Doombringer the 5th - ตอนที่ 18
Ch.18 – วาลาเชีย
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 18
วาลาเชีย
Part 1
มังกรโครงกระดูกของแซนโดรใช้เวลาบินไม่ถึงยี่สิบนาทีก็สามารถเดินทางข้ามทะเลมาจนใกล้จะถึงแผ่นดินเอ็นซิส
แผ่นดินฝั่งเอ็นซิสเป็นที่ราบสูงซึ่งอยู่ติดทะเลเช่นกัน ทำให้เมื่อเข้ามาใกล้ก็จะเห็นดินแดนเอ็นซิสเป็นหน้าผาที่มีทะเลอยู่เบื้องล่าง แต่สีสันของผืนดินฟากนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากแผ่นดินฝั่งเซนิธาลมาก แม้มันจะไม่ได้แวดล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวสดเหมือนกับในจูริส แต่เมื่อเทียบกับแผ่นดินที่ดูรกร้างว่างเปล่าของเซนิธาลแล้ว ทางฝั่งเอ็นซิสนับเป็นผืนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนแซมด้วยสีเหลืองเล็กน้อย และพืชยืนต้นที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและสดชื่นกว่าบรรยากาศอันแห้งแล้งของเซนิธาลเยอะ
หลังจากบินลึกเข้ามาในแผ่นดินใหญ่ได้ระยะหนึ่ง แซนโดรก็ให้มังกรร่อนลงบนพื้นที่โล่งซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ด้วยน้ำหนักตัวของมันทำให้พื้นดินเกิดการสั่นไหวทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้น และแรงลมจากการกระพือปีกยังทำให้ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบปลิวลู่ตามแรงลมราวกับโดนพายุพัดเลยทีเดียว
เมื่อลงจากมังกรแล้ว แซนโดรก็ยกเลิกการอัญเชิญ ทำให้มังกรโครงกระดูกค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงไป ก่อนที่เธอจะนำรถม้าออกมาเพื่อใช้มันเดินทางต่อ
ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ แซนโดรก็เปิดแผนที่ของเขตเอ็นซิสขึ้นมาดูเพื่อสำรวจเส้นทางและประเมินเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทาง
“…จากจุดนี้ลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้อีกราว ๆ ร้อยห้าสิบกิโลเมตรก็เข้าเขตวาลาเชียแล้ว …เราน่าจะถึงที่นั่นช่วงตะวันตกดิน …ถ้าไม่มีเหตุขัดข้องอะไรนะ…”
ซาลพยายามเอียงคอดูแผนที่ แต่เพราะมันเป็นแผนที่เวทมนตร์ซึ่งฉายขึ้นมาบนอากาศคล้ายกับภาพโฮโลแกรม ตัวเขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงเห็นแผนที่กลับด้าน เลยไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรสักเท่าไหร่
“ว่าไปแล้วเราจะไปเอาของอะไรที่นั่นเหรอ?”
“…สิ่งที่ต้องใช้ในการสร้างอาติแฟคสำหรับพรางตัวตนของนิโคลคือ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ (Shroud of the Eternal Night) …เป็นอาติแฟคพิเศษประจำเผ่าของพวกแวมไพร์ …ช่วยให้ผู้ที่พกพาสามารถเดินทางไปไหนมาไหนในเวลากลางวันได้โดยที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์แผดเผา…”
“เห~ มีของแบบนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย แต่ฟังดูไม่น่าเป็นของที่จะเอามาได้ง่าย ๆ เลยนะ?”
“…ใช่แล้วล่ะ …ตามบันทึกน่ะ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ได้ถูกผู้อาวุโสของเหล่าแวมไพร์ทำลายทิ้งไปจนหมดแล้ว…”
“อ้าว ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”
“…เรื่องนี้ถ้าจะเล่ากันจริง ๆ ก็ต้องเท้าความนานอยู่ …พอจะรู้รึเปล่าว่าพวกแวมไพร์เกิดขึ้นได้ยังไง…”
“อื้ม เคยเรียนในวิชาประวัตติศาสตร์มาแล้วล่ะ พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์จากโลกเก่าใช่มั้ยล่ะ”
ในโลกใหม่นี้มีเผ่าพันธุ์มากมายที่ถูกสร้างขึ้นโดยความเห็นชอบของ ‘สิบนักปราชญ์’ ที่อยากจะแต่งแต้มสีสันและความหลากหลายให้กับโลก ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์, คนแคระ, มังกร, หรือเผ่าพันธุ์พิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หลาย ๆ เผ่าพันธุ์ก็เป็นเผ่าที่มีมาตั้งแต่โลกเก่าแล้วและได้รับการอพยพมายังโลกใหม่ด้วย ซึ่งแวมไพร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทว่าเหล่าแวมไพร์จากโลกเก่านี้หาใช่แวมไพร์ตามตำนานโบราณที่ผู้คนในโลกเก่าเคยรู้จักกัน แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อความอยู่รอดในช่วงบั้นปลายของโลกเก่า
เพราะสถานการณ์อันเลวร้าย ทรัพยากรและอาหารขาดแคลนจนถึงขั้นวิกฤติ แต่เหล่ามนุษย์กลับหันมาพัฒนาวิจัยเทคโนโลยีเพื่อทำสงครามแย่งชิงกันแทนที่จะหาทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สงครามที่ลุกลามไปทั่วโลกทำให้แต่ละประเทศต่างก็เร่งพัฒนาวิจัยเทคโนโลยีทางทหารขึ้นมาเพื่อสร้างความได้เปรียบในการรบกับประเทศอื่น
ในจำนวนนั้นมีประเทศหนึ่งที่คิดค้นวิธีที่จะสร้างกำลังรบชั้นยอดและแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารไปในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ มนุษย์ดัดแปลงเหล่านี้มีความสามารถในการฟื้นตัวอันยอดเยี่ยม สามารถทนทานความเสียหายทางร่างกายได้อย่างเหลือเชื่อ จึงมีความสามารถในการรบสูง นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการปรับแต่งให้สามารถกินเลือดแทนอาหารได้ ซึ่งสำหรับยุคสมัยที่ประชากรมีมากจนแทบจะล้นโลกแบบนี้ เลือดมนุษย์เป็นสิ่งที่หาง่ายกว่าอาหารซะอีก
ในช่วงแรกนั้นทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดี เหล่ามนุษย์พันธุ์ใหม่มีความสามารถในการรบสูง ทั้งประสาทอันเฉียบคม สมรรถภาพร่างกายที่เหนือคนธรรมดา และพลังในการฟื้นตัวที่ผิดธรรมชาติ ทำให้พวกเขาชนะการรบในเกือบทุกสมรภูมิ แต่ถึงแม้จะชนะการรบได้หลายครั้ง สถานการณ์การขาดแคลนอาหารก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก และกำลังรบจริง ๆ ของประเทศก็ยังด้อยกว่าคู่สงครามอยู่มาก
เหล่านักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจเสนอให้ทำการปลูกถ่ายพันธุกรรมให้ประชากรทั้งหมดของประเทศเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ซะ เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร และทำให้มีกำลังพลในการรบเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งคณะปกครองของประเทศก็เห็นดีเห็นชอบตามนั้น
แต่ไม่รู้ว่าเพราะการวิจัยยังไม่สมบูรณ์หรือเกิดความผิดพลาดในการตัดแต่งยีนที่ใช้เป็นตัวแม่แบบในการปลูกถ่าย ทำให้ประชากรที่ได้รับการปลูกถ่ายพันธุกรรมนั้นค่อย ๆ แสดงถึงข้อบกพร่องที่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ
