Doombringer the 5th - ตอนที่ 20
Ch.20 – คดีฆาตกรรมในห้อง(ไม่)ปิดตาย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 20
คดีฆาตกรรมในห้อง(ไม่)ปิดตาย
Part 1
ซาลผงะกับภาพที่ได้เห็นจนเดินถอยออกมาจนชนกับนิโคลซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
ทันทีที่สัมผัสตัวเขา นิโคลก็รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่รุนแรงจนทะเทือนมาจนถึงแผ่นหลังน้อย ๆ นั้น เธอจึงเอามือโอบกอดเขาเอาไว้และเบี่ยงตัวเขาให้หันหน้าไปทางอื่นเพื่อให้เขาสงบลง ก่อนเธอจะหันไปถามแซนโดรที่กำลังเข้าไปดูศพ
“เป็นศพของใครคะ?”
“…ดูจากชุดแล้วน่าจะเป็นท่านหญิงลานาเทลนะ …แต่ว่า…”
แซนโดรกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง เธอสังเกตบริเวณนั้นอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ เลย แม้หน้าต่างที่อยู่ด้านหลังของโต๊ะทำงานจะไม่ได้ล็อก แต่มันก็ยังปิดอยู่ และไม่มีร่องรอยการบุกรุกเข้ามาทางนี้ด้วย
“…ไม่ได้การ …พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด…”
แซนโดรเดินห่างออกจากศพและเตรียมพาทุกคนออกไปนอกห้อง แต่ประตูบานใหญ่นั้นก็เปิดออกอย่างกะทันหันซะก่อน ทันใดนั้นมีกลุ่มคนนับสิบกรูกันเข้ามาในห้องและขวางประตูเอาไว้ แม้แต่ด้านนอกห้องก็มีคนอีกเป็นจำนวนมากยืนคุมเชิงอยู่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่สวมชุดลำลองไสตล์ยุโรปเหมือนกับชาววาลาเชียทั่วไป และบางคนก็สวมชุดเครื่องแบบชนิดเดียวกับคนเฝ้าประตูของคฤหาสน์ด้วย
ทุกคนถือดาบ ‘เขี้ยวแวมไพร์’ เป็นอาวุธ บ่งบอกว่าเป็นแวมไพร์กันทั้งหมด และหนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมาตะคอกใส่พวกแซนโดรอย่างเกรี้ยวกราด
“พวกแกคือนักฆ่าที่ตระกูลอื่นส่งมาลอบสังหารท่านหญิงสินะ!”
“…หึหึหึหึ…”
แทนที่จะตอบคำถามของชายคนนั้น แซนโดรกลับเริ่มหัวเราะออกมา
“เอ๋?”
“คุณแซนโดร?”
“…พรืด ฮะฮะฮะฮะฮะฮะ~”
ทั้งซาลและนิโคลต่างก็งุนงงกับท่าทางของแซนโดรที่หัวเราะลั่น เป็นอาการที่แม้แต่ซาลก็ไม่เคยพบมาก่อน ส่วนพวกแวมไพร์ที่ล้อมอยู่ก็รู้สึกสับสนไม่แพ้กัน
“เป็นอะไรไปคะคุณแซนโดร!?”
“นี่! จะหัวเราะทำไมอะ!”
แซนโดรยังคงหัวเราะต่อไปอีกเล็กน้อยจึงค่อยสงบลง จากนั้นเธอก็ใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาที่เล็ดออกมาจากการหัวเราะ ก่อนจะพูดอธิบาย
“…อา …เปล่าหรอก …ก็แบบว่า …ตอนที่นั่งรถม้ามาที่นี่น่ะ ฉันยังคิดในใจอยู่เลยว่า การเดินทางรอบนี้มันราบรื่นดีจริง ๆ เลยนะ …ไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายอะไรมากอย่างที่คิด …แต่แค่แป๊บเดียวมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว …เธอนี่ฝีมือไม่ตกเลยนะซาลารัส …ฮุฮุฮุฮุ…”
พอพูดจบ แซนโดรต้องพยายามกลั้นหัวเราะอีกครั้ง ทำให้ซาลขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ
“มันเป็นความผิดของผมตรงไหนกันเนี่ย!? ผมยังไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย!”
“…ก็เธอเป็นว่าที่ผู้สร้างหายนะไม่ใช่เหรอ …ไปที่ไหนก็ต้องเกิดหายนะขึ้นที่นั่นแหละ ฮะฮะฮะฮะ~”
แซนโดรกลั้นขำได้แป๊บเดียวก็หลุดหัวเราะออกมาอีก ทำให้ฝั่งแวมไพร์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความหงุดหงิดอยู่แล้วยิ่งแสดงอาการไม่พอใจเข้าไปใหญ่ นิโคลที่รู้สึกร้อนใจกับสถานการณ์ที่ดูแย่ลงจึงพูดปรามขึ้นมา
“ทำแบบนี้เขาก็ยิ่งเข้าใจผิดกันน่ะสิคะคุณแซนโดร!”
ในที่สุดแวมไพร์หนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็หมดความอดทน
“หนอย… พวกแก… ทำเรื่องแบบนี้แล้วยังกล้าหัวเราะอีกนะ! จัดการพวกมัน!”
