Doombringer the 5th - ตอนที่ 19
Ch.19 – ดวงจันทร์ที่ไร้เงา
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 19
ดวงจันทร์ที่ไร้เงา
Part 1
สาวใช้ในชุดเมดเดินนำทุกคนขึ้นบันไดจากห้องโถงด้านล่างไปยังชั้นสองของคฤหาสน์
บนชั้นนี้ก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีความกว้างขวางพอ ๆ กับห้องโถงชั้นล่าง แต่การตกแต่งของมันกลับดูโดดเด่นสะดุดตาจนชวนตะลึง
ตรงกันข้ามกับชั้นล่างที่มีการตกแต่งแบบเรียบ ๆ บนนี้จะใช้เสาหินอ่อนขนาดใหญ่ในการค้ำยันเพดานทรงสูงที่มีลายสลักอันงดงามอยู่โดยทั่ว ราวกับเป็นเพดานของมหาวิหารหรือพระราชวัง ทั้งตัวเสาและกำแพงจะใช้ไม้เนื้อดีเป็นระแนงประดับ สีน้ำตาลของไม้ซึ่งสลับกับสีขาวของหินอ่อนนั้นให้ความรู้สึกเยือกเย็นสบายตา
พื้นของชั้นนี้เป็นพื้นกระเบื้องลายหินอ่อนซึ่งปูทับด้วยพรมแดงที่มีลวดลายอันวิจิตรไปตลอดแนวทางเดิน ให้ความรู้สึกอบอุ่นตัดกับสัมผัสเยือกเย็นที่แผ่จากเสาและกำแพงโดยรอบ ข้าวของและรูปภาพที่วางประดับห้องอยู่นั้นแม้แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างซาลารัส มองดูแวบเดียวก็ยังรู้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นดีมีราคา
เมื่อเทียบกับห้องโถงชั้นล่างที่ดูธรรมดาราวกับเป็นอาคารราชการแล้ว ชั้นสองนี้ให้ความรู้สึกหรูหราราวกับเป็นวังเลยทีเดียว
“ชั้นบนนี่แตกต่างจากชั้นล่างลิบลับเลยนะครับ ปกติแล้วห้องโถงหลักควรเป็นส่วนที่ตกแต่งให้สวยงามที่สุดเพื่อใช้เป็นหน้าตาของเจ้าบ้านไม่ใช่เหรอ?”
ซาลซึ่งรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยปากถามสาวใช้ที่เดินนำอยู่
“ท่านหญิงเป็นคนชอบของสวยงามแต่ก็ไม่ชอบโอ้อวดใครน่ะค่ะ ปกติแล้วการพูดคุยกับแขกก็จะทำที่ห้องรับรองด้านล่างเท่านั้น ไม่ค่อยมีใครได้ขึ้นมาถึงห้องทำงานบนชั้นสองนี้หรอกนะคะ”
แซนโดรหันมาเขม่นตาใส่ซาลเล็กน้อยเพื่อจะสื่อว่าอย่าพูดมากนัก ซึ่งแม้จะเขาชักสีหน้าไม่พอใจสวนกลับไปนิดหน่อยแต่ก็ยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี
อย่างไรก็ตาม คำตอบของสาวใช้ก็ทำให้ซาลนึกถึงคำพูดของแซนโดรก่อนหน้านี้
คำพูดที่ว่าหากสถานการณ์เกี่ยวกับ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ อยู่ในภาวะวิกฤติจริง ๆ พวกเขาอาจได้เข้าพบในวันนี้เลยก็ได้ และตอนนี้สาวใช้ประจำคฤหาสน์กำลังเดินนำพวกเขาไปยังห้องทำงานของเจ้าเมือง ซึ่งปกติจะไม่ค่อยให้ใครเข้ามาพบถึงในนี้ แสดงว่าเรื่องเกี่ยวกับ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริง ๆ
สาวใช้เดินนำพวกแซนโดรมาจนสุดปลายห้องโถง ที่ซึ่งมีประตูบานคู่สีขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่
เธอเคาะประตูเบา ๆ สองครั้งก่อนจะแจ้งการมาถึงให้กับคนในห้องนั้นได้รับทราบ
“ท่านหญิงคะ คนของตระกูลโควิแนนท์มาแล้วค่ะ”
“อืม เข้ามาได้เลย”
เสียงที่ตอบกลับมาจากอีกฟากประตูนั้นทั้งฟังดูนุ่มนวลและเยือกเย็นสมกับเป็นการพูดของกุลสตรีตระกูลสูง ซึ่งขัดกับความคาดหมายของซาลมาก เพราะในความคิดของเขาผู้หญิงที่ฆ่าพ่อตัวเองชิงอำนาจและยังทำลายศักดิ์ศรีของผู้ชายเป็นพัน ๆ คนเพื่อเลี่ยงการแต่งงานได้ราวกับการบี้แมลงนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงโหด ๆ เถื่อน ๆ หรือเป็นนางมารร้ายที่เลือดเย็นอะไรเทือกนั้นมากกว่า แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วกลับไม่ใช่เลย
ในระหว่างที่คิดถึงเรื่องนี้อยู่ สาวใช้ก็เปิดประตูออกและเชิญทั้งสามคนเข้าไปด้านในห้อง ซาลจึงเดินตามเข้าไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ว่าท่านหญิงคนนี้จะเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่
———————————————————————————————————-
Part 2
ห้องของเจ้าเมืองเป็นห้องขนาดกลางที่ตกแต่งอย่างหรูหรา พื้นห้องเป็นพรมชนิดพิเศษซึ่งปักด้วยลวดลายอันวิจิตร สีแดงสดของพรมนั้นตัดกับลายปักสีทองจนดูโดดเด่น บนเพดานก็มีโคมระย้าขนาดใหญ่แขวนอยู่สูงขึ้นไปจนเกือบติดเพดาน แต่สองฟากข้างของห้องล้วนแล้วแต่เป็นชั้นหนังสือและแทบจะไม่มีวัตถุประดับตกแต่งอื่น ๆ อยู่เลย ทำให้มันดูเหมือนกับเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ๆ มากกว่า
ตรงกลางห้องมีโต๊ะและโซฟารับแขกหนึ่งชุดตั้งอยู่ ส่วนห่างออกไปอีกนิดบริเวณติดกับริมหน้าต่างก็มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ซึ่งหันหน้ามาทางฝั่งประตูห้องพอดี ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสามารถมองเห็นแขกผู้มาเยือนได้ตั้งแต่ก้าวเข้าประตู
ผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่นั่นเป็นสาวน้อยซึ่งน่าจะมีอายุเพียงยี่สิบเศษ ๆ เธอมีผมสีดำขลับอันยาวสลวยราวกับเส้นไหมและมีใบหน้าที่เรียวงามได้สัดส่วน