เหล่าประชากรที่ได้รับการปลูกถ่ายพันธุกรรมนั้นแม้จะมีคุณสมบัติเหมือนมนุษย์พันธุ์ใหม่ทุกประการ แต่ทว่ากลับมีอาการแพ้แสงอาทิตย์ขั้นรุนแรง ถึงขนาดที่ถูกแสงแดดเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลีได้ นอกจากนี้ยังต้องการเลือดเป็นอาหารหลัก ไม่ใช่แค่อาหารทางเลือกเหมือนมนุษย์ดัดแปลงรุ่นแรก
กว่าที่จะรู้ถึงความผิดพลาดนี้ ก็ได้มีการปลูกถ่ายพันธุกรรมให้กับประชากรไปเกือบครึ่งประเทศแล้ว ซึ่งความกระหายในเลือดทำให้ผู้คนเริ่มเข่นฆ่าและกินกันเอง คณะปกครองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเร่งส่งประชาชนที่ได้รับการดัดแปลงเหล่านี้ออกไปทำสงคราม เพื่อให้พวกเขาไปจับเชลยฝ่ายตรงข้ามมาเป็นอาหารแทนที่จะกินคนในประเทศตัวเอง
เพราะเป็นประเทศที่รบในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่และยังจับผู้คนไปกินเลือดเป็นอาหาร ทำให้พวกเขาถูกขนานนามว่า ‘ประเทศแวมไพร์’
การกระทำที่จับเชลยศึกของประเทศคู่สงครามมาเป็นอาหารนี้ถือว่าเป็นการผิดมนุษย์ธรรมอย่างรุนแรง บรรดาประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงประเทศมหาอำนาจจึงรวมตัวกันเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้วประเทศแห่งแวมไพร์ก็ถูกกองทัพพันธมิตรโอบล้อมเข้าบดขยี้จนสิ้นชาติ
เหล่าแวมไพร์ที่ยังเหลือรอดจากการกวาดล้างต่างก็ไปหลบซ่อนตัวตามป่าเขาและกระจายกันออกไปต่อสู้แบบกองโจร ทำให้ยากต่อการกำจัดให้หมดสิ้น จึงยังคงมีแวมไพร์เหลือรอดอยู่จนถึงวันแห่งการกอบกู้
ในวันแห่งการกอบกู้ ‘สิบนักปราชญ์’ ได้ทำการร่ายเวทมนตร์เพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตที่ยังเหลือรอดบนโลกเก่าทั้งหมดมายังโลกใหม่ ทำให้เหล่าแวมไพร์ได้รับการเคลื่อนย้ายมาด้วย เพราะพวกเขาสวมชุดอันมิดชิดคล้ายกับชุดที่ใช้เดินทางฝ่าทะเลทราย แต่สำหรับเหล่าแวมไพร์มันคือชุดที่ใช้ต้านทานแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน เมื่อเห็นลักษณะเฉพาะนี้เหล่าผู้คนจากประเทศข้างเคียงจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือชนชาติแวมไพร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ สร้างความแตกตื่นและไม่พอใจให้กับเหล่าผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
เพื่อแก้ปัญหานี้ ‘สิบนักปราชญ์’ จึงมอบแผ่นดินผืนหนึ่งให้กับเหล่าแวมไพร์ แผ่นดินผืนนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเงื่อนไขพิเศษ ในที่แห่งนี้แสงอาทิตย์จะไม่สามารถทำอันตรายเหล่าแวมไพร์ได้ ทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในเวลากลางวันได้เหมือนกับคนปกติ เหล่าแวมไพร์ตั้งชื่อดินแดนใหม่นี้ว่า ‘วาลาเชีย’ (Valachia)
และเพื่อแก้ปัญหาเรื่องอาหารของเหล่าแวมไพร์ สิบนักปราชญ์ยังได้สร้างเมล็ดพันธุ์ของพืชชนิดใหม่เพื่อเป็นอาหารให้กับเหล่าแวมไพร์ได้ด้วย มันคือ ‘องุ่นเลือด’ (Blood Grape) เป็นต้นองุ่นที่ออกผลมาเป็นพวงเม็ดเลือดสีแดงใส มีคุณสมบัติเหมือนกับเลือดของมนุษย์จริง ๆ ทุกประการ เหล่าแวมไพร์จึงไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดมนุษย์เพื่อประทังชีวิตอีกต่อไป
ด้วยแผ่นดินที่สามารถใช้ชีวิตในยามกลางวันได้ และพืชพรรณที่ใช้เป็นอาหารได้ ทำให้เหล่าแวมไพร์บนโลกใหม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนดินแดนนั้นได้อย่างสงบสุขสืบมา
——————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อฟังประวัติของเหล่าแวมไพร์ที่ซาลเล่าออกมาจนจบ แซนโดรก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“…อืม …ถูกต้องทุกอย่าง ตามนั้นแหละ…”
“แล้ว ทำไมพวกเขาถึงต้องทำลายอาติแฟคที่สำคัญแบบนั้นด้วยล่ะ?”
“…เดิมทีอาติแฟคนั่นสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการเดินทางไปติดต่อสื่อสารกับอาณาจักรอื่น หรือใช้ในการเดินทางไกล ๆ ไปพบปะกับผู้คน ซึ่งก็เป็นของที่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย …แวมไพร์เกือบทุกคนต่างก็มีอาติแฟคชิ้นนี้ติดตัวไว้ จนกระทั่งเกิดปัญหาอย่างหนึ่งขึ้นมา…”
“ปัญหาเหรอ?”
“…แวมไพร์รุ่นใหม่ ๆ น่ะ จะเกิดจากพ่อและแม่ที่เป็นแวมไพร์เท่านั้น …หากมีการแต่งงานข้ามสายพันธุ์กัน เด็กที่ออกมาจะไม่มีสายเลือดของแวมไพร์อยู่เลย …ด้วยเหตุนี้ทำให้จำนวนของแวมไพร์เริ่มลดลงเรื่อย ๆ …พวกผู้อาวุโสของเหล่าแวมไพร์จึงกลัวว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป สักวันแวมไพร์จะสูญพันธุ์ไปจริง ๆ เลยออกกฎห้ามการแต่งงานกับเผ่าพันธุ์อื่นขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผลนัก …ท้ายที่สุดก็เลยทำการยึด ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ คืนจากเหล่าแวมไพร์ทุกคน และทำการปิดประเทศแทน…”
ซาลนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนนิโคลที่ฟังการสนทนาอยู่ก็พูดแทรกขึ้นมาเล็กน้อย
“เรื่องนี้ฉันก็เคยได้ยินนะคะ เห็นเหล่าแวมไพร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘สิ้นสุดแห่งราตรีนิรันดร’ (End of the Eternal Night) สมัยนั้นฉันเองก็มีเพื่อนนักผจญภัยที่เป็นแวมไพร์หลายคนเหมือนกัน แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็ถูกเรียกตัวกลับไปยังบ้านเกิดพร้อมกันทั้งหมด หลังจากวันนั้นฉันก็แทบไม่เคยได้พบกับนักผจญภัยของเผ่าแวมไพร์อีกเลย”
“…อืม …เพื่อไม่ให้เหล่าแวมไพร์หนุ่มสาวเดินทางออกไปพบปะและแต่งงานกับคนจากเผ่าพันธุ์อื่น จึงทำการยึด ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ กลับมาทำลายทิ้งทั้งหมด และยังปิดกั้นการเข้าออกในดินแดนวาลาเชีย ไม่ให้คนต่างเผ่าพันธุ์เข้าออกได้โดยง่าย …เพื่อบังคับให้เหล่าแวมไพร์แต่งงานกับแต่คนเผ่าเดียวกันไงล่ะ…”
นิโคลมีสีหน้าที่เศร้าหมองลงเพราะรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เธอนึกถึงเพื่อนนักผจญภัยเผ่าแวมไพร์ที่เคยพบและบอกลากันไปเมื่อนานมาแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า หรือถึงมี แต่การต้องถูกกักบริเวณและจำกัดสิทธิ์ในการใช้ชีวิตมากขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ไม่น้อย เธอจึงอดรู้สึกสลดใจไม่ได้
แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลที่แน่ชัด แต่ซาลที่เห็นนิโคลมีท่าทางซึมเศร้าลงก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังไม่สบายใจอยู่ จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ในเมื่อมันถูกทำลายไปจนหมดแล้ว งั้นเราจะไปทำไมอีกล่ะ?”
