Doombringer the 5th - ตอนที่ 21
Ch.21 – สิ่งที่เมฆซ่อนอยู่
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 21
สิ่งที่เมฆซ่อนอยู่
Part 1
สาวใช้ทั้งสามพุ่งเข้าหาทุกคนด้วยรูปขบวนหัวลูกศรโดยมีทัลดาแรมเป็นแนวหน้าและเคเลเซ็ทกับวาลานาร์เป็นแนวหลัง
นิโคลเองก็ตอบสนองด้วยการพุ่งเข้าปะทะกับกลุ่มสาวใช้โดยมีแซนโดรตามเข้าไปติด ๆ
ก่อนจะถึงจุดปะทะ ดาบในมือขวาของทัลดาแรมก็เริ่มมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาจนอาบใบดาบทั้งเล่ม
ในจังหวะที่ดาบเพลิงของเธอกำลังดึงความสนใจอยู่ ทัลดาแรมก็ยิงบอลไฟออกจากมืออีกข้างอย่างรวดเร็ว บอลไฟนั้นพุ่งเข้าหานิโคลด้วยความเร็วสูง มันเป็นทรงกลมสมบูรณ์จนดูเหมือนกับลูกแก้วสีส้มที่มีเปลวไฟหมุนวนอยู่ภายใน
นิโคลคืนสภาพแขนซ้ายเป็นแขนของมังกรแล้วใช้มันปัดบอลไฟลูกนั้น แต่ทันทีที่สัมผัสกับมันเข้าก็ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงและมีเปลวไฟกระจายไปรอบทิศจนครอกร่างของเธอกับแซนโดรไปพร้อมกัน
แซนโดรกระโดดถอยหลังออกมาจากกองไฟโดยชุดถูกไหม้ไปนิดหน่อย แต่ยังไม่ทันจะลงถึงพื้น ทัลดาแรมพร้อมกับดาบที่อาบด้วยเปลวไฟอันรุนแรงก็พุ่งทะลุกองไฟตามออกมาด้วยความเร็วที่แซนโดรคาดไม่ถึง
เพราะสถานการณ์คับขัน แซนโดรจึงชักดาบเขี้ยวแวมไพร์ที่สะพายอยู่ขึ้นมากันการโจมตีของทัลดาแรม แต่ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวดาบเขี้ยวแวมไพร์ของแซนโดรก็หักเป็นสองส่วน แถมคมดาบของทัลดาแรมยังถากโดนช่วงอกของแซนโดรไปเล็กน้อย ทำให้เกิดเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นบริเวณที่ถูกคมดาบถากไป
“…โอ๊ะโอ …เก่งกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย…”
แซนโดรยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทัลดาแรมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม จึงพุ่งเข้าโจมตีแซนโดรซ้ำอีกครั้งด้วยท่าทีอันกราดเกรี้ยว
แซนโดรสังเกตเห็นผ้าคลุมของทัลดาแรมเปลี่ยนสภาพไปเป็นปีกสีดำคล้ายกับปีกค้างคาว นั่นคือสาเหตุให้สามารถเร่งความเร็วได้ในพริบตา และยังโจมตีต่อเนื่องจากกลางอากาศได้
ก่อนที่ปลายดาบของทัลดาแรมจะแทงถึงตัว แซนโดรก็นำเคียว ‘โซลฮาร์เวส’ ออกมาปัดป้องดาบออกไปให้พ้นตัว ก่อนจะควงมันหมุนกลับมาเพื่อจะเกี่ยวใส่ร่างของทัลดาแรม แต่ทัลดาแรมก็ยังไวพอที่จะโฉบตัวหลบออกจากรัศมีการโจมตีของเคียวได้
วาลานาร์กับเคเลเซ็ทช่วยกันยิงเวทเข้าสนับสนุนจากระยะไกล แต่ก็มีปีกขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากกองไฟและบังการโจมตีนั้นเอาไว้ซะก่อน ทำให้ทั้งสองคนชะงักไปเพราะการสอดแทรกที่คาดไม่ถึง แต่ก็เปลี่ยนท่าร่างกลับมาเป็นการเตรียมป้องกันอย่างรัดกุมแทนในทันที สื่อถึงประสบการณ์ในการต่อสู้และความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า
และเป็นไปตามที่พวกเธอคาด พริบตาต่อมานิโคลในร่างกึ่งมังกรก็ทะยานออกจากกองไฟและพุ่งเข้าหาสาวใช้ทั้งสองในทันที
“อะไรกัน!? เผ่ามังกรงั้นเหรอ!?”
