Doombringer the 5th - ตอนที่ 2
Ch.2 – การทดสอบภาคสนาม
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 2
การทดสอบภาคสนาม
Part 1
คณะเดินทางของนักเรียนที่ได้ไปทดสอบภาคสนามเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่
ขบวนรถลากนับสิบคันเคลื่อนผ่านถนนบนที่ราบอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาโดยทิ้งโรงเรียนอีจิสเอาไว้เบื้องหลัง ยิ่งขบวนรถเคลื่อนห่างออกไป ภาพของโรงเรียนอีจิสที่ตั้งอยู่บนริมหน้าผาของเทือกเขาอีจิสนั้นก็ยิ่งดูเล็กลงเรื่อย ๆ
รถแต่ละคันเป็นรถเทียมม้าขนาดสี่ที่นั่งสำหรับนักเรียนแต่ละกลุ่ม ทุกคันจะลากด้วยม้าสองตัวและมีสารถีประจำรถคอยเป็นผู้ควบคุม
ในส่วนของที่นั่งเป็นแบบเปิดโล่งแต่ก็มีหลังคาช่วยบังแดดให้ สายลมเย็นสบายจากทุ่งหญ้าจึงพัดโกรกเข้ามาในตัวรถเป็นระยะ ๆ สร้างความสดชื่นให้กับผู้โดยสารอยู่ตลอดเวลา
ทาลิสซึ่งยังดูตื่นเต้นไม่หยุด คอยผุดลุกผุดนั่ง และชวนเพื่อน ๆ ชมวิวทิวทัศน์ทั้งซ้ายขวาแบบไม่รู้จักเหนื่อย ทั้งที่ทิวทัศน์แถว ๆ นั้นก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ราวกับเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวข้างนอกเป็นครั้งแรก
ความจริงเธอก็ใช้เส้นทางนี้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกือบทุกเดือนอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางพร้อมกับทุกคน มันจึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
“นี่ ทาลิส เธออยู่นิ่ง ๆ มั่งได้มั้ยเนี่ย?”
โลเฟ่นพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แถมใบหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนจึงไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการพูดแสดงความรำคาญเท่าไหร่นัก
“เอ๋~ แต่นาน ๆ จะได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกสักทีนี่นา… ทิวทัศน์แบบนี้น่ะหาดูไม่ได้ในโรงเรียนนะ ที่สำคัญก็คือท้องฟ้าเนี่ย… ท้องฟ้าที่ไม่มีอะไรมาบดบังนี่แหละ งดงามที่สุดเลย!”
ทาลิสตอบกลับโลเฟ่นด้วยน้ำเสียงอันสดใสและแววตาเป็นประกาย เธอเป็นคนที่ชอบชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติมาก ๆ โดยเฉพาะท้องฟ้ากับก้อนเมฆ แต่ในโรงเรียนมันกลับไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ชัดเจนนัก
เพราะเหนือท้องฟ้าของโรงเรียนอีจิสมีวงเวทขนาดใหญ่ซึ่งมีรัศมีกว้างขนาดครอบคลุมทั้งโรงเรียนอยู่
มันเป็นวงเวทของอาณาเขตคุ้มกันซึ่งทั้งใช้ตรวจจับผู้บุกรุกและป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมให้กับนักเรียนทุกคนด้วย ภายในอาณาเขตนี้ ทั้งนักเรียน, อาจารย์, และเจ้าหน้าที่ทุกคนจะได้รับผลของเวทป้องกัน ทำให้แทบไม่เคยมีใครได้รับอันตรายจากการเรียนเลย
แต่ด้วยวงเวทที่คลุมเหนือน่านฟ้าของโรงเรียนอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงนี้ก็ทำให้ทัศนะวิสัยบนท้องฟ้าถูกบดบังไปเล็กน้อย แม้ในยามกลางวันวงเวทจะถูกแสงอาทิตย์กลบจนเห็นเป็นแค่เส้นอักขระลาง ๆ แต่มันก็ทำให้ไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าอันปลอดโปร่งได้ ทาลิสจึงคิดว่าถ้าสักวันมีคนพัฒนาวงเวทที่โปร่งแสง ไม่บดบังทัศนะวิสัยขึ้นมาได้ก็คงจะดี
“ก็ไม่ได้อยากจะขัดความสุขหรอกนะ แต่ว่าถ้าเธอยังลุกไปลุกมาแบบนี้ละก็ อลันจะยิ่งแย่เอานา”
โลเฟ่นพูดพลางแสยะยิ้มและมองไปทางอลันซึ่งกำลังนั่งตัวเกร็ง สายตาของเขาจ้องไปที่เส้นขอบฟ้าตลอดเวลาโดยไม่วางตา แถมสีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก
“ฉัน… ไม่เป็นไร…”
อลันเป็นโรคเมารถขั้นรุนแรง แค่การนั่งพาหนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้เมาได้แล้ว เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งการนั่งรถม้าบนถนนเรียบ ๆ ที่ไม่มีทั้งการโคลงเคลงหรือเส้นทางคดเคี้ยวแบบนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกวิงเวียนได้อยู่ดี เมื่อทาลิสเห็นสีหน้าของอลันก็เลยต้องยอมนั่งอยู่กับที่ในที่สุด โดยมีสีหน้าสำนึกผิดเล็กน้อย
พอต้องนั่งเฉย ๆ ทาลิสจึงหันความสนใจไปยังซาลที่กำลังขะมักเขม้นกับแบบจำลองห้องมิติบนมือของเขาจนแทบไม่ได้คุยกับใคร
“ทำอะไรอยู่เหรอซาล?”
เมื่อเห็นซาลกำลังจดจ้องกับแบบจำลองที่เหมือนห้องมิติว่าง ๆ อยู่เป็นเวลานาน ทาลิสจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันกำลังเตรียมร่างอัญเชิญที่จะใช้ในการออกสนามอยู่น่ะ ปกติการอัญเชิญต้องเขียนวงเวทขึ้นมาก่อนใช่ม้า แต่ถ้าวาดวงเวทเอาไว้ในห้องมิติเลยแบบนี้ก็จะสามารถอัญเชิญออกมาได้ทันทีน่ะ”
พอสังเกตดูดี ๆ ทาลิสก็เห็นสิ่งที่คล้ายกับวงเวทอยู่บนพื้นห้องของแบบจำลองจริง ๆ แถมยังมีถึงสามวงด้วยกัน
คนภายนอกที่ไม่ใช่เจ้าของหากมองแบบจำลองจะเห็นเป็นแค่โมเดลสามมิติแบบย่อส่วนของห้องเท่านั้น แต่สายตาของเจ้าของห้องจะสามารถมองเห็นทุกรายละเอียดได้ราวกับนั่งอยู่ในห้องนั้นจริง ๆ ทาลิสซึ่งเป็นคนนอกจึงมองไม่เห็นสิ่งนี้ในทีแรก
“เห~ ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย ก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าพวกนักเวทชั้นสูงเขาทำกันยังไงถึงอัญเชิญได้โดยไม่ต้องวาดวงเวท ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
“คนที่อัญเชิญได้โดยใช้แค่การจินตนาการวงเวทขึ้นในสมองก็มีอยู่จริง ๆ นะ แต่นั่นมันเป็นทักษะระดับสูงที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ สำหรับฉันแค่นี้ก็เต็มที่แล้วล่ะ”
“แล้วที่มีวงเวทตั้งสามวงนี่คืออะไรเหรอ?”