ดวงตาสีม่วงอ่อนราวกับอเมทิสต์คู่นั้นฉายแววตาอันเยือกเย็นซึ่งแฝงความทะเยอทะยานเอาไว้ภายใน เมื่อรวมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแล้วเธอจึงดูราวกับเป็นราชินีผู้ทรงอำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายทุกสรรพสิ่งรอบตัวได้ดังใจนึก
ความงามของเธอเปรียบเสมือนดวงจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ทำเอาดวงดาราโดยรอบดับแสงไปจนหมด เป็นความงามที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบและลี้ลับ ทั้งดูน่าค้นหาและเย้ายวน ไม่น่าแปลกใจที่มีชายหนุ่มเผ่าแวมไพร์จำนวนนับไม่ถ้วนยอมเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อให้ได้ครอบครองดวงเดือนดวงนี้
ซาลก็คิดว่าเธอคนนี้จัดเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ๆ คนหนึ่งเช่นกัน แต่เพราะเขายังอายุน้อยจึงยังไม่สามารถสัมผัสถึงเสน่ห์อันเร้นลับของหญิงสาววัยสะพรั่งที่อยู่ตรงหน้า ประกอบกับผู้ร่วมทางของเขาคือแซนโดรและนิโคลซึ่งจัดว่าเป็นหญิงสาวที่มีความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เขาจึงไม่รู้สึกว่าท่านหญิงของเผ่าแวมไพร์คนนี้เป็นหญิงงามระดับล่มเมืองอย่างที่คำร่ำลือพูดกัน และรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และตรงมายังโต๊ะรับแขก
“เชิญนั่งก่อนสิคะ”
หญิงสาวเชื้อเชิญให้แซนโดรผู้เป็นแขกได้นั่งลงก่อนตามมารยาท แซนโดรจึงนั่งลงตามคำเชิญ ก่อนที่หญิงสาวจะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
ซาลทำท่าจะเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวแต่ก็ถูกนิโคลรั้งเอาไว้ซะก่อน
เขาหันกลับมามองเธอด้วยความงุนงง ซึ่งเมื่อเห็นนิโคลส่ายหน้าเป็นการบอกใบ้ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในฐานะผู้ติดตามของแซนโดร จึงไม่ควรไปนั่งร่วมกับคนระดับเจ้านาย เมื่อเข้าใจแล้วเขาจึงกลับมายืนด้านหลังที่นั่งของแซนโดรแทน
“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก็แล้วกันนะคะ ดิฉัน ลานาเทล ซันรีเวอร์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
หญิงสาวแนะนำตัวกับแซนโดรด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม ผิดกับท่าทางที่ดูสูงศักดิ์และเหมือนจะเย่อหยิ่งของเธอ แซนโดรจึงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำที่ดัดให้คล้ายกับเสียงของผู้ชาย
“…เช่นกันครับ …ผม แซนเดอร์ โควิแนนท์ …รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาพบกับท่านหญิง…”
“ดิฉันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลโควิแนนท์แห่งอินิสตร้ามาพอสมควรเหมือนกัน ได้ข่าวว่าสมัยที่ท่านพ่อพยายามจะแผ่อิทธิพลเข้าไปในอินิสตร้าน่ะ ทางตระกูลโควิแนนท์ได้สร้างความลำบากให้กับท่านเอาไว้ไม่น้อยเลยนะคะ”
การที่สามารถพูดถึงพ่อตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉยทำให้ซาลรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เลือดเย็นกว่าที่คิด จึงเฝ้ามองการสนทนาด้วยท่าทีระมัดระวังมากขึ้น ส่วนแซนโดรมองว่านี่อาจเป็นคำถามหยั่งเชิงเพื่อทดสอบฐานะของผู้มาเยือนก็ได้ จึงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น
“…ทางเราเองก็แค่ดิ้นรนไปตามสภาพน่ะครับ …ถึงยังไงสุดท้ายแล้วทางซันรีเวอร์ก็ได้พื้นที่กว่า 70% ของอินิสตร้าไปครอบครองในที่สุด…”
“แต่ก็ยังรักษาไว้ได้ตั้ง 30% ไม่ใช่เหรอคะ? สำหรับตระกูลย่อยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากวาลาเชียแล้วยังงัดข้อกับตระกูลหลัก ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วค่ะ”
ในระหว่างนั้นสาวใช้ก็นำน้ำชามารินใส่ถ้วยให้กับแซนโดรและลานาเทล
ทั้งสองคนพักจิบน้ำชาและสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายไปด้วย
ลานาเทลใช้ใช้สายตาพิจารณาแซนโดรอยู่เป็นนานราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง จนแซนโดรต้องเอ่ยถามขึ้น
“…มีอะไรเหรอครับ?…”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่ดิฉันเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับแซนเดอร์ โควิแนนท์ สมาชิกผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของตระกูลโควิแนนท์มาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ดูสำอางค์ขนาดนี้ ผิดจากที่เคยคิดไว้ไปไกลเลยค่ะ หุหุหุ”
หญิงสาวพูดจาในเชิงหยอกล้อด้วยน้ำเสียงขี้เล่นและท่าทีสบาย ๆ แซนโดรจึงตอบกลับไปด้วยถ้อยคำในลักษณะเดียวกัน
“…ผมเองก็เคยได้ยินคำร่ำลือถึงความงดงามของท่านหญิงลานาเทลมานานแล้วเหมือนกัน …แต่ตัวจริงเนี่ยงดงามยิ่งกว่าคำร่ำลือซะอีก …ถ้าไม่ติดว่าตัวผมมีฝีมือต่ำต้อยละก็ คงต้องขอท้าประลองเพื่อลุ้นตำแหน่งคู่หมั้นดูสักครั้งเหมือนกันนะครับ…”