เคเลเซ็ทระดมยิงหอกพลังงานสีม่วงจำนวนมากเข้าสกัดผู้คุกคามที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาอย่างดุดัน แต่นิโคลก็สาสามารถหมุนตัวหลบได้อย่างคล่องแคล่วราวกับผีเสื้อที่พริ้วไหว เธอพุ่งตรงเข้ามายังเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะช้าลงเลย ทั้งเคเลเซ็ทและวาลานาร์ต่างก็พยายามพุ่งตัวถอยออกห่างพลางยิงเวทสกัดกั้นไปด้วย แต่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็มีแต่จะสั้นลงเรื่อย ๆ
ในที่สุดนิโคลก็เข้ามาถึงระยะที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ แต่พริบตาที่เธอกำลังเงื้อแขนอันกำยำที่ห่อหุ้มไปด้วยเกล็ดเกราะราวกับหินผานั้นเข้าใส่เคเลเซ็ท พลันก็ปรากฏโล่สีดำขนาดใหญ่กางออกมาบังการโจมตีนั้นเอาไว้แทน
โล่นั้นคือ ‘บลัดชิลด์’ (Blood Shield) ที่วาลานาร์สร้างขึ้นมาป้องกันการโจมตีให้กับเคเลเซ็ท โล่ที่สร้างจากเลือดนี้จัดเป็นเวทป้องกันระดับสูงของเหล่าแวมไพร์ซึ่งกันการโจมตีได้เกือบทุกรูปแบบ แต่แม้มันจะกันการโจมตีครั้งแรกเอาไว้ได้ ตัวโล่ก็ยังคงยุบลงเป็นและเกิดรอยร้าวแผ่ไปทั่ว นิโคลจึงหมุนตัวและสะบัดหางเข้าเสียบทะลวงจนโล่นั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทว่าเมื่อโล่สลายไปก็ปรากฏร่างของทัลดาแรมโผล่ออกมาจากด้านหลังของโล่แทน เธอฉวยจังหวะที่นิโคลยังไม่รั้งหางกลับไปพุ่งตามเข้ามาเพื่อโจมตี ส่วนเคเลเซ็ทและวาลานาร์ ก็พุ่งหนุนเข้ามาพร้อม ๆ กัน ทำให้นิโคลต้องบิดตัวอีกครั้งเพื่อหลบคมดาบออกมา ก่อนจะโฉบกลับมาตั้งหลักใกล้ ๆ แซนโดรซึ่งอยู่ห่างออกไปด้านหลังไม่ไกลนัก
“…อืม …ใช้เวทอัญเชิญดึงตัวแม่สาวผมเงินนั่นกลับไปสินะ…”
แซนโดรพูดพลางเอามืดปัดอกเสื้อเพื่อดับไฟที่ติดลุกไหม้อยู่ แค่ปัดมือไม่กี่ครั้งเปลวไฟนั้นก็สงบลง ก่อนแซนโดรจะยืนตัวตรงและจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีสบาย ๆ
“คุณแซนโดรไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ? ขอโทษทีนะคะ พอดีแมลงเต่าทองที่ใช้ในการมองดันโดนแรงระเบิดสลายไป พอจู่ ๆ ก็เสียการมองเห็นเลยทำให้ชะงักไปนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“…ไม่เป็นไร …ฉันตัดประสาทรับความเจ็บปวดออกตั้งแต่ก่อนสู้แล้วน่ะ …แต่การโจมตีนี่ก็แรงเอาเรื่องนะเนี่ย …กระดูกจะไหม้รึเปล่านะ …เฮ้อ …ถ้าไม่กังวลว่าชุดมันเป็นรอยง่ายละก็ คงเอา ‘เรธเชล’ ออกมาใส่แล้วล่ะ …แต่จะว่าไป ชุดนั่นมันก็เด่นไปหน่อย แถมยังถูกพีชคีปเปอร์หมายหัวเอาไว้ด้วย ไม่เอาออกมาใส่ก็คงจะดีแล้ว…”
‘เรธเชล’ (Wraith Shell) คือชื่อของชุดเกราะหัวกระโหลกที่แซนโดรใช้ใส่ประจำในการต่อสู้ ชุดนี้จริง ๆ เป็นชุดเกราะสำหรับนักเวทจึงมีพลังป้องกันทางกายภาพไม่สูงนัก แต่มีความต้านทานเวทมนตร์ในระดับที่แทบจะไร้เทียมทานเลยทีเดียว จัดเป็นอาติแฟคระดับเลเจนดารี่ (Legendary) อีกชิ้นหนึ่ง ทว่าเพราะมันเป็นชุดที่ถูกหมายหัวจากพีชคีปเปอร์ในฐานะของ ‘นักเวทหัวกระโหลก’ บวกกับเป็นรอยขีดข่วนง่ายหากโดนโจมตีทางกายภาพ ทำให้แซนโดรไม่ค่อยอยากจะนำออกมาใส่สักเท่าไหร่
ทางฝั่งสาวใช้เมื่อเห็นท่าทีสบาย ๆ ของคนทั้งสองก็เริ่มปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าพวกนี้ระดับฝีมือไม่ธรรมดาเลย ยัยมังกรนั่นรับ ‘เบิร์นนิ่งออร์บ’ (Burning Orb) ไปตรง ๆ ก็ยังไม่เป็นไร แปลว่าเป็นมังกรระดับสูงมากทีเดียว”
เคเลเซ็ทพูดถึงบอลไฟที่ทัลดาแรมยิงออกไปเป็นการเปิดฉาก ซึ่งท่านั้นจัดเป็นเวทไฟระดับสูง แม้แต่มังกรระดับ 6-7 ถ้าโดนเข้าไปเต็ม ๆ ก็ต้องบาดเจ็บบ้าง แต่มังกรสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่เป็นอะไรเลย
“อืม… หมอนั่นก็ด้วย โดน ‘เบิร์นนิ่งเบลด’ (Burning Blade) เข้าไปเต็ม ๆ อกก็ยังเฉยอยู่เลย ถ้าเป็นแวมไพร์ทั่วไปละก็ต้องปวดจนดิ้นพล่านแล้วแท้ ๆ ”
ปกติแล้วแวมไพร์จะค่อนข้างอ่อนแอต่อธาตุไฟ และน้อยคนที่จะสามารถใช้เวทธาตุไฟระดับสูงได้ ซึ่งทัลดาแรมนับเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษเพียงหนึ่งในหมื่นที่สามารถใช้เวทธาตุไฟได้อย่างเต็มที่ เธอจึงเป็นมือสังหารที่เหล่าแวมไพร์ต่างพากันครั่นคร้ามเพราะครอบครองเวทธาตุที่เหล่าแวมไพร์แพ้ทางอยู่ แต่แซนโดรก็ไม่ได้ออกอาการบาดเจ็บอะไรเลยจากการถูกโจมตีเช่นกัน จนทุกคนเริ่มสงสัยถึงตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม
“คงไม่ใช่ว่าเป็นมังกรกันทั้งหมดนั่นหรอกนะคะ ถ้าเป็นงั้นละก็ฉันขอกลับบ้านนอนดีกว่าค่ะ”
วาลานาร์ยังคงพูดจาทีเล่นทีจริงไม่เปลี่ยน แต่เคเลเซ็ทก็ทำเป็นไม่สนใจและวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไป
“การโจมตีด้วยเวทมนตร์ดูท่าจะได้ผลยาก โดยเฉพาะกับยัยมังกรนั่น เพราะงั้นคงต้องเน้นการต่อสู้ระยะประชิดแล้วล่ะ”
“ถึงเข้าประชิดก็ใช่ว่าจะดีขึ้นหรอกนะคะ ไม่เห็นเหรอคะ ยัยนั่นน่ะทุบทีเดียวโล่ก็แทบแตกแล้ว ถ้าคุณทัลดาแรมโดนเข้าไปละก็ ใส้คงทะลักออกมาทางหูแน่ ๆ เลยค่ะ”
“อย่าเอาฉันไปยกตัวอย่างได้มั้ย…”
ทัลดาแรมส่งสายตาหงุดหงิดมายังวาลานาร์เพราะถูกพาดพิง เคเลเซ็ทจึงรีบตัดบทก่อนที่ทั้งสองจะนอกเรื่องไปอีก
“เราควรจัดการกับเจ้าแซนเดอร์ก่อนน่าจะดีกว่า เดี๋ยวฉันจะหาทางตรึงยัยมังกรนั่นเอาไว้เอง …แล้วก็พวกเธอ สังเกตเห็นเหมือนที่ฉันเห็นรึเปล่า?”