“…ลองคิดดูสิซาลารัส …ถ้าเป็นเธอละก็ เธอจะทำลายมันทิ้งทั้งหมดจริง ๆ น่ะเหรอ?…”
“อืม… นั่นสินะ ถ้าเป็นผมละก็ ถึงจะประกาศว่าจะทำลายทิ้งให้หมด แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ใช้เองบ้างล่ะ”
“…ใช่แล้วล่ะ …ไม่มีทางหรอกที่พวกผู้อาวุโสของเหล่าแวมไพร์จะทำลาย ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ทิ้งทั้งหมดจริง ๆ …อย่างน้อยก็น่าจะเก็บส่วนของตัวเองเอาไว้ใช้บ้าง …ฉันเชื่อว่าพวกชนชั้นสูงของเหล่าแวมไพร์ยังมีอาติแฟคชิ้นนี้เก็บไว้อยู่ …แต่ก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการครอบครองอาจเกิดการขาดช่วงก็ได้ เพราะว่ามีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในกลุ่มแวมไพร์เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
…ผู้ที่ปกครองวาลาเชียอยู่จนถึงห้าสิบปีก่อนก็คือ ฮาร์คอน ซันรีเวอร์ และสภาผู้อาวุโสของเหล่าแวมไพร์ …แต่วันหนึ่งฮาร์คอนก็ถูกลูกสาวของตัวเองสังหารเพื่อแย่งชิงอำนาจ แถมเธอคนนั้นยังสังหารสภาผู้อาวุโสของเหล่าแวมไพร์ทิ้งซะหมดเกลี้ยงเลยด้วย ทำให้กลายเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว…”
“ขะ.. ฆ่าพ่อของตัวเองเลยงั้นเหรอ?”
ซาลรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ผิดกับนิโคลที่ไม่ค่อยแสดงอาการอะไรออกมานัก เพราะนี่เป็นเรื่องที่เธอเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว สมัยที่ยังอยู่ในอีเธอนัลดรีม
“…อืม ว่ากันว่าเธอทำเพื่อแก้ไขกฎระเบียบอันไม่เป็นธรรมที่สภาผู้อาวุโสบังคับใช้มานานปี …แต่ปรากฏว่าเธอก็ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย …แค่ตั้งสภาผู้อาวุโสชุดใหม่ขึ้นมาแล้วก็ปกครองด้วยกฎแบบเดิม …ทุกคนเลยคิดว่าเธอแค่ทำเพื่อแสวงหาอำนาจซะมากกว่า…”
“แปลว่าถึงเราจะไปติดต่อผู้หญิงคนนี้ เธอก็อาจจะไม่มีอาติแฟคแล้วงั้นเหรอ?”
“…อาติแฟคน่ะยังไงก็น่าจะยังมีอยู่ …แต่เพราะผู้ปกครองรุ่นก่อนรวมถึงผู้อาวุโสถูกฆ่าไปหมดแล้ว …วิธีการสร้างอาติแฟคขึ้นมาอาจสูญหายก็ได้…”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซาลก็มีสีหน้าเหมือนเริ่มจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
“ถ้ามันเป็นของที่สร้างเพิ่มไม่ได้ ก็คงเป็นการยากที่เขาจะยอมนำมันมาแลกเปลี่ยนกับเราสินะ”
“…ถูกต้อง …แต่บางทีนี่ก็อาจเป็นโอกาสดีในอีกแง่ก็ได้…”
“โอกาสดีเหรอ?”
“…ฉันเองมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และประดิษฐ์อาติแฟคอยู่ …ถ้ามีตัวอย่างให้วิเคราะห์ละก็ ยังไงก็น่าจะลอกแบบและสร้างออกมาได้ …ถ้าทางโน้นไม่มีวิธีสร้างแล้วจริง ๆ …การไปเสนอตัวว่าจะช่วยสร้างของใหม่ให้ก็น่าจะทำให้คุยกันง่ายขึ้น…”
“ถ้าเขามีวิธีสร้างอยู่แล้วล่ะ?”
“…แบบนั้นก็น่าจะทำการแลกเปลี่ยนได้ไม่ยาก …ถึงทางนั้นอาจไม่ต้องการเงิน แต่ฉันก็ยังมีอาติแฟคที่มีมูลค่าไม่ด้อยไปกว่ากันอีกหลายชิ้นไว้ใช้แลกเปลี่ยนได้…”
“แล้วถ้าเจรจาไม่สำเร็จจริง ๆ ล่ะ?”
“…ถ้าไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ก็คงต้องแอบขโมยมาล่ะนะ …ซึ่งไปทำแบบนั้นหลังจากแสดงตัวว่าต้องการของแล้วมันก็คงไม่ดีเท่าไหร่ …แต่อย่างที่ว่าแหละ ถ้าไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ก็ต้องทำ…”
“จะใช้กำลังเหรอคะ?”
นิโคลที่นั่งฟังเงียบ ๆ มาโดยตลอดพูดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะเธอไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเสี่ยงอันตรายเพื่อเรื่องของเธอ
“…บอกว่าจะขโมย ไม่ใช่จะไปชิงมา …การไปก่อเรื่องติด ๆ กันแบบนี้น่ะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราเองก็เป็นกลุ่มที่ถูกตามตัวอยู่ด้วย …ควรหลีกเลี่ยงการก่อปัญหาให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า …เข้าใจมั้ยซาลารัส?…”
แซนโดรเน้นเสียงถ้อยคำสุดท้ายเป็นพิเศษพลางเหลือบมองไปทางซาลด้วยสายตาราวกับจะบ่งบอกว่า ‘ถ้าจะเกิดเรื่องก็เพราะเจ้านี่นี่แหละ’ ทำให้ซาลมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดและตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมต้องเน้นมาทางผมด้วยล่ะ!?”
แซนโดรยังคงหรี่ตามองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอยู่อักพักหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้ากลับเป็นอย่างเดิมและเริ่มพูดต่อ
“…อีกสาเหตุที่ไม่ควรใช้กำลังที่นี่ก็เพราะว่ามันอันตรายด้วย…”
“เอ๋ ตอนเจอกับเผ่ามังกรเป็นร้อยก็เห็นยังทำท่าทางสบาย ๆ นี่นา หรือพวกแวมไพร์นี่น่ากลัวกว่าเผ่ามังกรอีกเหรอ?”
“…ที่ฉันกังวลไม่ใช่พวกแวมไพร์ แต่เป็นผู้หญิงที่ปกครองวาลาเชียอยู่ตอนนี้ …ผู้ปกครองคนเก่า ฮาร์คอน พ่อของเธอน่ะ เป็นราชาแวมไพร์ (Vampire King) ซึ่งจัดเป็นตัวตนระดับสูงเทียบเท่าพวกมาร (Demon) เลยทีเดียว …ส่วนพวกผู้อาวุโสทุกคนก็มีระดับเป็นแวมไพร์ลอร์ด (Vampire Lord) ซึ่งเป็นตัวตนระดับปิศาจ (Devil) เช่นกัน …การที่เธอสามารถจัดการกับพวกเขาทั้งหมดนั้นได้น่ะ แปลว่าฝีมือต้องไม่ธรรมดาเลยทีเดียว…”
“อืม… ฟังดูน่ากลัวจริง ๆ นะเนี่ย…”
“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเสี่ยงเลยจะดีกว่านะคะ พวกเรากลับไปที่เรล์มของคุณแซนโดรกันดีกว่าค่ะ ถ้าผ่านไปสักปีสองปีพวกนั้นก็คงจะยกเลิกการค้นหาแล้ว ตอนนั้นฉันค่อยออกมาก็ได้”
เมื่อได้ยินถึงความอันตรายของผู้ปกครองวาลาเชีย นิโคลก็ยิ่งไม่อยากให้ทุกคนต้องเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องนี้ เธอจึงเสนอให้พาเธอกลับไปซ่อนตัวที่มาลาไคท์คีปแทน
ทางด้านซาลก็เกิดความลังเลขึ้นเช่นกัน เขาไม่อยากให้นิโคลต้องไปอุดอู้อยู่ภายในเรล์มเป็นปี ๆ แต่จะดึงดันให้ทำเรื่องนี้ก็ดูจะเป็นการเอาแต่ใจไปหน่อย และมันคงทำให้นิโคลไม่สบายใจด้วย จึงได้แต่มองไปยังแซนโดรเพื่อรอฟังความเห็น
“…ไม่ต้องเป็นกังวลไป …อย่างที่บอกแหละว่าเราจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าให้มากที่สุด …ถ้าเห็นว่าอันตรายเกินไปจริง ๆ แม้แต่เรื่องที่จะขโมยมันออกมาก็คงต้องล้มเลิกด้วย…”
“ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงตั้งแต่แรกจะไม่ดีกว่าเหรอคะ?”