เมื่อสิ้นคำสั่ง กลุ่มแวมไพร์ก็เริ่มขยับเข้ามาพร้อมกับอาวุธในมือ บางคนก็เริ่มรวบรวมพลังเวทจนดาบที่ถืออยู่เปล่งแสงเรืองรองออกมาด้วย แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังสวนขึ้นมา
“หยุดก่อน!”
เหล่าแวมไพร์ชะงักอยู่กับที่เพราะคำพูดที่แทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาสอดส่ายสายตาหาต้นเสียงแล้วก็พบมันอย่างง่ายดาย เพราะเจ้าของเสียงก็คือเด็กน้อยในกลุ่มคนร้ายที่ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับยกมือห้ามพวกเขาเอาไว้ ทำให้เหล่าแวมไพร์ต้องประหลาดใจ แม้แต่แซนโดรกับนิโคลก็รู้สึกแปลกใจกับการกระทำนี้เช่นกัน
ซาลอาศัยจังหวะที่ทุกคนยังตกตะลึงอยู่เอ่ยคำพูดออกมา
“พวกคุณไม่เข้าใจเหรอ? ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
แวมไพร์หนุ่มที่เป็นผู้นำกลุ่มขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ซาลพูด เขาตวาดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว
“เข้าใจอะไรกัน? พูดอะไรของแกน่ะเจ้าหนู!”
ซาลก้าวออกไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งอย่างเยือกเย็นก่อนจะพูดต่อด้วยคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำและก้องกังวานจนกระทบโสตประสาทของผู้ฟังที่อยู่รอบบริเวณ
“นี่น่ะ… เป็นคดีฆาตกรรมในห้องปิดตาย!”
คำพูดนั้นทำให้เกิดความเงียบงันไปทั้งห้อง เหล่าแวมไพร์เองก็เริ่มซุบซิบกันเหมือนจะยังตามสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ทัน
แม้แต่แซนโดรเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ จึงชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบถาม
“…นี่ …จะทำอะไรของเธอน่ะ?…”
“ไม่ต้องห่วงหรอกแซนโดร ผมเคยศึกษาเรื่องนี้จากบันทึกของโลกเก่ามาแล้ว”
“…บันทึกของโลกเก่าเหรอ?…”
“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งซึ่งเหมือนจะเป็นผู้สร้างหายนะของโลกเก่า เด็กคนนี้น่ะไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็จะมีคนตายที่นั่น และสาเหตุการตายเกือบทั้งหมดก็จะมาจากการฆาตกรรมแทบทั้งสิ้น บางคดีก็มีรูปแบบเหมือนที่เกิดขึ้นตอนนี้เป๊ะเลย! ดังนั้นที่เราต้องทำก็แค่คลี่คลายคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายนี่ และหาตัวคนร้ายให้ได้ไงล่ะ!”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งแซนโดรและนิโคลต่างก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวโต้แย้งกลับไปด้วยการกระซิบ
“…แต่ห้องนี้มันไม่ได้ล็อคซะหน่อย …จะเป็นห้องปิดตายได้ยังไงกันล่ะ?…”
“หน้าต่างก็ไม่ได้ล็อคนะคะ”
“เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยน่ะช่างมันเถอะน่า! ห้องมันปิดอยู่ แล้วก็มีคนตาย แค่นี้ก็เป็นห้องปิดตายแล้วล่ะ!”
“…นี่เธอเข้าใจคำว่าห้องปิดตายจริง ๆ รึเปล่าเนี่ย?…”
พอเห็นกลุ่มคนตรงหน้าซุบซิบคุยกัน ทางฝั่งแวมไพร์ที่เริ่มจะหายสับสนแล้วก็แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอีกครั้ง โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เป็นผู้นำกลุ่มซึ่งดูจะยิ่งโกรธขึ้นไปอีก
“เฮ้ย! พวกแกน่ะ! อย่ามาเล่นลิ้นนะ! ยอมให้จับซะดี ๆ !”
ซาลปรายตาอันคมกริบพาดไปยังชายหนุ่มเผ่าแวมไพร์ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา ทำให้ทุกคนโดยรอบต่างก็ต้องรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง
“ท่าทีร้อนรนอยากจะเร่งให้เรื่องจบเร็ว ๆ แบบนั้น ไม่ผิดแน่… คนที่ฆ่าท่านหญิงลานาเทลก็คือ… คุณสินะ!!”
เขาชี้ไปยังชายหนุ่มพร้อมกับประกาศกร้าวด้วยสีหน้าท่าทางอันมั่นใจ ทำให้ชายหนุ่มอยู่ในอาการตกตะลึง ส่วนแวมไพร์ที่อยู่โดยรอบก็ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาในทันที
แวมไพร์หนุ่มที่ถูกกล่าวหายังรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน และยิ่งรู้สึกไม่พอใจกับกลุ่มแวมไพร์ทางด้านหลังที่พากันส่งเสียงซุบซิบราวกับจะคล้อยตามการกล่าวหานั้นไปด้วย จึงหันไปตวาดทุกคน
“ฮะ.. เฮ้ย! พวกแก! จะซุบซิบอะไรกันเล่า!? ฉันมีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่าท่านลานาเทลด้วย!?”