“อืม เจ้าหนูนั่นไม่ได้เข้ามาร่วมในการต่อสู้เลย แปลว่าน่าจะมีความสามารถในการต่อสู้ต่ำ หรือไม่ก็…”
“หรือไม่ก็เป็นนักประดิษฐ์สินะคะ หากเป็นคนสำคัญขนาดที่หัวตัวหน้าอย่างแซนเดอร์ยอมลงมาสู้เองแต่ก็ไม่ยอมให้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยก็มีแต่เหตุผลนี้แหละ”
“ใช่แล้วล่ะ ทีแรกคิดว่าจะจับเป็นกลับไปทั้งสามคนเพื่อความแน่นอน แต่ดูจากระดับฝีมือแล้วถ้าหย่อนมือให้สักหน่อย คนที่ตายอาจเป็นเราเองก็ได้ เพราะงั้นลงมือให้เต็มที่ เหลือไว้แค่เจ้าเด็กนั่นก็พอแล้ว หรือถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่ก็เข้าไปชิงตัวเจ้าเด็กนั่นมาซะ เราอาจบีบให้พวกนั้นยอมแพ้โดยไม่ต้องสู้ก็ได้”
เมื่อปรึกษาแผนกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็เตรียมเผชิญหน้ากับพวกแซนโดรอีกครั้ง
——————————————————————————————————–
Part 2
สาวใช้ทั้งสามร่ายเวทจนเกิดบอลพลังงานทรงกลมหลายลูกปรากฏออกมาที่เหนือไหล่ของแต่ละคน จากนั้นก็พุ่งเข้ามาจู่โจมโดยพร้อมเพรียงกันด้วยรูปขบวนแบบเดิม
“…หืม …หน่วงการร่ายเวทงั้นเหรอ? …แถมยังทำได้คนละสามบทเลยด้วย …ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ …”
แซนโดรพิจารณาเทคนิคที่พวกสาว ๆ ใช้แล้วก็กล่าวชมเชยออกมา
การหน่วงการร่ายเวทคือการคงสภาพของเวทค้างไว้ก่อนเพื่อรอการปลดปล่อยในภายหลัง นับเป็นเทคนิคการร่ายเวทระดับสูงซึ่งต้องอาศัยสมาธิและความชำนาญอย่างมาก หากจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับการเลี้ยงลูกบอลเอาไว้บนปลายนิ้ว แค่เสียสมดุลเพียงนิดเดียวลูกบอลก็จะตกลงพื้น สำหรับกรณีนี้หากเสียสมาธิ บอลเวทที่ร่ายทิ้งไว้ก็จะสลายไป การจะหน่วงการร่ายเวทไว้ถึงสามบทพร้อมกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
นิโคลพุ่งออกไปเพื่อสกัดเหล่าสาวใช้ก่อนที่จะเข้ามาถึงแซนโดร ส่วนแซนโดรก็เตรียมร่ายเวทเพื่อโจมตีสนับสนุนเช่นกัน
แต่ยังไม่ทันจะเข้ามาถึงระยะต่อสู้ วาลานาร์ก็เอามือแตะสัมผัสที่ไหล่ของทัลดาแรม จากนั้นทั้งสองก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตานิโคล
นิโคลยังพอสัมผัสได้ถึงตัวตนของทั้งสองจึงรีบหันตามไป พบว่าทั้งคู่เทเลพอร์ทข้ามไปยังด้านหลังและมุ่งตรงไปหาแซนโดรแล้ว
ในขณะที่นิโคลรั้งเท้าเอาไว้และเตรียมจะพุ่งตามไปนั้นเอง เธอก็สังเกตว่ารอบตัวของทัลดาแรมกับวาลานาร์ไม่มีบอลเวทที่หน่วงการร่ายเอาไว้อยู่ด้วย เธอรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงรีบหันกลับมาทางเคเลเซ็ท ซึ่งตอนนี้เข้ามาจนใกล้จะถึงตัวเธอแล้ว
และเป็นไปดังลางสังหรณ์ของนิโคล บอลเวททั้งหมดนั้นอยู่กับเคเลเซ็ท ซึ่งเธอก็ร่ายเวทชุดใหม่ออกมาพร้อมกับเหวี่ยงมือทั้งสองมาด้านหน้า ทำให้บอลเวททั้งเก้าพุ่งเข้ามาล้อมนิโคลไว้และเริ่มหมุนวนไปรอบตัวเธอ
“ดูอยู่เฉย ๆ ตรงนั้นแหละ! ‘บลัดพริซั่น’!”