“อ๋อ เพราะว่าถึงวงเวทแต่ละอันจะใช้ซ้ำได้ แต่มันก็มีระยะเวลาพักตัว (Cooldown) อยู่ ดังนั้นเพื่อให้อัญเชิญได้อย่างต่อเนื่องจึงต้องทำวงเวทไว้หลาย ๆ อันเพื่อสลับการใช้น่ะ และถ้าเจอการต่อสู้ที่ยากลำบากจริง ๆ ก็สามารถอัญเชิญพร้อมกันทั้งสามตัวออกมาช่วยกันสู้ได้ด้วยนะ”
“เห~ ยอดไปเลยนะ แบบนี้ถ้าทำวงเวทไว้สักสิบอัน ก็อัญเชิญพร้อมกันได้สิบตัวเลยน่ะสิ!”
“ฮ่ะ ๆ ในทางทฤษฎีก็ทำได้น่ะนะ แต่สำหรับฉันตอนนี้แค่อัญเชิญสักห้าตัวพร้อมกัน พลังเวทก็หมดเกลี้ยงแล้ว”
“อืม ๆ งั้นที่เห็นนั่งเงียบมาตลอดทางก็เพราะกำลังวาดวงเวทนี่อยู่สินะ”
“เปล่าหรอก ความจริงฉันทำวงเวทเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะ แต่กำลังปรับแต่งอักขระของวงเวทอยู่ เพื่อให้ได้สัดส่วนของค่าร่ายกับระยะเวลาอัญเชิญที่เหมาะสม ตอนนี้คือตั้งไว้ให้ใช้พลังเวท 20% ต่อการอัญเชิญหนึ่งตัว ซึ่งจะทำให้อยู่ได้นานราว ๆ สามนาทีต่อการอัญเชิญ”
ฟังถึงตรงนี้โลเฟ่นก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยียวนแบบจงใจ
“สามนาที? ไม่ใช่สามวิฯหรอกเหรอ?”
“นั่นเพราะมังกรเป็นร่างอัญเชิญระดับสูงต่างหากเล่า! เลยใช้พลังเวทเยอะน่ะ!”
ซาลพูดกลบเกลื่อนเพราะกลัวเสียหน้าต่อหน้าทาลิส ซึ่งโลเฟ่นเองก็รู้ดีแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหยอกเขาเล่น จึงจบประเด็นไว้แค่นั้นโดยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนบทสนทนาในลักษณะนี้กันไปตลอดทางจนกระทั่งขบวนเริ่มออกนอกเขตโรงเรียน เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้คือป่าทางตะวันตกซึ่งอยู่เกือบสุดริมเขตพื้นที่ มันคือสนามสอบสำหรับการทดสอบภาคสนามของเหล่านักผจญภัยรุ่นเยาว์
———————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อเข้าเขตชายป่า กองคาราวานก็เริ่มแยกย้ายกันจนเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะรถม้าแต่ละคันจะหยุดส่งนักเรียนในจุดที่ถูกเตรียมไว้เป็นพื้นที่ทดสอบสำหรับกลุ่มนั้น ๆ
“ใกล้จะถึงแล้วล่ะ เอ้า รับนี่ไปสิ”
คนรถหันมาพูดพร้อมยื่นแหวนให้กับโลเฟ่นที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุด
เพราะเมื่อเข้าใกล้เขตป่า ทางก็เริ่มคดเคี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ โลเฟ่น, ซาล, และทาลิสจึงย้ายมานั่งเบียดกันอยู่ฝั่งเดียว เพื่อให้อลันสามารถเอนตัวลงนอนได้ ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่สู้ดีนัก
“แหวนสื่อสารสินะ เอ… ทำแบบนี้รึเปล่านะ…”
โลเฟ่นรับแหวนมาสวมแล้วหมุน ๆ เข้ากับนิ้ว สักพักก็มีเสียงของอาจารย์แกริสดังออกมาจากแหวน
“โอ้ กลุ่มของซาลารัสสินะ เตรียมตัวกันพร้อมแล้วรึยัง?”
เด็ก ๆ ทั้งสามคนขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง แม้จะไม่มีเสียงของอลันอยู่ด้วยแต่อาจารย์แกริสก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่
“โจทย์ของการสอบก็ง่าย ๆ นะ แค่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ที่กำหนดให้สะอาดหมดจดเท่านั้นเอง สำหรับขอบเขตที่ต้องกวาดล้างก็เรียกดูเอาจากแหวนก็ได้ ถ้าไม่มีมอนสเตอร์เหลืออยู่ในบริเวณนั้นแล้วแผนที่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเอง ก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ”
ระหว่างที่อาจารย์แกริสพูด ตัวแหวนก็ฉายภาพแผนที่ขึ้นมาบนอากาศ เผยให้เห็นพื้นที่สีเหลืองซึ่งมีจุดสีฟ้ากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้อยู่ จุดสีฟ้านั้นคือตำแหน่งของผู้สวมแหวน และพื้นที่สีเหลืองคือเขตที่ต้องเข้าไปกำจัดมอนสเตอร์นั่นเอง
“มอนสเตอร์ในเขตนี้ไม่น่าจะมีระดับเกินฝีมือของพวกเธอนะ แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจริง ๆ ให้ใช้แหวนติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนรถเอาก็ได้ ส่วนจะมีผลกับการสอบรึไม่นั้นเราจะพิจารณาจากเหตุการณ์อีกที ยังไงก็เน้นความปลอดภัยเอาไว้ก่อนล่ะ เอาล่ะ ขอให้ทุกคนโชคดีนะ”
เมื่ออาจารย์แกริสพูดจบ รถก็หยุดพอดี เพราะพวกเขามาถึงพื้นที่เป้าหมายแล้ว
“ถ้ามีเหตุด่วนเกิดขึ้นก็รีบติดต่อมาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ อ้อ แล้วก็พยายามเข้านะ”
คนรถอวยพรส่งทุกคนด้วยท่าทีเป็นมิตร ความจริงแล้วคนรถแต่ละคนเป็นนักผจญภัยมีระดับซึ่งถูกทางโรงเรียนจ้างให้มาช่วยดูแลนักเรียนแต่ละกลุ่มอีกทีหนึ่ง แต่เพราะสวมชุดยูนิฟอร์มเรียบ ๆ เหมือนเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจึงทำให้ดูไม่ออก
หลังลงจากรถ เด็ก ๆ ก็เดินต่อไปอีกเล็กน้อยและมาหยุดที่หน้าชายป่า ทาลิสร่ายเวทแก้สถานะผิดปกติให้กับอลันเพื่อรักษาอาการเมารถ ทำให้สีหน้าของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลับมากระฉับกระเฉงเหมือนเดิม
“เอาล่ะ… ทุกคน พร้อมนะ?”