เสียงอื้ออึงจากกลุ่มแวมไพร์เริ่มเบาลงตามลำดับ แต่ในระหว่างนั้นก็เริ่มมีคนในกลุ่มพูดแทรกขึ้นมา
“แต่วันก่อนก็เห็นว่าโดนท่านลานาเทลเรียกมาตักเตือนเรื่องที่ไปโลมเลียคุณเคเลเซ็ท (สาวใช้ผมดำ) ไม่ใช่เหรอ?”
“จริงสิ ก่อนนั้นก็เคยโดนเรียกเตือนในกรณีเดียวกันที่ไปทำกับคุณวาลานาร์ (สาวใช้ผมทอง) ด้วยนะ”
“ใช่ๆ ตอนเมาก็เคยพูดออกมาว่า ‘ถ้าไม่มีท่านลานาเทลสักคนละก็ ความรักของฉันคงไม่มีอุปสรรคอะไรอีกแล้ว’ ด้วยล่ะ”
พวกแวมไพร์หลายคนเริ่มหยิบยกเรื่องต่าง ๆ ที่อาจเป็นแรงจูงใจของการฆาตกรรมออกมาทีละเรื่องสองเรื่อง ทำให้แวมไพร์หนุ่มยิ่งลนลานจนเหงื่อแตก
“มะ.. ไม่ใช่นะ! นั่นก็แค่เมาแล้วพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง! แล้วฉันก็มาที่นี่พร้อมกับพวกแกไม่ใช่เรอะ!? จะเป็นคนฆ่าท่านลานาเทลได้ยังไงเล่า!?”
แม้จะยังมีเสียงซุบซิบอยู่บ้าง แต่คำอ้างของแวมไพร์หนุ่มก็มีเหตุผล เหล่าแวมไพร์โดยรอบจึงเริ่มสงบลง
เมื่อสงบความข้องใจของพรรคพวกได้แล้ว แวมไพร์หนุ่มที่โกรธจัดจนมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนขมับก็หันมาทางพวกซาลอีกครั้ง
“หนอย.. พวกแก กล้ามายุแยงใส่ความกันได้นะ นอกจากพวกแกแล้ว ใครจะเป็นคนร้ายไปได้อีกล่ะ!?”
“จุ๊ ๆ ๆ พี่ชาย.. ไม่เข้าใจอะไรเอาซะเลยนะ… นี่น่ะเป็นคดีฆาตกรรมในห้องปิดตาย เพราะงั้นทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างก็มีสิทธิ์เป็นคนร้ายด้วยกันทั้งนั้น! พูดง่าย ๆ ว่ามีคนร้ายอยู่ในหมู่พวกเรานี่แหละ!”
คำประกาศของซาลทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันไปอีกครั้ง
ดูเหมือนฝั่งแวมไพร์จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยพูดอะไรไม่ออก
มีเพียงแซนโดรที่ชะโงกหน้าเข้ามากระซิบกับเขา
“…คนที่อยู่ในห้องนี้ตอนแรกก็มีแค่พวกเราไม่ใช่เหรอ?…”
“อ๊ะ เออ.. นั่นสินะ…”
“เอ๋~!? หมายความว่าหนึ่งในพวกเราคือคนร้ายงั้นเหรอคะ!?”
“……………………”
“……………………”
ทั้งแซนโดรและซาลต่างก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีกับปฏิกิริยาของนิโคล
ส่วนกลุ่มแวมไพร์ที่เริ่มตั้งสติได้แล้วก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“หนอยแก! พูดจาวกวนให้สับสนอยู่ได้! เลิกเล่นกันได้แล้ว!”
แวมไพร์หนุ่มสั่งเปิดการโจมตี เหล่าแวมไพร์ทุกคนในห้องจึงทำการโจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน
———————————————————————————————————-
Part 2
ก้อนพลังงานเวท ธาตุสายฟ้า, น้ำแข็ง, และความมืด จำนวนมากพุ่งเข้าใส่ทั้งสามคนราวกับห่าฝน จนเกิดการระเบิดกึกก้อง กลุ่มควันและประกายไฟจากการระเบิดบดบังวิสัยทัศน์ในบริเวณนั้นจนมองอะไรไม่เห็น เหล่าแวมไพร์จึงหยุดการโจมตีชั่วคราว
เมื่อฝุ่นควันจากการโจมตีจางลง สิ่งที่ปรากฏอยู่ก็คือปีกมังกรที่มีลักษณะเหมือนกับถูกสลักขึ้นมาจากแผ่นศิลาสีเทาเข้ม ปีกนั้นโอมคลุมบริเวณที่พวกซาลยืนอยู่เมื่อสักครู่จนดูเหมือนเป็นกำแพงหินขนาดใหญ่ ที่ไม่ได้รับรอยขีดข่วนจากการโจมตีเลย
เมื่อปีกนั้นคลายออก ก็ปรากฏร่างของนิโคลซึ่งคืนร่างบางส่วนกลับเป็นมังกร ทำให้มีเขาสีน้ำเงิน รวมถึงปีกและหางที่เหมือนกับผลึกศิลาปรากฏออกมา ส่วนข้างตัวเธอก็มีซาลกับแซนโดรที่ยังคงปลอดภัยดีภายใต้การปกป้องของปีกอันแข็งแกร่งนี้
“พะ.. พวกเผ่ามังกรงั้นเหรอ!? เปลี่ยนไปใช้การโจมตีระยะประชิด จับมันให้ได้!”