“…อย่าเข้าใจผิดล่ะ…”
“เอ๋?”
คำปฏิเสธของแซนโดรที่เอ่ยขึ้นมากลางคันทำให้นิโคลหยุดชะงักไปด้วยความประหลาดใจ
“…การรวบรวมอาติแฟคต่าง ๆ ก็เป็นเป้าหมายของฉันเหมือนกัน …มันเป็นส่วนประกอบที่จะต้องใช้สำหรับแผนการในอนาคต …ดังนั้นถึงไม่มีเรื่องของเธอ สักวันฉันก็จะต้องมาที่วาลาเชียเพื่อหาทางครอบครอง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ อยู่แล้ว …เราก็แค่มาที่นี่เร็วขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องของเธอก็นับเป็นผลพลอยได้ ใช่ว่าฉันทำเรื่องนี้เพื่อเธอโดยเฉพาะหรอก…”
“ขะ.. เข้าใจแล้วค่ะ…”
แม้จะมีท่าทีลังเลอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อฟังคำอธิบายของแซนโดรแล้ว นิโคลก็ไม่กล้าขัดอะไรอีก
ซาลมองดูแซนโดรด้วยท่าทีสงสัย เขาไม่แน่ใจว่าแซนโดรพูดแบบนั้นเพื่อให้นิโคลสบายใจหรือมีเจตนาแบบนั้นแต่แรกจริง ๆ กันแน่ แต่ผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาพอใจแล้ว
“เอ่อ… ในเมื่อเขาห้ามคนนอกเข้าไปในอาณาจักร แล้วเราจะเข้าไปคุยกับผู้ปกครองวาลาเชียได้ยังไงล่ะคะ?”
“…เราก็ต้องเป็นแวมไพร์ไงล่ะ…”
“เอ๋?”
แซนโดรหยิบขวดน้ำยาสีเทาออกมาจากช่องเก็บของและพรมน้ำยาลงบนศีรษะของนิโคลก่อนจะขยี้เบา ๆ จากนั้นผมของนิโคลก็เปลี่ยนจากสีฟ้าอ่อนกลายเป็นสีเทาเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
“…ทีนี้ก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดนี้ซะ…”
แซนโดรส่งเสื้อผ้าสองชุดให้กับซาลและนิโคลผ่านทางช่องเก็บของ
ชุดของซาลเป็นสเวตเตอร์สีเทาสวมทับด้วยเวสต์หนัง (เสื้อกั๊กแบบ Vest) คู่กับกางเกงผ้าเนื้อหนาสีเทาแก่และรองเท้าบูทสีดำ ทั้งยังมีเสื้อโค้ทหนังสีดำสำหรับใส่คลุมอีกทีหนึ่ง
ทางด้านนิโคลก็เป็นสเตย์หนัง (ปลอกรัดเอว) ที่สามารถสวมทับชุดเดรสสีขาวของเธอได้เลย พร้อมด้วยกางเกงหนังและรองเท้าบูทสีดำ และยังมีเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำอีกตัวหนึ่งให้สวมทับด้านนอกด้วย
หากมองผ่าน ๆ ชุดเหล่านี้อาจดูเป็นชุดของนักผจญภัยไสตล์ยุโรป แต่เพราะมันเป็นชุดใหม่เอี่ยมที่ไม่มีร่องรอยของการใช้งานอันสมบุกสมบันเหมือนชุดของพวกนักผจญภัยเลย แถมการตัดเย็บยังประณีต เป็นระเบียบ ส่วนที่เป็นหนังก็ดูเงางาม จึงให้ความรู้สึกหรูหราเกินกว่าจะเป็นชุดของนักผจญภัย
ด้วยชุดที่ใส่อยู่นี้ทำให้ทั้งซาลและนิโคลดูมีระดับเหมือนพวกชนชั้นสูงขึ้นมาทันตาเห็น
เมื่อเห็นทั้งสองคนเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว ทางแซนโดรเองก็เริ่มเปลี่ยนชุดเช่นกัน
แต่แทนที่จะใช้การเรียกสวมใส่ตามปกติ แซนโดรกลับสร้างหมอกขึ้นมาหุ้มตัวเอง ก่อนที่หมอกนั้นจะค่อย ๆ หดกลับเข้าไปในร่างของเธอ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป
ชุดที่แซนโดรสวมใส่อยู่ก็เป็นชุดลักษณะเดียวกับซาล ต่างกันตรงเสื้อชั้นในจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว และสวมทับด้วยเวสต์ผ้าซึ่งดูมีระดับมากกว่า แม้แต่เสื้อโค้ทก็เป็นผ้าเนื้อหนาแทนที่จะเป็นโค้ทหนัง ปิดท้ายด้วยผ้าพันคอสีขาวผืนใหญ่ที่วางพาดไหล่อยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชุดของพวกเจ้าพ่อมาเฟีย
แต่ที่ทำให้ซาลและนิโคลแปลกใจที่สุดก็คือรูปลักษณ์ของเธอ
แม้ใบหน้าจะยังคงเป็นรูปหน้าที่ดูอ่อนหวานและงดงามดังเดิม แต่เรือนผมที่เคยทอดยาวจนถึงกลางหลังตอนนี้กลับหดสั้นถึงแค่ช่วงท้ายทอย ทำให้แซนโดรในตอนนี้กลายเป็นหนุ่มหน้าหวานที่ดูหล่อเหลาจนสร้างความหวั่นไหวได้ทั้งกับหญิงสาวและชายหนุ่มไปแทน
“เอ๋? ทำไมถึง?”
ซาลที่ข้องใจกับรูปลักษณ์ใหม่ของแซนโดรเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงวย อีกฝ่ายจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ดัดให้ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะกับรูปลักษณ์
“…ฉันจะเข้าไปติดต่อกับพวกเขาในฐานะของหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ชั้นสูงจากอินิสตร้า …มันไม่เชิงเป็นฐานะปลอม แต่เป็นฐานะที่ฉันเคยใช้สมัยอยู่ในอินิสตร้าน่ะ และเป็นฐานะของผู้ชายด้วย …พวกเธอสองคนติดตามมาในฐานะผู้คุ้มกันของฉัน …เราทั้งหมดเป็นแวมไพร์จากอินิสตร้า เข้าใจตามนี้นะ…”
“อืม…”
ซาลยังคงพิจารณารูปลักษณ์ของแซนโดรด้วยสีหน้าอันซับซ้อน นิโคลที่กลัวว่าเจ้าตัวจะเสียความมั่นใจเลยพยายามพูดช่วย
“เหมาะมากเลยค่ะ แบบนี้ก็ดูดีไปอีกแบบนะคะ”
“ก็ไม่เห็นจะต่างไปจากเดิมเลยนี่นา แค่ผมสั้นลงเฉย ๆ ส่วนเรื่องทรวดทรงองค์เอว เดิมทีก็เรียบแปล้เหมือนผู้ชายอยู่แล้ว.. แอ๊กกกก!”