อลันถามพร้อมกวาดสายตาไปรอบ ๆ
โลเฟ่นแอบขำเล็ก ๆ เพราะเมื่อตะกี้เจ้าตัวยังเป็นคนที่อาการแย่ที่สุดในกลุ่มอยู่แท้ ๆ แต่แค่แป๊บเดียวก็กลับมาเก๊กท่าจริงจังอีกแล้ว ท่าทางแบบนั้นจึงทำให้โดนอลันขมวดคิ้วใส่
“โอเค ๆ พร้อมแล้วล่ะ”
“พร้อมแล้วจ้ะ”
“มาลุยกันเลย!”
สิ้นเสียงขานรับ ทุกคนก็ร่ายเวทเพื่อดึงอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ออกมาสวมใส่ ทำให้ชุดที่สวมอยู่ถูกเปลี่ยนจากชุดนักเรียนกลายเป็นชุดนักผจญภัยในพริบตา
อลันและทาลิสสวมชุดเกราะหนังแบบเบาซึ่งมีเฮดการ์ดสวมอยู่ด้วย อาวุธที่อลันเลือกใช้คือดาบกับโล่ขนาดกลาง ส่วนทาลิสใช้กระบองกับโล่ขนาดเล็ก ทั้งคู่รับหน้าที่เป็นแนวหน้าโดยอลันเป็นแท๊งค์ (ตัวชน) หลัก ส่วนทาลิสเป็นแท๊งค์รอง พร้อมพ่วงหน้าที่ซัพพอร์ท/ฮีลเลอร์ เข้าไปด้วย
ทางฝั่งโลเฟ่นกับซาลไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก โลเฟ่นมีผ้าคลุมสำหรับนักเวทสวมทับลงบนชุดนักเรียน ส่วนซาลก็มีเสื้อโค้ทสีน้ำตาลสวมทับลงบนชุดนักเรียนเช่นกัน รองเท้าของพวกเขาก็ถูกเปลี่ยนเป็นรองเท้าบูทหนังสำหรับเดินป่า อาวุธของโลเฟ่นคือคทาเวทกับโล่ขนาดเล็ก ส่วนซาลใช้ดาบกับโล่ขนาดเล็ก เพราะไม่ได้ใช้เวทโจมตีเป็นหลักอยู่แล้ว
เมื่อทุกคนสวมชุดเสร็จแล้วอลันก็ใช้แหวนที่รับต่อมาจากโลเฟ่นเปิดดูแผนที่ภารกิจอีกครั้ง
“ดูจากสัดส่วนของแผนที่แล้ว พื้นที่ที่เราต้องเข้าไปเคลียร์น่าจะมีขนาดราว ๆ หนึ่งส่วนสี่ตารางกิโลเมตร เราจะค่อย ๆ เคลียร์พื้นที่วนตามเข็มนาฬิกา เริ่มจากด้านนอกแล้วบีบเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง เสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับออกมาที่นี่ น่าจะเป็นทางที่สั้นที่สุด”
อลันวิเคราะห์ภารกิจและบอกกล่าวแผนการอย่างคล่องแคล่ว เพราะสถานะทางครอบครัว อลันจึงได้รับการอบรมฝึกฝนในด้านต่าง ๆ มาเป็นพิเศษ แถมยังเคยติดตามพี่ ๆ ไปทำภารกิจจริงมาแล้วด้วย การทดสอบภาคสนามครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขาเลย
ทุกคนเห็นด้วยกับแผนของอลันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทาง
———————————————————————————————————-
Part 3
หลังจากเดินเข้าไปในป่าได้สักพัก อลันก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว จึงทำสัญญาณมือให้ทุกคนหยุดขบวนเพื่อเตรียมพร้อม
“ข้างหน้านั่น… เหมือนมีอะไรอยู่… ซาล ลองส่งสมุนเข้าไปดูซิ”
“ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอกน่า คอยดูนี่นะ… มอนสเตอร์ดีเท็ค!”
เวทที่ซาลารัสใช้คือเวทตรวจสอบ ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ (Monster Detect) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นตำแหน่งของเหล่ามอนสเตอร์รอบ ๆ ได้ราวกับมีเรดาร์ รัศมีของการตรวจจับจะขึ้นกับพลังเวทและระดับของผู้ใช้ สำหรับซาลารัสจะตรวจสอบพื้นที่ได้ในรัศมีประมาน 30 เมตร แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“อืม… ดูเหมือนจะมีตัวอะไรกลม ๆ อยู่หลังพุ่มไม้ฝั่งโน้น ราว ๆ 5 ตัวนะ เฮ้ โลเฟ่น เห็นรึเปล่า พุ่มไม้พุ่มนั้นน่ะ จัดการเลย”
“โอเค จัดไป”
“ดะ… เดี๋ยวก่อนสิพวกนาย!”
ไม่ทันที่อลันจะห้ามไว้ บอลไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งจากปลายคทาของโลเฟ่นเข้าสู่พุ่มไม้นั้นและเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้มีมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายลูกบอลจำนวนสี่ตัวพุ่งสวนจากเปลวไฟและกลุ่มควันออกมาและมุ่งเข้าหาพวกเด็ก ๆ ซาลที่เห็นรูปลักษณ์ของมอนสเตอร์เหล่านั้นชัดเจนแล้วจึงพึมพำขึ้น
“คริตเตอร์งั้นเหรอ”
คริตเตอร์คือมอนสเตอร์ขนาดเล็ก มีรูปร่างคล้ายกับลูกบอลที่เต็มไปด้วยขนปุกปุย มีมือกับเท้าซึ่งมีเล็บอันคมกริบ ดวงตากลม ๆ สีดำแป๋วแหววนั้นอาจดูน่ารัก แต่เมื่อมันอ้าปากจนเผยให้เห็นแผงฟันอันคมกริบที่เรียงกันเป็นชั้น ๆ ราวกับฟันปลาฉลามเมื่อไหร่ ไม่ว่าใครก็ต้องขนลุกทุกรายไป
คริตเตอร์สองตัวพุ่งเข้าหาอลันซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด แต่อีกสองตัวฉีกวงออกไปด้านข้างเพื่ออ้อมเข้าหาซาลกับโลเฟ่นที่อยู่แนวหลัง
“บ้าจริง… ดันทำให้พวกมันแตกกลุ่มก่อนที่จะรวบเอาไว้ซะได้… อินทิมิเดท!”