“แหม คุณแซนเดอร์ก็พูดเกินไปแล้วค่ะ ฮุฮุฮุ”
ทั้งสองคนพูดจาหยอกเย้ากันราวกับเป็นการเกี้ยวพาราศีด้วยถ้อยคำอันหวานเลี่ยน ทำเอาซาลต้องขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันไปมองนิโคลด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับมา
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาข้องใจนั้นคือการที่ท่านหญิงกล่าวชมแซนโดรว่าหน้าตาหล่อเหลา หรือข้องใจกับบทสนทนายกอันหวานเลี่ยนของคนทั้งสอง หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองอย่างเลยก็ได้
ระหว่างนั้น สาวใช้ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมนำน้ำชามาเสิร์ฟให้กับซาลและนิโคลคนละถ้วย เมื่อเห็นว่าทุกคนได้รับน้ำชาครบแล้ว ลานาเทลจึงบอกให้เธอออกไปรอที่นอกห้อง ทำให้สาวใช้แสดงท่าทีอึกอักขึ้นมา
“แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไร ออกไปเถอะ”
แม้จะมีทีท่าลังเลนิดหน่อย แต่ด้วยคำสั่งของผู้เป็นนายทำให้สุดท้ายแล้วสาวใช้ก็ต้องยอมออกไป
สิ่งที่เธอกังวลคงจะเป็นการปล่อยให้เจ้านายอยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้าถึงสามคน แต่ลานาเทลก็ดูจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย ซาลจึงคิดว่าเธอคงจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากทีเดียว
เมื่อสาวใช้ออกไปแล้ว ลานาเทลก็หันกลับมาดำเนินการสนทนากับแซนโดรต่ออีกครั้ง
“เอาล่ะ ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องกันเถอะค่ะ คุณบอกว่ามาด้วยเรื่องของ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ สินะคะ?”
“…ใช่แล้วครับ …คือผมอยากจะขอซื้อหรือเช่ายืม ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ สักอันหนึ่งน่ะครับ…”
“หืม… จะมาขอซื้อหรอกเหรอคะ?”
ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย แสดงถึงความผิดหวังออกมาทางสายตา แต่สีหน้าของเธอก็ยังดูไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่เจือปนความรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่จาง ๆ
“คุณน่าจะรู้อยู่แล้วนะคะว่าเราทำลาย ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ไปหมดแล้ว ตอนที่บอกว่าจะมาคุยเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคุณจะมาเสนอขาย หรือให้เบาะแสของมันซะอีก…”
“…งั้นก็น่าเสียดายนะครับ …อุตส่าห์มีวิธีที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่แล้วแท้ ๆ …”
“ว่าไงนะคะ?”
แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ลานาเทลก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาให้ได้เห็น แซนโดรจึงรีบฉวยจังหวะนี้ดำเนินการสนทนาต่อไป
“…ผมใช้เวลาหลายปีในการตามหาผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการวิเคราะห์และประดิษฐ์อาติแฟคได้ทุกชนิด …ซึ่งในที่สุดก็หาผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพบที่ทวีปเทอร่า …ถ้าเป็นคน ๆ นี้ละก็ ขอแค่มีตัวอย่างอาติแฟคมาเป็นต้นแบบ เขาก็จะสามารถสร้างของชิ้นใหม่ที่มีประสิทธิภาพเหมือนกันขึ้นมาได้อย่างแน่นอน …แต่ถ้า ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ถูกทำลายไปหมดแล้วจริง ๆ ก็คงต้องตัดใจล่ะ…”
แซนโดรพูดด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เหมือนมีเจตนาจะหยั่งเชิงฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย ส่วนลานาเทลแม้จะส่งยิ้มตอบกลับมาแต่แววตาของเธอกลับดูซับซ้อน
มันไม่ใช่สีหน้าที่แสดงความไม่พอใจหรือความรู้สึกโกรธ ทว่าเหมือนกับกำลังแสดงความพึงพอใจออกมา ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะถูกรลูบคมเข้า ทำให้ซาลไม่เข้าใจความคิดของเธอเลย
“นี่เป็นความตั้งใจของคุณตั้งแต่แรกสินะคะ”
เธอเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มละไม แต่สายตาอันเย็นเยียบและทรงอำนาจนั้นกลับทำให้เกิดแรงกดดันแผ่ออกมาจนซาลถึงกับขนลุก ผิดกับแซนโดรที่ยังคงตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“…ต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาท …ความจริงผมก็ไม่มีเจตนาจะทำให้ท่านหญิงเสียหน้าเลย …แต่นอกจากวิธีนี้ก็คงไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่จะทำให้เราพูดคุยกันตรง ๆ ได้…”
เพราะเธอเพิ่งจะปฏิเสธการมีอยู่ของมันไป การที่เธอถูกต้อนจนต้องยอมกลืนคำพูดของตัวเองนั้น นับเป็นการหักหน้าที่รุนแรงทีเดียว แต่ลานาเทลก็สลัดเรื่องนั้นออกไปด้วยการหัวเราะในลำคอนิด ๆ ก่อนจะดำเนินการสนทนาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ที่บอกว่าขอแค่มีต้นแบบก็สร้างของใหม่ขึ้นมาได้น่ะเป็นความจริงเหรอคะ?”
