท่าให้กับมอนสเตอร์ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้นี่นา แซนโดรไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลยโด่~ พวกนักผจญภัยเองก็ไม่โง่ขนาดสู้จนตัวตายอยู่แล้ว พลาดท่าก็ถอยมาตั้งหลักแล้วไปสู้ใหม่ โกงจะตายไป ถ้าพวกมอนสเตอร์ทำแบบนี้ได้บ้างละก็…”
‘ถ้าพวกมอนสเตอร์ทำแบบนี้ได้บ้าง’ เป็นคำที่จุดประกายความคิดให้กับเขาขึ้นมาโดยบังเอิญ
เขากวาดสายตามองไปยังอีกหลาย ๆ การต่อสู้เพื่อดูพฤติกรรมของเหล่ามอนสเตอร์
พวกมอนสเตอร์เองบางครั้งก็มีการถอยหนีจากการต่อสู้เมื่อบาดเจ็บหนัก ๆ เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นพวก ไวเวิร์น (มังกรบิน), แฮชลิ่ง (มังกรขนาดเล็กที่ยังบินไม่ได้), หรือเวิร์ม (มังกรที่ไม่มีปีกไม่มีขา ลักษณะเลยคล้ายงู), แม้แต่มังกรขนาดกลางบางทียังเผ่นก่อนด้วยซ้ำเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่อันตราย
แต่การถอยหนีของพวกมันเหมือนเป็นการเอาตัวรอดซะมากกว่า แค่หนีออกจากจุดอันตรายแบบสะเปะสะปะ ไม่ใช่การถอยไปตั้งหลักเพื่อกลับมาสู้ใหม่เหมือนพวกนักผจญภัย
“การที่มอนสเตอร์จะถอยหนีไม่ใช่เรื่องแปลก… เพราะงั้นถ้าสมุนอัญเชิญจะทำแบบนั้นบ้างก็ไม่แปลกอะไร… ถ้าให้ถอยออกมาตั้งหลักละก็ น่าจะช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ได้… และเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูพลังชีวิตก็น่าจะเร็วกว่าเวลาที่เราต้องใช้ในการรวบรวมพลังเวทเพื่ออัญเชิญตัวใหม่ด้วย”
ด้วยอัตราการฟื้นฟูพลังเวทของซาลารัสตอนนี้ น่าจะใช้เวลาราวๆ 15 นาที จึงจะฟื้นฟูพลังเวทได้เพียงพอต่อการอัญเชิญสมุนหนึ่งตัว แต่ถ้าให้สมุนใช้เวทรักษาตัวเองก็น่าจะใช้เวลาแค่ราว ๆ 5 นาทีเท่านั้นในการฟื้นฟูจนสมบูรณ์พร้อมและกลับไปสู้อีกครั้งได้
“โชคดีที่ทั้งธาตุดิน น้ำ และลม ต่างก็มีเวทฟื้นฟูของตัวเองทั้งนั้น ถ้าเลือกตัวที่มีความสามารถในการฟื้นฟูสูงสุดมาเป็นฮีลเลอร์ประจำดันเจียนอีกสักตัวก็น่าจะโอเคนะ อืม… นี่ นิโคล ถ้าไม่นับมังกรแสงละก็ มังกรน้ำเนี่ยมีความสามารถสายฟื้นฟูสูงสุดแล้วใช่มั้ย?”
ซาลหันไปถามนิโคลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่เพราะเธอกำลังเพลิดเพลินกับการมองทิวทัศน์ภายในเมืองผ่านสายตาของแมลงเต่าทองที่แซนโดรพาไปด้วย จึงไม่ทันตอบสนองในทีแรก
“อ๊ะ ขอโทษทีค่ะ มัวดูอะไรเพลินไปหน่อย… อืม… ถ้าเทียบกันในหมู่ธาตุหลักก็ใช่นะคะ แต่ถ้านับพวกธาตุผสมด้วยละก็ ธาตุไม้จะมีความสามารถในการฟื้นฟูสูงสุดค่ะ อาจสูงกว่าธาตุแสงด้วย”
“เอ๋? ธาตุไม้เหรอ?”