‘อินทิมิเดท’ (Intimidate) คือท่าเฉพาะของสายนักรบ ใช้ในการดึงความสนใจจากเหล่ามอนสเตอร์โดยรอบ สำหรับอลันตอนนี้มันมีรัศมีแค่ราว ๆ สองเมตร จึงทำได้แค่ดึงความสนใจจากมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
แน่นอนว่าความจริงแล้วการใช้ทักษะหรือเวทต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องตะโกนออกเสียงเพื่อให้เกิดผล แต่การสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมนับเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมีการออกเสียงชื่อท่าในบางครั้งเพื่อให้คนอื่น ๆ ทราบว่ากำลังใช้ทักษะอะไรหรือกำลังจะทำอะไร เพื่อนร่วมทีมจะได้สอดประสานการโจมตีได้อย่างถูกต้อง
ทาลิสซึ่งยืนอยู่แถวสองก็ยิงเวทแสงศักดิ์สิทธิ์ ‘โฮลี่ไลท์’ สกัดคริตเตอร์ตัวหนึ่งที่กำลังอ้อมไปหาแนวหลัง ความจริงเธอแค่อยากจะทำให้มันช้าลง แต่เพราะพวกคริตเตอร์ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดอยู่แล้ว พอโดนยิงซ้ำก็เลยแน่นิ่งไปในทันที เมื่อเห็นแบบนั้นเธอจึงใช้ ‘ท้อน’ (Taunt) ท่าดึงความสนใจแบบเดี่ยวใส่คริตเตอร์อีกตัวให้เบนความสนใจมาหา ซึ่งก็ได้ผล ทำให้ตอนนี้ไม่มีคริตเตอร์ตัวไหนมุ่งไปทางโลเฟ่นกับซาลแล้ว
เพราะคริตเตอร์ทั้งกลุ่มได้รับบาดเจ็บพอสมควรอยู่ก่อนแล้วจากการโจมตีของโลเฟ่น ทำให้พวกมันถูกจัดการได้โดยง่าย แค่เพียงตวัดดาบไม่กี่ครั้ง คริตเตอร์ทั้งสามตัวก็ถูกจัดการจนหมด เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าพวกมันตายแล้ว อลันก็มุ่งเป้ามาหาซาลารัสกับโลเฟ่นด้วยท่าทีหงุดหงิด
“นี่พวกนาย… ฉันเคยบอกหลายครั้งแล้วใช่มั้ยว่าห้ามโจมตีก่อนแท๊งค์จะเข้าไปจับ ไม่งั้นมันจะแตกกลุ่มไปโจมตีคนอื่นแล้วทำให้เกิดอันตรายได้น่ะ!”
“ขอโทษทีนะ… ฉันคิดว่าถ้าให้โลเฟ่นชิงโจมตีก่อนก็จะจัดการกับพวกมันได้ในทีเดียวสบาย ๆ แท้ ๆ ไม่นึกว่าจะยิงไม่ตายซะนี่…”
“นั่นฉันออมแรงไว้เพราะกลัวจะทำให้ไฟไหม้ป่าต่างหากล่ะ ถ้าเอาจริงละก็พวกมันคงเป็นฝุ่นไปแล้ว แต่ไม่รับประกันเรื่องป่านะ”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น!”
ทั้งสองคนยังโดนอลันเทศน์อีกชุดใหญ่จนทาลิสต้องเข้ามาช่วยห้าม ในที่สุดทั้งคู่ก็ยอมขอโทษสำนึกผิด และสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจอีก อลันจึงเริ่มสงบลง แต่ก็ยังย้ำกับพวกเขาอีกครั้ง
“ฟังนะ คริตเตอร์น่ะไม่ใช่มอนสเตอร์ที่อันตรายอะไรนัก พวกมันมีดีแค่ความเร็วเท่านั้น เมื่อตะกี้เพราะบาดเจ็บอยู่เลยทำให้ความเร็วลดลงไปมากเราเลยจัดการได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ถ้าเจอพวกที่สมบูรณ์พร้อมในจำนวนเยอะ ๆ สัก 6-7 ตัวละก็ ต้องมีคนบาดเจ็บบ้างแน่ ๆ ”
“เห~ แล้วถ้าเจอสักสิบตัวล่ะ?”
โลเฟ่นย้อนถามอลันด้วยน้ำเสียงยียวนเหมือนเคย ทำให้อลันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็ยังตอบกลับไปโดยไม่ใส่อารมณ์นัก
“ถ้าเจอสิบตัวพร้อมกันก็งานเข้าของจริงเลยล่ะ”
“ถ้างั้นเราก็งานเข้าแล้วล่ะ”
สิ้นเสียงของโลเฟ่น อลันก็หันขวับกลับไปมองด้านหลัง ที่แนวต้นไม้นั้นมีฝูงคริตเตอร์จำนวนมากกว่าสิบตัวยืนเรียงกันหน้าสลอน พวกมันจ้องมองกลุ่มเด็ก ๆ ด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“บ้าน่า… ทำไมกัน…”
“เฮ้ ซาล ตอนแรกนายบอกว่ามีคริตเตอร์อยู่ห้าตัวสินะ สงสัยว่าเจ้าตัวนั้นจะยังไม่ตาย ก็เลยหนีไปเรียกพวกมาน่ะ”
“ออ สรุปว่านายยิงไม่ตายเลยสักตัวสินะ ยิงเบาแบบนี้ ฉันว่านายไปหาอาชีพอื่นทำเหอะ เช่นว่าปลูกผัก หรือเลี้ยงปลาเงี้ย อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องฆ่าฟันน่ะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าออมมือน่ะ”
“เลิกพูดเล่นกันซะทีได้ม้ายยย~”
ทาลิสที่เริ่มกังวลหนักกว่าใครเพื่อนตะโกนแทรกขึ้นมาเพื่อหยุดการรับส่งมุกของทั้งสองคน ในขณะที่ อลันยังคงนิ่งเงียบและพิจารณาสถานการณ์โดยรอบอย่างเยือกเย็น
“มีทั้งหมดกี่ตัว?”
“นับได้… 13 ตัวนะ เท่าที่เห็น”
ซาลใช้ ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ อีกครั้งเพื่อยืนยันจำนวนที่แน่นอนให้กับอลัน
“นายมีสมุนที่มีท่า ‘ท้อน’ รึเปล่า?”