เมื่อสิ้นเสียงของเคเลเซ็ท บอลเวททั้งเก้าลูกก็ส่งแสงเชื่อมต่อกันจนปรากฏวงเวทสีแดงฉานขึ้นบนพื้นที่นิโคลยืนอยู่ เธอพยายามกระโจนออกจากตรงนั้นเพื่อหลบการโจมตี แต่ก็ดูเหมือนจะช้าเกินไป
สายฟ้าสีแดงพุ่งขึ้นมาจากลวดลายเรืองแสงบนวงเวทแล้วตรงเข้ากระชากตัวนิโคลทันทีที่เธอออกห่างจากวงเวท แรงของมันทำให้ร่างของนิโคลหยุดชะงักกลางอากาศและร่วงลงมาทรุดอยู่บนพื้นแทน แม้แทบจะไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาแต่สีหน้าของเธอก็แสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่พยายามจะยันตัวขึ้นและถอยออกให้หลุดจากพันธนาการของวงเวทนั้น สายฟ้าสีแดงก็จะกระชากตัวเธอกลับลงไป ยิ่งเงื้อร่างออกห่าง การฉุดกระชากของสายฟ้าก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น จนนิโคลขยับออกจากตรงนั้นไม่ได้
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า ‘บลัดพริซั่น’ (Blood Prison) นี่น่ะเป็นเวทพันธนาการระดับสูงที่ทำปฏิกิริยากับเลือดของผู้ที่ถูกพันธนาการ ยิ่งพยายามออกห่างจากวงเวทมากเท่าไหร่ เลือดในกายก็จะถูกกระชากแรงมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่พวกปิศาจหรือมารบางตนก็ยังหลุดจากพันธนาการนี้ไม่ได้เลย รอดูความตายของเจ้าหนุ่มหน้าใสนั่นอยู่ตรงนั้นแหละ”
เมื่อพูดจบ เคเลเซ็ทก็พุ่งไปหาแซนโดรอีกคน โดยทิ้งนิโคลที่ยังคงทรุดอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวดเอาไว้เบื้องหลัง
ระหว่างที่เห็นวงเวทของ ‘บลัดพริซั่น’ ปรากฏขึ้น แซนโดรก็รีบปลดปล่อยเวทที่ร่ายอยู่ ทำให้มีลูกไฟสีเขียวจำนวนหลายสิบลูกพุ่งกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง ก่อนที่พวกมันจะเลี้ยวกลับมาโดยมีทัลดาแรมกับวาลานาร์เป็นเป้าหมาย
เพราะอีกฝ่ายมี ‘บลัดชิลด์’ ซึ่งป้องกันการโจมตีซึ่งหน้าได้อย่างดี แซนโดรจึงคิดว่าหากโจมตีจากทุกทิศก็น่าจะเล็ดรอดการป้องกันนั้นไปได้ แต่วาลานาร์ก็ร่ายเวทสร้างโล่สีดำขนาดเล็กจำนวนมากขึ้นมาประกอบกันจนกลายเป็นบอลกลมขนาดใหญ่ห่อหุ้มทั้งตัวเธอกับทัลดาแรมเอาไว้และป้องกันการโจมตีจากรอบทิศนั้นได้
แซนโดรเปลี่ยนมารวบรวมพลังเวทเป็นจุดเดียวแล้วยิงลำแสงเวทสีเขียวจากปลายเคียวเข้าใส่บอลกลมที่ปกป้องทั้งสองคนนั้นอยู่แทน พลังทำลายของมันทำให้ผิวโล่ที่ซ้อนตัวกันเป็นลูกบอลอยู่นั้นเริ่มจะแตกร่อนออกทีละน้อย แต่วาลานาร์ก็ทำการหมุนบอลกลมไปรอบ ๆ เพื่อกระจายความเสียหายไปยังส่วนอื่น ๆ ทำให้กว่าที่ลำแสงของแซนโดรจะเจาะทำลายโล่ทรงกลมนั้นจนเสียรูปร่างไปได้ มันก็เข้ามาใกล้มากแล้ว ทว่าภายในบอลทรงกลมนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย
แซนโดรควงด้ามเคียวกลับขึ้นมาป้องกันคมดามที่ห่อหุ้มเปลวไฟสีแดงก่อนที่มันจะสับลงมาที่ต้นคอของเธอได้อย่างฉิวเฉียด การโจมตีนั้นมาจากทัลดาแรมที่เทเลพอร์ทพร้อมกับวาลานาร์ออกจากบอลกลมมายังด้านหลังของแซนโดรนั่นเอง
สาวใช้ทั้งสองมุ่งตรงเข้าจู่โจมแซนโดรต่อในทันทีโดยไม่เว้นช่วงให้เป้าหมายได้ทันตั้งตัว ทัลดาแรมเป็นผู้นำการจู่โจมจังหวะแรก ส่วนวาลานาร์คอยแทรกโจมตีในจังหวะสอง แต่แซนโดรก็สามารถใช้เคียวด้ามนั้นปัดป้องและต้านการโจมตีของทั้งสองคนเอาไว้ได้อย่างสูสี
เคเลเซ็ทอาศัยจังหวะที่แซนโดรยังติดพันการต่อสู้อยู่ พุ่งอ้อมไปหาซาลารัสที่อยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นเช่นนั้นแซนโดรจึงออกอาการร้อนรนขึ้นมาและพยายามปลีกตัวจากการต่อสู้ แต่เพราะรีบเกินไปจึงจนโดนคมดาบของสาวใช้ทั้งสองฟันเข้าไปหลายแผล แถมยังไม่สามารถสลัดการพัวพันของทั้งสองคนได้
“…ฮึ่ม…”
“ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าน่า เจ้าหน้าหวาน”
ทัลดาแรมแสยะยิ้มและพูดเย้ยหยันเมื่อเห็นว่าตนกำลังได้เปรียบ ส่วนหนึ่งคือพยายามยั่วยุให้แซนโดรร้อนรนขึ้นด้วยจะได้พลาดพลั้งได้ง่าย ๆ แต่แซนโดรก็ยังคงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา พลางปัดป้องการโจมตีราวกับพายุของคนทั้งสอง โดยแอบรวบรวมพลังเวทอยู่เงียบ ๆ
ทางด้านซาลยังคงยืนนิ่งและจ้องมองเคเลเซ็ทที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่กะพริบตา ราวกับกำลังรอการมาถึงของเธอ