ยังพูดไม่ทันจบ ซาลก็รู้สึกจุกเหมือนมีอะไรมากระแทกเข้าที่ท้อง ทั้ง ๆ ที่แซนโดรไม่ได้มีทีท่าว่าจะขยับตัวเลย
ทางด้านนิโคลนั้นมีประสาทสัมผัสที่ดีกว่าจึงพอจะเห็นแว๊บ ๆ ว่ามีของคล้ายกับเคียวพุ่งออกมากระแทกหน้าท้องของซาลก่อนจะหดกลับไปอย่างรวดเร็วจนสายตาคนปกติมองไม่ทัน
เพราะรู้สึกตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า นิโคลจึงได้แต่ตะลึงโดยที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ส่วนแซนโดรก็เข้าเรื่องต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของชื่อ …เราควรใช้ชื่อปลอมในระหว่างที่อยู่ที่นี่ …ฉันจะใช้ชื่อเดิมสมัยที่เคยอยู่อินิสตร้า คือ แซนเดอร์ โควิแนนท์ …โควิแนนท์เป็นชื่อตระกูลซึ่งเราสามคนควรจะมีเหมือนกัน เพราะงั้นพวกเธอลองคิดมาแค่ชื่อตัวเองก็พอ…”
“งั้นผมเอาเป็น… อเล็กซานเดอร์ โควิแนนท์ ก็แล้วกัน! มันเป็นชื่อของบุคคลในตำนานที่เคยอ่านเจอน่ะ”
“อา.. งั้นฉันเอาเป็น.. อะไรดีน้อ…”
นิโคลครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ดูจะคิดไม่ออก ซาลจึงช่วยออกความคิดให้
“ก็ นิโกะไง! นิโกะ โควิแนนท์ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
“เอ่อ.. จะดีเหรอคะ.. มันฟังดูไม่เข้ากันเลยนะคะ”
“อาจฟังดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่ก็เป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรม ทำให้เป็นชื่อที่แปลกใหม่และไพเราะมากเลยนะ! ว่ามั้ยแซนโดร!”
“…อืม …ชื่อแบบนี้มันก็ไม่ใช่ของแปลกอะไรหรอกนะ …คิดซะว่าเป็นลูกครึ่งก็แล้วกัน อินิสตร้าน่ะอยู่ห่างจากคามิเท็นไปไม่มาก ถ้าเป็นลูกครึ่งอินิสตร้ากับคามิเท็นละก็ ชื่อคงจะออกมาราว ๆ นี้แหละ…”
นิโคลมองหน้าแซนโดรกับซาลสลับกันไปมาอยู่เป็นนาน ทางแซนโดรนั้นมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติอยู่แล้วจึงดูไม่ค่อยออก แต่ซาลารัสที่มีสีหน้าอมยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้นทำให้นิโคลรู้ว่าเธอกำลังถูกแกล้งอีกแล้ว
“สรุปว่า.. ฉันต้องชื่อ นิโกะ โควิแนนท์ จริง ๆ เหรอคะเนี่ย…”
นิโคลถอนหายใจพร้อมทำท่าปลงตกเพราะคิดว่าคงเลี่ยงไม่ได้แล้ว แซนโดรที่เห็นว่าหยอกแค่นี้คงพอแล้วจึงยอมเปิดช่องออกมา
“…ยังไงก็มีเวลาอีกเยอะ …ใช้เวลาช่วงนี้ค่อย ๆ คิดหาชื่อที่พอใจไปก็ได้น่ะ ไม่ต้องรีบหรอก…”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้นิโคลมีท่าทีร่าเริงขึ้นมาบ้าง แต่ตลอดการเดินทางเธอก็ยังนึกชื่ออื่นไม่ออกซะที ในที่สุดเลยต้องยอมใช้ชื่อ นิโกะ โควิแนนท์ ไปแทน
เพราะการสนทนาที่ดำเนินไปอย่างลื่นไหลทำให้เวลาดูจะผ่านไปเร็วขึ้น เพียงไม่นานรถม้าก็แล่นมาจนถึงพรมแดนของวาลาเชีย
——————————————————————————————————-
Part 3
การเดินทางในเอ็นซิสนั้นราบรื่นกว่าที่คิด เพราะถนนหนทางต่าง ๆ ในเขตนี้มีสภาพดีกว่าในเซนิธาลมากและยังไม่ค่อยมีทางคดเคี้ยวด้วย ทำให้รถม้าสามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่ ทุกคนจึงมาถึงพรมแดนวาลาเชียก่อนตะวันตกดินซะอีก
พอรู้ว่าใกล้จะถึงวาลาเชียแล้ว ซาลจึงชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง และได้เห็นว่าปลายทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้นมีเสาหินสีขาวขนาดใหญ่ถูกตั้งเรียงรายกันเป็นแนวยาว แผ่ออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เสาสีขาวนั้นเมื่อตัดกับสีเขียวอ่อน ๆ ของพื้นที่โดยรอบแล้วทำให้ดูเหมือนกับเป็นแนวรั้วบนสนามหญ้า แต่แม้จะมองจากที่ไกล ๆ ซาลก็ดูออกมาหลักศิลาพวกนี้มีความสูงไม่น้อยเลยทีเดียว
และจริงดังคาด พอรถม้าแล่นเข้ามาจนใกล้จะถึงแนวของเสาหินแล้ว เขาก็พบว่ามันเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมปลายแหลมขนาดยักษ์ มีความสูงกว่าสิบเมตร และแต่ละต้นก็ปักห่างกันเกือบ ๆ ร้อยเมตรได้ เขาจึงหันกลับมาถามแซนโดรด้วยความสงสัย
“นี่ ๆ แซนโดร เสาหินพวกนี้น่ะมีไว้ทำอะไรเหรอ?”
แซนโดรเองก็กำลังมองดูหลักศิลาพวกนี้อยู่เช่นกัน เมื่อถูกถาม เธอจึงตอบออกมาทันที
“…มันเป็นหลักศิลาสำหรับปักบอกเขตแดนของเหล่าแวมไพร์น่ะ …มีไว้เพื่อเตือนคนของพวกเขาว่าถ้าล้ำออกมาจากแนวเสาเหล่านี้แล้วจะไม่ได้รับการปกป้องจากแสงอาทิตย์อีก …อีกอย่างคือมันใช้ตรวจสอบผู้คนที่จะผ่านแดนด้วย …หากมีคนที่ไม่ใช่แวมไพร์ผ่านแดนเข้ามาก็จะเกิดสัญญาณเตือนแจ้งไปยังพวกเขา …หรือถ้ามีแวมไพร์ผ่านแดนออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะทำให้เกิดสัญญาณเตือนเช่นกัน…”
“เอ๋? แล้วแบบนี้เราจะผ่านไปได้เหรอ?”