“ดีกว่านั้นอีก มี ‘อินทิมิเดท’ เลยล่ะ และถ้าปัญหาคือความเร็วของพวกมันละก็ ฉันพอมีวิธีอยู่”
“งั้นขอดูหน่อยก็แล้วกันนะ”
ด้วยความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม อลันจึงให้ซาลเป็นคนเปิดการโจมตีในครั้งนี้
“จงออกมา! ทาร์ทารัส!”
สิ้นเสียงอัญเชิญ หมาป่าสีเทาตัวใหญ่ก็โผล่ออกมาจากวงเวทที่ปลายมือของเขา มันพุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มคริตเตอร์ในทันที ซึ่งพวกคริตเตอร์บางส่วนก็ตอบสนองด้วยการกระโจนเข้าหาทาร์ทารัสจากรอบทิศ
“จังหวะนี้แหละ! เพียชชิ่งโฮวล์!”
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ทาร์ทารัสก็ใช้ทักษะ ‘เพียชชิ่งโฮวล์’ (Piercing Howl) ท่าหอนซึ่งมีผลต่อจิตประสาททำให้ศัตรูโดยรอบเกิดความตื่นตระหนกจนกล้ามเนื้อทั่วร่างเกิดอาการเกร็ง ความเร็วของพวกมันจึงลดลงไปเกือบครึ่ง
ด้วยตำแหน่งของทาร์ทารัส ทำให้คริตเตอร์เกือบทั้งหมดถูกลดความเร็วในทันที แต่พวกมันก็ยังพยายามพุ่งเข้าหาเหยื่อตรงหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่อลันกระโจนตามเข้าไปติด ๆ
เมื่อเข้าไปถึง อลันก็ผนึกกำลังเข้ากับดาบที่ถืออยู่และฟาดมันลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง นี่คือท่า ‘กราวด์แสลม’ (Ground Slam) ซึ่งเป็นท่าโจมตีหมู่ของสายนักรบ ใช้การกระแทกพลังลงพื้นเพื่อให้เกิดแรงอัดเป็นวงกว้าง นอกจากจะสร้างความเสียหายแล้วยังทำให้เป้าหมายทั้งกลุ่มเสียหลักจนล้มลงกับพื้นด้วย คริตเตอร์หกตัวที่พยายามเข้าไปรุมทาร์ทารัสจึงถูกท่ากราวด์แสลมเล่นงานจนกลิ้งล้มระเนระนาดไปหมด
คริตเตอร์ส่วนที่เหลือแตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่มีสี่ตัวเริ่มกระโจนอ้อมไปทางซ้าย ส่วนอีกกลุ่มที่มีสามตัวก็วิ่งอ้อมไปทางขวา ซาลจึงหันไปทางกลุ่มสี่ตัวและเริ่มอัญเชิญสมุนตัวที่สอง
“จงออกมา! เซอร์บีรัส!”
หมาป่าสีเทาอีกตัวพุ่งออกมาจากวงเวทที่ปลายมือของเขา มันกระโจนเข้าหากลุ่มคริตเตอร์อย่างรวดเร็วและใช้ท่า ‘อินทิมิเดท’ ดึงความสนใจคริตเตอร์ทั้งกลุ่มมาในทันที ก่อนที่จะวิ่งฉีกตัวไปหาคริตเตอร์กลุ่มทางขวา
“คราวนี้ยิงให้ตายนะ”
“โอเค~”
โลเฟ่นยิงไฟร์บอลใส่กลุ่มคริตเตอร์ที่กำลังวิ่งไล่หลังเซอร์บีรัสมา ถ้าเป็นปกติเซอร์บีรัสอาจโดนลูกหลงไปด้วย แต่เพราะพวกคริตเตอร์ยังมีอาการเกร็งทำให้วิ่งช้าอยู่ พวกมันจึงโดนเซอร์บีรัสทิ้งระยะห่างออกมาจนอยู่ในระยะปลอดภัยได้
สิ้นเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คริตเตอร์ทั้งสี่ตัวก็ถูกย่างสดในทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ผลจากท่าหอนของทาร์ทารัสเริ่มคลายลง คริตเตอร์ตัวที่เหลือจึงมีความเร็วกลับเป็นปกติ
ทางด้านขวานั้นทาลิสพยายามใช้โฮลี่ไลท์ยิงสกัดเหล่าคริตเตอร์อยู่ ซึ่งแม้จะยิงโดนไปตัวละนัดสองนัดแล้วพวกมันก็ยังไม่ช้าลงเท่าไหร่ เพราะความเสียหายเดี่ยว ๆ ของท่าโฮลี่ไลท์นั้นค่อนข้างต่ำ แถมเมื่อท่าลดความเร็วหมดผลลงพวกคริตเตอร์ก็วิ่งเร็วขึ้นจนเธอยิงไม่โดนแล้ว
พวกมันพยายามวิ่งอ้อมทาลิสไปในระยะค่อนข้างห่าง เธอจึงทำได้แค่ดึงพวกมันมาหนึ่งตัวด้วยท่า ‘ท้อน’ เท่านั้น ส่วนอีกสองตัวยังมุ่งตรงไปหาซาลกับโลเฟ่น แต่ด้วยการตีวงอ้อมที่ค่อนข้างไกลนี้เองจึงทำให้ซาลมีเวลาเตรียมตัวรับมือได้
“ตานายแล้ว อีเรบัส!”
หมาป่าตัวที่สามพุ่งออกมาจากวงเวทของเขา ทันทีที่ออกมามันก็ใช้ทักษะ ‘ฟีรัล’ (Feral) ซึ่งเป็นท่าเสริมความเร็วในการเคลื่อนที่และโจมตีให้กับตัวเอง อีเรบัสจึงสามารถพุ่งเข้าถึงคริตเตอร์ตัวหน้าในพริบตาและขย้ำมันจนตายในทีเดียว
คริตเตอร์อีกตัวดูจะตกใจกับสถานการณ์นั้นและพยายามถอยหนี แต่ก็ยังแพ้ความเร็วของอีเรบัสที่มีท่าเสริมความเร็วอยู่ มันจึงกลายเป็นเหยื่อรายที่สอง ระหว่างนั้นเซอร์บีรัสก็วิ่งมาถึงทาลิสพอดีและเข้าช่วยจัดการกับคริตเตอร์ตัวที่เหลือ
เมื่อภัยคุกคามต่อแนวหลังถูกกำจัดหมดแล้วทุกคนก็มุ่งเป้าไปที่แนวหน้าซึ่งตอนนี้อลันกับทาร์ทารัสกำลังต่อกรกับคริตเตอร์ที่เหลืออีกเพียงสี่ตัวเท่านั้น เมื่อทาลิส เซอร์บีรัส และอีเรบัส วิ่งเข้าไปช่วยเสริมจึงจัดการกับเหล่าคริตเตอร์ทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่นาน
การต่อสู้ทั้งหมดสิ้นสุดลงภายในเวลาไม่ถึงสองนาที ทำให้หมาป่าของซาลยังอยู่กันครบทุกตัว
“สมุนของนายนี่ไม่เลวเลยนี่นา ใช้ท่าได้ถึงสามอย่างเลยเหรอ?”
