Doombringer the 5th - ตอนที่ 22
Ch.22 – คืนผีดุ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 22
คืนผีดุ
Part 1
แซนโดรเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคนอีกเล็กน้อยเพื่อให้ทำการสนทนาได้สะดวกขึ้น โดยมีนิโคลเดินตามไปด้วย ทางด้านลานาเทลก็เหมือนจะรู้เจตนาดี จึงไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายซาลที่ถูกคว้าคออยู่แต่อย่างใด และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลที่แฝงความขี้เล่นอยู่เล็กน้อย
“ดูจะไม่ค่อยแปลกใจเลยนะคะ รึว่าจะรู้อยู่แล้ว?”
แซนโดรกวาดสายตามองดูท่วงท่าของลานาเทล แม้อุ้งมือของเธอจะยังคงคาอยู่ที่ลำคอซาลเหมือนพร้อมจะบีบรัดมันได้ทุกเมื่อ แต่เธอก็เพียงแค่ทำท่าจับไว้ลอย ๆ ไม่ได้ตะปบลงไปจริง ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นแซนโดรจึงมีท่าทีผ่อนคลายลงและตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไป
“…ก็ไม่ถึงกับรู้หรอก …แต่ก็พอจะเดาได้อยู่…”
“เห~ พวกเด็ก ๆ ที่คฤหาสน์ทำพลาดจนมีพิรุธไปงั้นเหรอคะ?”
“…นั่นก็ส่วนหนึ่ง …แต่หลัก ๆ แล้วเป็นเพราะหนังสือน่ะ…”
“หนังสือเหรอ?”
ลานาเทลเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทีฉงนสงสัย ส่วนแซนโดรก็หยุดยืนอยู่ ณ จุดที่ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบเมตร ก่อนจะอธิบายต่อ
“…พวกหนังสือที่วางอยู่ในตู้มันไม่เหมือนกับที่เคยเห็นในตอนเย็นน่ะ …ทีแรกคิดว่าเพราะมันถูกรื้อค้นแล้ววางกลับเข้าไปใหม่ …แต่พอสังเกตดูดี ๆ แล้ว มันเป็นหนังสือใหม่ทั้งหมดเลย ไม่ใช่หนังสือเก่าที่เคยวางอยู่ตรงนั้น แม้ดูเผิน ๆ รูปเล่มจะคล้ายกัน แต่ในตู้เหล่านั้นแทบไม่มีหนังสือเรื่องเดิมอยู่เลยแม้แต่เล่มเดียว …แปลว่ามีคนนำหนังสือชุดเก่าทั้งหมดออกไป แล้วเอาหนังสือใหม่มาจัดวางแทนเพื่ออำพรางไงล่ะ …ดูเหมือนเธอจะเป็นคนรักหนังสือมากเลยสินะ ถึงได้เคลื่อนย้ายหนังสือชุดเก่าออกไปก่อนเพื่อไม่ให้โดนลูกหลงจากการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นในนั้น…”
“เห~ แบบนี้นี่เอง คุณแซนเดอร์เนี่ยเป็นคนช่างสังเกตดีนะคะ”
“…พอดีมันมีหนังสือที่น่าสนใจอยู่หลายเล่มน่ะ …กำลังคิดว่าจะขอยืมไปอ่านอยู่เลย…”
“พอใส่แว่นแล้วก็ยิ่งดูหล่อขึ้นอีกเป็นกองเลยนะคะ ฝีมือก็สูง แถมความสนใจยังตรงกัน… น่าเสียดายจริง ๆ ถ้าได้รู้จักกันในสถานการณ์อื่นละก็คงจะดีไม่น้อย”
แม้จะแค่แวบหนึ่ง แต่แซนโดรก็รู้สึกว่าแววตาของลานาเทลแสดงความรู้สึกเศร้าออกมา กระนั้นเธอก็ยังคิดว่านั่นอาจเป็นแค่การเล่นละครก็ได้
“ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะครับพี่สาว! ทุกอย่างมันเริ่มต้นกันใหม่ได้! เรามาทำความรู้จักกันใหม่อีกรอบ แล้วถือซะว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีกว่า!”