“…ต้องบอกตามตรงว่าอาจไม่ 100% …มันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างด้วย …แต่ดูจากการที่สมัยก่อนมันเป็นของที่ผลิตได้เป็นจำนวนมากขนาดที่แจกจ่ายให้กับแวมไพร์เกือบทุกคนได้ ก็แปลว่าวัตถุดิบที่ใช้คงไม่ใช่ของที่หายากสักเท่าไหร่ …ถึงอย่างนั้น ต่อให้มีโอกาสแค่ 50% ก็คุ้มค่าที่จะลองไม่ใช่เหรอครับ?…”
ลานาเทลเอนตัวพิงพนักของโซฟาพลางกอดข้อศอกและทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ระหว่างนั้นเธอก็กวาดสายตามองผู้ติดตามทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของแซนโดรไปด้วย
“ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือคนที่ติดตามคุณมานี่เหรอคะ?”
“…ก็อาจเป็นได้นะ…”
ลานาเทลยิ้มให้กับคำตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ของอีกฝ่าย ส่วนแซนโดรก็ส่งยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน แต่ถึงแม้ทั้งสองคนจะยิ้มให้กันตลอดเวลา บรรยากาศโดยรอบก็ยังดูเย็นเยียบจนน่าขนลุก
“เข้าใจรึเปล่าคะว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญขนาดไหน?”
“…เข้าใจสิครับ …ผู้ที่ครอบครองหรือเข้าถึงการสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ได้น่ะ …อาจมีอิทธิพลต่อเหล่าแวมไพร์ขนาดที่เปลี่ยนกฎมนเทียรบาล หรือก่อการปฏิวัติเลยก็ยังได้ …พูดง่าย ๆ ว่าจะทำให้มีอำนาจพอที่จะคัดคานกับผู้ที่กุมอำนาจการผลิตองุ่นเลือดอยู่อย่างตระกูลซันรีเวอร์ได้เลยทีเดียว…”
“แล้วคิดว่าฉันจะปล่อยให้ตระกูลอื่นได้อำนาจนี้ไปงั้นเหรอคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มและแววตาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าที่ผ่านมา แต่แซนโดรก็ยังคงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“…ผมไม่คิดจะชิงอำนาจกับตระกูลซันรีเวอร์หรอกครับ …แค่ต้องการ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ไปใช้หลังวางมือจากวงการเท่านั้น…”
“วางมือเหรอ?”
คำตอบของแซนโดรทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง ซึ่งแซนโดรก็อธิบายต่อโดยไม่รอให้เธอต้องถามย้ำอีก
“…ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะวางมือจากวงการและออกท่องเที่ยวไปรอบโลก …แต่จะเดินทางได้อย่างอิสระก็ต้องมี ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ด้วย …เพราะงั้นขอแค่ชิ้นเดียวไว้ใช้เองก็พอแล้ว …ส่วนพิมพ์เขียวและวิธีการทำน่ะผมจะยกให้ท่านหญิงทั้งหมดเลย …จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจ…”
“พูดง่ายนะคะ ยังไงผู้เชี่ยวชาญก็อยู่กับคุณนี่นา ถึงจะขอไปแค่ชิ้นเดียวแต่ก็สามารถสร้างเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ได้”
“…ดูท่าจะไม่เชื่อเรื่องที่ผมจะถอนตัวจากวงการสินะ …งั้นถ้าผมยกสิทธิ์การครอบครองทั้งหมดของตระกูลโควิแนนท์ในอินิสตร้าให้ล่ะ?…”
“ถ้ามี ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ แล้ว จะสร้างฐานอำนาจขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากนี่คะ”
“…หากเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวก็อาจใช่ …แต่ถ้าตระกูลซันรีเวอร์ผู้ครอบครองการส่งออกองุ่นเลือดเป็นผู้ถือครอง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ด้วย ยังไงก็ไม่มีใครต่อกรได้หรอก …’ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ มันก็แค่อิสระในการเดินทางยามกลางวัน …แต่องุ่นเลือดคือปัจจัยหลักในการใช้ชีวิต …หากต้องเลือกระหว่างสองสิ่งนี้ คนก็ต้องเลือกชีวิตมาก่อนอยู่แล้ว…”
องุ่นเลือดเป็นพืชที่เติบโตได้ในวาลาเชียเท่านั้น
ในสมัยก่อนตอนที่เรียกเก็บ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ กลับคืนมา ผู้อาวุโสของเหล่าแวมไพร์ก็ใช้วิธีสั่งห้ามการค้าขายองุ่นเลือดให้กับแวมไพร์ที่อยู่นอกวาลาเชียเป็นเงื่อนไขบีบคั้นให้ทุกคนต้องคืนอาติแฟคกลับมา
อาณาจักรที่ฝ่าฝืนและแอบขายองุ่นเลือดให้กับแวมไพร์ที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตจะถูกคว่ำบาตรและระงับการซื้อขายองุ่นเลือดด้วยเป็นการชั่วคราว ด้วยเหตุนี้แวมไพร์ที่อยู่นอกวาลาเชียจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนำ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ กลับมาคืนเพื่อแลกกับใบอนุญาตให้ซื้อองุ่นเลือดได้
