Doombringer the 5th - ตอนที่ 23
Ch.23 – ความรักไม่มีพรมแดน
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 23
ความรักไม่มีพรมแดน
Part 1
ทุกคนต่างก็แปลกใจกับคำพูดของลานาเทล ทำให้เกิดความเงียบงันอยู่เป็นเวลานาน
“…ครองโลกงั้นเหรอ? …นี่เธอเพี้ยนรึเปล่า?…”
แซนโดรเอ่ยถามกลับไปด้วยสีหน้าที่แสดงความเคลือบแคลง ส่วนซาลก็แอบกระซิบกระซาบกับนิโคลอยู่ทางด้านหลัง
‘ตัวเองก็จะทำเหมือนกันแท้ ๆ ยังไปว่าเขาเพี้ยนอีก’
‘ชู่ว.. เบา ๆ สิคะคุณซาลารัส’
เสียงกระซิบกระซาบที่แว่วมาจากด้านหลังทำให้สีหน้าของแซนโดรแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมานิดหน่อย แต่ดวงตาก็ยังคงจับจ้องอยู่กับคู่สนทนาเพื่อรอคำตอบ ซึ่งลานาเทลก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนานนัก เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นการหยอกเย้าเหมือนเคย
“หุหุหุ~ ฟังดูเป็นอย่างนั้นสินะคะ แต่ว่าดิฉันเอาจริงนะ ถ้าได้พวกคุณมาเป็นแนวร่วมละก็ จะต้องเข้าใกล้เป้าหมายได้อีกหลายก้าวแน่ ๆ เลยค่ะ”
“…เธอเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดรึเปล่า? …คิดจะเป็นศัตรูกับพีชคีปเปอร์งั้นเหรอ?…”
“นอกจากทางนี้แล้วยังมีวิธีไหนที่ทำให้ครองโลกได้อีกเหรอคะ?”
แซนโดรพยายามพิจารณาดูสีหน้าของลานาเทลในระหว่างสนทนา แต่มองยังไงก็มองไม่ออกว่าเธอพูดจริงหรือพูดโกหกกันแน่
“…เธอต้องการยึดครองโลกไปเพื่ออะไรกัน?…”
ลานาเทลเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา มันไม่ใช่การหยุดคิดเพื่อหาข้ออ้าง แต่เป็นการดึงความสนใจของคู่สนทนามายังตนเองก่อนจะกล่าวคำตอบอันหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นนั้น
“เพื่อ อิสรภาพของเหล่าแวมไพร์ไงล่ะคะ”
“…อิสรภาพเหรอ?…”
แววตาของลานาเทลในขณะที่ตอบคำถามนั้นฉายประกายอันซับซ้อนออกมา แต่แซนโดรก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกแบบใดกันแน่ ในระหว่างนั้น เธอก็อธิบายต่อ
“ถึงแม้จะได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งและสงบสุข แต่ความจริงแล้วพวกเราเหล่าแวมไพร์น่ะมีสภาพไม่ต่างไปจากสัตว์เลี้ยงเลย ทั้งถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่ได้แต่ในวาลาเชีย และไม่สามารถสืบเชื้อสายกับเผ่าพันธุ์อื่นได้ ทั้งหมดนี่เป็นพันธนาการที่เราต้องแบกรับมานับตั้งแต่กำเนิดโลกใหม่แล้ว”
“…ถ้ายึดครองโลกแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เหรอ?…”
“โลกนี้เป็นแค่ของที่จะใช้ในการต่อรองน่ะค่ะ เมื่อยึดครองโลกได้แล้ว ฉันจะใช้มันในการต่อรองกับสิบนักปราชญ์ให้ทำการเปลี่ยนกฎของโลกอีกครั้ง ให้พวกเราเหล่าแวมไพร์สามารถใช้ชีวิตใต้แสงอาทิตย์ได้ทุกที่ และสืบเชื้อสายของแวมไพร์กับเผ่าพันธุ์อื่นได้ด้วย”
“…คิดว่าพวกเขาจะยอมเรื่องนี้เหรอ?…”
“รายละเอียดอาจต้องมีการปรับนิดหน่อย หรืออาจต้องใช้อะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม แต่ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตอมตะ ให้มีอายุขัยเท่ากับคนธรรมดา ฉันก็ยินดีค่ะ”
คำพูดนั้นดูจะขัดกับความเข้าใจของแซนโดรอยู่บ้าง จึงเอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิงออกไป
“…โฮ่ …ฉันคิดว่าพวกแวมไพร์น่ะหวงแหนชีวิตอมตะยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดซะอีก…”
ลานาเทลยิ้มรับให้กับคำพูดนั้น แต่ดวงตาของเธอกลับทอประกายความเศร้าออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบกลับมา
“คงมีแวมไพร์ที่คิดแบบนั้นอยู่จริง ๆ แหละนะคะ แต่สำหรับฉันแล้ว การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระในช่วงเวลาสั้น ๆ … ได้ไปในที่ที่อยากไป อยู่ในเวลาที่อยากจะอยู่ และรักกับคนที่อยากจะรัก… มันมีค่ากว่าชีวิตอันยาวนานที่ถูกจำกัดซึ่งสิ่งเหล่านั้นมากเลยค่ะ”
แซนโดรครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง คำพูดของอีกฝ่ายฟังดูมีเหตุผล แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกคล้อยตามซะทีเดียว จึงลองหยั่งเชิงดูอีก
“…ฟังดูมันก็เป็นเรื่องของพวกแวมไพร์นี่นา …อย่างที่เธอว่านั่นแหละ พวกเราไม่ใช่แวมไพร์ซะหน่อย …เพราะงั้นเรื่องนี้เราไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย…”