“ฮุฮุฮุ~ เรื่องนั้นคงจะไม่ได้หรอกค่ะ”
‘…ไอ้เจ้าเด็กนี่ อยู่เงียบ ๆ สักนาทีนึงมันจะตายมั้ยเนี่ย…’
แซนโดรแอบรู้สึกหงุดหงิดกับการสอดแทรกของซาล แต่อันที่จริงมันก็ไม่ใช่นิสัยที่เธอรังเกียจอะไรนัก ส่วนฝั่งลานาเทลก็ดูจะไม่ถือสาอะไรกับเขาเช่นกัน
แม้จะถูกทำให้เสียบรรยากาศไปบ้าง แต่แซนโดรก็ชักประเด็นสนทนากลับมาเข้าเรื่องต่อ
“…ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากขนาดนี้ด้วย?…”
“หืม? อะไรเหรอคะ?”
“…ถึงจะต้องการตัวนักประดิษฐ์ไปใช้สร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ก็ยังมีวิธีอื่นอีกตั้งหลายวิธีนี่นา …ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำเรื่องยุ่งยากอย่างการแกล้งตายแล้วใส่ความพวกเราเลย …ไม่สิ การแกล้งตายครั้งนี้คงไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราสินะ …เธอทำไปเพื่อตบตาใครกันแน่?…”
ลานาเทลกลอกตาเหมือนทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ เช่นเคย แต่แววตาคมกริบของเธอก็ยังคงฉายแววอันเย็นเยียบอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
“อืม… พวกคุณเองดูแล้วก็ไม่มีใครเป็นแวมไพร์จริง ๆ เลยสักคนเหมือนกันนะคะ แล้วจะต้องการ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ไปเพื่ออะไรกันล่ะ? พอจะบอกได้มั้ยคะ?”
“…เรื่องนั้น มันก็ค่อนข้างซับซ้อนอยู่นะ …ถ้าจะให้อธิบายจริง ๆ ก็คงจะยาวน่ะ…”
“ทางนี้เองก็เหมือนกันแหละค่ะ แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะเป็นสิ่งที่เราไม่มีกันทั้งคู่สินะคะ”
“…งั้น จะเอายังไงดีล่ะ?…”
“ไม่เห็นต้องถามเลยนะคะ ฉันเป็นฝ่ายที่มีตัวประกันอยู่ เพราะงั้นพวกคุณก็ยอมแพ้ซะ แล้วยอมให้จับกลับไปดี ๆ เถอะค่ะ”
“…จะดีเหรอ? ยังไงพวกเราก็รู้เรื่องที่เธอยังไม่ตายแล้วนะ …ไม่กลัวว่าเราจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นรึไง?…”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฆาตกรที่ฆ่า ลานาเทล ซันรีเวอร์ น่ะหนีรอดไปแล้วและไม่มีใครเคยได้พบตัวอีก ส่วนพวกคุณจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในที่อีกแห่งหนึ่ง อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะได้ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ชุดใหม่แหละนะคะ”
“…แล้วหลังจากนั้นล่ะ?…”
“เรื่องนั้นฉันจะพิจารณาดูจากความประพฤติของพวกคุณหลังจากนี้ก็แล้วกันค่ะ”
ลานาเทลโปรยยิ้มหวานพร้อมกับตอบกลับมา แต่ในสายตาของซาลแล้ว ดูยังไงมันก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ทำให้อุ่นใจเลย
เพราะเงื่อนไขนี้ไม่สู้จะดีนัก แซนโดรจึงพยายามเจรจาต่อรองอีกครั้ง
“…เธอเองก็ต้องการใช้นักประดิษฐ์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? …ถ้าฆ่าเด็กนั่นไป เธอก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการนะ…”
“วิธีสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ก็น่าสนใจอยู่ แต่ยังไงฉันก็ให้ความสำคัญกับการปกปิดความลับเรื่องการตายมากกว่า เพราะงั้นถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็คงต้องลงมือแหละค่ะ”
เมื่อเห็นว่าการต่อรองไม่ได้ผล แซนโดรจึงลองหยั่งเชิงด้วยสงครามประสาทดูบ้าง
“…แล้วคิดว่าฉันจะสนชีวิตเด็กนั่นมากกว่าชีวิตตัวเองรึไง? …แค่นักประดิษฐ์คนเดียวน่ะยังไงก็หาใหม่ได้อยู่แล้ว…”
“นั่นสินะคะ ยังไงชีวิตตัวเองก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีเรื่องการสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ละก็ ฉันก็เหลือแค่ต้องฆ่าปิดปากพวกคุณทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องเริ่มจากเด็กคนนี้อยู่ดีนั่นแหละค่ะ… ไม่สิ แค่หักแขนหักขาไม่ให้มาเกะกะการต่อสู้ก็น่าจะพอแล้ว ไว้พอหายดีก็น่าจะประดิษฐ์ของได้อีกครั้งแหละเนอะ?”