อลันเอ่ยถามในระหว่างกำลังใช้เวททำความสะอาดคราบเลือดที่เปรอะคมดาบและเสื้อผ้าอยู่ ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก
“ไม่หรอก ติดให้แค่ตัวละหนึ่งท่าน่ะ เพราะยิ่งมีสกิลเยอะก็จะใช้ค่าร่ายมากตามไปด้วย เลยให้มีแค่คนละหนึ่งท่าแล้วค่อยประสานงานกันเอา”
“ยอดไปเลยน้า~ ยังกับมีคนเพิ่มมาอีกสามคนแน่ะ ซัมมอนเนอร์เป็นคลาสที่เก่งอย่างที่ซาลบอกจริง ๆ ด้วย”
“ฮ่ะ ๆ ก็แค่ตอนนี้น่ะนะ…”
ทั้งอลันและทาลิสกล่าวชมเชยการใช้งานสมุนของซาลารัสซึ่งทำผลงานออกมาดีเกินคาด แต่นั่นก็เป็นเพราะทุกคนยังเป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์เท่านั้น
หากมีระดับสูงขึ้น เพื่อนร่วมทีมอย่างอลันหรือทาลิสจะมีท่าซึ่งมีประสิทธิภาพกว่าในตอนนี้มาก เช่น ‘อินทิมิเดท’ ของนักรบจะมีรัศมีเพิ่มขึ้นนับสิบเมตร ทำให้ดึงความสนใจจากมอนสเตอร์ทั้งกลุ่มได้สบาย ๆ หรือ ‘โฮลี่ไลท์’ ของทาลิสก็จะมีผลกับศัตรูเป็นกลุ่มและทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดอาการตาพร่ามัวจนหยุดชะงักได้
ถึงตรงนั้นการช่วยเสริมจากเหล่าสมุนจะไม่จำเป็นเลย เป็นสาเหตุให้คลาสซัมมอนเนอร์ด้อยความนิยมลงในระดับสูง ๆ
พวกเด็ก ๆ หยุดพักเอาแรงกันครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินทางต่อ พวกเขาเคลียร์พื้นที่วนตามเข็มนาฬิกาตามแผนที่อลันวางเอาไว้ ซึ่งก็ได้พบกับคริตเตอร์กลุ่มเล็ก ๆ อีกสามสี่กลุ่ม และทำการกำจัดพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็น ในที่สุดทุกคนก็มาถึงใจกลางของพื้นที่ แต่แผนที่กลับยังเป็นสีเหลืองอยู่ ทำให้อลันเกิดความสงสัย
“แปลกแฮะ เราก็เคลียร์พื้นที่หมดแล้วนี่นา มีตัวไหนหลุดรอดไปรึไงนะ?”
“ฉันจะปรับสกิลของพวกหมาป่าให้เป็น ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ แล้วส่งให้พวกมันแยกย้ายกันไปหาดูรอบ ๆ ละกันนะ อาจมีตัวที่หลงฝูงแอบอยู่แถวไหนก็ได้”
“เดี๋ยวก่อนทุกคน ดูตรงนั้นสิ”
ทาลิสชี้ไปยังโพรงไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการที่ต้นไม้หลายต้นขดตัวซ้อนกัน ตรงนั้นมีห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวคล้ายกับประตูมิติปรากฏอยู่ ทำให้อลันรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ดันเจียนงั้นเหรอ? การทดสอบครั้งนี้น่าจะเป็นการเคลียร์พื้นที่เฉย ๆ นี่นา”
“คำสั่งที่ว่าให้เคลียร์พื้นที่ก็อาจหมายรวมถึงดันเจียนในพื้นที่ด้วยก็ได้มั้ง?”
โลเฟ่นพูดข้อสันนิษฐานของตนเองออกมา แต่อลันก็ยังรู้สึกไม่เห็นด้วย
“ถึงงั้นก็เถอะ ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีการเคลียร์ดันเจียนรวมอยู่ในการทดสอบนักผจญภัยรุ่นเยาว์มาก่อนเลย…”
ระหว่างที่กำลังปรึกษากันอยู่ ซาลก็ส่งหมาป่าทั้งสามตัวที่ปรับสกิลเป็น ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ ออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบรวมถึงพื้นทีที่เคยผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่เจอมอนสเตอร์เหลืออยู่ในพื้นที่เลย จึงกลับมาที่ข้อสรุปว่าต้องเข้าไปเคลียร์ดันเจียนด้วย
“นี่ก็ยังไม่เที่ยงเลยนะ รีบ ๆ ทำให้เสร็จ ๆ ไปเถอะ จะได้พักกินข้าวกันได้อย่างสบายใจไงล่ะ”
พูดจบ โลเฟ่นก็เดินไปยังทางเข้าดันเจียน และหายวับเข้าประตูไป
“เฮ้ เดี่ยวก่อน! ปัดโถ่เอ๊ย!”
อลันที่ห้ามอีกฝ่ายไม่ทันก็ได้แต่วิ่งตามเข้าไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดเท่านั้น โดยมีซาลและทาลิสตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
———————————————————————————————————-
Part 4
ที่ด้านในของดันเจียนมีสภาพเป็นเหมือนอุโมงค์ธรรมชาติที่ถักทอขึ้นจากแมกไม้
ผนังของมันเป็นต้นไม้ที่เขียวชอุ่มไปด้วยมอสซึ่งเกาะอยู่บนพื้นผิว แนวไม้สองข้างทางเรียงตัวเบียดกันจนกลายเป็นแค่ทางเดินแคบ ๆ แต่พุ่มไม้ด้านบนกลับซ้อนกันแบบเบาบางทำให้แสงอาทิตย์ยังส่องลงมาถึงด้านล่างได้ มันเป็นเขาวงกตธรรมชาติที่ดูงดงามมากกว่าจะน่ากลัว
สิ่งแรกที่อลันทำเมื่อเข้ามาถึงก็คือเขกหัวโลเฟ่นด้วยด้ามจับของดาบในมือจนอีกฝ่ายต้องร้องโอ๊ย
“เข้ามาก่อนแท๊งค์แบบนี้ ไม่กลัวตายรึไงหา!? เกิดมีมอนสเตอร์ดักอยู่ตรงทางเข้าจะทำไงเล่า!”