แม้จะตกตะลึงกับตัวจริงของศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่แวมไพร์หนุ่มก็ไม่มีความคิดที่จะถอยหนีเลยแม้แต่น้อย เขาสั่งเปลี่ยนยุทธวิธีเพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ในทันที ทำให้เหล่าแวมไพร์ทุกคนชักดาบออกมาและมุ่งตรงเข้าหาเป้าหมาย
แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพุ่งตัวพ้นเขตหน้าห้องเข้ามา นิโคลก็พ่นไอเย็นออกจากมือทั้งสองข้างจนซัดเหล่าแวมไพร์ปลิวกระเด็นกลับไปราวกับถูกพายุพัด พวกเขาเหล่านั้น บางส่วนก็กระเด็นไปติดกำแพง บางส่วนก็หลุดออกไปนอกห้อง แถมเกือบทุกคนยังถูกน้ำแข็งเกาะจนแทบจะขยับตัวไม่ได้
กลุ่มแวมไพร์ที่อยู่ด้านนอกห้องเห็นสถานการณ์ที่พลิกกลับจึงพยายามจะเข้ามาสมทบ แต่เพราะมีพรรคพวกที่นอนระเนระนาดกันอยู่บริเวณประตูจึงทำให้เข้ามาในห้องได้ลำบาก ซึ่งนิโคลก็ฉวยจังหวะนั้นใช้หางตวัดพังหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังจนกำแพงหายไปทั้งแถบ แล้วอุ้มซาลกับแซนโดรบินหนีออกจากห้องไป
เมื่อบินออกมาจากห้องแล้วนิโคลก็พบว่าในสวนเบื้องล่างของคฤหาสน์นั้นยังเต็มไปด้วยเหล่าแวมไพร์จำนวนมากที่ล้อมตัวคฤหาสน์อยู่ แม้แต่บนฟ้าก็ยังมีพวกแวมไพร์ที่มีปีกเหมือนกับค้างคาวบินดักอยู่ด้วย ประมาณด้วยสายตาแล้วทั้งบนพื้นและบนอากาศรวมกันน่าจะมีจำนวนหลายร้อยคน
“…มากันเพียบเลยแฮะ …แต่แบบนี้อาจจะดีก็ได้ …นิโคล แช่แข็งเจ้าพวกนี้ให้หมด…”
แซนโดรบอกให้นิโคลใช้ท่าโจมตีประจำกายของเธอ แต่เจ้าตัวก็ยังมีอาการลังเล
“ตะ.. แต่ว่า”
“…ไม่ต้องห่วง พวกแวมไพร์น่ะไม่ตายจากการถูกแช่แข็งหรอก …และหากจะสลัดพวกนั้นให้หลุดก็มีแต่วิธีนี้ด้วย…”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
เหล่าแวมไพร์โดยรอบเริ่มพุ่งเข้ามาเพื่อทำการโจมตี แต่นิโคลก็ปลดปล่อยคลื่นความเย็นสีขาวออกไปรอบทิศซะก่อน
พวกแวมไพร์ที่ถูกคลื่นความเย็นเข้าไม่ว่าจะที่อยู่บนพื้นดินหรือบนฟ้าต่างก็ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีขาวจนกลายเป็นเหมือนรูปปั้นกันไปหมด แม้แต่ตัวคฤหาสน์หรือสนามหญ้าโดยรอบก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจนกลายเป็นสีขาวโพลนราวกับถูกหิมะปกคลุม
แต่เปลือกน้ำแข็งสีขาวนี้ปกคลุมอยู่ได้ไม่นานก็แตกออก ทำให้พวกแวมไพร์ที่อยู่ด้านในดิ้นรนออกมาจากพันธนาการได้ ซึ่งพอหลุดออกมาทุกคนก็ฟุบลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ส่วนแวมไพร์ที่อยู่บนฟ้าก็กะเทาะน้ำแข็งออกมาได้และค่อย ๆ ร่อนกลับลงไปบนพื้นด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเช่นกัน
“…หืม? …ออมมือเหรอ?…”
“อาจจะลดพลังมากไปหน่อย แต่จะให้ใช้พลังเท่ากับตอนอคาทอชคงไม่ได้หรอกนะคะ ยังไงพวกแวมไพร์ก็มีความต้านทานเวทต่ำกว่ามังกรมาก โดยเฉพาะพวกที่อยู่บนฟ้าเนี่ย ถ้าโดนแช่แข็งไปถึงกระดูกละก็ คงตกลงไปบนพื้นแล้วแตกเป็นชิ้น ๆ แน่ ๆ เลยค่ะ”
“…เอาเถอะ …ดูแล้วแรงช็อคแค่นี้ก็น่าจะพอทำให้พวกนั้นขยับไม่ได้ไปสักพักแหละนะ …เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ…”
เมื่อจัดการกับเหล่าแวมไพร์ที่ล้อมอยู่เรียบร้อยแล้ว นิโคลอุ้มแซนโดรกับซาลบินออกไปจากเขตคฤหาสน์
นิโคลพาทุกคนบินอ้อมตัวเมืองเพื่อกลับไปยังทางสายหลักที่ใช้ออกจากวาลาเชีย หลังจากบินมาได้พักหนึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีคนตามมา แซนโดรจึงบอกนิโคลให้หยุดอยู่กับที่ก่อน
ซาลที่รู้สึกว่าการมาวาลาเชียครั้งนี้คงจะล้มเหลวแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
“แล้ว.. เราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ?”