“…ยังไงมันก็เป็นแค่เครื่องมือน่ะ …เครื่องมือที่ถูกหลบเลี่ยงได้…”
แซนโดรวาดมือไปมาบนอากาศราวกับกำลังเติมลวดลายให้กับเสาทั้งสองต้นที่อยู่เบื้องหน้า ไม่นานนักก็เกิดอักขระสีเขียวค่อย ๆ แผ่ขึ้นจากฐานของเสาทั้งสอง และลามขึ้นไปจนถึงยอด เสาทั้งสองมีอาการสั่นไหวเล็กน้อยในขณะที่อักขระเหล่านั้นยังคงเรืองแสงสีเขียวอ่อน ๆ อยู่ตลอดเวลา และรถม้าก็เคลื่อนผ่านเส้นทางระหว่างเสาทั้งสองต้นไปได้โดยไม่เกิดความผิดปกติใด ๆ หลังจากผ่านมาแล้วเธอจึงโบกมืออีกครั้งเพื่อยกเลิกการทำงานของเวท อักขระบนตัวเสาจึงค่อยเลือนหายไปและกลับเป็นเสาหินตามปกติ
“หวาว ยอดไปเลย สมกับเป็นแซนโดรจอมแหกกฎ ว่าแต่เสานี่มันทอดยาวจนล้อมเขตแดนของแวมไพร์ทั้งหมดเลยเหรอ จะต้องใช้เสากี่พันกี่หมื่นต้นกันเนี่ย”
ซาลยังคงจ้องมองเสาหินที่ทอดยาวไปจนไกลสุดลูกหูลูกตาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เช่นเดียวกับนิโคลที่ดูจะตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน ในระหว่างนั้นแซนโดรก็ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“…ออ เพื่อกันเหนียวอีกขั้นหนึ่ง …พวกเธอสวมแหวนพวกนี้เอาไว้ด้วย…”
แซนโดรยื่นแหวนให้กับซาลและนิโคลคนละวง ซึ่งทั้งสองคนก็นำไปสวมอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันมารอฟังเหตุผลที่ต้องสวมแหวนนั้น
“…มันเป็นแหวนที่ทำให้มีกลิ่นอายแบบเดียวกับพวกแวมไพร์น่ะ …ถึงไม่สามารถตบตาเครื่องมือตรวจจับประสิทธิภาพสูง ๆ อย่างเสาเมื่อกี้ได้ แต่ก็พอจะตบตาพวกแวมไพร์ทั่ว ๆ ไปได้ …ถ้าสวมเอาไว้ก็ไม่น่าจะมีใครแยกออกแหละ…”
ทั้งสองคนพยักหน้ารับคำ ก่อนจะพากันหันกลับไปมองดูแนวเสาที่ค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ นั้น ราวกับกำลังพยายามมองหาจุดสิ้นสุดของมันด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ทั้งซาลและนิโคลต่างก็มีท่าทางแบบเดียวกันเป๊ะ ทำให้แซนโดรแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเพราะท่าทางอันไร้เดียงสาของทั้งคู่
รถม้าเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนวาลาเชียอีกสักพักหนึ่งก็เข้ามาถึงเขตชุมชน
พื้นที่ในวาลาเชียนี้เป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินขนาดเล็ก แวดล้อมไปด้วยเทือกเขาสูงตระหง่าน
บนเนินอันเขียวขจีเหล่านั้นมีบ้านเรือนถูกสร้างกระจัดกระจายกันอยู่เป็นหย่อม ๆ มันเป็นบ้านสไตล์ยุโรปที่สร้างด้วยอิฐและไม้ คล้าย ๆ กับในอาณาจักรจูริส
พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่บ้านพักอาศัยก็จะเป็นไร่องุ่นขนาดกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ผลองุ่นที่ห้อยเป็นพวงอยู่นั้นกลับมีสีแดงใสแวววับ ทั้งซาลและนิโคลต่างก็จ้องมองไร่องุ่นนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย
“พวกนั้นคือองุ่นเลือดเหรอ?”
ซาลหันกลับมาถามแซนโดรซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอจึงตอบกลับมาโดยไม่ได้หันมามอง
“…ใช่แล้วล่ะ …นั่นคือองุ่นเลือด …เมื่อนำไปกลั่นแล้วจะได้ของเหลวที่มีคุณสมบัติเหมือนกับเลือดบริสุทธิ์ …เป็นอาหารหลักของพวกแวมไพร์…”
“ทำไมต้องปลูกเยอะขนาดนั้นด้วยล่ะ? พวกแวมไพร์มีเยอะมาก หรือว่ากินจุเหรอ?”
“…จริง ๆ แล้ว จำนวนที่พวกแวมไพร์ปลูกไว้กินเองน่ะมีไม่ถึงหนึ่งในสิบเท่านั้น …ที่เหลือเป็นของที่ปลูกไว้ส่งออกน่ะ…”
“ส่งออก? หมายถึงเอาไปขายน่ะเหรอ?”
“…ใช่ …เพราะเลือดจัดเป็นทรัพยากรสำคัญอีกอย่างหนึ่งทางการแพทย์ …แม้การรักษาด้วยเวทมนตร์หรือวิทยาศาสตร์จะสมานแผลได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างเลือดที่เสียไปขึ้นมาทดแทนได้ …ในการรักษาผู้บาดเจ็บจึงยังต้องใช้เลือดอยู่เสมอ ซึ่งเลือดที่กลั่นได้จากองุ่นเลือดน่ะมีความบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเลือดมนุษย์จริง ๆ ซะอีก ทั้งปลอดเชื้อ แถมยังถ่ายให้กับคนที่มีเลือดกรุ๊ปอะไรก็ได้ …มันจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของวาลาเชียที่ทำรายได้ให้กับอาณาจักรอย่างเป็นกอบเป็นกำ…”
“เห~ แบบนี้นี่เอง ถึงได้บอกว่าพวกนั้นอาจไม่ต้องการเงินสินะ?”
“…อืม …เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ปกครองวาลาเชียหรอก …ดังนั้นการขอแลกเปลี่ยนกับอาติแฟคอื่น ๆ ยังดูมีหวังมากกว่า…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลจึงเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้มากขึ้น เขายังคงหันกลับไปมองดูไร่องุ่นขนาดไพศาลนี้อย่างไม่วางตา เช่นเดียวกับนิโล เพราะพวงองุ่นสีแดงใสซึ่งยามต้องแสงอาทิตย์แล้วเป็นประกายแวววับราวกับไข่มุกสีแดงนั้น ให้ความรู้สึกงดงามจนมองดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลยจริง ๆ
เมื่อเข้ามาถึงเขตตัวเมือง บ้านเรือนผู้คนก็เริ่มหนาตาขึ้น แต่ก็ยังเป็นแค่อาคารขนาดเล็ก ๆ ความสูงไม่เกินสองชั้นกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป มีคฤหาสน์หลังใหญ่ปะปนให้เห็นบ้างประปราย
วาลาเชียเป็นดินแดนที่เงียบสงบเข้าขั้นวังเวงเลยทีเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ซาลรู้สึกได้ระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่เส้นทางด้านนอกเข้ามาจนกระทั่งถึงเขตชุมชน เขายังไม่เจอรถคันไหนสวนทางผ่านมาเลยสักคัน ม้าสักตัวก็ไม่มี ราวกับว่านี่เป็นโลกที่ตัดขาดจากภายนอก ไม่มีทั้งคนเข้าและคนออก พวกเขาจึงเป็นผู้เดินทางเพียงกลุ่มเดียวมาตลอดเส้นทาง
ทว่าพอเข้ามาถึงตัวเมืองชั้นใน ความคิดของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะที่นี่เริ่มมีผู้คนอยู่กันหนาตาขึ้น โดยเฉพาะในย่านการค้านั้นแวดล้อมไปด้วยอาคารสามชั้นที่เรียงรายกันเป็นทิวแถว และผู้คนก็เดินกันขวักไขว่ แม้ความหนาแน่นของผู้คนจะยังน้อยกว่าเมืองที่ควรจะเป็นเมืองหลวงของเผ่าพันธุ์มาก แต่ก็เริ่มใกล้เคียงกับเมืองขนาดกลางแล้ว
ระหว่างที่มองดูผู้คนในเมืองอยู่นั้น ซาลก็สังเกตเห็นความผิดปกติสองอย่างของชาววาลาเชีย
อย่างแรกคือในเมืองมีแต่คนหนุ่มสาวหรือเด็ก ไม่มีคนแก่อยู่เลย อย่างที่สองคือทุกคนไม่ว่าจะเด็กหรือโตแล้ว ต่างก็สะพายอาวุธไว้ที่เอวกันคนละชิ้น ตั้งแต่มีดเล่มเล็ก ๆ ไปจนถึงดาบขนาดกลาง เป็นพฤติกรรมที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงหันไปถามแซนโดรอีกครั้ง
“ทำไมพวกเขาถึงพกอาวุธติดตัวไว้ตลอดแทนที่จะเก็บไว้ในช่องมิติเก็บของล่ะ? แถมยังพกกันทุกคนเลย …แล้วในเมืองก็ไม่มีคนแก่เลยด้วย”
“…พวกแวมไพร์น่ะมีชีวิตเป็นอมตะ เลยมีรูปลักษณ์แก่สุดแค่ไม่เกินสามสิบปี …ออ จริงสิ เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย …พวกเธอเอาไอ้นี่พกติดตัวไว้ด้วย…”
แซนโดรนำดาบสามเล่มออกมาจากช่องเก็บของและยื่นให้กับซาลและนิโคลคนละเล่ม
ซาลได้ดาบสั้นสำหรับเด็ก ส่วนนิโคลได้ดาบขนาดกลาง แบบเดียวกับที่แซนโดรถือไว้ ดูเผิน ๆ แล้วดาบทั้งสามเล่มนี้ก็เหมือนกับดาบธรรมดา แต่ตรงกลางของดาบจะมีช่องโปร่งใสคล้ายกับหลอดแก้วสอดอยู่ภายใน ภายในนั้นยังมีของเหลวสีแดงสดถูกบรรจุอยู่ด้วย
ซาลไม่เคยเห็นอาวุธที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้มาก่อน จึงพลิกดาบในมือดูอย่างละเอียดด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผิดกับนิโคลที่พอจะรู้จักอาวุธชนิดนี้อยู่แล้ว
“อ๋อ ‘เขี้ยวของแวมไพร์’ สินะคะ”
“เขี้ยวของแวมไพร์เหรอ?”