โลเฟ่นกล่าวขอโทษขอโพยพลางทำหน้าเป็นเหมือนอย่างเคย ทำเอาอลันไม่รู้จะโกรธหรือจะให้อภัยดี แต่ในที่สุดเขาก็สงบสติได้และกลับเข้าประเด็นการสำรวจดันเจียนอีกครั้ง
“ดูจากสภาพแล้ว ดันเจียนนี้น่าจะเป็นดันเจียนมิติซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน คงเพราะมีหินเวทมนตร์อยู่แถวนี้ ถ้าปลดหินเวทมนตร์นั่นออกได้ดันเจียนก็จะปิดตัวลง และเราก็น่าจะผ่านภารกิจ”
ดันเจียนบนโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน ประเภทแรกคือดันเจียนตามธรรมชาติเช่นถ้ำหรือสิ่งก่อสร้างรกร้างที่กลายเป็นดันเจียนเพราะมีมอนสเตอร์เข้ามาอยู่อาศัย อีกประเภทคือดันเจียนมิติซึ่งเกิดจากมิติบิดผันและขยายตัวจนกลายเป็นดันเจียน
ความพิเศษของดันเจียนมิติคือมันเกิดขึ้นเพราะมีหินเวทมนตร์เป็นจุดศูนย์กลาง หินเวทมนตร์ที่เกิดตามธรรมชาติจะมีการแผ่ละอองเวทมนตร์ออกมา ละอองเวทมนตร์นี้จะดึงดูดมอนสเตอร์ให้เข้ามาหาและยังทำให้เกิดมิติบิดผันจนกลายเป็นดันเจียนได้ ซึ่งดันเจียนนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนสถานที่จริง แต่เป็นห้องมิติที่มีประตูเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเท่านั้น หากปลดหินเวทมนตร์ออกจากการเป็นแกนของดันเจียนได้ มิติก็จะปิดตัวลงและทุกคนข้างในก็จะถูกส่งออกไปยังทางเข้าโดยอัตโนมัติ นักผจญภัยส่วนใหญ่จึงชอบดันเจียนแบบนี้มากกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางกลับออกมาจากดันเจียนเอง ทั้งยังได้หินเวทมนตร์ซึ่งเป็นของมีราคาติดมือกลับไปด้วย
พวกเด็ก ๆ เดินสำรวจดันเจียนอย่างระมัดระวัง มันเป็นดันเจียนขนาดไม่ใหญ่นัก แต่พวกเขาเดินจนทั่วแล้วก็ยังไม่เจอหินเวทมนตร์ แม้แต่มอนสเตอร์สักตัวก็ยังไม่มีเลย
“แปลกจริง ๆ แฮะ ไม่มีมอนสเตอร์เลยสักตัวเนี่ย”
“คงเป็นโจทย์ที่อาจารย์ตั้งใจไว้ล่ะมั้ง ทดสอบการต่อสู้ที่ด้านนอก และทดสอบการหาแกนของดันเจียนทีด้านในนี้ จะให้เคลียร์มอนสเตอร์ในดันเจียนด้วยก็คงโหดไปหน่อยแหละ”
คำพูดของโลเฟ่นฟังดูมีเหตุผล แต่อลันก็ยังรู้สึกว่ามันแปลก ๆ อยู่ดี อย่างไรก็ตามตอนนี้การเคลียร์ภารกิจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ในเมื่อมันเป็นดันเจียนเปล่า ๆ พวกเราก็แยกย้ายกันหาแกนของดันเจียนเถอะ”
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไรในนี้ อลันเลยให้ทุกคนแยกย้ายกันค้นหาเพื่อประหยัดเวลาลง ทุกคนจึงเริ่มค้นหาใหม่อีกครั้งโดยพิจารณาสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด
ซาลสำรวจมาจนถึงห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง เขาสังเกตเห็นอักขระเรืองแสงเล็ก ๆ ในซอกไม้ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
“นี่มัน…”
ทันทีที่สัมผัสกับอักขระ ซาลก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังห้องอีกห้องหนึ่ง
มันเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างและมีแอ่งน้ำอยู่ตรงกลาง กิ่งไม้จำนวนหนึ่งถักทอกันขึ้นมาเป็นเสมือนแท่นวางกลางแอ่งน้ำซึ่งมีหินเวทมนตร์สีแดงเม็ดเล็ก ๆ ประดับอยู่บนยอด เหนือเพดานก็มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาตรง ๆ ทำให้เป็นภาพที่งดงามมาก
“อยู่นี่เอง!”
ซาลออกอาการดีใจและรีบเดินเข้าไปยังหินเวทมนตร์ แต่ยังไม่ทันจะไปถึงเขาก็ต้องหยุดชะงักเพราะบรรยากาศในห้องที่เปลี่ยนไปซะก่อน
จู่ ๆ ก็เกิดหมอกเย็นเยียบปกคลุมไปทั่วห้อง แม้แต่ช่องเพดานก็ถูกเมฆสีดำบดบังจนแสงส่องลงมาไม่ถึง จากห้องที่ดูสว่างไสวอบอุ่นเมื่อสักครู่นี้จึงกลายมาเป็นห้องมืดทึบอันน่าขนลุกไปโดยพลัน
“…ในที่สุด …ก็ได้เจอกันซะที…”
เสียงอันแหบแห้งและเย็นเยียบซึ่งดังแว่วมาจากด้านหลังทำให้ซาลที่ตื่นตระหนกอยู่แล้วเกิดอาการสะดุ้งและขนลุกไปทั้งตัว พอหันไปมองยังต้นทางของเสียง เขาก็เห็นเงาคนอยู่ในม่านหมอกอันหนาทึบ
เมื่อคนผู้นั้นเดินผ่านม่านหมอกออกมาซาลจึงค่อยเห็นลักษณะของอีกฝ่ายอย่างชัดตา
คนผู้นั้นมีลักษณะคล้ายนักเวท เขาสวมผ้าคลุมสีเขียวแก่ปิดคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใต้ผ้าคลุมนั้นมืดทึบจนมองไม่เห็นใบหน้าของผู้สวมใส่ แต่กลับมีแสงไฟสีเขียวคู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงจุดที่น่าจะเป็นดวงตา
“…ฉัน …มาเพื่อรับตัวเธอ…”
เมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้อีกนิด แสงสลัว ๆ จากเพดานก็เริ่มส่องให้เห็นใบหน้าของเขา ทว่าสิ่งที่ปรากฏกลับไม่ใช่ใบหน้าของมนุษย์ แต่เป็นหัวกะโหลกสีขาวโพลนซึ่งมีเปลวไฟสีเขียวสองดวงอยู่ภายในเบ้าตาอันดำมืด และมันกำลังจับจ้องมายังเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า
“ยมทูตเหรอ!? นี่ผมตายแล้วงั้นเหรอ!?”