แม้จะมีแวมไพร์บางคนพยายามหาเลือดมนุษย์มาทดแทน แต่เลือดมนุษย์เป็นสิ่งที่หายากมาก เพราะมีองุ่นเลือดแล้วจึงไม่มีใครบริจาคหรือซื้อขายเลือดอีก ส่วนเลือดสัตว์ก็มีรสชาติแย่จนทนกินไม่ได้ อันที่จริงสำหรับแวมไพร์ที่กินเลือดกลั่นจากองุ่นเลือดมาจนชินแล้วนั้น จะรู้สึกว่าเลือดมนุษย์มีรสชาติไม่ดีไปกว่าเลือดสัตว์สักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ดังนั้นแวมไพร์ส่วนใหญ่จึงเลือกสิทธิ์ในการซื้อองุ่นเลือดมากกว่าการครอบครอง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’
ในปัจจุบันนี้ทางวาลาเชียก็ยังใช้เรื่องสิทธิ์ในการซื้อองุ่นเลือดเพื่อบีบไม่ให้แวมไพร์หลบหนีออกจากอาณาจักรเช่นกัน เพราะแวมไพร์ที่ลักลอบหนีออกจากอาณาจักรจะไม่มีใบอนุญาตซื้อองุ่นเลือด จึงต้องออกไปใช้ชีวิตอันแสนทรมานในโลกภายนอกอยู่ดี
สำหรับตระกูลซันรีเวอร์ที่ครอบครองการส่งออกองุ่นเลือดอยู่แล้วนั้น หากได้ครอบครองการสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้มีคนอื่นที่สามารถสร้างอาติแฟคชิ้นนี้ขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไรเลย
ลานาเทลครุ่นคิดตามคำพูดของแซนโดรแล้วก็คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นนับว่ามีเหตุผลอยู่ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เธอยังเคลือบแคลงใจ
“ทั้งมอบวิธีสร้างให้ และมอบพื้นที่ครอบครองของตระกูลให้ เพียงเพื่อแลกกับสร้อยเส้นเดียวเนี่ยเหรอคะ? ฟังดูดีเกินไปรึเปล่า?”
“…ไม่หรอกครับ …เพราะว่าหลังจากนั้นผมยังมีเรื่องที่ต้องรบกวนทางซันรีเวอร์อีกเรื่องหนึ่งด้วย…”
“เรื่องที่ต้องรบกวนเหรอคะ?”
“…หลังจากถอนตัวแล้ว …ผมอยากได้สิทธิ์คุ้มครองจากซันรีเวอร์น่ะครับ…”
“สิทธิ์คุ้มครอง?”
ความจริงลานาเทลก็พอจะเดาความหมายของมันได้แล้ว แต่ก็ยังต้องถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจและให้รู้รายละเอียด แซนโดรจึงต้องอธิบายความหมายออกมา พร้อมกับเหตุผลของคำขอนี้ด้วย
“…อยู่ในวงการนี้มานานก็ต้องมีศัตรูเยอะเป็นธรรมดา …จู่ ๆ จะวางมือ ลงจากอำนาจ คงหาความสงบได้ยาก จะมีใครตามมาล้างแค้นบ้างก็ไม่รู้ …เพราะอย่างนั้นผมเลยอยากให้ซันรีเวอร์ประกาศตนเป็นคุ้มครองให้ …เพื่อที่จะได้ไม่มีใครกล้ามาตอแยหลังจากผมวางมือไปแล้วไงล่ะครับ…”
“อืม…”
ลานาเทลครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอกวาดสายตาไปยังผู้ติดตามทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของแซนโดรอีกครั้ง ก่อนที่จะขอเพิ่มเงื่อนไขอีกอย่างลงไป
“ถ้าฉันจะขอตัวผู้เชี่ยวชาญการประดิษฐ์อาติแฟคคนนั้นด้วยจะได้รึเปล่าคะ?”
คำถามนี้ทำให้แซนโดรชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการออกมาและตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“…เรื่องนั้นเอาไว้ถามเจ้าตัวเองหลังจากเสร็จงานแล้วจะดีกว่า …ยังไงผมก็คงไม่มีงานให้เขาทำอีกแล้ว …ดังนั้นเขาจะไปเข้าสังกัดตระกูลไหนต่อมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาเอง…”
แซนโดรพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางหันไปมองนิโคลอย่างจงใจ ทำให้ลานาเทลมองตามไปด้วย ส่วนนิโคลนั้นแม้จะรู้สึกงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยังเก็บอาการและรักษาสีหน้ายิ้มแย้มต่อไป
“ถ้างั้น… ขอฉันปรึกษากับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลดูก่อนก็แล้วกันนะคะ ไว้ได้ข้อสรุปเมื่อไหร่แล้วจะส่งคนไปแจ้งให้ทราบอีกทีค่ะ”
ลานาเทลกล่าวสรุปการเจรจาก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อนำพวกแซนโดรไปยังประตู
เมื่อเปิดประตูออกมา สาวใช้ที่รออยู่ด้านนอกก็เดินนำทุกคนลงไปยังชั้นล่าง ก่อนจะพาไปส่งที่รถม้าซึ่งยังคงจอดรออยู่หน้าคฤหาสน์นั้นเอง
พอทุกคนขึ้นมาบนรถหมดแล้ว รถม้าก็ค่อย ๆ แล่นออกจากคฤหาสน์และมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองอีกครั้ง
———————————————————————————————————-
Part 3
เมื่อรถม้าแล่นออกห่างจากคฤหาสน์มาได้ระยะหนึ่ง ซาลก็ระดมคำถามมากมายที่อัดอั้นเอาไว้ใส่แซนโดรแบบไม่มีหยุด
“นี่ ๆ แซนโดรน่ะเคยเป็นมาเฟียมาก่อนเหรอ!?”