แซนโดรร่ายเวทเปิดหน้าจอฉายภาพจำนวนมากขึ้นมาพลางตอบคำถามของเขาไปด้วย
“…ไม่เห็นต้องถามเลย …เราก็ต้องไปตามล่าตัวคนร้ายอยู่แล้วน่ะสิ…”
แซนโดรกวาดสายตามองไปยังหน้าจอเวทมนตร์จำนวนมากที่เปิดขึ้นมาเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง โดยไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของซาลที่ยังต้องการคำอธิบายเพิ่มอีก
“นี่มัน… พวกสมุนสอดแนมเหรอ? ส่งออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
ซาลที่จำรูปแบบของหน้าจอสอดแนมได้จึงถามขึ้น
“…ฉันส่งพวกมันมาดูลาดเลาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงหัวค่ำแล้วน่ะ …จนถึงตอนก่อนที่เราจะเดินทางมาก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ …แต่ช่วงที่เราเดินทางมาจนเข้าไปในคฤหาสน์ต้องมีความเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างแน่ ถ้าลองเปิดภาพย้อนดูละก็…”
แซนโดรลองเร่งความเร็วภาพเพื่อดูความเคลื่อนไหวในเขตคฤหาสน์ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ จนกระทั่งพวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์ ทว่าหลังจากพวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์แล้วก็เกิดความเคลื่อนไหวอย่างหนึ่ง
ผู้หญิงสองคนซึ่งสวมชุดสาวใช้และมีผ้าคลุมปกปิดไปจนถึงบริเวณศีรษะเดินออกมาจากคฤหาสน์ ในเวลาเดียวกับที่กลุ่มแวมไพร์จำนวนมากเข้ามาถึงตัวคฤหาสน์พอดี พวกเธอคุยอะไรบางอย่างกับกลุ่มคนก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในคฤหาสน์ ส่วนสาวใช้ทั้งสองก็กางปีกสีดำสนิทที่เหมือนกับปีกค้างคาวออกมา ก่อนจะบินออกจากคฤหาสน์ไป
แม้จะมีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าอยู่ แต่ซาลก็พอจะจดจำลักษณะของสาวใช้ทั้งสองคนนี้ได้
“นั่นมัน?”
“…น่าจะเป็นสาวใช้สองคนที่เราเห็นแหละ …ทันทีที่เกิดเรื่องก็ออกจากที่เกิดเหตุแบบนี้ น่าสงสัยสุด ๆ ไปเลย …ไม่สิ ดูเหมือนพวกนั้นเตรียมตัวจะออกจากคฤหาสน์ตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องด้วยซ้ำ…”
“ถ้างั้นสองคนนั่นก็คือคนร้ายสินะคะ?”
“…อืม …นิโคล …พวกนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ …รีบตามไปเลย…”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
นิโคลโอบตัวซาลและแซนโดรให้แน่นขึ้นก่อนจะบินตรงไปยังทิศทางที่เธอบอกด้วยความเร็วสูง
ทั้งสามคนพยายามสอดส่ายสายตามองหาสาวใช้ที่เป็นเป้าหมายไปด้วย แต่ตลอดการเดินทางมาจนเกือบจะสุดเขตแดนวาลาเชียแล้วก็ยังไม่พบพวกเธอแต่อย่างใด ในที่สุดนิโคลก็บินมาจนถึงน่านฟ้าเหนือแนวหลักศิลาที่กั้นเขตแดนของวาลาเชีย
“นี่ก็จะออกนอกเขตวาลาเชียแล้วนะคะ พวกเขาเลี้ยวไปทางอื่นรึเปล่า?”
นิโคลเอ่ยถามขึ้นพลางหันมองดูรอบ ๆ ไปด้วย
“รึว่าจะออกนอกวาลาเชียไปแล้ว?”