“ถ้าต้องการละก็ ฉันจะแบ่งโลกให้ครึ่งนึงก็ได้นะคะ”
ลานาเทลตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มและสีหน้าสบาย ๆ เช่นเคย ทำให้แซนโดรคาดเดาอะไรไม่ได้มากนัก
“…พูดเหมือนพวกจอมมารในโลกเก่าเลยนะ…”
“หุหุหุ~ ก็มีคนที่ทำสำเร็จอยู่นะคะ”
“…เรื่องที่สำคัญกว่าสิ่งตอบแทนก็คือความเชื่อใจต่างหาก …จะให้เราเชื่อใจคนที่ฆ่าพ่อตัวเองเพื่อชิงอำนาจอย่างเธอน่ะเหรอ?…”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น รอยยิ้มของลานาเทลก็เริ่มจางลง แม้แต่สายตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววตาอันเย็นชามาแทนที่
“ท่านพ่อน่ะ… กำลังจะสร้างหายนะให้กับเผ่าพันธุ์เรา ฉันเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารท่านทิ้งเท่านั้น”
“…หายนะเหรอ?…”
ลานาเทลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอปรายตาไปมองยังท้องทุ่งอันเวิ้งว้างที่อยู่โดยรอบด้วยแววตาอันว่างเปล่า พลางเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา
“เหล่าแวมไพร์รุ่นเก่าโดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสเองต่างก็ไม่ได้พึงพอใจกับสภาพชีวิตที่เป็นอยู่หรอกนะคะ แถมยังลุ่มหลงในอำนาจด้วย พวกเขาคิดว่าแวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ควรปกครองโลก ก็เลยคิดจะเปลี่ยนคนบนโลกทั้งหมดให้เป็นแวมไพร์ค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนที่ฟังอยู่ต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แซนโดรจึงถามต่อ
“…เปลี่ยนคนบนโลกทั้งหมดให้เป็นแวมไพร์? …แต่การเป็นแวมไพร์จะสืบทอดทางสายเลือดเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?…”
“ยังมีอีกทางหนึ่งก็คือการดัดแปลงพันธุกรรม เป็นวิธีที่ให้กำเนิดเผ่าแวมไพร์ขึ้นมาตั้งแต่แรกไงล่ะคะ”
“…หมายถึงจะจับคนทั้งโลกไปดัดแปลงพันธุกรรมเนี่ยนะ? …มันจะเป็นไปได้ยังไง?…”
“เขาไม่ได้จะจับคนทั้งโลกไปดัดแปลงพันธุกรรมหรอกค่ะ แต่จะสร้างไวรัสที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นแวมไพร์ขึ้นมาต่างหาก”
“…ไวรัสเหรอ?…”
“ใช่แล้วค่ะ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะแอบทำข้อตกลงกับนักวิทยาศาสตร์ในฟิวเจอร์รีชให้ช่วยสร้างไวรัสที่เปลี่ยนคนเป็นแวมไพร์ขึ้นมา เมื่อสำเร็จแล้วก็จะแพร่มันไปทั้งโลก เพื่อให้คนทั้งโลกกลายเป็นแวมไพร์”
“…แต่แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไรล่ะ …ดินแดนที่เหล่าแวมไพร์สามารถใช้ชีวิตในยามกลางวันได้ก็มีแค่วาลาเชียอยู่ดี…”
“เพราะแบบนั้นพวกเขาถึงคิดแผนการที่เลวร้ายขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการทำลายดวงอาทิตย์ไงล่ะคะ”
“…หา?…”
สีหน้าของทุกคนแสดงความประหลาดใจออกมาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ลานาเทลพูดนั้นฟังดูเหลือเชื่อยิ่งกว่าเดิมซะอีก ซึ่งเธอก็อธิบายต่อโดยไม่ได้รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถาม
“รู้สึกว่าท่านพ่อจะไปค้นพบเวทมนตร์โบราณจากที่ไหนก็ไม่รู้ ตามตำนานกล่าวว่ามีมีอานุภาพในระดับที่สามารถทำลายดวงอาทิตย์ได้ แม้จะยังไม่เคยทดสอบจริง ๆ แต่ท่านพ่อก็เชื่ออย่างสนิทใจว่ามันจะต้องได้ผล ท่านดำเนินการต่อโดยวางแผนไว้ว่าจะทำลายดวงอาทิตย์ทิ้งไปในวันเดียวกับที่แพร่ไวรัส เพียงเท่านี้โลกแห่งแวมไพร์ก็จะเสร็จสมบูรณ์”
“…นั่นมันบ้าชัด ๆ …แล้วเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จหรอกนะ …โดยเฉพาะในยุคที่สวรรค์ยังคงเฝ้าดูโลกอยู่แบบนี้ …ถึงดวงอาทิตย์จะถูกทำลายไป พระเจ้าก็คงสร้างดวงใหม่ขึ้นมาอยู่ดี …ไม่สิ แค่สิบนักปราชญ์ก็น่าจะทำได้แล้วมั้ง ถ้าเป็นพวกนั้นละก็ แม้แต่เรื่องไวรัสก็น่าจะแก้ไขได้…”
“ใช่แล้วค่ะ เป็นแผนการที่สิ้นคิดจริง ๆ เวทมนตร์นั่นจะใช้ได้จริงรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อก็ยังอยากจะเดิมพันกับแผนการอันสิ้นคิดนั้น ฉันไม่อยากให้เผ่าแวมไพร์กลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกเลยแอบไปแจ้งข่าวให้พีชคีปเปอร์ได้รู้ ปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับยิ่งแย่กว่าเดิมซะอีก”