แม้จะดูเยือกเย็น แต่ความจริงแล้วเขากำลังใจเต้นระรัวทั้งเพราะความกลัวและความตื่นเต้น
“รู้ว่าหนีไปก็ไม่มีประโยชน์สินะ? ฉลาดดีนี่นาเจ้าหนู”
ซาลยังคงไม่โต้ตอบอะไรจนกระทั่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้พอสมควรแล้ว เขาจึงเริ่มร่ายเวท
วงเวทสี่วงปรากฏขึ้นบนพื้นเบื้องหน้าของซาล ทันใดนั้นก็มีมังกรสี่ตัวโผล่ออกมาขวางหน้าเคเลเซ็ทเอาไว้แต่เธอก็ยังไม่ชะลอความเร็วลง
การอัญเชิญสมุนออกมาป้องกันตัวของซาลทำให้เคเลเซ็ทประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เกิดความลังเลแต่อย่างใด แม้มังกรเหล่านี้จะดูเหมือนเป็นสมุนระดับกลาง แต่รูปลักษณ์เป็นสิ่งที่ปรับแต่งเอาได้ อย่าว่าแต่มังกรระดับกลางสี่ตัวเลย แค่มังกรระดับกลางตัวเดียว เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้านี่ก็ไม่มีทางที่จะอัญเชิญออกมาได้แล้ว เพราะเวทอัญเชิญเป็นวิชาที่กินพลังเวทมนตร์มหาศาล เธอจึงคิดว่ามังกรทั้งสี่ตัวนี้ต้องเป็นแค่ของที่สร้างขึ้นมาหลอก ๆ เพื่อใช้ตบตาอย่างแน่นอน
ใบดาบของดาบที่เคเลเซ็ทถืออยู่ค่อย ๆ ถูกชโลมด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากด้ามและย้อมมันจนเกือบเป็นสีดำสนิท ก่อนที่เธอจะหมุนตัวตวัดดาบออกไปเป็นวงกว้าง ทันใดนั้นก็มีคลื่นพลังงานรูปคมดาบสีแดงเข้มแผ่พุ่งออกไปปะทะกับมังกรทั้งสี่ตัวที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่
นี่คือ ‘บลัดแสลช’ (Blood Slash) เป็นท่าโจมตีระยะกลางของบลัดไนท์ซึ่งใช้เลือดเคลือบใบดาบก่อนจะตวัดออกไปโจมตีพร้อมกับพลังเวทและจิตต่อสู้ ก่อให้เกิดใบมีดพลังงานซึ่งมีลักษณะพิเศษ สร้างความเสียหายทั้งทางด้านกายภาพและเวทมนตร์ ทั้งยังมีอานุภาพรุนแรงด้วย
ด้วยพลังของเคเลเซ็ท มันน่าจะเป็นท่าโจมตีที่มีพลังทำลายพอจะสังหารมอนสเตอร์หรือสมุนระดับสามได้ภายในดาบเดียว และเคเลเซ็ทก็ตั้งใจจะกำจัดสมุนอัญเชิญของซาลารัสทั้งหมดด้วยท่านี้ ทว่าเหล่ามังกรที่ถูกคมดาบเข้าปะทะกลับแสดงอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เคเลเซ็ทต้องตกใจ
“อะไรกัน!? ไม่ใช่ของหลอกตางั้นเหรอ!?”
เคเลเซ็ทยั้งเท้าจนหยุดอยู่กับที่เพราะพบกับเรื่องไม่คาดฝัน แต่เมื่อเห็นเหล่ามังกรเริ่มร่ายเวทฟื้นฟูให้แก่กัน เธอก็ตัดสินใจใช้เวทเสริมพลังให้กับดาบอีกครั้งเพื่อเข้าไปโจมตีซ้ำก่อนที่พวกมันจะฟื้นตัว ทว่าในจังหวะนั้นก็ปรากฏวงเวทขึ้นที่ด้านหลังของเธอซะก่อน
พอหันกลับไปมอง เคเลเซ็ทก็พบกับมังกรอีกสี่ตัวโผล่ขึ้นมาจากวงเวท ทำให้เธอถูกล้อมจากรอบด้าน และมังกรทั้งหมดก็พากันพ่นลมหายใจธาตุเข้าใส่เธอในทันที
เมื่อลมหายใจธาตุจากรอบทิศเข้ามาปะทะกันก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แต่เคเลเซ็ทก็ยังกางปีกและพุ่งหนีออกมาทางด้านบนได้ ทว่าบนนั้นก็มีมังกรธาตุลมอีกสองตัวบินขึ้นมาดักรอไว้ก่อนอยู่แล้ว
พริบตานั้น เคเลเซ็ทก็รู้สึกตัวได้ว่าประมาทคู่ต่อสู้มากเกินไป เด็กที่อยู่ตรงหน้านี่ไม่เพียงสามารถอัญเชิญมังกรระดับกลางออกมาเป็นจำนวนมากได้จริง ๆ แต่ยังทำการวางหมากปิดทางหนีของเธอเอาไว้ทุกด้านตั้งแต่ก่อนหน้าที่เธอจะพุ่งเข้ามาหาเขาแล้ว แต่ถึงมาคิดได้ตอนนี้ก็ดูจะสายเกินไป
มังกรทั้งสองโจมตีเคเลเซ็ทด้วยเวท ‘ธันเดอร์โบลท์’ เวทธาตุสายฟ้าอันรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้เคเลเซ็ทที่ยังไม่ทันตั้งตัวโดนสายฟ้าฟาดเข้าไปเต็ม ๆ จากนั้นพวกมันก็ตรงเข้ามาเพื่อขย้ำเธออีกครั้ง แต่เธอก็ยังรวบรวมเรี่ยวแรงอีกเฮือกหนึ่งสะบัดตัวหลบการตะครุบของพวกมันพร้อมทั้งฟันสวนกลับไปจนปีกของมังกรตัวหนึ่งขาดกระเด็นและร่วงหล่นจากบนอากาศ
ระหว่างที่ยังชุลมุนอยู่การเคลื่อนไหวของเคเลเซ็ทก็หยุดชะงักลง เมื่อเธอหันลงไปมองก็พบว่าพวกมังกรบนพื้นได้กระโจนตามขึ้นมาและตัวหนึ่งสามารถคว้าข้อเท้าของเธอเอาไว้ได้ เมื่อการเคลื่อนไหวหยุดชะงักจึงทำให้เธอกลายเป็นเป้านิ่ง มังกรตัวแล้วตัวเล่าค่อย ๆ คว้าแขน ขา และร่างกายของเธอทีละส่วน ก่อนจะฉุดเธอกลับลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง
เคเลเซ็ทได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานอะไรได้
ทางด้านทัลดาแรม เมื่อเห็นสถานการณ์ที่พลิกกลับของเคเลเซ็ทก็เริ่มเสียสมาธิ
“อะไรกัน!? เจ้าเด็กนั่น!?”