ลานาเทลก้มถามเด็กน้อยในอุ้งมือด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน พลางเอามือลูบท่อนแขนของเขาไปด้วย ทำให้ซาลขนลุกไปทั้งตัว
“หยุดนะคะ!”
นิโคลซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตะโกนห้ามขึ้นมาในทันที ส่วนแซนโดรแม้จะไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ แต่ความสั่นไหวในดวงตาของเธอตอนที่ได้ยินลานาเทลพูดว่าจะหักแขนของซาลก็ไม่อาจพ้นสายตาอันเฉียบคมของอีกฝ่ายไปได้ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคนแล้ว รอยยิ้มของลานาเทลก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“หืม~ ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนสำคัญกว่าที่พูดนะคะ คงไม่ใช่แค่นักประดิษฐ์ธรรมดา ๆ ซะแล้วสิ แต่เรื่องนั้นไว้คุยกันทีหลังดีกว่า… ยอมทิ้งอาวุธซะ แล้วให้จับโดยดีเถอะค่ะ”
ลานาเทลหันไปมองกับเคเลเซ็ทที่กำลังนั่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอยู่บนพื้นใกล้ ๆ และให้สัญญาณด้วยสายตา ซึ่งเคเลเซ็ทก็พยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาแซนโดรกับนิโคลเพื่อเตรียมใช้เวทพันธนาการกับทั้งสองคน
——————————————————————————————————–
Part 2
“คุณแซนโดรคะ ทำไงดีล่ะคะ?”
นิโคลที่กำลังร้อนใจกระซิบถามแซนโดรด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย ซึ่งแซนโดรก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำตอบที่ทำให้นิโคลต้องตกใจออกมา
“…อืม …คงต้องยอมให้ยัยนั่นหักแขนของซาลารัสซะแล้วล่ะนะ…”
“เอ๋~!? ดะ.. ได้ยังไงกันล่ะคะ!?”
“…ยัยนั่นอาจฆ่าเราทิ้งที่นี่แล้วพาซาลารัสไปคนเดียวก็ได้ …ถ้าไปรู้ภายหลังว่าเขาไม่ใช่นักประดิษฐ์ก็คงฆ่าทิ้งอยู่ดี …สรุปว่าพวกเราจะตายกันหมด …แต่ถ้าสู้ซะเดี๋ยวนี้เราก็มีโอกาสชนะ มีแค่ซาลารัสที่ต้องทนเจ็บตัวหน่อยเท่านั้นเอง…”
“ตะ.. แต่ว่า.. ถ้าเกิดเธอฆ่าคุณซาลารัสทิ้งแทนที่จะแค่หักแขนล่ะคะ?”
แซนโดรนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ทำให้นิโคลตกใจยิ่งกว่าเดิม
“…แบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แหละนะ…”
“หมายความว่ายังไงกันคะ!?”
“…ตายคนเดียวก็ดีกว่าตายสามคนไม่ใช่เหรอ…”
“…!?”