“…แย่ลงกว่าเดิมงั้นเหรอ?…”
“ดูเหมือนทางพีชคีปเปอร์จะต้องการยึดครองวาลาเชียเพื่อสิทธิ์ในการผูกขาดองุ่นเลือดมานานแล้ว แถมยังมองเผ่าแวมไพร์ว่าเป็นเผ่าสายมืดที่อาจไปเข้าร่วมกับพวกปิศาจได้ทุกเมื่ออีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะไม่ยับยั้งแล้ว พวกเขายังจะรอให้สถานการณ์เกิดขึ้นก่อน แล้วใช้มันเป็นข้ออ้างในการล้างเผ่าพันธุ์แวมไพร์ก่อนจะยึดครองวาลาเชียน่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสังหารท่านพ่อด้วยมือตัวเองเท่านั้น”
แม้ลานาเทลจะพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ แต่แววตาของเธอก็ยังคงดูโศกเศร้าอยู่
ซาลกับนิโคลมีความรู้สึกคล้อยตามกับเรื่องเล่าของลานาเทล แต่แซนโดรก็ยังคงไม่ไว้ใจเธออยู่ดี
“…ถ้าเธอยอมมอบ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ให้เราก่อนละก็ …ฉันจะลองพิจารณาข้อเสนอนี้ดูก็ได้…”
“หุหุหุ คงจะไม่ได้หรอกนะคะ เพราะความจริงแล้ว ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ที่เหลืออยู่ก็มีแค่อันที่ฉันกำลังใส่อยู่นี่เพียงอันเดียวเท่านั้นแหละค่ะ.. อ๊ะ.. เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย”
ลานาเทลสะบัดผ้าคลุมลงกับพื้น ทันใดนั้นก็เกิดของเหลวสีแดงเข้มวิ่งไปตามพื้น ราวกับเป็นธารน้ำเลือดสายเล็ก ๆ
แซนโดรและนิโคลต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่ของเหลวเหล่านั้นก็ไม่ได้ไหลมาทางพวกเธอ
ธารน้ำเลือดนั้นไหลไปยังจุดที่ร่างของเคเลเซ็ท, ทัลดาแรม, และวาลลานาร์ นอนอยู่ จากนั้นร่างของทั้งสามก็ค่อย ๆ จมลงในแอ่งเลือดจนหายไปทั้งตัว
เมื่อกลืนร่างของทั้งสามคนไปแล้ว ธารเลือดนั้นก็ไหลย้อนกลับมาที่ลานาเทล และกลายสภาพกลับเป็นผ้าคลุมที่ปลิวสะบัดอยู่ตลอดเวลาอีกครั้ง แถมยังผืนใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
“ตอนนี้ก็ใกล้จะเช้าแล้วล่ะนะคะ ถ้าปล่อยให้อยู่ข้างนอก เดี๋ยวจะระเหยกันไปซะก่อน”
“…แปรสภาพได้แม้แต่แวมไพร์ด้วยกัน …สมแล้วที่ได้ฉายาว่า ‘ราชินีโลหิต’…”
“หุหุหุ มันก็แค่คำเยินยอน่ะค่ะ.. แล้ว… ตกลงว่าจะยอมรับข้อเสนอของฉันรึเปล่าคะ?”
“…เรื่องนั้น …ต้องขอโทษด้วยนะ …ยังไงฉันก็ยังไว้ใจเธอไม่ได้อยู่ดี…”
“อา… แย่จังเลย… แต่ก็เป็นเพราะฉันเองที่เริ่มต้นไว้ไม่ดีด้วยแหละ เพราะงั้นคงโทษใครไม่ได้หรอกเนอะ”
“…นั่นสินะ…”
เมื่อเจรจาตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
——————————————————————————————————–
Part 2
“…พาซาลารัสถอยออกไปห่างๆ …ระยะโจมตีของแม่นี่น่ะน่าจะกว้างไม่เบาเลยทีเดียว …ถ้าเผลอละก็อาจโดนลูกหลงเข้า หรือถูกจับไปอีกก็ได้ …คอยดูแลเขาให้ดีด้วย…”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
นิโคลกางปีกมังกรขนาดใหญ่ออกมาก่อนจะพาซาลบินห่างออกมาจากบริเวณต่อสู้ ซึ่งแม้ซาลจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เขาก็ไม่ได้พูดโต้แย้งอะไร
เมื่อทั้งสองคนออกไปห่างพอสมควรแล้ว แซนโดรกับลานาเทลก็เดินเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามอย่างช้า ๆ
“นี่ คุณแซนเดอร์ รู้อยู่แล้วใช่มั้ยคะ ว่าฉันจะยอมแต่งงานกับคนที่เอาชนะฉันได้เท่านั้นน่ะ”
“…จริงด้วยสินะ …แต่พอดีฉันไม่ได้พกแหวนหมั้นติดตัวมาเลยน่ะ …ใช้แหวนต้องสาปแทนพอจะได้มั้ย? …มีอยู่เพียบเลย…”
ลานาเทลพูดหยอกเย้าตามนิสัย แต่คำตอบของแซนโดรที่ยอมเล่นด้วยแม้จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันเรียบเฉยนั้นก็ทำให้ลานาเทลแสดงความรู้สึกพอใจออกมาทางสีหน้า
“เห~ มั่นใจจังเลยนะคะ”
“…คืนนี้เตรียมสละโสดได้แล้วล่ะท่านหญิง…”
“รับผิดชอบคำพูดด้วยนะคะ~”
เมื่อพูดจบ ร่างของลานาเทลและแซนโดรก็หายไปจากสายตาของซาลที่เฝ้าดูอยู่
ซาลไม่อาจมองการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วนั้นได้ทัน จึงเห็นเพียงแค่แสงแปลบปลาบจากการปะทะกันของดาบและคมเคียวเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ทั้งยังมีร่องรอยความเสียหายจากการต่อสู้เกิดขึ้นบนพื้นไปทั่ว
“มะ.. มองไม่ทันเลย นี่ นิโคล พอจะมองเห็นรึเปล่า?”
“ก็พอจะเห็นอยู่นะคะ แต่ว่า.. ดูเหมือนคุณแซนโดรจะเสียเปรียบอยู่น่ะค่ะ…”
“หา!?”