“…ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าน่า …ยัยหน้าขาว (ประชด)…”
ก่อนที่ทัลดาแรมจะหันกลับมา แซนโดรก็ปลดปล่อยคลื่นพลังสีเขียวอออกมารอบตัว แม้วาลานาร์จะกางโล่บังตัวเองกับทัลดาแรมเอาไว้ได้ทัน แต่คลื่นพลังงานก็ยังแผ่ทะลุโล่เข้ามากระแทกทั้งสองคนจนกระเด็นถอยหลังไปไกลนับสิบเมตร
“โซลโนว่า งั้นเหรอ!? นี่มันท่าของพวกลิชนี่นา! แปลว่าหมอนี่เป็น!?”
วาลานาร์เริ่มตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่ดูแย่ลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ทัลดาแรมยังคงเฝ้ามองแซนโดรซึ่งตอนนี้กำลังหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาสวมบนใบหน้า
สิ่งนั้นก็คือแว่นตานั่นเอง
——————————————————————————————————–
Part 3
“…ความจริงก็ไม่ค่อยอยากใส่เท่าไหร่ …แต่ถ้าจะสู้ระยะประชิด ยังไงมองเห็นชัด ๆ ไว้ก่อนก็คงดีกว่าแหละนะ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็พุ่งเข้าหาทั้งสองคนด้วยความเร็วที่ผิดกับก่อนหน้านี้อย่างเทียบไม่ติด
เธอควงเคียวเข้าจู่โจมอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องและแม่นยำ แม้ทัลดาแรมกับวาลานาร์จะช่วยกันสู้แต่กลับเป็นฝ่ายที่ถูกต้อนแทน การเคลื่อนไหวของแซนโดรในตอนนี้ทั้งรวดเร็วและคล่องแคล่วกว่าก่อนหน้านี้มาก ราวกับเป็นคนละคน
“อะไรกัน!? แค่ใส่แว่นแท้ ๆ ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้!?”
“แว่นนั่นต้องเป็นอาติแฟคเสริมพลังที่เราคาดไม่ถึงแน่ ๆ เลยค่ะ! ทำไงดีล่ะคะคุณทัลดาแรม!?”
วาลานาร์เริ่มกระวนกระวายขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ทัลดาแรมยังพยายามตั้งสติและหาทางตอบโต้ ส่วนแซนโดรกลับรุกไล่จู่โจมทั้งสองคนด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางพูดคุยไปด้วย
“…ในโลกเก่าก็มีกลุ่มคนที่บูชาของสิ่งนี้เหมือนเป็นอาติแฟคระดับตำนานอยู่จริง ๆ แหละนะ …แต่ว่านี่มันก็แค่แว่นสายตาธรรมดาเท่านั้นเอง …พื้นแถวนี้มันไม่ค่อยเรียบนี่นา พอมองไม่ชัดแล้วก็ไม่กล้าก้าวเท้าเร็ว ๆ เพราะกลัวจะสะดุดหกล้มเอาน่ะ…”
แซนโดรไล่ต้อนฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยจริงจังนัก แต่ทางฝั่งสองสาวกลับหืดขึ้นคอ เพราะแค่ปัดป้องคมเคียวให้พ้นตัวได้ก็เต็มที่แล้ว
ในที่สุดวาลานาร์ก็ตัดสินใจเทเลพอร์ทไปด้านหลังของอีกฝ่ายเพื่อโจมตีขนาบ แต่แซนโดรก็พลิกตัวกลับไปถีบอย่างรวดเร็ว ความแรงของลูกถีบนั้นทำให้วาลานาร์ลอยลอยละลิ่วออกไปราวกับถูกเหวี่ยง
“อั่ก!!”
“วาลานาร์!!”