ซาลเอ่ยถามนิโคลด้วยสีหน้าสงสัย แซนโดรจึงอธิบายให้ฟัง
“…’เขี้ยวของแวมไพร์’ คืออาวุธประจำตัวที่สร้างขึ้นมาจากกรรมวิธีการหลอมแบบพิเศษ ที่ใช้เขี้ยวของแวมไพร์แต่ละคนเป็นวัตดุดิบในการสร้าง …เพราะแวมไพร์ไม่ได้ใช้เขี้ยวในการกัดเจาะดูดเลือดจากสิ่งมีชีวิตอีกแล้ว พวกเขาจึงนำมันมาสร้างเป็นอาวุธแทน …แวมไพร์ที่อายุครบ 7 ปี จะต้องเข้ารับพิธีถอดเขี้ยว และนำเขี้ยวนั้นมาหลอมเป็นอาวุธประจำกาย …อาวุธชิ้นนี้จะเติบโตไปพร้อม ๆ กับเจ้าของด้วย มันเปรียบเสมือนศักดิ์ศรีและสัญลักษณ์แห่งความเป็นแวมไพร์ …พวกเขาถึงต้องพกมันติดตัวไว้ตลอดเวลา…”
“เห~ แบบนี้เองเหรอเนี่ย แต่มันก็เหมือนดาบธรรมดาเลยไม่ใช่เหรอ? ยกเว้นหลอดใส่ยาแดงที่ฝังอยู่ในตัวดาบนี่น่ะ”
“…ผิดแล้ว ‘เขี้ยวของแวมไพร์’ เป็นอาวุธที่มีความพิเศษอย่างมาก …นอกจากจะเติบโตไปพร้อมกับเจ้าของแล้ว มันยังสามารถดูดเลือดของฝ่ายตรงข้ามมาฟื้นฟูการบาดเจ็บหรือเสริมพลังให้กับเจ้าของได้อีกด้วย…”
“ดูดเลือดเหรอ!?”
“…ใช่ บาดแผลที่ถูกเฉือนโดย ‘เขี้ยวของแวมไพร์’ จะทำให้เสียเลือดปริมาณมากในเวลาอันสั้น …และเลือดเหล่านั้นจะถูกส่งไปเก็บในตัวดาบหรือหลอดยาแดงที่เธอพูดถึงนั่นแหละ หากแผลยังไม่ถูกปิด เลือดก็จะค่อย ๆ ถูกดูดออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งพวกแวมไพร์จะใช้เลือดเหล่านี้ในการรักษาตัวเองหรือใช้เป็นส่วนประกอบของวิชาต่อสู้ประจำเผ่าแวมไพร์ที่เรียกว่า ‘บลัดอาร์ท’ (Blood Art) …เป็นอาวุธที่น่ากลัวทีเดียว…”
“หวาว แจ่มไปเลยอะ ชักอยากได้มาใช้บ้างแล้วสิ”
“…มนุษย์น่ะไม่มีทางใช้ได้หรอก มันเป็นของใช้เฉพาะเผ่าพันธุ์ หากไม่ใช่แวมไพร์ หรือแค่ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ก็จะไม่สามารถใช้งาน ‘เขี้ยวของแวมไพร์’ ได้ รวมไปถึงยากจะใช้บลัดอาร์ทได้ด้วย …ออ แล้วก็อย่าชักดาบออกมาซี้ซั้วระหว่างอยู่ในเมืองนะ …ถึงจะเป็นของจริง แต่เจ้าของมันก็ตายไปหมดแล้ว …ดาบที่เจ้าของตายแล้วกับดาบที่เจ้าของมีชีวิตน่ะมีความต่างกันอยู่ …หากอยู่ในฝักก็พอจะตบตาคนได้ แต่ถ้าชักออกมาละก็อาจถูกมองออกได้…”
“โอเค เข้าใจแล้วล่ะ”
แม้จะข้องใจนิดหน่อยกับเรื่องเจ้าของเดิมของดาบพวกนี้ แต่ซาลก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อ เขาวางดาบที่ได้รับมาพาดกับเบาะนั่ง ก่อนจะหันกลับไปมองนอกหน้าต่างเพื่อสำรวจทิวทัศน์โดยรอบต่อไป
รถม้าแล่นผ่านเขตชุมชนจนทะลุออกมาอีกฟากหนึ่งของเมืองโดยไม่ได้หยุดแวะจองที่พัก ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเพราะปกติพวกเขาจะแวะหาที่พักกันก่อนเป็นอันดับแรก
“อ้าว? เราจะไปไหนกันเนี่ย? ไม่แวะจองที่พักก่อนเหรอ?”
“…เรามาถึงกันเร็วกว่ากำหนด เพราะงั้นฉันคิดว่าควรจะไปแจ้งเรื่องขอนัดพบเจ้าเมืองเอาไว้ก่อน …ถ้าโชคดีเราอาจได้เข้าพบภายในวันพรุ่งนี้เลยก็ได้…”
รถม้าแล่นออกมานอกเขตใจกลางเมืองเพียงเล็กน้อยก็เข้าสู่ย่านชุมชนอันเบาบางของวาลาเชียอีกครั้ง
ที่ด้านท้ายเมืองนี้มีบ้านเรือนผู้คนบางตายิ่งกว่าเส้นทางด้านหน้าเมืองที่พวกเขาใช้ผ่านเข้ามาซะอีก ทำให้ดูเหมือนกับพวกเขากำลังจะออกนอกวาลาเชียอีกครั้ง แต่ไม่นาน ซาลก็เห็นคฤหาสน์หลังหนึ่งปรากฏเข้ามาในระยะสายตาของเขา มันเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบสูงขนาดไพศาล ทำให้มองเห็นตัวคฤหาสน์ได้แต่ไกล รั้วของคฤหาสน์ถูกสร้างขึ้นห่างจากตัวคฤหาสน์ออกมาจนเกือบจะถึงบริเวณด้านล่างของเนินอยู่แล้ว ทำให้คฤหาสน์หลังนี้มีอาณาบริเวณโดยรอบค่อนข้างกว้าง หากมองจากบางมุมอาจคิดว่ามันไม่มีรั้วล้อมอยู่เลยด้วยซ้ำไป
แต่สิ่งที่ดุดตาที่สุดก็คือของคล้าย ๆ กับป้ายหลุมศพจำนวนมากที่ถูกตั้งกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วอาณาเขตของคฤหาสน์ จนทำให้ที่แห่งนั้นดูเหมือนกับเป็นสุสานขนาดใหญ่
รถม้าของแซนโดรแล่นมาเทียบยังประตูรั้วของคฤหาสน์ คนเฝ้ายามที่ประจำอยู่ในป้อมจึงเดินออกมาและตรงเข้าไปยังรถม้าเพื่อสอบถามธุระในทันที เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวสะอาดสะอ้าน และหวีผมเรียบร้อย ลักษณะแบบนี้หากเป็นในจูริสคงต้องเป็นพวกพนักงานระดับสูงหรือข้าราชการมีตำแหน่งแน่ ๆ แต่สำหรับในวาลาเชียแล้ว นี่คือลักษณะการแต่งกายทั่วไปสำหรับคนเกือบทุกระดับชั้น
“พวกคุณมีธุระอะไรเหรอครับ?”