แม้จะมีผ้าคลุมผืนใหญ่ที่ดูเทอะทะติดอยู่กลางหลัง แต่การเคลื่อนไหวของลานาเทลก็ทั้งรวดเร็วและเฉียบคม แถมยังโจมตีได้อย่างรุนแรงด้วยดาบเคลย์มอร์ประจำกาย ซึ่งเธอสามารถกวัดแกว่งมันด้วยมือข้างเดียวได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย ทำให้แซนโดรตกเป็นฝ่ายตั้งรับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้
เมื่อเสียเปรียบในการต่อสู้ระยะประชิด แซนโดรจึงดีดตัวออกห่าง แล้วเปลี่ยนมาโจมตีด้วยเวทแทน
เธอควงเคียวเพื่อรวบรวมพลังเวทมนตร์ก่อนจะปักด้ามของมันลงบนพื้น ทันใดนั้นก็เกิดวงเวทสีเขียวปรากฏขึ้นบนพื้นที่ถูกเคียวปักอยู่ ก่อนจะมีลูกไฟสีเขียวจำนวนหลายสิบลูกพุ่งกระจายกันออกมาจากวงเวทนั้นและตรงเข้าไปหาลานาเทลราวกับดวงวิญญาณที่มีชีวิต
ก่อนที่ลูกไฟจะมาถึงตัว ผ้าคลุมของลานาเทลก็ม้วนตัวขึ้นมาด้านหน้าแล้วแปรสภาพเป็นที่กำบังคล้ายม่านเหล็กขนาดใหญ่กันการโจมตีของบอลไฟทั้งหมดเอาไว้ได้ ในขณะที่ตัวเธอยังคงพุ่งเข้ามาหาแซนโดรด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงเลย
แซนโดรเปลี่ยนมายิงลำแสงสีเขียวออกจากปลายเคียวแทน แต่ลานาเทลก็ยังพลิกตัวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ในเวลาเดียวกันผ้าคลุมส่วนหนึ่งก็แปรสภาพเป็นของเหลวแล้วไหลไปเคลือบคมดาบทั้งเล่มจนกลายเป็นสีดำสนิท ก่อนที่เธอจะกระโดดฟาดดาบลงกับพื้น
ทันทีที่คมดาบสัมผัสกับพื้นดิน ของเหลวสีดำที่เคลือบใบดาบอยู่ก็ไหลซึมลงไปในพื้นดินจนหมดในพริบตา พลันก็เกิดใบดาบสีดำจำนวนมากพุ่งทะลวงพื้นขึ้นมาเป็นแนวยาว และตรงไปยังจุดที่แซนโดรอยู่ ทำให้เธอต้องกระโดดหลบขึ้นไปบนฟ้าแทน
แต่ในระหว่างที่แซนโดรยังลอยอยู่บนอากาศนั้น ลานาเทลก็พุ่งด้วยความเร็วขึ้นมาเสียบดาบเข้าที่หน้าอกของแซนโดรทันที
“…อึก!…”
“หืม!?”
แม้แซนโดรจะถูกดาบของอีกฝ่ายปักเข้าไปเต็มอก แต่ทางลานาเทลก็โดนคมเคียวที่แซนโดรตั้งรอเอาไว้แทงสวนเข้าไปที่หน้าท้องเช่นกัน
“อาวุธนี่มัน!?”
ลานาเทลรีบผละตัวออกจากแซนโดรแล้วลงมาหยุดยืนอยู่บนพื้นเบื้องล่าง ส่วนแซนโดรก็ลงมายืนอยู่ยังจุดที่ไม่ห่างกันออกไปนัก
“โซลฮาร์เวสงั้นเหรอ? แต่แย่หน่อยนะคะ ของแบบนั้นใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอกค่ะ”
ลานาเทลเอามือคว้านจมลงไปในหน้าท้องของตัวเองเหมือนกับมันเป็นของเหลวอันเหนียวหนืด จากนั้นก็ดึงก้อนเลือดก้อนหนึ่งออกมาสลัดลงบนพื้น ในเวลาไม่นานก็มีเปลวควันสีขาวลอยขึ้นมาจากเลือดกองนั้นก่อนมันจะถูกดูดเข้าไปในเคียวของแซนโดร และไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรเพิ่มเติมอีก
“…สลัดส่วนที่โดนคมเคียวทิ้งเพื่อไม่ให้ถูกดึงวิญญาณออกมางั้นเหรอ …ไม่นึกว่าจะทำแบบนั้นได้ด้วย…”
“รู้สึกเราจะมีอาวุธที่พิเศษด้วยกันทั้งคู่นะคะ แต่แลกกันไปคนละดาบแบบนี้ทางคุณก็แพ้แล้วล่ะค่ะ …หืม?”
ลานาเทลยกดาบขึ้นมามองแล้วพบว่าไม่มีเลือดติดใบดาบมาเลยสักหยด และความสามารถในการดูดเลือดของดาบเขี้ยวแวมไพร์ก็ไม่ทำงานด้วย
“นี่คุณ… ไม่มีเลือดงั้นเหรอคะ? เป็นตัวอะไรกันแน่คะเนี่ย?”
ลานาเทลเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน แต่แซนโดรก็เริ่มร่ายเวทต่อโดยไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ
วงเวทจำนวนมากเริ่มปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวแซนโดร ทำให้ลานาเทลก็อยู่เฉยไม่ได้ เธอรีบพุ่งเข้าไปเพื่อสกัดการร่ายเวทในทันที แต่จู่ ๆ วงเวทเหล่านั้นก็เพิ่มจำนวนขึ้นจากเพียงไม่กี่วงกลายเป็นนับร้อย และลอยขึ้นไปปกคลุมเต็มท้องฟ้า
วงเวทเหล่านั้นกระหน่ำยิงลำแสงสีเขียวลงมาใส่ลานาเทลที่อยู่เบื้องล่างร่าวกับห่าฝน แต่เธอก็ยังพลิกตัวยังหลบหลีกมันได้ทั้งหมด ด้วยการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วและรวดเร็ว แซนโดรที่พอจะรู้ถึงความเร็วของอีกฝ่ายอยู่แล้วจึงชี้มือไปทางเธอก่อนจะใช้งานเวทมนตร์อีกบทหนึ่ง
ทันใดนั้น ลานาเทลก็หยุดชะงักอยู่กับที่ เพราะข้อเท้าของเธอถูกตรึงเอาไว้ด้วยโซ่เวทมนตร์สีเขียวเรืองแสง การหยุดอย่างกะทันหันนี้ทำให้เธอเสียหลักจนต้องใช้ดาบปักยันพื้นเบื้องหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้หน้าคะมำ
สิ่งที่แซนโดรใช้คือเวท ‘อิมโมบิไลซ์’ เวทพันธนาการสายมืดซึ่งใช้ตรึงการเคลื่อนไหวของเป้าหมายได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แม้มันคงจะมีผลลานาเทลแค่ไม่กี่วินาทีเพราะเธอเป็นผู้มีฝีมือสูงทำให้มีจิตต่อสู้อันแรงกล้าคลุมกายอยู่ แต่ช่วงเวลาแค่นั้นก็สามารถตัดสินเป็นตายได้แล้ว
เมื่อไม่สามารถหลบหลีกได้ ลานาเทลจึงแปรสภาพผ้าคลุมขึ้นมาเป็นโล่ขนาดใหญ่เพื่อป้องกันการโจมตีจากวงเวทที่อยู่บนอากาศ ก่อนจะชโลมเลือดให้กับคมดาบอีกครั้งและแทงมันลงไปบนพื้น ครั้งนี้ไม่ได้เกิดคมดาบพุ่งทะลุพื้นเป็นทางยาวมาเหมือนคราวที่แล้ว แต่แซนโดรก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตราย
เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาก็มีคมดาบสีดำขนาดใหญ่พุ่งทะลุพื้นขึ้นมายังจุดที่แซนโดรอยู่ แต่แซนโดรที่ระวังตัวอยู่แล้วก็สามารถหลบออกไปได้อย่างฉิวเฉียด
ช่วงที่แซนโดรหลบคมดาบทำให้การโจมตีจากวงเวทบนฟ้าเกิดช่องว่าง ลานาเทลอาศัยจังหวะนั้นแปรสภาพโล่เหล็กที่ป้องกันการโจมตีอยู่ให้กลายเป็นอาวุธแทน ผิวของโล่ค่อย ๆ มีปุ่มหนามผุดออกมา และยืดยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นใบดาบสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งตรงขึ้นไปหาวงเวทที่อยู่บนฟ้าด้วยความเร็วสูงราวกับเป็นลูกธนู เพียงไม่นานโล่ทั้งอันก็กลายสภาพเป็นใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งสวนขึ้นไปทำลายวงเวททุกวงบนท้องฟ้าจนไม่เหลือแม้แต่วงเดียว
ดาบเหล่านั้นเมื่อทำลายวงเวทเสร็จแล้วก็บินย้อนกลับมาเพื่อที่จะมารวมตัวกันเป็นผ้าคลุมอีกครั้ง แต่มาได้ไม่ถึงครึ่งทางแซนโดรก็ปลดปล่อยวงเวทชุดที่สองขึ้นไปบนอากาศ ลานาเทลจึงควบคุมฝูงดาบให้วกไปทำลายวงเวทเหล่านั้นก่อนเพื่อไม่ให้มันทำการโจมตีได้ แต่หลังจากสั่งให้พวกมันพุ่งตรงไปยังวงเวทแล้วเธอจึงเพิ่งสังเกตว่าวงเวทชุดนี้มีสีม่วง ผิดกับวงเวทชุดก่อนหน้าที่มีสีเขียว
ทันที่ที่คมดาบเข้าปะทะ วงเวทเหล่านั้นก็ระเบิดติดต่อกันเป็นลูกโซ่ ทำให้เกิดลูกไฟทรงกลมสีม่วงเกาะกลุ่มกันเป็นแนวยาวราวกับพวงองุ่น ส่งผลให้ดาบเลือดทั้งหมดของลานาเทลสูญสลายไป เป็นเวลาที่เธอรู้ตัวว่าพลาดท่าซะแล้ว
วงเวทสีม่วงของแซนโดร แท้จริงแล้วเป็นเวท ‘อิมโพลชั่น’ (Implosion) ซึ่งเป็นเวทระเบิดธาตุมืดที่สามารถยับยั้งคุณสมบัติในการฟื้นฟูได้ทุกชนิด การโจมตีของลานาเทลที่ใช้การแปรสภาพเลือดเป็นอาวุธนั้นปกติแม้ตัวอาวุธจะถูกทำลายก็ยังคืนสภาพกลับมาใหม่ได้ แต่ด้วยผลยับยั้งการฟื้นฟูของ ‘อิมโพลชั่น’ ทำให้ดาบที่เธอส่งขึ้นไปถูกทำลายอย่างถาวร
แม้ตอนที่แปรสภาพเป็นโล่จะมีพลังป้องกันและความต้านทานเวทสูง แต่ในขณะที่เป็นดาบมันจะมีแต่พลังโจมตีและแทบไม่มีพลังป้องกัน จึงถูกทำลายได้โดยง่าย ด้วยจำนวนดาบที่ถูกทำลายไปทำให้ตอนนี้ผ้าคลุมของลานาเทลที่เคยแผ่กว้างเกือบสิบเมตร หดลงมาเหลือแค่ราว ๆ หนึ่งเมตรเท่านั้น