ซาลผู้ตื่นตระหนกเกิดอาการลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ในสถานการณ์แบบนี้ ใคร ๆ ก็ต้องคิดว่าตัวเองกำลังเจอกับยมทูตด้วยกันแทบทั้งนั้น
“…หืม? …รู้สึกจะเข้าใจผิดอยู่นะ …โลกนี้มียมทูตซะที่ไหน…”
“ก็คุณจะมารับวิญญาณผมไม่ใช่เหรอ!?”
“…บอกว่ามารับตัว …ไม่ได้มารับวิญญาณ…”
ยิ่งคุยกันซาลก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นเขารวบรวมสติกลับมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว ทางฝั่งหัวกะโหลกในผ้าคลุมจึงเริ่มแนะนำตัว
“…ฉันชื่อแซนโดร …แซนโดร เอลราธ …เป็นคนรู้จักของพ่อเธอ…”
“พ่อ… งั้นเหรอ?”
“…ใช่ …ฉันจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังทีหลัง …แต่เธอต้องรีบไปจากที่นี่ …ฉันจะพาเธอหนีไปเอง…”
“ทำไมผมต้องไปกับคนที่ไม่รู้จักด้วยล่ะ! แถมยังเป็นหัวกะโหลกอีกต่างหาก! น่าสงสัยสุด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ! นี่มันเกินระดับของการตามคนแปลกหน้าไปแล้ว! คุณน่ะไม่ใช่คนเลยด้วยซ้ำ!”
“…อืม …รวบรัดไปหน่อยรึ …จะว่ายังไงดี …ที่นั่น …โรงเรียนนั่นน่ะ …ไม่ใช่สถานที่อย่างที่เธอคิดหรอกนะ…”
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย! ถอยไปนะ! ไม่งั้นละก็!”
ซาลชักดาบออกมาและตั้งท่าเตรียมพร้อม แม้มือของเขาจะกุมดาบอย่างสั่นเทา แต่สายตาของเขาก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมตามคนผู้นี้ไปง่าย ๆ
“…อืม …ไม่มีทางเลือกจริง ๆ รึ …ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากทำแบบนี้เลย…”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ซาลตัดสินใจลงมือก่อน เขาอัญเชิญหมาป่าทั้งสามตัวออกมาพร้อมกันและให้พวกมันพุ่งเข้าจู่โจมแซนโดรในทันที
แม้แซนโดรจะยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ก็เกิดวงเวทสองวงขึ้นที่พื้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีอัศวินชุดเกราะสองคนโผล่ขึ้นมาจากวงเวท พวกมันแต่ละคนจัดการกับทาร์ทารัสและเซอร์บีรัสจนสลายร่างไปด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
อีเรบัสซึ่งมีท่าเสริมความเร็วอาศัยช่องโหว่นั้นฝ่าเข้าไปหาแซนโดรได้ แต่ยังไม่ทันจะเข้าถึงตัว แซนโดรก็ยกมือขึ้นและใช้นิ้วที่เป็นโครงกระดูกดีดใส่ปลายจมูกของอีเรบัสที่กำลังพุ่งเข้าหาด้วยจังหวะที่แม่นยำ ทำให้มันสลายร่างไป
ซาลไม่ได้สนใจผลของการต่อสู้ เขารู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนที่อยู่ตรงหน้า จึงอาศัยการดึงดูดความสนใจของสมุนทั้งสามในการพุ่งเข้าไปหาแกนของดันเจียน
ทันทีที่เข้าไปถึง เขาก็ฟาดดาบลงไปยังกิ่งไม้ที่รองรับหินเวทมนตร์อยู่อย่างเต็มแรงและคว้าหินเวทมนตร์ออกมาได้ ทันใดนั้นทั้งดันเจียนก็เริ่มสั่น เป็นสัญญาณว่ามิติกำลังจะปิดตัวลง
“…โฮ่…”
แซนโดรอุทานด้วยความแปลกใจกับการกระทำที่เหนือคาดของซาล ในเสียงนั้นดูจะปนความรู้สึกพึงพอใจอยู่เล็กน้อยด้วย
ในชั่วพริบตานั้น ดันเจียนก็ปิดตัวลง ทำให้ทุกอย่างภายในห้วงมิติกลับสู่ความว่างเปล่า
เมื่อลืมตาขึ้น ซาลก็พบว่าตัวเองถูกเคลื่อนย้ายออกมาที่หน้าทางเข้าของดันเจียนแล้ว
“โอ้ ซาล นายหาเจอแล้วงั้นเหรอ? ดีจัง พวกเราน่ะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”
เสียงของโลเฟ่นทักทายมาจากด้านหลัง เมื่อซาลหันไปดูก็พบว่าทุกคนถูกเทเลพอร์ทออกมาจากดันเจียนกันอย่างปลอดภัย
เขารีบกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพราะคิดว่าแซนโดรอาจถูกส่งออกมาจากดันเจียนพร้อมกันด้วย แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แวว กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี
“แผนที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วล่ะ น่าจะเสร็จภารกิจแล้วนะ รีบกลับไปที่รถม้ากันเถอะ”
“อะ.. อื้ม…”
อลันตรวจสอบแผนที่และพบว่าแผนที่ภารกิจเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว จึงชวนทุกคนเดินทางกลับ
พวกเด็ก ๆ เดินทางออกจากป่ากลับมาที่รถม้า ซึ่งคนรถก็ต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอันเป็นมิตรเช่นเคย
ในตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาเที่ยงดี ทุกคนเลยตัดสินใจว่าจะกลับไปกินข้าวกลางวันกันที่โรงเรียน เพราะถ้ากินกันก่อนเดินทาง อลันอาจคายของเก่าระหว่างนั่งรถก็ได้
เด็ก ๆ กลับมาถึงโรงเรียนและรายงานผลของภารกิจให้กับอาจารย์แกริสฟัง นี่เท่ากับว่าทุกคนผ่านการทดสอบภาคสนามและได้เป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์อย่างเป็นทางการแล้ว ภายในอาทิตย์นี้พวกเขาก็จะได้เลือกคลาสที่ตัวเองอยากเป็นซะที
ซาลไม่ได้บอกเรื่องของแซนโดรกับใครเลย เพราะแซนโดรเอ่ยถึงพ่อของเขาด้วย ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ว่าหากพูดไปแล้วพ่อของเขาและชื่อเสียงของครอบครัวจะยิ่งถูกคนครหาไปอีก
ดูยังไงแซนโดรก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับพวกปิศาจแน่ ๆ อาจเป็นอดีตสมุนของพ่อ? หรือแค่อ้างถึง? เจตนาที่จะพาตัวเขาไปนั้นก็เป็นสิ่งที่คาดเดาเป้าหมายไม่ได้เลย ซาลจึงได้แต่เก็บความกังวลนี้เอาไว้เงียบ ๆ โดยปล่อยทุกอย่างให้เป็นเรื่องของอนาคต