“…พวกเราคือตระกูลโควิแนนท์จากอินิสตร้า …อยากจะขอพบท่านเจ้าเมืองหน่อย…”
แซนโดรยื่นตราสัญลักษณ์บางอย่างให้กับคนเฝ้ายาม ซึ่งเขาก็ร่ายเวทเพื่อตรวจสอบตราสัญลักษณ์นั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและปล่อยให้รถม้าของแซนโดรผ่านเข้าไปในเขตคฤหาสน์ได้
เมื่อรถม้าแล่นผ่านสวนของคฤหาสน์ ซาลก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นป้ายหลุมศพนั้น แท้จริงแล้วมันคือดาบ เป็นดาบจำนวนมากมายหลายพันเล่มที่ถูกปักทิ้งไว้กับพื้นหญ้าของคฤหาสน์ ทุกเล่มมีลักษณะเฉพาะของอาวุธที่เป็น ‘เขี้ยวแวมไพร์’ อยู่ทั้งสิ้น เมื่อได้เห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นไปอีก
“แซนโดร ดาบพวกนี้มัน?”
“…อืม รู้สึกว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริงสินะ …นี่คือหลักฐานของการปฏิเสธการแต่งงานน่ะ…”
“ปฏิเสธการแต่งงานเหรอ? ของใครล่ะ?”
“…ว่ากันว่าท่านหญิงที่ชิงอำนาจมาจากพ่อของตัวเองเนี่ย มีรูปโฉมงดงามมากจนเหล่าแวมไพร์หนุ่มทั่วทุกสารทิศต่างก็หลงใหล …แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจใครเลยและไม่อยากแต่งงานด้วย ก็เลยตั้งเงื่อนไขว่าจะแต่งกับเฉพาะคนที่เอาชนะเธอได้เท่านั้น ส่วนคนที่แพ้ก็จะต้องทิ้ง ‘เขี้ยวของแวมไพร์’ ซึ่งเปรียบเสมือนชีวิตและศักดิ์ศรีของแวมไพร์เอาไว้ …และก็เป็นอย่างที่เห็น ทั้งหมดนี่คือคนที่พ่ายแพ้ให้กับเธอไงล่ะ…”
ดวงตาของซาลเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ เขาหันกลับไปมองดาบจำนวนมหาศาลที่ถูกปักกระจัดกระจายอยู่ทั่วสนามหญ้าราวกับยังไม่อยากจะเชื่อสายตา ก่อนจะหันกลับมาพูดกับแซนโดรอีกครั้ง
“นี่มันหลายพันเลยนะ! ทั้งจำนวนคนที่สนใจ และคนที่พ่ายแพ้นี่ เป็นตัวเลขที่ไม่น่าเชื่อเลย!”
“…เป็นพวกที่ไม่รู้จักประมาณตนทั้งนั้น …คนที่โค่นตัวตนระดับมารได้ จะพ่ายแพ้ในการดวลได้ยังไงกันล่ะ …แต่บางคนก็เชื่อข่าวลือที่ว่าเธอใช้วิธีสกปรกในการลอบสังหารพ่อของตัวเองน่ะนะ เพราะงั้นเลยอาจมีคนที่คิดว่าเธอไม่ได้มีฝีมืออย่างคำร่ำลือก็ได้…”
“อืม… แต่เป็นคนสวยขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ชักอยากเห็นแล้วสิ พอจะมีรูปบ้างมั้ยอะ?”
“…อย่างที่บอกว่าวาลาเชียปิดประเทศมานานแล้ว …ข้อมูลภายในของอาณาจักรนี้ไม่ค่อยถูกเผยแพร่ไปยังโลกภายนอกหรอก มีแต่เพียงคำเล่าขานเท่านั้น…”
“เห~ ยุคสมัยนี้แล้วเนี่ยนะ? น่าจะมีคนเคยถ่ายรูปเก็บไว้บ้างเซ่”
“…ดูเหมือนมันจะเป็นความจงใจของเจ้าตัวด้วยที่ไม่อยากเปิดเผยใบหน้าน่ะ …จึงแทบไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะเลยสักครั้ง…”
“อ้าว? ทำไมล่ะ?”
“…เคยมีการให้เหตุผลว่าเพราะท่านหญิงมีใบหน้าที่งดงามจนชายหนุ่มไม่อาจห้ามใจได้ หากเปิดเผยใบหน้าออกไปจะมีคนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสู่ขอ จึงพยายามปกปิดรูปลักษณ์ให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก …ในทีแรกมันก็ฟังดูเป็นเรื่องตลกของคนที่หลงตัวเองเกินจริงน่ะนะ แต่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ แค่คำบอกเล่ารูปลักษณ์แบบปากต่อปากก็ทำให้มีพวกแมงเม่าบินมาเข้ากองไฟกันขนาดนี้แล้ว…”
แซนโดรพูดพลางมองไปยังสนามหญ้าที่มีดาบนับพันเล่มปักอยู่จนเต็มบริเวณ ทำให้ซาลก็ไม่กล้าโต้แย้งในเรื่องนั้นเช่นกัน
ระหว่างที่คุยกันอยู่รถม้าก็แล่นมาถึงหน้าคฤหาสน์พอดี ทั้งสามคนจึงลงจากรถเพื่อเตรียมจะเดินเข้าไปด้านใน เป็นเวลาเดียวกับที่สาวใช้ผมสั้นสีดำขลับในชุดเมดเดินออกมาจากประตูคฤหาสน์เพื่อต้อนรับพวกเขา เธอทักทายแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงและท่าทีอันสุภาพ
“มาพบท่านเจ้าเมืองเหรอคะ? ได้นัดเอาไว้รึเปล่าคะ?”
“…ไม่ได้นัดหรอก …แต่เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบขอเข้าพบน่ะ…”
“อืม… ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอะไรรึเปล่าคะ ช่วงนี้ท่านเจ้าเมืองก็ยุ่งมากทีเดียว…”
“…บอกเธอว่าเรามาด้วยเรื่องของ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ …ช่วยแจ้งไปตามนี้ด้วยนะ…”
เมื่อได้ยินชื่อ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ สีหน้าของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอก็รีบปรับอารมณ์เป็นปกติและตอบกลับมาด้วยท่าทีอันสุภาพเช่นเดิม
“ถ้างั้น… เชิญทางนี้ก่อนค่ะ”
สาวใช้เชิญทั้งสามคนเข้าไปด้านใน ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังส่วนรับแขกซึ่งเป็นชุดโซฟาอันหรูหราที่อยู่ไม่ห่างจากห้องโถงด้านหน้าสักเท่าไหร่นัก
“กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งท่านเจ้าเมืองให้ทราบ แล้วจะมาบอกอีกทีค่ะ ว่าท่านจะว่างให้เข้าพบได้เมื่อไหร่”
เมื่อพูดจบแล้ว หญิงสาวก็เดินจากไป โดยปล่อยให้ทั้งสามคนนั่งรออยู่ในส่วนรับแขก
ซาลผุดลุกผุดนั่งอยู่บนโซฟานั้นได้แค่พักเดียวก็รู้สึกเบื่อ จึงเริ่มชวนแซนโดรคุยอีกครั้ง
“นี่ คิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ?”
“…เราไม่ได้จองกำหนดการไว้ล่วงหน้า …เพราะงั้นอาจต้องรอให้เขาเคลียร์กำหนดการก่อน …อย่างเร็วก็คงสักวันพรุ่งนี้ …เว้นแต่ว่า…”
“เว้นแต่ว่า?”
“…ถ้าสถานการณ์เรื่อง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ มันวิกฤติกว่าที่เราคาดไว้ เธออาจให้เราเข้าพบในวันนี้เลยก็ได้…”
เมื่อแซนโดรพูดจบ สาวใช้คนเมื่อสักครู่ก็เดินกลับมาพอดี เธอตรงมายังส่วนรับแขกที่ทุกคนนั่งอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันสุภาพอีกครั้ง
“ทุกท่านคะ ท่านหญิงลานาเทล อนุญาตให้พวกคุณเข้าพบได้แล้วค่ะ”