ถึงจะพลาดท่าจนสูญเสียอาวุธประจำกายไป แต่ลานาเทลก็ยังคงยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา ราวกับเธอกำลังสนุกกับการต่อสู้นี้อยู่
“ไม่นึกว่าจะเล็งจังหวะนี้อยู่ แต่ต้องขออภัยด้วยนะคะ เรื่องการขาดแคลนเลือดน่ะไม่ใช่ปัญหาของแวมไพร์ในยุคนี้หรอกค่ะ”
เธอพูดพลางวาดมือขึ้นบนอากาศ ทันใดนั้นก็มีองุ่นเลือดหลายพันลูกปรากฏขึ้นมา มันคือองุ่นเลือดที่ถูกเก็บไว้ในช่องมิติเก็บของนั่นเอง
เธอชูดาบขึ้นฟ้า ทันใดนั้นก็เกิดคลื่นพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากปลายดาบ ทันทีที่คลื่นแผ่ไปกระทบ องุ่นเลือดแต่ละผลก็แตกตัวออกเป็นของเหลวและหยดลงมาอาบย้อมผืนดินเบื้องล่างจนกลายเป็นทะเลเลือด
ทะเลเลือดที่นองอยู่บนพื้นมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากสีแดงใสกลายเป็นสีแดงเข้มจนเกือบดำ และยังมีการไหลเวียนอย่างผิดธรรมชาติราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตอีกด้วย
ลานาเทลตวัดดาบชี้ไปทางแซนโดรเหมือนเป็นสัญญาณสั่งโจมตี ทันใดนั้นทะเลเลือดที่นองอยู่โดยรอบก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะแปลงสภาพเป็นคมดาบขนาดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงขึ้นไปหาแซนโดร
แซนโดรพยายามบินโฉบหลบการทิ่มแทงของคมดาบขนาดยักษ์เหล่านั้นพลางหาโอกาสโจมตีสวนกลับไปด้วย แต่เพราะจำนวนมหาศาลและความเร็วของมัน ทำให้เธอได้แต่หลบหลีกอย่างเดียว ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจบินสูงขึ้นเพื่อให้พ้นจากระยะโจมตีของคมดาบเหล่านั้น แต่ทันทีที่หลุดจากระยะของมัน แซนโดรก็พบว่าอีกฝ่ายได้ขึ้นมาดักรออยู่ก่อนแล้ว
ลานาเทลตวัดดาบฟันแขนซ้ายของแซนโดรจนขาดกระเด็นไป แต่ในจังหวะนั้นแซนโดรก็นำ ‘เรธเชล’ ชุดเกราะหัวกระโหลกคู่ใจออกมาสวม และใช้มือข้างที่เหลืออยู่คว้าข้อมือขวาของลานาเทลเอาไว้ได้
แซนโดรดึงอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัว ทำให้ลานาเทลรู้สึกงุนงงกับการกระทำนี้ จนกระทั่งวินาทีต่อมานั้นเอง แสงสีเขียวเจิดจ้าก็ส่องลงมาจากฟากฟ้าราวกับเป็นดวงอาทิตย์ ทันใดนั้นลำแสงเวทขนาดใหญ่ก็ถูกยิงลงมากลืนร่างของทั้งสองคนหายไปในลำแสงนั้น
มันคือ ‘เดธเซนเทนซ์’ (Death Sentence) หนึ่งในเวทโจมตีระดับสูงสุดของแซนโดรนั่นเอง
ลำแสงนั้นพุ่งลงไปเผาผลาญกลุ่มรยางค์สีดำจนสลายไปเกือบหมด ทำให้พื้นดินตรงนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่อลำแสงสลายไป บนฟ้าก็ปรากฏร่างของแซนโดรในชุดเกราะหัวกะโหลกที่ยังคงปลอดภัยดี แต่ฝั่งลานาเทลนั้นอยู่ในอาการร่อแร่เพราะโดนลำแสงเข้าไปเต็ม ๆ แม้แต่ผ้าคลุมเลือดของเธอก็สลายไปจนหมดด้วย
แซนโดรตีเข่าใส่ข้อมือของลานาเทลจนดาบเคลย์มอร์เล่มนั้นหลุดออกจากมือของผู้เป็นนายอย่างง่ายดาย นั่นเพราะลานาเทลบาดเจ็บหนักจนไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้านอีก เธอร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างโดยมีแซนโดรถือดาบพุ่งตามลงไปติด ๆ
ทันทีที่ร่างของลานาเทลตกลงมากระแทกพื้นดิน แซนโดรก็แทงดาบปักตรึงร่างของเธอเอาไว้กับพื้น ทำให้ลานาเทลแสดงสีหน้าเจ็บปวดและกระอักเลือดออกมา ก่อนจะนอนนิ่งอยู่แบบนั้นโดยไร้ท่าทีที่จะขัดขืน
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้จบลงโดยที่แซนโดรเป็นฝ่ายชนะ นิโคลก็พาซาลบินกลับมาอีกครั้ง
ทางแซนโดรก็ถอดชุดเกราะออกก่อนจะเดินเข้าไปมองดูลานาเทลที่ถูกตรึงอยู่ด้วยดาบของตัวเอง
“จริง ๆ แล้วคลาสหลักของคุณเป็นนักเวทสินะคะ… แค่ก ๆ … ไม่น่าประมาทเกินไปเลย… ถ้าเน้นการป้องกันให้มากกว่านี้ละก็…”
ลานาเทลยังคงปั้นยิ้มและพูดคุยด้วยท่าทางปกติ แม้จะพูดไปกระอักเลือดไปก็ตาม
เธอเอามือล้วงเข้าไปในคอเสื้อเพื่อหยิบจี้ห้อยคออันหนึ่งออกมา ก่อนจะยื่นมันให้กับแซนโดร
“นี่คือ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ตามสัญญาค่ะ… หุหุ.. แค่ก… มาพูดตอนนี้อาจจะสายไปหน่อย แต่ยังไงช่วยทำตามข้อตกลงเดิมสักครึ่งนึงจะได้มั้ยคะ?..”