ทัลดาแรมเผลอตะโกนออกมาเมื่อเห็นฝ่ายเดียวกันพลาดท่า ส่วนแซนโดรก็หันกลับมาไล่ต้อนคู่ต่อสู้ที่เหลือเพียงคนเดียวอีกครั้ง ด้วยท่าทีสบายใจกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย
นิโคลพยายามคบคลานกลับเข้าไปในวงเวทเพื่อลดแรงกระชากและพบว่าเมื่อเข้ามาในวงเวททั้งตัวแล้วแรงกระชากก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะแบบนี้เองมันจึงถูกเรียกว่า ‘บลัดพริซั่น’ เนื่องจากรูปแบบการทำงานของมันเป็นเหมือนกับคุกที่ใช้คุมขังเป้าหมายมากกว่า หากไม่ออกจากเขตวงเวทไป แรงกระชากจากวงเวทก็จะไม่ทำงาน
นิโคลสูดลมหายใจและเตรียมตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดปล่อยรูปลักษณ์ คืนร่างกลับเป็นมังกรเต็มตัว แรงกระชากจากวงเวทจึงทำงานอีกครั้งเพราะขนาดตัวร่างมังกรได้ล้นออกนอกขอบเขตของวงเวทไปมาก แต่ความแข็งแกร่งของร่างมังกรนั้นสามารถทนทานแรงดึงจากวงเวทได้ แม้เกล็ดเกราะที่เหมือนแผ่นศิลาบางส่วนจะเกิดรอยปริร้าวและแตกออก แต่ในที่สุดเธอก็กระชากจนวงเวทที่ตรึงอยู่สลายไปได้
จังหวะนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่วาลานาร์ลอยกระเด็นเข้ามาใกล้นิโคลพอดี เพราะความจวนตัวและไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเองหรือกระเด็นมา เธอจึงตะปบเข้าใส่วาลานาร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเต็มแรง
แม้จะอยู่ในภาวะที่ยังควบคุมทิศทางไม่ได้ แต่เมื่อเห็นอสูรกายขนาดยักษ์กำลังตะเหวี่ยงกรงเล็บเข้าใส่ วาลานาร์ก็กางโล่ออกมาป้องกันตัวตามสัญชาติญาณ เธอใช้โล่ซ้อนกันถึงสามชั้นเพื่อป้องกันการโจมตี แต่มันก็ยังไม่อาจต้านทานพละกำลังอันมหาศาลของมังกรขนาดใหญ่อย่างนิโคลได้ โล่ทั้งสามอันถูกตะปบจนแหว่งครึ่งไปพร้อมกับร่างกายท่อนล่างของวาลานาร์ เหลือเพียงร่างกายท่อนบนที่ค่อย ๆ ลอยตกลงมาแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“วาลานาร์!!! หนอยยย พวกแก!! ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด!!”
ทัลดาแรมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะปลดปล่อยพลังออกมาอีกครั้ง ตอนนี้มีเปลวไฟอันรุนแรงลุกโชนออกมาจากทั้งดาบและชุดเกราะของเธอจนดูเหมือนเป็นลูกไฟเดินได้
เธอพุ่งเข้าโจมตีแซนโดรด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้แต่ก็ถูกแซนโดรปัดป้องคมดาบเอาไว้ทั้งยังโดนด้ามเคียวควงมากระแทกหัวจนหน้าคะมำ ทัลดาแรมรีบยืดตัวขึ้นด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว แต่ยังไม่ทันจะเหยียดตัวขึ้นตรง ทัลดาแรมก็พบว่าแซนโดรได้ขึ้นมาเหยียบอยู่บนไหล่ขวาของเธอแล้ว และยังมีคมเคียวทาบอยู่บนคอของเธอเป็นที่เรียบร้อย
“…คำว่าฆ่าน่ะ …ในวงการเรา เขาเอาไว้พูดหลังจากลงมือเสร็จเรียบร้อยแล้วต่างหากเล่า…”
ทัลดาแรมมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความโกรธที่พุ่งถึงขีดสุด แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยับตัวหรือพูดอะไร แซนโดรก็ตวัดเคียวเกี่ยวคอของทัลดาแรมจนด้ามเคียวหมุนควงเป็นวงกลม ทว่าแทนที่คอของทัลดาแรมจะหลุดกระเด็นไป มันกลับยังคงอยู่ที่เดิม แต่มีเค้าร่างคล้ายกับควันสีขาวถูกเกี่ยวติดใบเคียวไปแทน
มันคือวิญญาณของทัลดาแรมที่ถูกกระชากออกจากร่างไปโดยเคียว ‘โซลฮาร์เวส’ แม้ร่างกายจะไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ จากคมเคียวนี้ แต่วิญญาณที่ถูกเกี่ยวโดนจุดสำคัญก็จะถูกดึงออกจากร่างไปทั้งหมดในคราวเดียว
ในที่สุดร่างไร้วิญญาณของทัลดาแรมก็ล้มลงไปบนพื้น พร้อมกับเปลวไฟบนดาบและชุดเกราะที่มอดดับลง แม้แต่ชิ้นส่วนของชุดเกราะบนร่างของเธอก็ค่อย ๆ สลายหายไป
นิโคลคืนร่างกลับเป็นมนุษย์แล้ววิ่งเข้าไปดูวาลานาร์ทันที เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่เธอก็แสดงสีหน้าโล่งอกออกมา
“เฮ้อ… ยังไม่ตายสินะคะ ดีจังเลย …ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เป็นแบบนี้”
“…อย่ามาดูถูกกันนะยัยบ้า …ฉีกร่างคนอื่นเป็นสองท่อนแล้วจะมาขอโทษอะไรกันเล่า …อย่าคิดว่าชนะแล้วนะ เธอก็แค่อ้วนกว่าก็เลยแรงเยอะเท่านั้นแหละ จำใส่ชั้นไขมันนั่นเอาไว้ซะยัยอ้วน!”
“เอ๋~!? อะ.. อ้วนเหรอคะ!? แต่ฉันก็พยายามกินให้น้อยลงแล้วนะคะ! ช่วงนี้ก็ไม่ได้กินของหวานเลยด้วย!”
แม้จะหายใจรวยรินและนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น แต่วาลานาร์ก็ยังคงปากกล้าไม่เปลี่ยน ส่วนนิโคลแม้จะถูกทำร้ายจิตใจนิดหน่อยแต่ได้เห็นอีกฝ่ายยังแข็งแรงดีเธอก็สบายใจแล้ว
ทางแซนโดร เมื่อเห็นเหตุการณ์สงบแล้ว ก็ปลดปล่อยวิญญาณของทัลดาแรมกลับเข้าร่าง ก่อนจะหันไปมองซาล
‘…เจ้าหนูนั่นก็ทำได้ดีเกินคาดจริง ๆ …ถึงอีกฝ่ายจะประมาทไปหน่อยก็เถอะ …แต่จัดการกับคนที่มีฝีมือเทียบเท่านักผจญภัยระดับ S ได้ก็นับว่าเยี่ยมแล้ว…’
แซนโดรครุ่นคิดในใจว่าควรจะชมซาลยังไงดีถึงจะไม่ทำให้เหลิงจนเกินไป เพราะถ้าเกิดเขาได้ใจขึ้นมาจนไปทำอะไรเสี่ยง ๆ ก็อาจเป็นอันตรายได้ จึงยังลังเลอยู่ว่าจะพูดดี หรือไม่พูดดี
ระหว่างที่แซนโดรกำลังจะเดินไปหาซาล ทันใดนั้นก็มีสายลมกรรโชกพัดมายังเนินที่ทุกคนอยู่ จนเธอต้องหันกลับไปมองยังต้นกำเนิดของสายลมอันผิดปกตินี้
ทันทีที่หันไปดู แซนโดรก็พบว่ามีค้างคาวจำนวนมหาศาลบินเกาะกลุ่มกันมาทางพวกเธอราวกับก้อนเมฆสีดำทมิฬ แต่ค้างคาวพวกนี้กลับบินต่ำเรี่ยดินแทนที่จะอยู่บนท้องฟ้า
ทั้งแซนโดรและนิโคลต่างก็สัมผัสถึงความอันตรายของค้างคาวเหล่านี้จึงเริ่มโจมตีใส่พวกมัน ทั้งด้วยไอเย็น และเวทวิญญาณ แต่ก็เหมือนกับการพยายามโจมตีใส่เมฆหมอก แม้จะทำให้มันเว้าแหว่งไปได้เล็กน้อย แต่ครู่เดียวมันก็กลับคืนสภาพเป็นกลุ่มก้อนอันหนาแน่นดังเดิม
เมฆค้างคาวนั้นเคลื่อนผ่านจุดที่วาลานาร์อยู่ ตามด้วยทัลดาแรม ก่อนจะตรงไปหาซาล ซึ่งตรงนั้นมีมังกรสี่ตัวกำลังกดร่างของเคเลเซ็ทไว้กับพื้น ส่วนอีกสี่ตัวก็ยืนเรียงหน้ากระดานเพื่อประจันหน้ากับฝูงค้างคาวที่กำลังใกล้เข้ามา
“…แย่ล่ะ…”
เมื่อเห็นทิศทางที่พวกมันมุ่งไป แซนโดรกับนิโคลจึงรีบมุ่งหน้าไปหาซาล แต่ก็ยังตามหลังฝูงค้างคาวอยู่พอสมควร
มังกรของซาลที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ต่างก็พ่นลมหายใจธาตุโดยพร้อมเพรียงเพื่อสกัดการมาของฝูงค้างคาว แต่ทันใดนั้นกลุ่มค้างคาวก็รวมตัวซ้อนทับกันและเปลี่ยนรูปร่างไปจนปรากฏเป็นร่างคนพุ่งทะลุลมหายใจธาตุของเหล่ามังกรเข้ามา
คนผู้นั้นถือดาบขนาดใหญ่เป็นอาวุธและเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับพายุ เพียงการหมุนตัวฟันไม่กี่ครั้ง ทั้งมังกรที่เรียงหน้ากระดานกันอยู่และมังกรที่กดร่างของเคเลเซ็ทเอาไว้ก็สลายร่างกลายเป็นละอองแสงไปจนหมด ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
ซาลรีบอัญเชิญมังกรออกมาใหม่อีกสองตัวด้วยความร้อนรน แต่คนผู้นั้นก็ยังรวดเร็วกว่ามาก ผู้ที่มากับความมืดตวัดดาบสังหารมังกรของซาลารัสทิ้งไปในขณะที่พวกมันยังโผล่ออกมาจากวงเวทไม่ครบตัวดีด้วยซ้ำ ก่อนจะตรงเข้ามาคว้าคอของเขาไว้ และพลิกตัวไปอยู่ด้านหลังเพื่อแสดงการข่มขู่ไปยังแซนโดรกับนิโคลที่กำลังตรงเข้ามา พลางบอกให้ทั้งสองคนยั้งเท้าลง
“หยุดอยู่แค่นั้นแหละ”
เพราะซาลถูกจับตัวไว้แล้ว แซนโดรกับนิโคลจึงจำเป็นต้องทำตามที่อีกฝ่ายบอก พวกเธอหยุดยืนอยู่บนที่ราบซึ่งห่างจากจุดที่คนลึกลับจับตัวซาลเอาไว้เพียงไม่กี่สิบเมตร
ฝูงค้างคาวยังคงบินไปรวมกันที่ผู้มาเยือน โดยค่อย ๆ แปรสภาพกลายเป็นผ้าคลุมขนาดใหญ่ที่ปลิวไสวอยู่เหนือพื้นดินตลอดเวลาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นเวลาเดียวกับที่ก้อนเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนห่างออกจากดวงจันทร์ที่คล้อยต่ำ เผยให้ทุกคนเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนอย่างชัดตาขึ้น
“…เป็นเธอจริง ๆ ด้วยสินะ…”
แซนโดรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามปกติของตนเอง ในขณะที่นิโคลกับซาลแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ผู้ที่จับตัวซาลอยู่คือหญิงสาวในชุดกระโปรงซึ่งมีผมสีดำยาวสลวยจนเกือบถึงสะโพก ใบหน้าอันงดงามและเย้ายวน แววตาที่เยือกเย็นคู่นั้นแฝงความทะเยอทะยานเอาไว้ภายใน ริมฝีปากอวบอิ่มที่แย้มยิ้มอย่างมั่นใจ สตรีผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันลี้ลับและชวนหลงใหลคนนี้ เป็นผู้ที่ยากจะหาใครเสมอเหมือนได้อีก
เธอก็คือท่านหญิงลานาเทล ผู้ที่น่าจะตายไปแล้วนั่นเอง