“ใช่ค่ะ มันเป็นธาตุผสมที่เกิดจากการรวมสองธาตุหลักเข้าด้วยกัน ธาตุไม้เกิดจากธาตุดินบวกกับธาตุน้ำ ทำให้มีคุณสมบัติเด่นของทั้งสองธาตุรวมกัน ความสามารถในการฟื้นฟูจึงสูงมากค่ะ”
“อืม… เพราะว่ามันใช้พลังเวทสูงกว่าเกือบเท่าตัวในขณะที่ค่าพลังแทบจะไม่ต่างกัน ก็เลยไม่ได้สร้างมังกรที่เป็นธาตุผสมเอาไว้เลยสักตัวน่ะ แบบนี้จะลองสร้างขึ้นมาดูดีมั้ยนะ”
“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของร่างอัญเชิญหรอกนะคะ แต่ตามธรรมชาติแล้ว มังกรที่เป็นธาตุผสมจะมีความสามารถที่เหนือกว่ามังกรธาตุเดี่ยวในหลาย ๆ ด้าน ทั้งความสามารถทางกายภาพ และทักษะหรือเวทที่ใช้งานได้ คือจะใช้งานทักษะธาตุได้ถึงสามชนิดด้วยกัน อย่างมังกรไม้ก็จะใช้ทักษะของธาตุดิน, น้ำ, และไม้ ได้ทั้งหมดเลย มังกรที่มีหลายธาตุในตัวจึงจัดเป็นระดับที่สูงกว่ามังกรธาตุเดี่ยวอยู่หลายขั้นค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง งั้นเดี๋ยวคงต้องลองปั้นดูสักหน่อยแล้ว ว่าแต่นอกจากธาตุไม้แล้วยังมีธาตุอะไรอีกบ้างล่ะ?”
“ดินกับน้ำจะได้ไม้, น้ำกับลมจะได้น้ำแข็ง, ลมกับไฟจะได้สายฟ้า, และไฟกับดินจะได้หิน ค่ะ”
“โอ้ นิโคลเองเป็นมังกรน้ำแข็ง ก็คือมีธาตุน้ำและลมสินะ”
“ถูกต้องแล้วค่ะ”
“แล้วไม่มีการผสมกับธาตุแสงหรือธาตุมืดบ้างเหรอ?”
“แสงกับมืดเป็นธาตุที่เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของธาตุที่จับคู่ด้วยโดยไม่ได้ทำให้เกิดธาตุใหม่ค่ะ เช่นถ้าเป็นมังกรดินที่มีธาตุแสง ก็จะมีพลังในการฟื้นฟูเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นมังกรดินที่มีธาตุมืด ก็จะมีความสามารถในการยับยั้งการรักษาและกัดกร่อนฝ่ายตรงข้ามแทนค่ะ”
“อืม… ฟังดูน่าจะเป็นเรื่องที่ซับซ้อน งั้นเอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาคุยกันต่อละกันนะ”
“ได้ค่ะ”
ซาลคิดว่าเดี๋ยวคงต้องลองสร้างมังกรธาตุผสมขึ้นมาเลี้ยงดูอย่างละตัว แต่ตอนนี้ที่ต้องทำคือการวางระบบจัดการตัวเองให้เหล่าสมุนในดันเจียนตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ก่อน
เขาเริ่มจากการใส่คำสั่งถอยหนีให้กับมังกรทุกตัวเป็นอันดับแรก
[มังกรทุกตัว]
เมื่อพลังชีวิตลดต่ำกว่า 25% ให้ถอยจากการต่อสู้แล้วกลับไปยังจุดรวมพล
“อืม… จุดรวมพลที่จะใช้เป็นจุดตั้งหลักใหม่ ควรจะเป็นตรงไหนดีนะ… ต้องเป็นที่ ๆ ลับตาคน และไม่ใช่จุดที่คนจะเข้าไปถึงได้ง่าย ๆ …”
เขากวาดสายตามองไปโดยรอบดันเจียน ในที่สุดก็พบตำแหน่งที่เหมาะสม
มันเป็นหน้าผาที่อยู่ขอบบนสุดของพื้นที่อคาทอชเขตใต้ ซึ่งคาบเกี่ยวอยู่กับพื้นที่เขตเหนือด้วย หน้าผานี้ไม่มีทางเชื่อมต่อกับเส้นทางปกติของนักผจญภัย การจะขึ้นมาได้ต้องทำการปีนหรือบินขึ้นมาเท่านั้น แถมตัวหน้าผายังถูกบดบังจากภูเขาหินทรงสูงจำนวนมากที่รายล้อมอยู่โดยรอบ เป็นการช่วยอำพรางไปในตัว ทำให้เป็นที่ ๆ เหมาะมากทีเดียว
สมุนมังกรของเขาเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของระดับ 4 จะมีทักษะติดตัวที่ชื่อว่า ‘ไฟลท์’ (Flight) เพิ่มขึ้นมา ทำให้สามารถบินได้ซะที หลังจากมีปีกอันเล็ก ๆ ไว้เป็นแค่ของประดับมาเป็นเวลานาน แม้ตอนนี้สมุนบางตัวจะยังอยู่แค่ระดับกลางจึงไม่มีทักษะนี้ แต่ก็คงจะพอปีนขึ้นไปได้