“…ครึ่งนึงเหรอ?…”
“หลังจากสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ชุดใหม่สำเร็จแล้ว… ช่วยส่งสร้อยเส้นนี้คืนให้กับวาลาเชียได้มั้ยคะ… ขอแค่ให้วาลาเชียยังมีตัวอย่างไว้ใช้ในการศึกษาวิจัยต่อสักชิ้นก็พอแล้วค่ะ…”
แซนโดรรับสร้อยจากลานาเทลมาพิจารณาดู และพบว่ามันเป็นของจริงไม่ผิดแน่นอน เธอเก็บมันเข้าช่องมิติเก็บของไป แต่ก็ยังคงยืนมองร่างของแวมไพร์สาวผู้นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นอีกเป็นเวลานาน ก่อนจะเอ่ยคำพูดขึ้น
“…ทำไมเธอถึงออมมือล่ะ?…”
คำถามนั้นทำให้นิโคลกับซาลต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ส่วนลานาเทลแม้จะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง แต่ก็ยังคงยิ้มและตอบแบบกลบเกลื่อนไป
“เอ๋?… ยกย่องกันเกินไปแล้วนะคะ… ฉันน่ะเอาจริงตลอดเวลานั่นแหละค่ะ…”
“…ไม่หรอก …ในการโจมตีทั้งสองครั้ง เธอพยายามเลี่ยงจุดตายทั้งนั้น …ทั้งที่ความจริงด้วยฝีมือระดับเธอน่ะถ้าได้เข้าใกล้ขนาดนั้นแล้วจะสับร่างของอีกฝ่ายเป็นสองเสี่ยงในดาบเดียวก็ทำได้ไม่ยากเลย …ถ้าโดนเฉือนร่างกายออกไปสักซีกหนึ่งละก็ ฉันคงไม่มีทางใช้เวทได้อย่างเต็มที่จนอาจแพ้ไปแล้วก็ได้…”
ลานาเทลนิ่งเงียบไปเพื่อสูดลมหายใจอีกสักพัก ก่อนจะตอบกลับมา
“ที่บอกว่าอยากให้มาร่วมมือกันน่ะเป็นความจริงนะคะ… ฉันคิดว่าถ้าเอาชนะได้โดยไม่ฆ่า ก็จะพอเกลี้ยกล่อมให้มาเป็นพวกได้น่ะค่ะ… ไม่นึกว่าจะเป็นฝ่ายแพ้ซะเอง… ฉันประเมินคุณแซนเดอร์ต่ำไปจริง ๆ … หุหุหุ… แค่ก ๆ ”
แซนโดรมองลานาเทลแล้วครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะถามอีกคำถามที่ยังคาใจอยู่
“…เธอเองก็มี ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ สำหรับตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ …เท่ากับมีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ …และถ้าหาทางสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ชุดใหม่ขึ้นมาแจกจ่ายได้ ทุกคนก็จะมีอิสระเหมือนกัน …ไม่เห็นต้องทำเรื่องยุ่งยากอย่างการพยายามครองโลกเพื่อเปลี่ยนกฎเลย…”
“ถึงอย่างนั้นเราก็ยังถูกพันธนาการด้วยเรื่องสายเลือดอยู่ดีแหละค่ะ… ฉันก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้ แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสรุ่นก่อนทำน่ะนับว่าถูกแล้ว… หากปล่อยให้เหล่าแวมไพร์เดินทางและพบรักอย่างอิสระกับเผ่าพันธุ์อื่น สักวันพวกเราจะต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์แน่ ๆ ค่ะ… หากไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ซะ เราก็ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่รอการล่มสลายอยู่เช่นเดิม…”
“…เพราะงั้นก็เลยแกล้งตาย เพื่อที่จะได้หลบสายตาของพีชคีปเปอร์ …แล้วออกมาเตรียมการครองโลกน่ะเหรอ…”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งนะคะ… แต่ก็มีเหตุผลส่วนตัวด้วย…”
“…เหตุผลส่วนตัวเหรอ?…”
ลานาเทลหันมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มจะมีแสงเรืองรองออกมา เป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว สำหรับแวมไพร์ที่อยู่นอกเขตแดนวาลาเชียและไม่มี ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ติดตัว มันก็เปรียบเสมือนย่างเท้าแห่งมัจจุราชที่กำลังจะมาเอาชีวิต แต่ลานาเทลกลับจ้องมองมันด้วยแววตาอันอ่อนโยน และสีหน้าที่แสดงความพึงพอใจออกมา
“คนนอกอาจไม่ได้สังเกตเพราะพื้นที่นี้เป็นเขตหนาว… แต่แสงอาทิตย์ในวาลาเชียมันไม่มีความอบอุ่นอยู่ค่ะ… อาจเป็นเพราะม่านเวทมนตร์ที่ถูกสร้างไว้ป้องกันเหล่าแวมไพร์จากแสงอาทิตย์ทำให้มันเป็นแบบนั้น… หากไม่ใช่แวมไพร์ที่เคยออกมาข้างนอกก็คงจะไม่รู้เหมือนกัน… ฉันน่ะชอบความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ค่ะ… เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่นอกวาลาเชียมากกว่า… และคิดว่าถ้าสักวันแวมไพร์ทุกคนสามารถสัมผัสกับความอบอุ่นนี้ได้อย่างอิสระก็คงจะดี…”
เมื่อได้ยินว่าสิ่งที่เรียบง่ายในชีวิตประจำวันซึ่งไม่มีใครเคยเห็นค่าแบบนี้กลับเป็นสิ่งที่ผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งพยายามไขว่คว้า ก็ทำให้ซาลรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา เขารู้สึกเห็นใจลานาเทลมากขึ้น และอยากจะเอ่ยปากขอให้แซนโดรไว้ชีวิตเธอ แต่ก็รู้ว่านั่นเป็นความคิดที่ง่ายและเอาแต่ใจเกินไปหน่อย เพราะเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของลานาเทลเลย จึงเก็บความคิดนั้นเอาไว้กับตัวโดยไม่ได้พูดออกมา
ทางด้านแซนโดรก็ยังคงจ้องมองลานาเทนด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย และเอ่ยคำพูดอีกครั้ง
“…เป็นแวมไพร์ แต่ดันชอบแสงอาทิตย์แบบนี้ …เธอน่ะเป็นแวมไพร์ที่ใช้ไม่ได้เลยนะ…”
“ฮุฮุฮุ… นั่นน่ะสิคะ… อา… ได้ตายด้วยสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบแบบนี้ ความจริงก็ไม่เลวเลยนะคะ…”