“…ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆน่ะ …เพราะฉันรู้จักกับแซนเดอร์ โควิแนนท์ตัวจริง เลยมีแหวนสื่อสารของเขาอยู่ …ตอนที่ตระกูลซันรีเวอร์ต้องการจะแผ่อิทธิพลเข้าไปในอินิสตร้า พวกเขาก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาเขตปกครองเอาไว้ …ฉันเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคตเลยลองไปช่วยดู …แต่พยายามเต็มที่แล้วแต่ก็รักษาเขตปกครองไว้ได้แค่ 30% เท่านั้น …อันที่จริงถ้าฮาร์คอนไม่ตายซะก่อนป่านนี้ซันรีเวอร์คงยึดครองไปหมดทั้งอินิสตร้าแล้ว…”
“ที่พูดถึงพื้นที่หรือเขตปกครองนี่มันคืออะไรเหรอ?”
“…มันคือเขตอิทธิพลของแก๊งค์น่ะ …พวกแวมไพร์ตระกูลต่าง ๆ จะมีอิทธิพลในตลาดมืดและการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย รวมไปถึงการทำงานสกปรกด้วย …เขตอิทธิพลยิ่งมากก็ยิ่งทำการค้ากับพวกใต้ดินได้สะดวก และมีรายได้เยอะ…”
“เห~ ไหนว่าซันรีเวอร์ไม่มีปัญหาเรื่องเงินไงล่ะ ทำไมยังต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย?”
“…มันเป็นเรื่องของอำนาจน่ะ ไม่ใช่เรื่องเงินหรอก…”
“แล้วแซนโดรมีสิทธิ์ยกเขตปกครองของตระกูลให้เค้าจริงดิ? หรือว่าแค่โม้ไปก่อน?”
“…หัวหน้าแก๊งคนก่อนน่ะตายไปนานแล้วล่ะ …ตอนนี้ตระกูลโควิแนนท์ถูกดูแลโดยเหล่าผู้อาวุโส …ฉันเองถึงจะไม่ได้ติดต่อกับทางนั้นนานแล้วแต่ก็ยังมีตำแหน่งหัวหน้าระดับสองอยู่ …จะเรียกว่าเป็นรักษาการณ์หัวหน้าก็ได้ …ถึงอำนาจจะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าเสนอการตัดสินใจที่มีเหตุมีผล ก็น่าจะพอเกลี้ยกล่อมให้พวกนั้นยอมทำตามได้…”
“ยกเขตปกครองให้คนอื่นหมดเลยเนี่ยนา เขาจะยอมกันเหรอ?”
“…หากซันรีเวอร์ต้องการจริง ๆ จะบีบให้โควิแนนท์จนตรอกเมื่อไหร่ก็ได้ …ตระกูลอื่นน่ะไม่มีทางสู้อิทธิพลของตระกูลที่ผูกขาดการขายองุ่นเลือดได้หรอก …ถึงจะดิ้นรนเต็มที่ก็คงถ่วงไปได้ไม่กี่ปีเท่านั้น …การต่อสู้ครั้งที่แล้วก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจน …เพราะงั้นยอมเสียศักดิ์ศรีหน่อย เข้ามาอยู่ใต้อาณัติของซันรีเวอร์ซะ ก็ยังดีกว่ารอให้ถูกบีบจนตายน่ะนะ…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่รถม้าแล่นกลับเข้ามาถึงเขตใจกลางเมือง ซึ่งก็เป็นช่วงค่ำแล้ว แต่ยามกลางคืนของวาลาเชียกลับมีผู้คนพลุกพล่านกว่าเวลากลางวันซะอีก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจนักสำหรับดินแดนที่มีแต่เหล่าแวมไพร์ เพราะพวกเขาย่อมชื่นชอบการใช้ชีวิตในเวลากลางคืนมากกว่าเวลากลางวันอยู่แล้ว
แซนโดรหยุดรถที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับย่านการค้า มันเป็นโรงแรมที่สาวใช้ของลานาเทลจัดเตรียมไว้ให้เพื่อให้การติดต่อกันทำได้ง่ายขึ้นด้วย เมื่อลงจากรถและไปที่ล็อบบี้ พนักงานต้อนรับที่ดูจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกแซนโดรจะมาก็พาทั้งสามคนขึ้นไปยังห้องรับรองระดับ VIP ของโรงแรม
มันเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีความกว้างเกือบยี่สิบเมตร มีส่วนของห้องรับแขก, เลานจ์, รวมถึงห้องครัวขนาดเล็ก และยังมีห้องนอนขนาดใหญ่หนึ่งห้องกับห้องนอนขนาดกลางอีกสองห้อง ทุกห้องยังมีห้องน้ำในตัวด้วย ราวกับเป็นอพาร์ทเมนท์สุดหรูมากกว่าที่จะเป็นห้องพักของโรงแรม
เมื่อพนักงานประจำโรงแรมออกไปแล้ว แซนโดรก็ลองร่ายเวทตรวจสอบตัวห้องดูทุกซอกทุกมุม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอุปกรณ์หรือเวทสอดแนมติดตั้งอยู่ในห้อง ก่อนจะเรียกทุกคนมารวมกันที่ส่วนรับแขกเพื่อพูดคุยถึงแผนการกันอีกครั้ง
“…ทีนี้ก็มาถึงแผนหลบหนีล่ะนะ…”
“เห? จะวางแผนหลบหนีกันเลยเหรอ? การเจรจาก็เป็นไปได้ด้วยดีนี่นา”
“…นี่เธอได้ฟังอยู่รึเปล่า …ผู้หญิงคนนั้นน่ะต้องการตัวนักประดิษฐ์ที่เป็นคนสร้างอาติแฟคด้วย …เพราะฉะนั้น หลังจากสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ อันใหม่เสร็จแล้วเราต้องรีบเผ่นกันทันที …ไม่งั้นคงมีปัญหาแน่…”
“นักประดิษฐ์คนนั้นก็แซนโดรไม่ใช่เหรอ?”