ซาลพูดข้อสันนิษฐานออกมา แต่นิโคลก็รู้สึกไม่เห็นด้วย
“แบบนั้นคนในเมืองก็น่าจะรู้ว่ามีผู้หลบหนีน่ะสิคะ”
“พวกนั้นอาจมีวิธีอะไรทำให้ระบบตรวจจับไม่ทำงานก็ได้ แบบที่แซนโดรทำไง”
ระหว่างที่นิโคลกับซาลกำลังปรึกษากัน แซนโดรก็ร่ายเวทเพื่อปิดการทำงานของเสา แต่เธอก็พบกับอะไรบางอย่าง
“…เสานี่มัน …ถูกปิดการทำงานอยู่นี่นา …ทุกต้นเลยด้วย…”
“เอ๋? ถ้างั้นก็แปลว่า”
“…อืม พวกนั้นคงออกนอกวาลาเชียไปแล้วล่ะ รีบตามไปเถอะ…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นิโคลก็พาทั้งสองบินออกนอกเขตวาลาเชียไปด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง
———————————————————————————————————-
Part 3
เมื่อทุกคนบินข้ามเขตแดนของวาลาเชียออกมาอีกระยะหนึ่ง นิโคลก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของใครบางคนในบริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เธอจึงชะลอความเร็วลง และพบเงาคนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปเกือบสุดระยะสายตา
แซนโดรสร้างหมอกขึ้นมาอำพรางตัวทุกคนและให้นิโคลค่อย ๆ ร่อนลงที่แนวไม้ใกล้ ๆ กับเนินแห่งนั้น
เมื่อลงมาถึงพื้นดินแล้วแซนโดรก็ใช้สมุนล่องหน (Shade) เข้าไปสอดแนมใกล้ ๆ พบว่าบนเนินนั้นมีคนอยู่สามคนด้วยกัน
ทั้งสามคนสวมชุดสาวใช้ของคฤหาสน์ลานาเทลแบบเดียวกันหมด โดยมีผ้าคลุมสำหรับการเดินทางสวมทับอีกทีหนึ่ง แม้ดวงจันทร์จะคล้อยลงต่ำเพราะใกล้เวลาเช้าแล้วแต่แสงจันทร์ก็ยังสว่างพอจะส่องให้เห็นใบหน้าของทั้งสามคนนั้น
คนหนึ่งคือสาวใช้ผมดำที่ซาลคุ้นหน้าดี อีกคนที่อยู่ข้าง ๆ คือสาวใช้ผมทองที่มาเรียกตัวเธอไปก่อนจะเกิดเหตุ และคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวผู้มีผมสีเงินตัดกับผิวสีน้ำผึ้ง ดูเหมือนเธอจะกำลังรอสาวใช้อีกสองคนอยู่
“พวกเธอมาสายนะ”
สาวใช้ผมสีเงินเอ่ยปากขึ้นห้วน ๆ เมื่อทั้งสองคนมาถึง
“ก็วาลานาร์น่ะสิ ดันเอาของมาไม่ครบ เลยต้องย้อนกลับไปอีกรอบนึง”
“เอ๋~ ก็ฉันคิดว่าคุณเคเลเซ็ทเอามาแล้วนี่คะ ไม่ใช่ความผิดของฉันซะหน่อย”
“เราแบ่งหน้าที่กันแล้วนะ อย่าปัดความรับผิดชอบจะได้มั้ย”
“พอทีเถอะ พวกเธอทั้งสองคน”
สาวใช้ผมสีเงินพูดตัดบทการโต้ตอบของทั้งสองคนด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ทั้งสองคนดูจะยังไม่ยอมสงบปากสงบคำง่าย ๆ
“เห็นมั้ยคะ คุณทัลดาแรมเค้าโมโหจนหน้าดำแล้ว”
“ยัยนั่นก็ดำเป็นเหนี่ยงแบบนี้อยู่แล้ว หน้าตาก็บูดเบี้ยวแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วด้วย”
“นี่พวกเธอ…”
ทัลดาแรม สาวใช้ผมเงินแสดงอาการหงุดหงิดจนเส้นเลือดปูดออกมาบนขมับ
ดูเหมือนสาวใช้ทั้งสามคนจะสนิทสนมกันมากและมีสถานะที่เท่าเทียมกันเลยไม่มีใครยอมใครสักเท่าไหร่
“เรื่องอื่นๆเอาไว้ก่อน สถานการณ์ที่คฤหาสน์เป็นยังไงบ้าง?”
สาวใช้ผมดำ เคเลเซ็ท เอ่ยถามทัลดาแรมพลางเปิดฮู้ดที่คลุมศีรษะของตนเองอยู่ออก
“นั่นแหละที่น่าสงสัย ฉันขาดการติดต่อกับคนในคฤหาสน์มาได้พักนึงแล้ว เรียกไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตอบรับเลย”
“หืม? แปลกจัง การสื่อสารขัดข้องรึเปล่า? หรือว่ากำลังสู้ติดพันอยู่?”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเลยลองติดต่อพวกที่เฝ้าอยู่รอบนอกดู แต่ก็ไม่มีใครตอบรับเหมือนกัน ช่องสัญญาณก็ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแท้ ๆ ”
“คงไม่ใช่ว่าโดนอีกฝ่ายถล่มจนตายเรียบไปแล้วหรอกนะคะ ฮะ ๆ ๆ ”
“ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่น่าจะจัดการกับคนจำนวนขนาดนั้นได้ในเวลาสั้น ๆ หรอกนะ และถ้าสถานการณ์แย่มาก ๆ ก็น่าจะมีคนติดต่อมาแจ้งข่าวหรือขอความช่วยเหลือบ้างนี่นา”
ระหว่างที่สนทนากันอยู่ ทัลดาแรมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เคเลเซ็ทเองก็รู้สึกตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองจึงสะบัดมือยิงเวทไปยังจุดที่สมุนสอดแนมของแซนโดรอยู่
เปลวไฟสีแดงและสีม่วงที่มีรูปร่างเหมือนกับหอกพุ่งเข้าใส่สมุนของแซนโดรจนสลายร่างไปในทันที
“เอ๋? อะ.. อะไรเหรอคะ?”