นิโคลอึ้งกับคำตอบอันเย็นชาของแซนโดรจนพูดอะไรไม่ออก
ในระหว่างนั้น เคเลเซ็ทก็เดินเข้ามาใกล้พวกเธอทีละน้อย พร้อมกับเริ่มสร้างวงเวทพันธนาการขึ้นมาเตรียมไว้ด้วย แต่นิโคลสัมผัสได้ว่าทางแซนโดรเองก็กำลังรวบรวมพลังเวทเพื่อเตรียมที่จะต่อสู้อยู่เช่นกัน ไม่ใช่จะยอมจำนน และคงจะลงมือทันทีที่อีกฝ่ายเดินมาถึงเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นิโคลจึงแปลงเป็นร่างกึ่งมังกรแล้วฟาดปีกเข้าใส่แซนโดรทันที
ปีกของนิโคลทุบลงพื้นจนดินแตกกระจายเป็นหลุมกว้าง แต่แซนโดรกระโดดหลบออกมาจากตรงนั้นได้ก่อนแล้ว ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับสถานการณ์นี้จนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่เคเลเซ็ทที่เดินเข้าไปจนจะถึงอยู่แล้ว ก็ยังต้องหลบฉากออกมาเพื่อดูท่าที
นิโคลยังคงกระโจนตามเข้าไปซ้ำอีกครั้ง แต่แซนโดรก็ใช้ด้ามเคียวกันกรงเล็บของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ถึงกระนั้นด้วยกำลังของนิโคลก็ทำให้สามารถกดด้ามเคียวเอาไว้จนแซนโดรไม่สามารถขยับไปไหนได้และถูกกดจนทรุดลงเรื่อย ๆ แรงกดทำให้ข้อเท้าของแซนโดรเริ่มจมลงไปในพื้นหญ้า และมีเสียงเบียดตัวของชั้นหินเบื้องล่างดังออกมา
“…ทำอะไรของเธอน่ะ!?…”
“เรื่องนั้นฉันยอมไม่ได้หรอกนะคะ!!”
“…ยัยนั่นมันไม่ฆ่าซาลารัสหรอกน่า! …อย่างมากก็แค่หักแขนสักข้างเท่านั้นเอง!…”
“แค่นั้นฉันก็ไม่ยอมแล้วค่ะ!!”
“…เลิกคิดอะไรง่าย ๆ ซะทีจะได้มั้ย!?…”
ทั้งสองคนโต้เถียงพลางประลองกำลังกันโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
ลานาเทลเฝ้าดูเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าพึงใจเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก
“อ้าวๆ~ เล่นอะไรกันคะเนี่ย? แบบนี้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงน่ะสิ”
เพราะศัตรูกำลังสู้กันเองทำให้ลานาเทลผ่อนคลายการระวังตัวลง
ซาลอาศัยจังหวะนี้แทงนิ้วเข้าไปในปากของลานาเทลที่ไม่ทันระวังตัวจนทำให้เธอสำลัก
“อ๊อก..!? แค่ก.. นะ.. หนอย! ทำอะไรของเธอน่ะเจ้าเด็กนี่!!”
ลานาเทลกระชากคอของซาลจนลอยขึ้นมาจากพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว แววตาคมกริบที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารนั้นทำให้สีหน้าของเธอดูน่ากลัวผิดกับสีหน้าสบาย ๆ ตามปกติมาก
นิโคลกับแซนโดรที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์จึงต้องหยุดมือและหันไปทางนั้นแทน แต่จากตำแหน่งที่ทั้งสองคนอยู่ พวกเธอคงไม่มีทางเข้าไปช่วยเขาได้ทันการ
แม้จะถูกบีบคอและยกตัวลอยขึ้นจากพื้นจนแทบหายใจไม่อออก แต่สายตาของซาลก็ยังคงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่
เขากางมือไปยังลานาเทลพร้อมกับเอ่ยคำพูดเบา ๆ ด้วยเสียงที่เหลืออยู่
“อัญเชิญ…”
ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกมา สีหน้าของลานาเทลก็เปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึง แล้วศีรษะของเธอก็ระเบิดออกคล้ายกับลูกแตงโมที่ถูกฝังระเบิดเอาไว้ พลันก็ปรากฏร่างของมังกรที่มีความยาวตั้งแต่หัวจรดหางเกือบสามเมตรโผล่ออกมาจากจุดที่เคยเป็นศีรษะของลานาเทล ทำให้มันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงฉานทั่วทั้งตัว
——————————————————————————————————–
Part 3
ร่างที่ไร้หัวของแวมไพร์สาวค่อย ๆ ล้มลงราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย ทำให้ซาลถูกปล่อยกลับลงมาบนพื้นด้วย
“ท่านลานาเทล!!”