“…ฉันพยายามทำให้เธอคิดว่าเป็นนิโคลต่างหาก …แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตบตาเธอได้รึเปล่าน่ะนะ …ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยก็แล้วกัน…”
แซนโดรหันไปทางนิโคลพลางเอ่ยคำขอโทษ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“เอ๋? ขอโทษฉันทำไมเหรอคะ?”
“การที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการตัวนักประดิษฐ์น่ะอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ …ความจริงถ้าได้พิมพ์เขียวกับวิธีสร้างไป ตัวนักประดิษฐ์ก็ไม่จำเป็นแล้ว …แปลว่าที่เธอต้องการตัวนักประดิษฐ์ก็เพื่อเอาไปฆ่าทิ้ง ไม่ให้มีคนอื่นสามารถสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ได้มากกว่า…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็เริ่มมีท่าทีร้อนรนขึ้นมาแทน
“เอ๋!? ขนาดนั้นเลยเหรอ!? แบบนี้นิโคลก็อยู่ในอันตรายน่ะสิ!”
“…อืม …เพราะเรื่องนั้นแหละ …ต้องขอโทษด้วยนะ…”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงตรงนั้นก็มีแค่พวกเราสองคนให้เลือก ให้ฉันเป็นคนรับอันตรายก็ยังดีกว่าให้ซาลารัสต้องมาเสี่ยงนะคะ”
นิโคลตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสบาย ๆ อันไร้กังวล ผิดกับซาลที่แสดงความไม่สบายใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แซนโดรจึงพูดถึงแผนการหลบหนีต่อ
“…เรื่องการหลบหนีน่ะ ถ้าจะลดความสูญเสียให้มากที่สุดก็คงต้องให้เป็นหน้าที่ของนิโคลอีกนั่นแหละ รบกวนด้วยล่ะ…”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ วางใจได้เลย”
แม้จะพูดคุยกันจบแล้ว ซาลก็ยังคงจ้องมองแซนโดรด้วยความสงสัยอยู่เป็นนาน จนเธอต้องถามถึงความผิดปกติ
“…มีอะไรเหรอ?…”
“อืม… รู้สึกว่าสมัยก่อนแซนโดรจะเคยไปทำอะไร ๆ มาเยอะแยะเลยนะ มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกพวกเราอีกมั้ยเนี่ย?”
“…ไม่รู้สิ…”
“คงไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าหญิงจากอาณาจักรไหนสักแห่งปลอมตัวมาด้วยหรอกนะ”
“…ก็อาจเป็นได้นะ…”
“เรื่องรูปลักษณ์นี่ก็เหมือนกัน คงไม่ใช่ว่าร่างผู้ชายนี่คือร่างจริงหรอกนะ.. อ๊อกกก!”
ยังพูดไม่ทันจบ ซาลก็โดนตุ๊ยท้องด้วยหมัดความเร็วสูงของแซนโดรจนฟุบลงไปกับเบาะอันฟูนุ่มของโซฟา
“…ยังไงก็เตรียมตัวไว้ให้พร้อม การพิจารณาข้อเสนอน่ะน่าจะเสร็จภายในวันพรุ่งนี้แหละ…”
“มะ.. ไม่ใช่ว่าเขาต้องคุยประชุมกับผู้อาวุโสก่อนเหรอ…”
ซาลที่ยังตัวงออยู่ถามกลับมาด้วยเสียงอันติดขัดเพราะยังหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
“…ที่ว่าต้องไปปรึกษากับเหล่าผู้อาวุโสน่ะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ …ยังไงเธอคนนั้นก็ตัดสินใจทุกอย่างได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว …ที่ขอเวลาเพิ่มคงเพราะต้องการจะตรวจสอบประวัติของฉันและเช็คข้อมูลอื่น ๆ มากกว่า …แต่เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก ไม่ต้องห่วง…”
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็ลงไปยังห้องอาหารของโรงแรมซึ่งอยู่ชั้นล่างเพื่อรับประทานอาหารเย็น
ในคืนนั้นแซนโดรบอกให้ซาลรีบเข้านอน เพราะการเจรจาครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
แซนโดรอธิบายว่าพวกแวมไพร์จะนอนหลับเพียงแค่วันละ 1-2 ชั่วโมง นอกจากนั้นก็จะตื่นอยู่ตลอด การถูกเรียกตัวไปในเวลากลางดึกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ซาลทำการปลดสมุนที่มีระดับสูงสุด 12 ตัวออกจากดันเจียนและยังปรับแต่งชุดคำสั่งสำหรับการต่อสู้แบบเต็มพิกัดเพื่อเตรียมพร้อมไว้ เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้อัญเชิญพวกมันออกมาใช้งานได้ทันที
เมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เขาจึงเข้านอน และหลับไปในเวลาไม่นาน