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องออกมาอาบชโลมผืนดินทีละน้อย ทำให้ร่างของลานาเทลที่ต้องแสงแดดเข้าเกิดการระเหยกลายเป็นควัน ราวกับผ้าที่กำลังลุกไหม้ แต่เธอก็ยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งเหมือนกับคนที่เตรียมใจยอมรับความตายเอาไว้แล้ว เธอยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะกล่าวคำลากับแซนโดร
“ถึงจะไม่รู้ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร… แต่ก็ขอให้โชคดีในการเดินทางนะคะ คุณแซนเดอร์…”
เมื่อพูดจบ เธอก็หลับตาลงเพื่อรอรับความตายที่กำลังจะมาถึง
แต่แม้เวลาจะผ่านไปพักหนึ่งแล้วลานาเทลก็ยังรู้สึกมีสติอยู่ แถมยังไม่รู้สึกถึงความร้อนจากการถูกแดดแผดเผาเลยด้วย เธอจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าแซนโดรนำ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ กลับมาสวมให้กับเธอ ทำให้เธอไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จากแสงอาทิตย์ ลานาเทลจึงรู้สึกแปลกใจมาก
“คุณแซนเดอร์?…”
แซนโดรดึงดาบที่ปักตรึงหน้าอกของลานาเทลอยู่ออกอย่างเบามือ ทำให้เธอแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงจ้องมองแซนโดรด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“…เราจะไม่ร่วมมือกับเธอในการครองโลกหรอกนะ …แต่เธอต้องมาร่วมมือกับเราในการครองโลกต่างหาก…”
“คุณแซนเดอร์…”
“…เรื่องเป้าหมายของเธอน่ะ ฉันจะรับไว้พิจารณาดู …อาจจะทำหรือไม่ทำก็ได้ …ถ้ารับเงื่อนไขนี้ได้ละก็ จงติดตามพวกเรามาซะ…”
ลานาเทลกวาดสายตามองไปยังนิโคลกับซาลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ทั้งสองคนก็ดูไม่มีท่าทีคัดค้านอะไร เธอจึงหันกลับมามองแซนโดรด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มและประทับใจอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ… ถ้าอย่างนั้น… ดิฉัน ลานาเทล ซันรีเวอร์ ขอฝากตัวในฐานะภรรยาของคุณแซนเดอร์ด้วยนะคะ”
“…อืม …เฮ้ย? …วะ.. ว่าไงนะ?…”
แซนโดรที่กำลังจะรับคำกลับต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดท่อนสุดท้ายที่ฟังดูไม่ถูกต้อง ส่วนลานาเทลก็ลุกขึ้นมาและเบียดตัวเข้าไปใกล้แซนโดรขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยรอยยิ้มและสีหน้าเย้ายวน
“ก็คุณแซนเดอร์เอาชนะฉันในการประลองได้ เพราะงั้นฉันก็ต้องแต่งงานด้วยตามสัญญาไงล่ะคะ”
“…ดะ.. เดี๋ยวก่อน …นั่นมันแค่การต่อสู้ธรรมดาต่างหากเล่า …ไม่เกี่ยวกับการประลองซะหน่อย…”
“แต่ก่อนสู้คุณแซนเดอร์ยังบอกเองว่าให้ฉันเตรียมสละโสดเลยนี่คะ บอกว่าจะใช้แหวนต้องสาปแทนแหวนหมั้นด้วยล่ะ ต้องรับผิดชอบคำพูดด้วยสิคะ”
ลานาเทลรุกไล่อีกฝ่ายด้วยท่าทางขี้เล่น ทำเอาแซนโดรหาทางไปไม่ถูกและพยายามมองหาคนช่วย แต่ทั้งซาลและนิโคลต่างก็ทำหน้าเหรอหราเพราะไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกัน แซนโดรจึงได้แต่พึ่งตัวเอง
“…มะ.. ไม่ได้หรอก! …ดูนะ …ฉันน่ะเป็นผู้หญิงต่างหาก!…”
แซนโดรคืนร่างกลับเป็นผู้หญิงทำให้ผมสีเทายาวสลวยถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่แทนที่ลานาเทลจะมีสีหน้าประหลาดใจและผิดหวัง แววตาของเธอกลับฉายแววตื่นเต้นประทับใจออกมา
“เห~ เป็นผู้หญิงหรอกเหรอคะเนี่ย แถมยังงดงามมากซะด้วย แบบนี้ฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
“…มีหน่อยเถอะ …ฉันขอร้อง…”
“ความรักน่ะเป็นเรื่องของจิตใจนะคะ ไม่ใช่เรื่องของเชื้อชาติ ศาสนา หรือเพศ เพราะงั้นไม่ว่าคุณแซนเดอร์จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันก็ไม่ถือหรอกค่ะ”
“…ฉันชื่อแซนโดรต่างหาก! …แล้วก็เป็นลิชด้วย! …ไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ!…”
แซนโดรคืนร่างกลับเป็นลิชอีกครั้งเพื่อหวังให้ลานาเทลตกใจ แต่ก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี
“เห~ เป็นลิชหรอกเหรอคะเนี่ย มิน่าล่ะถึงได้มีพลังเวทสูงนัก แต่แบบนี้ก็ดูเท่ไปอีกแบบนะคะ รูปลักษณ์ที่อยู่เหนือชีวิตและความตายนี่น่ะ ดูน่าเกรงขามที่สุดเลยค่ะ!”
แววตาของลานาเทลกลับเป็นประกายมากกว่าเดิม แถมยังหายใจแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้นที่เพิ่มเป็นทวีคูณ ดูเหมือนว่าเธอจะชอบร่างลิชนี้มากกว่าร่างผู้หญิงด้วยซ้ำ
“เอ๋~!? นี่คุณแซนโดรเป็นลิชงั้นเหรอคะ!? ตะ.. ตลอดเวลาที่ผ่านมาเลยเหรอคะ!? ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ!”
คนที่แสดงความตกใจออกมากลับเป็นนิโคลที่เพิ่งจะได้รู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ทั้งซาลและแซนโดรต่างก็ทำหน้าเจื่อนไปตาม ๆ กัน
เมื่อดูเหมือนว่าทำยังไงก็คงเปลี่ยนใจลานาเทลไม่ได้แล้ว แซนโดรจึงต้องเป็นฝ่ายตัดใจซะเอง
ด้วยเหตุนี้ คณะเดินทางของผู้สร้างหายนะจึงมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน และแซนโดรก็ได้มีคู่หมั้น (?) กะเขาด้วย