สาวใช้ผมทอง วาลานาร์ ออกอาการงุนงงเพราะยังไม่รู้สึกตัว
“พวกเธอถูกสะกดรอยตามมาไงล่ะ”
“ดูเหมือนจะเป็นสมุนสอดแนมของพวกเนโครแมนเซอร์… แอบตามเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย…”
“ถ้าแค่วาลานาร์ยังพอว่า แต่ขนาดเธอก็ยังไม่รู้ตัวด้วยเนี่ยนะ? อยู่กับยัยนั่นมากจนสติเสื่อมตามไปแล้วรึไง?”
“ว่าใครสติเสื่อมกันคะ!?”
สาวใช้ทั้งสามคนยังคงโต้เถียงกันไม่หยุดปาก
เมื่อเห็นว่าสมุนถูกทำลายไปแล้วแซนโดรจึงเดินออกมาจากแนวไม้พร้อมกับนิโคลและซาล
แม้จะยังมีม่านหมอกพรางตัวอยู่ แต่สาวใช้ทั้งสามก็หันมายังทิศทางที่ทุกคนอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับรู้ถึงการมาของพวกเขาแล้ว
“เคเลเซ็ท?”
“อืม… ถึงจะมองไม่เห็น แต่ว่าต้องอยู่ตรงนั้นแน่ ๆ ”
สาวใช้ทั้งสามยกมือขึ้นเพื่อเตรียมจะร่ายเวทโจมตีไปยังทิศทางที่สัมผัสถึงศัตรูได้ แต่แซนโดรก็คลายม่านหมอกออกซะก่อน ทำให้ทุกคนมองเห็นรูปร่างของผู้มาเยือนอย่างชัดตา
“แซนเดอร์ โควิแนนท์!? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?”
เคเลเซ็ทอุทานออกมาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เพราะแซนโดรคือคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้มากที่สุด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม
“…พอดีที่คฤหาสน์เกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะครับ ผมก็เลยขอตัวออกมาก่อน …ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คือว่าท่านหญิงลานาเทลน่ะ ถึงแก่อสัญกรรมซะแล้วล่ะครับ…”
สาวใช้ทั้งสามยังคงฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก ซึ่งไม่ผิดไปจากที่แซนโดรคาดเอาไว้เท่าไหร่
“…ท่าทางจะไม่แปลกใจกันเลยนะครับ …แปลว่ารู้เรื่องนี้กันอยู่แล้วสินะ…”
เคเลเซ็ทกับทัลดาแรมยังคงนิ่งเงียบโดยไม่ตอบคำถามนั้น ผิดกับวาลานาร์ที่จู่ ๆ ก็อุทานออกมา
“เอ๋~!?!? ท่านหญิงลานาเทลตายแล้วเหรอคะ!! มะ.. ไม่จริงใช่มั้ยคะ!? ล้อเล่นใช่มั้ยคะเนี่ย!?”
“ช้าเกินไปแล้ว วาลานาร์”
“ชิ…”
เคเลเซ็ทพูดปรามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย เพราะจะมาเล่นละครเอาป่านนี้ก็ช้าเกินไปแล้ว ส่วนทางฝั่งวาลานาร์ก็เม้มปากแล้วมองค้อนเคเลเซ็ทอยู่เงียบ ๆ
แซนโดรก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่งก่อนจะถามคำถามกับเหล่าสาวใช้อีกครั้ง
“….พวกคุณจัดฉากให้เราเป็นแพะรับบาปในการตายของท่านหญิงสินะครับ …แต่ว่าทำเรื่องนี้กันเองจริง ๆ น่ะเหรอ? …มีใครอยู่เบื้องหลังอีกรึเปล่า?…”
ทางฝั่งสาวใช้ไม่มีใครตอบคำถามนั้น จนกระทั่งทัลดาแรมก้าวออกมา
“ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงมาอยู่ที่นี่ได้… จัดการกับพวกที่คฤหาสน์ได้ทั้งหมดจริง ๆ น่ะเหรอ? หรือว่าใช้วิธีอะไรหนีออกมา? แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ แค่จับตัวกลับไปก็หมดเรื่องแล้ว”
ทัลดาแรมนำองุ่นเลือดจำนวนหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของแล้วโยนขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นก็ใช้ดาบที่พกอยู่ตวัดขึ้นไปกลางอากาศ ผลองุ่นเหล่านั้นทั้งหมดก็แตกเป็นน้ำเหลว ๆ สีแดงโดยพร้อมเพรียงกันก่อนจะหยดลงมานองทั่วพื้น ทางด้านเคเลเซ็ทกับวาลานาร์ก็ทำแบบเดียวกัน
สักพักเลือดจากองุ่นเลือดที่นองอยู่บนพื้นก็ค่อย ๆ ไหลผ่านอากาศขึ้นมายังดาบของสาวใช้ทั้งสาม ราวกับเป็นกลุ่มเส้นไหมสีแดงสดที่มีชีวิต เมื่อสายใยเลือดเหล่านั้นถูกดูดเข้าไป แกนใสที่อยู่ตรงกลางดาบก็เริ่มมีของเหลวสีแดงไหลรินเข้าไปจนเต็มหลอด
จากนั้นบนร่างของพวกเธอก็ค่อย ๆ ปรากฏชิ้นส่วนของชุดเกราะที่มีสีแดงเข้มจนเกือบเป็นสีดำปรากฏขึ้นมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งไหล่, หน้าอก, เอว, แขน, และเท้า ต่างก็มีชิ้นส่วนของเกราะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเลือดที่ล้นจากการเติมเข้าไปในดาบถูกส่งถ่ายมาใช้ในการสร้างชุดเกราะสีดำนี้