เคเลเซ็ทตะโกนเรียกด้วยความตกใจและพยายามจะวิ่งกลับไปหาผู้เป็นนาย แต่ก็โดนหางมังกรของนิโคลฟาดเข้าจนกระเด็นออกไปซะก่อน
ส่วนซาลเมื่อตั้งหลักได้ก็วิ่งกลับมาหานิโคลซึ่งกำลังวิ่งไปรับตัวเขาอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ!?”
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก แค่โดนกระชากคอจนสำลักนิดหน่อย ว่าแต่เมื่อกี้ทะเลาะอะไรกันน่ะ!? ทำไมถึงต้องมาทะเลาะกันตอนนี้ด้วยเล่า!?”
“เอ่อ.. แค่มีความเห็นไม่ตรงกันนิดหน่อยน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
นิโคลพยายามเลี่ยงเหตุผลของการทะเลาะไปเพราะไม่อยากให้ซาลรู้สึกไม่ดี ใช่ว่าเธอพยายามปกป้องแซนโดร แต่เธอออยากจะปกป้องความรู้สึกของซาลเอาไว้มากกว่า ในขณะนั้นแซนโดรที่เดินตามมาถึงพอดีก็เอ่ยถามขึ้น
“…เมื่อกี้ เธอทำอะไรน่ะ? …ใช้สมุนอัญเชิญโจมตีในระยะประชิดงั้นเหรอ? …แต่ถึงจะเป็นมังกรระดับห้าก็ไม่น่าจะสร้างความเสียหายรุนแรงได้ขนาดนั้นเลยนี่นา…”
เมื่อได้ยินแซนโดรถาม ซาลก็ทำสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนกำลังรอให้ถามอยู่แล้ว และเอ่ยคำตอบออกมาด้วยท่าทางปลื้มใจ
“ไม่ได้ใช้โจมตีหรอก แค่อัญเชิญออกมาเฉยๆด้วย ‘จุดอัญเชิญ’ (Spawning Point) น่ะ”
“…จุดอัญเชิญเหรอ?…”
“ใช่แล้วล่ะ ตะกี้ผมอาศัยทีเผลอ ใส่จุดอัญเชิญเข้าไปในปากของเขา จากนั้นก็อัญเชิญสมุนออกมา ทำให้มีสมุนโผล่ออกมาจากจุดอัญเชิญในปาก ก็เลย… อึ๋ย ไม่อยากจะพูดต่อแล้วอะ เลือดยังติดเสื้ออยู่เลยเนี่ย…”
นิโคลนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนหน้าและผมของซาล ส่วนแซนโดรก็ยังทึ่งกับวิธีการที่เขาใช้ในการเอาตัวรอดออกมาไม่หาย
‘…เจ้าเด็กนี่ …มันก็อันตรายดีเหมือนกันนะเนี่ย…’
แซนโดรแอบคิดในใจ แม้จะไม่อยากชมเขาซึ่ง ๆ หน้า แต่คราวนี้ซาลทำได้เกินกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้มากจริง ๆ ทำให้เธอก็บกลั้นความรู้สึกถูกใจเอาไว้ไม่อยู่
“…หึหึหึหึหึ…”
“หืม?”
“คุณแซนโดร?”
“…ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ ๆ …ทำได้ไม่เลวเลยจริง ๆ …ครั้งนี้ต้องขอชมเชยเลยล่ะ…”
แซนโดรหัวเราะร่วนอย่างสบายอารมณ์ แต่นิโคลดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยนัก
“พูดอะไรน่ะคะ ทำแบบนี้มันอันตรายออก อาจถูกฆ่าเอาก็ได้นะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่านิโคล ผู้หญิงคนนั้นน่ะเขาคิดว่าผมเป็นนักประดิษฐ์ เพราะงั้นคงไม่ลงมือให้ถึงตายหรอก”
“แต่ไปทำให้โกรธแบบนั้น เขาอาจพลั้งมือเอาก็ได้นะคะ”
“แบบนั้นก็ไม่มีข้อต่อรองแล้วใช่ม้า ถ้าแซนโดรกับนิโคลช่วยกันสู้ละก็ต้องชนะได้แน่ ๆ ”
“แต่ถ้าคุณซาลารัสตายไป มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคะ?”