———————————————————————————————————-
Part 4
ในเวลาเกือบเช้ามืด นิโคลก็เข้ามาปลุกซาลในห้องด้วยการขยับตัวเขาเบา ๆ
ซาลที่ยังงัวเงียอยู่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าบรรยากาศโดยรอบยังมืดสนิท เมื่อดูนาฬิกาแล้วเขาก็พบว่าตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาประมาณตีสี่เท่านั้น
“คนของท่านหญิงมาแจ้งว่าพร้อมจะแลกเปลี่ยนข้อเสนอแล้วค่ะ เตรียมตัวเดินทางเถอะนะคะ”
ซาลลุกขึ้นไปล้างหน้าพลางบ่นแสดงความไม่พอใจนิดหน่อย ทำนองว่า ‘พวกแวมไพร์นี่ไม่รู้จักเวลานอนรึไงกันนะ’ หรือ ‘รอให้เช้าก่อนไม่ได้รึไง’
นิโคลที่เข้าใจความหงุดหงิดของคนเพิ่งตื่นนอนนั้นก็ได้แต่ยิ้มและรอให้อีกฝ่ายเตรียมตัวจนเสร็จ เธอคิดว่าการที่ซาลพยายามบ่นอุบอิบเบา ๆ ก็เป็นการแสดงความเกรงใจอย่างหนึ่งซึ่งดูน่ารักดีเหมือนกัน
เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้วซาลกับนิโคลก็ออกมาจากห้อง ซึ่งที่ห้องนั่งเล่นก็มีแซนโดรนั่งรออยู่แล้ว ทั้งสามคนจึงเริ่มออกเดินทางเพื่อมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ของลานาเทลอีกครั้ง
แม้จะเป็นเวลาตีสี่แล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงหนาตาไม่แพ้เวลากลางวัน นั่นเพราะเหล่าแวมไพร์ชื่นชอบการใช้ชีวิตเวลากลางคืนมากกว่า แต่เพราะเป็นเวลาใกล้รุ่ง ทำให้ผู้คนในเมืองเริ่มจะทยอยกันกลับเข้าที่พักไปทีละน้อย
รถม้าของแซนโดรแล่นผ่านประตูรั้วและเข้ามาจอดยังด้านหน้าของคฤหาสน์เช่นเคย ที่นั่นมีสาวใช้ผมดำคนเดิมรอให้การต้อนรับอยู่แล้ว
“เชิญทางนี้ค่ะ”
เธอเชื้อเชิญและนำทางทุกคนขึ้นไปยังชั้นสองเหมือนอย่างเคย แต่เมื่อขึ้นมาถึงก็มีสาวใช้อีกคนซึ่งไว้ผมสั้นสีทองวิ่งกระหืดกระหอบตามขึ้นมาแจ้งข่าวอะไรบางอย่างกับสาวใช้คนแรก
“ขอประทานโทษค่ะ พอดีด้านล่างมีปัญหานิดหน่อย ถ้ายังไงเชิญไปที่ห้องก่อนได้เลยนะคะ ท่านหญิงกำลังรออยู่ค่ะ”
สาวใช้ผมดำกล่าวขอออภัยก่อนที่จะตามสาวใช้อีกคนกลับลงไปด้านล่าง
แม้จะไม่มีคนนำทาง แต่ห้องของลานาเทลนั้นอยู่สุดปลายห้องโถงซึ่งหากเคยมาสักครั้งหนึ่งแล้วก็สามารถจะไปเองได้ไม่ยาก ทั้งสามคนจึงเดินต่อไปด้วยตนเอง
เมื่อมาถึงหน้าห้อง แซนโดรก็เคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าพบ
“…ท่านหญิง …ผมแซนเดอร์ มาตามคำเชิญแล้วครับ…”
แม้เวลาจะผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่มีเสียงตอบรับมาจากภายในห้อง จนแซนโดรต้องเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอีก เธอจึงลองบิดลูกบิดของประตูดู พบว่าสามารถเปิดเข้าไปได้
แซนโดรรู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์นี้ไม่น้อย จึงยังลังเลที่จะเข้าไปในห้อง ในระหว่างนั้นเองนิโคลก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“คุณแซนโดรคะ.. ในห้องมีกลิ่นเลือดด้วยล่ะค่ะ”
“…อืม…”
แม้จะยังลังเลอยู่ แต่แซนโดรก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง โดยมีนิโคลกับซาลเดินตามเข้าไปติด ๆ
ภายในห้องนั้นดูว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของใครอยู่ในห้องเลย ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการต่อสู้ด้วย มีเพียงกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งอยู่เท่านั้น
แซนโดรเดินอ้อมไปดูยังด้านหลังของโต๊ะทำงานที่ลานาเทลเคยนั่ง แต่สิ่งที่พบทำให้เธอถึงกับหยุดชะงัก
“…โอ๊ะ…”
“หืม? มีอะไรเหรอแซนโดร?”
ซาลที่อยากรู้อยากเห็นจึงเดินตามแซนโดรเข้าไปดูที่ด้านหลังโต๊ะ แม้แซนโดรจะพยายามหันมาห้ามไว้แต่ก็ไม่ทันการ
ภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้เขาตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อไปในทันที
มันคือภาพศพอันไร้หัวของลานาเทลที่กำลังนอนจมกองเลือดอยู่นั่นเอง