“โอเค ใช้ที่นี่เป็นฐานปฏิบัติการหลักก็แล้วกัน”
ซาลวางตำแหน่งของจุดอัญเชิญทั้งสิบหกอันไว้บนหน้าผา แม้จุดอัญเชิญนั้นจะเป็นวงเวทขนาดเล็กมาก ๆ ชนิดที่ถ้าไม่สังเกตก็มองไม่เห็น แต่เขาก็ยังปรับสภาพพื้นผิวนิดหน่อยเพื่อซุกซ่อนจุดอัญเชิญให้หายากขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ เมื่อถอยกลับมายังจุดรวมพลแล้วก็ต้องรอฟื้นฟูพลังจนกว่าจะเต็ม แล้วค่อยกลับลงไปสู้ใหม่”
[มังกรทุกตัว]
เมื่อฟื้นฟูการบาดเจ็บจนสมบูรณ์ ให้ออกจากจุดรวมพลไปยังพื้นที่ A1 -T25 ตามลำดับ
หากพบกลุ่มนักผจญภัยระหว่างทางให้หลีกเลี่ยง
หากพบกลุ่มมอนสเตอร์ที่มีจำนวนต่ำกว่าสี่ตัวให้หยุดอยู่บริเวณนั้น
หากพบกลุ่มมอนสเตอร์ที่มีจำนวนตั้งแต่สี่ตัวขึ้นไปให้เคลื่อนไปยังจุดต่อไป
หากมีสมุนอัญเชิญอยู่ในบริเวณนั้นครบสองตัวแล้วให้เคลื่อนไปยังจุดต่อไป
ซาลแบ่งพื้นที่ดันเจียนทั้งยี่สิบส่วนออกเป็นตัวอักษร A – T และแยกแต่ละพื้นที่ออกเป็น 25 ส่วน
แต่ละจุดที่ทำตำแหน่งเอาไว้คือจุดที่มอนสเตอร์มักใช้เป็นจุดรวมกลุ่มกันในพื้นที่นั้นๆ เช่น A1 ก็คือจุดที่มอนสเตอร์ชอบมารวมกันในพื้นที่ A ส่วนที่ 1 หรือ T25 ก็คือจุดที่มอนสเตอร์ชอบมารวมกันในพื้นที่ T ส่วนที่ 25 เป็นต้น
ด้วยชุดคำสั่งนี้ เมื่อเหล่าสมุนฟื้นฟูพลังจนเต็มแล้ว พวกมันก็จะออกสำรวจไปตามตำแหน่งต่าง ๆ จนกว่าจะพบกลุ่มมอนสเตอร์ที่เหมาะสม และทำการรวมกลุ่มกับมอนสเตอร์เหล่านั้นเอง โดยแต่ละกลุ่มจะมีสมุนอัญเชิญไม่เกินสองตัวด้วย
“มังกรไฟไม่มีเวทฟื้นฟูนี่นะ เพราะงั้นก็ต้องอาศัยการฟื้นฟูจากมังกรธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แบบนี้ก็ต้อง…”
[มังกรธาตุดิน, น้ำ, และลม]
ที่จุดรวมพล หากพบมังกรไฟที่บาดเจ็บ ให้ทำการรักษามังกรไฟก่อนจนสมบูรณ์
“ความจริงถ้าที่จุดรวมพลมีมังกรไว้ประจำตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่รักษาโดยเฉพาะสักตัวก็คงจะดี แต่เรื่องนั้นเอาไว้ปั้นมังกรธาตุไม้เสร็จก่อนก็แล้วกัน”
เพราะยังไงพวกนักผจญภัยก็ดูจะไม่ค่อยมีปัญหากับการใช้ทักษะนิด ๆ หน่อย ๆ ของมังกรแค่ตัวสองตัวอยู่แล้ว ซาลจึงติดทักษะสายต่อสู้ที่เหมาะสมลงไปให้พวกมันด้วย แล้วก็ปล่อยพวกมันออกไปตามปกติ
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาตั้งใจเอาไว้ละก็ เหล่าสมุนควรจะหลบออกจากการต่อสู้ได้ก่อนที่จะถูกฆ่า และกลับมารับการรักษาตัวที่จุดรวมพล เมื่อสมบูรณ์พร้อมก็จะกลับออกไปหากลุ่มมอนสเตอร์เพื่อเข้ากลุ่มได้เองโดยที่เขาไม่ต้องหาตำแหน่งให้ วนรอบวงจรไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด
วิธีนี้จะช่วยลดการสูญเสียทำให้ไม่ต้องร่ายสมุนตัวใหม่ลงไปบ่อย ๆ หรือถึงมีการตายเกิดขึ้นวงเวทที่ปรับแต่งขึ้นใหม่ก็น่าจะช่วยอัญเชิญสมุนตัวใหม่ขึ้นมาเติมโดยอัตโนมัติ ทำให้มันกลายเป็นระบบบริหารจัดการตัวเองที่สมบูรณ์ซึ่งเขาจะไม่ต้องมานั่งดูแลอะไรเลย แค่รอดูพัฒนาการของเหล่าสมุนแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“เอาล่ะ… ทีนี้ก็เหลือแค่รอดูผลแล้วล่ะนะ”
เพราะเพิ่งทดลองใช้ระบบนี้เป็นครั้งแรก ซาลจึงคิดว่าควรจะเฝ้าดูการทำงานของมันไปสักพักหนึ่งก่อนเพื่อความแน่ใจ
เขานั่งมองความเป็นไปของเหล่าสมุนในดันเจียนด้วยความรู้สึกตื่นเต้น