“…บลัดอาเมอร์งั้นเหรอ …เป็นบลัดไนท์กันทั้งหมดเลยสินะ …ไม่สิ อาจเป็นบลัดเมจด้วยก็ได้…”
แซนโดรพิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของเหล่าสาวใช้พลางกล่าวออกมา
พวกแวมไพร์มีความสามารถพิเศษในการใช้งานและแปรสภาพเลือดที่เรียกว่า ‘บลัดอาร์ท’ (Blood Art) ทำให้มีคลาสเฉพาะของเผ่าพันธุ์ตัวเองซึ่งมีเพียงเหล่าแวมไพร์เท่านั้นที่สามารถฝีกฝนได้อยู่หลายคลาส
เช่น ‘บลัดไนท์’ (Blood Knight) คือคลาสสายอัศวินประเภทหนึ่ง สามารถใช้เลือดในการเสริมพลังป้องกันหรือพลังโจมตีได้ ส่วน ‘บลัดเมจ’ (Blood Mage) เป็นคลาสนักเวทที่สามารถใช้เลือดแทนพลังเวทมนตร์ และมีเวทมนตร์ที่ใช้เลือดเป็นสื่อกลางในการโจมตีอีกหลายชนิดด้วย
สำหรับ ‘บลัดอาเมอร์’ (Blood Armor) คือเวทเสริมพลังเฉพาะตัวของคลาสบลัดไนท์ ซึ่งจะสร้างชุดเกราะขึ้นมาจากเลือด เกราะนี้มีความทนทานทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ จัดเป็นเวทเสริมพลังที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเวทระดับเดียวกันอยู่มาก แต่ก็ต้องใช้เลือดเป็นวัตถุดิบด้วย
ชุดเกราะที่เหล่าสาวใช้เรียกออกมานั้นไม่ได้ปกคลุมหมดทั้งตัว เพียงแค่หุ้มส่วนท่อนแขน, มือ, เท้า, หน้าแข้ง, หน้าอก, เอว, และหัวไหล่เท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ก็ยังเป็นชุดกระโปรงของสาวใช้ดังเดิม ทำให้มันดูเป็นชุดเกราะที่ไม่ส่งผลต่อความคล่องตัวของผู้สวมใส่มากนัก
“ระวังตัวด้วยนะ เจ้าพวกนี้น่าจะมีฝีมือสูงทีเดียว ห้ามออมมือเด็ดขาด แต่ก็ระวังอย่าลงมือให้ถึงตายล่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าคนไหนคือนักประดิษฐ์กันแน่ พยายามจับเป็นมาให้ได้”
“เอ๋~ ไม่ให้ออมมือ แต่ก็ไม่ให้ฆ่าด้วย แบบนั้นมันก็ขัดแย้งกันน่ะสิคะ คุณทัลดาแรมนี่ ติงต๊องอ๊ะป่าวเนี่ย? ชื่อก็สะกดยากแล้วยังเรื่องมากอีกนะคะ”
เพราะคำพูดยียวนของวาลานาร์ทำให้บนขมับของทัลดาแรมมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนทางด้านแซนโดรกับนิโคลก็เริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อรับการต่อสู้เช่นกัน
“…แหม …ทางเราเองก็ลำบากเหมือนกันแหละนะ …เพราะยังไงก็ต้องจับเป็นกลับไปสักคนเพื่อเค้นหาตัวผู้บงการและยืนยันความบริสุทธิ์ให้กับเรานี่นา …สรุปว่าการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าใครเผลอทำให้อีกฝ่ายตายหมดก็เหมือนกับแพ้นั่นแหละ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของแซนโดร ทัลดาแรมก็แสยะยิ้มออกมาและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“หึหึหึ ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ต่อให้ฟลุคชนะแล้วจับตัวพวกเราสักคนกลับไปได้จริง ๆ คำตอบเดียวที่เราจะบอกกับคนอื่นก็คือ แซนเดอร์ โควิแนนท์ เป็นคนบงการไงล่ะ ดังนั้นช่วยลงมือให้เต็มที่จะดีกว่านะ เพราะยังไงเธอก็ไม่มีวันได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว”
“…เชื่อเถอะว่าฉันมีวิธีทำให้เธอพูดในสิ่งที่ฉันต้องการได้ …ไม่ว่าจะเป็นร่างที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือจะเป็นเปลือกอันว่างเปล่าก็ตาม…”
แซนโดรตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ แม้ทัลดาแรมจะส่งรอยยิ้มในเชิงเย้ยหยันตอบกลับมา แต่เส้นเลือดบนขมับของเธอก็ปกปิดความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้ไม่มิด
เมื่อการแลกเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างแซนโดรกับทัลดาแรมจบลงแล้ว การต่อสู้เพื่อที่จะพยายามไม่ฆ่าอีกฝ่ายก็ได้เริ่มต้นขึ้น