“ตายคนเดียวก็ดีกว่าตายสามคนไม่ใช่เหรอ? ถ้าต้องอยู่ต่อไปโดยแลกด้วยชีวิตของนิโคลกับแซนโดรละก็ สู้ให้ผมตายไปซะยังจะดีกว่า”
“ทะ.. ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ?”
“ไม่ใช่ว่าอยากเป็นผู้เสียสละอะไรหรอกนา แต่ว่า… ผมไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียวอีกแล้วน่ะ… แล้วก็ไม่อยากต้องอยู่โดยแบกรับความรู้สึกผิดที่ทำให้นิโคลกับแซนโดรต้องตายด้วย …ถ้าต้องอยู่ต่อไปด้วยความรู้สึกแบบนั้นละก็ ผมไม่เอาด้วยหรอก…”
นิโคลรู้สึกอึ้งกับคำพูดของซาลจนพูดไม่ออก ส่วนแซนโดรก็เดินเข้ามาเขกหัวของเขาเบา ๆ
“โอ๊ย”
“…คิดแบบนั้นมันใช้ไม่ได้ …ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ต้องพยายามอยู่ต่อไป …ชีวิตคนเรายังต้องเผชิญเรื่องร้ายอีกเยอะ …ถึงต้องเผชิญกับความสูญเสียบ้างก็ต้องผ่านมันไปให้ได้…”
แซนโดรพูดเตือนสติของซาลด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน นิโคลสังเกตว่านี่เป็นคำพูดที่มาจากใจจริง หรืออาจมีประสบการณ์จริงปะปนอยู่ด้วยก็ได้ จึงยิ่งรู้สึกสับสนเพราะคำพูดของแซนโดรตอนนี้มันช่างขัดกับการกระทำก่อนหน้านี้ซะเหลือเกิน แต่ในระหว่างที่ยังคิดไม่ตก ซาลก็โพล่งออกมา
“ไม่เอา!”
“…หา?…”
แซนโดรขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่เอานั้นหมายถึงอะไร ส่วนซาลก็ยืดอกพูดต่อด้วยท่าทีองอาจ แต่ดูยังไงมันก็เหมือนกับเป็นท่าทางของเด็กดื้อหัวรั้นซะมากกว่า
“ผมจะอยู่ต่อไปโดยไม่ยอมสูญเสียอะไรทั้งนั้น นี่เหละคือเป้าหมายของผม!”
“…ไม่ยอมสูญเสียอย่างอื่น แต่ยอมสูญเสียชีวิตตัวเองเนี่ยนะ?…”
“หากต้องการทุกอย่างก็ต้องเดิมพันด้วยชีวิตอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ที่เขาเรียกว่า All or Nothing (ได้ทั้งหมดหรือไม่ก็เสียทุกสิ่ง) ไงล่ะ”
“…บางครั้งฉันก็ดูไม่ออกว่าเธอฉลาดหรือติงต๊องกันแน่น่ะนะ…”
“ว่าไงนะ!?”
แซนโดรกับซาลยังคงจิกกัดกันตามเคย ส่วนนิโคลเมื่อได้ฟังความคิดทั้งหมดนั้นแล้วก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อนหลายอย่างเกิดขึ้นในใจจนลำดับออกมาไม่ถูก จึงได้แต่นิ่งเงียบไป
“…เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลังเถอะ …มาจัดการเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า …!?…”
เมื่อแซนโดรหันกลับไปมองลานาเทลก็พบว่าร่างอันไร้หัวของแวมไพร์สาวกลับลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง
แซนโดรรีบยิงเวทเข้าใส่ร่างนั้นโดยไม่รอช้า แต่ผ้าคลุมผืนใหญ่ที่เธอสวมอยู่ก็พับตัวมาด้านหน้าและบังการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ทั้งหมด ในระหว่างนั้น ผ้าคลุมบางส่วนก็เริ่มสลายตัวกลายเป็นกลุ่มเส้นด้ายสีแดงและไหลไปยังต้นคออันว่างเปล่าของลานาเทล ก่อนจะสานตัวกันและถักทอเป็นรูปร่างศีรษะของมนุษย์อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดศีรษะของลานาเทลก็คืนสภาพขึ้นมาจนครบสมบูรณ์ เธอลืมตาขึ้นและมองมายังพวกแซนโดรด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เปี่ยมความมั่นใจเหมือนเช่นเคย
แซนโดรขบฟันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับลานาเทลด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรู้สึกเหนื่อยหน่ายเอาไว้
“…ให้ตายสิ …อึดยิ่งกว่าแมลงสาบซะอีกนะเนี่ย …แต่ต่อให้เป็นแวมไพร์ก็เถอะ ถ้าถูกทำลายส่วนหัวไปแล้วก็ไม่น่าจะคืนชีพได้นี่นา …ทำไมเธอถึงยังไม่ตายอีกล่ะ?…”
“อืม~ ถ้าถูกทำลายส่วนหัวในสภาพปกติก็คงจะไม่รอดจริง ๆ นั่นแหละค่ะ โชคดีที่รู้สึกเอะใจซะก่อน ก็เลยเปลี่ยนสภาพส่วนหัวทันน่ะ”
ลานาเทลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงใส ๆ อันนุ่มนวลและรอยยิ้มที่แฝงความขี้เล่นไว้เช่นเคย ท่าทางของเธอตอนนี้ดูสมบูรณ์พร้อมจนไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะเฉียดความตายมาเลยจริง ๆ
“…แบบนี้นี่เอง …’บลัดคราฟท์’ สินะ …แต่ถึงงั้นก็เถอะ เพิ่งจะเคยเจอคนที่สามารถทำการแปรสภาพได้ภายในเสี้ยววินาทีนี่แหละ…”
“หุหุหุ~ ชมเกินไปแล้วค่ะ”
‘บลัดคราฟท์’ (Blood Craft) คือทักษะระดับสูงของบลัดอาร์ท เป็นความสามารถที่ทำให้แปลงสสารหรืออวัยวะต่าง ๆ ให้กลายเป็นเลือด และแปลงเลือดให้กลายเป็นสสารหรืออวัยวะต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ
พวกแวมไพร์ระดับล่างหรือระดับกลางจะสามารถแปรสภาพได้เพียงอุปกรณ์บางส่วน เช่นแปลงผ้าคลุมให้กลายเป็นปีกเท่านั้น แต่สำหรับแวมไพร์ระดับสูงที่เชี่ยวชาญในบลัดคราฟท์จะสามารถแปลงสภาพได้ทั้งตัว เช่นลานาเทลที่เปลี่ยนร่างเป็นฝูงค้างคาวเพื่อเดินทางมาที่นี่
ในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนที่มังกรของซาลจะโผล่ออกมาจากวงเวท ลานาเทลก็แปลงสภาพศีรษะของตัวเองให้กลายเป็นของเหลว จึงหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที
“อา~ เท่ากับวันนี้ฉันได้ตายไปสองรอบแล้วนะคะเนี่ย เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากจริง ๆ ”
ลานาเทลบิดคอไปมาเหมือนพยายามจะปรับศีรษะให้เข้าที่ พลางพูดด้วยท่าทางขี้เล่นตามเคย ผิดกับแซนโดรที่ตวัดเคียวออกมาถือในท่าเตรียมพร้อม ก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“…ถ้ายังว่างอยู่ละก็ จะลองดูอีกสักรอบมั้ยล่ะ? …ครั้งนี้น่าจะเป็นรอบสุดท้ายแล้วล่ะนะ…”
“หุหุหุ~ พวกคุณนี่เป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจจริง ๆ เลยนะคะ… ถ้ายังไงละก็ สนใจจะมาร่วมมือกับฉันมั้ยคะ? เราน่าจะเป็นพวกเดียวกันได้นะ”
คำชวนของลานาเทลทำให้แซนโดรรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย จึงเอ่ยถามกลับไป
“…ร่วมมือเหรอ? …เพื่ออะไรล่ะ?…”
รอยยิ้มบนในหน้าของลานาเทลยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้สายตาของเธอที่เคยส่อแววขี้เล่นกลับกลายเป็นแววตาอันคมกริบที่แผ่กลิ่นอายอันเย็นเยียบออกมาแทน เธอสบตากับแซนโดรอีกครั้ง ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มอันหนักแน่น
“ก็เพื่อการยึดครองโลกนี้ไงล่ะคะ”