Doombringer the 5th - ตอนที่ 28
Ch. 28
ผู้เฝ้าดูจากความมืด
Part 1
เมื่อลงจากรถม้าแล้ว ลานาเทลก็นำดาบขนาดกลางออกมาสองเล่มและยื่นเล่มหนึ่งให้กับซาล
ในทีแรกเขาคิดว่ามันน่าจะหนักเพราะเป็นดาบสำหรับผู้ใหญ่ แต่พอถือดูแล้วกลับไม่หนักอย่างที่คิด มันมีน้ำหนักพอดีมือทำให้สามารถกวัดแกว่งได้อย่างสบาย เขายังสังเกตว่าใบดาบนี้ไม่มีคมอีกด้วย
“เรา.. จะดวลดาบกันเหรอ?”
“ใช่แล้วค่ะ นี่เป็นการทดสอบความสามารถในการต่อสู้ จะใช้เวทช่วยในการต่อสู้ด้วยก็ได้ แต่ห้ามใช้สมุนอัญเชิญในการโจมตีนะคะ ฉันเองก็จะใช้แค่กระบวนท่าพื้นฐานเหมือนกัน”
“แล้ว.. จะตัดสินแพ้-ชนะกันยังไงล่ะ?”
“เราไม่ได้สู้เพื่อหาผลแพ้-ชนะกันหรอกนะคะ ฉันแค่อยากจะดูพื้นฐานของคุณเท่านั้นเอง ดังนั้นหยุดแค่แตะตัวอีกฝ่ายได้ก็พอแล้ว ก็คือใครใช้ดาบสัมผัสตัวอีกฝ่ายได้ก็ชนะไปค่ะ”
“แบบนี้ผมก็ไม่มีโอกาสชนะเลยน่ะสิ บู่~”
ซาลขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อย ทำให้ลานาเทลยิ้มด้วยความรู้สึกชอบใจ
“แหม~ กะจะเอาชนะเลยเหรอคะ ใจร้อนจัง”
“…ถ้าแพ้ละก็ …ต้องยอมแต่งงานกับซาลารัสด้วยนะ…”
แซนโดรที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ลานาเทลหันไปมองด้วยสีหน้าประหลาดใจวูบหนึ่ง แต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันเย้ายวนอย่างรวดเร็ว
“เห~ แต่ชั้นรับหมั้นคุณแซนโดรไปแล้วนี่คะ หมั้นซ้อนไม่ได้หรอกค่ะ”
“…ฉันขอถอนหมั้น…”
“ไม่ได้ค่ะ หมั้นแล้วต้องแต่งอย่างเดียว มันเป็นกฎของตระกูลซันรีเวอร์ค่ะ”
“…มีกฎแบบนี้ด้วยเหรอ?…”
“ฉันเพิ่งตั้งเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“……………..”
แซนโดรจนด้วยคำพูดเลยได้แต่ทำหน้าเซ็ง ส่วนลานาเทลก็ปรายตามองกลับไปทางซาล พลางกล่าวต่อ
“แต่ถ้าคุณแซนโดรแต่งกับฉันแล้ว และอยากจะรับซาลารัสไว้เป็นบ้านน้อย ฉันก็ไม่ขัดข้องหรอกนะคะ”
นิโคลที่ฟังเงียบ ๆ มาตลอดพอได้ยินประโยคนั้นจึงเริ่มมีท่าทีร้อนรนออกมา
“เอ๋!? ดะ.. ได้ไงกันล่ะคะ!?”
“แหม~ อย่าเพิ่งหึงไปสิคะ ฉันจะให้คุณแซนโดรรับคุณนิโคลไว้ด้วยอีกคนก็ได้ค่ะ อยู่กันสี่คนเป็นครอบครัวใหญ่ ก็อบอุ่นดีออกนะคะ”
“มะ.. ไม่ใช่แล้วค่ะ!”
ลานาเทลยังคงพูดจาหยอกล้อด้วยท่าทางขี้เล่นเหมือนเดิม ส่วนซาลที่ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พูดกันเท่าไหร่จึงได้แต่ยืนฟังแบบงง ๆ
แซนโดรจ้องมองและพิจารณาสีหน้าของลานาเทลอยู่ตลอด แม้สิ่งที่เธอพูดออกมาจะฟังดูเป็นการล้อเล่น แต่ตอนที่พูดคำว่า ‘ครอบครัวใหญ่’ ออกมา แววตาของเธอกลับทอประกายเศร้าหมองออกมาวูบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เจตนาที่แท้จริงของเธอก็ยังเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากอยู่ดี แซนโดรจึงคิดว่าควรจะศึกษานิสัยของอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ แม้จะไม่ค่อยชอบการนัวเนียของเธอก็ตาม
ในระหว่างนั้น ซาลที่เห็นสาว ๆ เอาแต่คุยกันในเรื่องที่ตัวเองฟังไม่เข้าใจ ก็เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงเอ่ยปากเร่งรัด
“นี่ จะเริ่มได้รึยังล่ะ?”
“อ้อ ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ ถ้าพร้อมแล้วก็เข้ามาได้เลยค่ะ”
แม้จะบอกให้เริ่มการต่อสู้ได้ แต่ลานาเทลก็ยังคงยืนด้วยท่าตามสบาย ไม่ได้มีทีท่าเหมือนจะเตรียมต่อสู้แต่อย่างใด ทำให้ซาลแอบฉุนเล็กน้อย เพราะรู้สึกเหมือนโดนดูถูก เขาจึงนำชุดเกราะแบบเบาจากช่องมิติเก็บของออกมาสวม ซึ่งมีชิ้นส่วนของเกราะบังอก, ไหล่, ปลอกแขน, และหมวกที่ปิดหน้าปิดตาจนมิดชิดอีกด้วย ทำให้ลานาเทลรู้สึกข้องใจ
“หืม~ ไม่เห็นต้องใส่เครื่องป้องกันเลยนี่คะ ยังไงก็หยุดแค่สัมผัสตัวอยู่แล้ว”
“แค่เผื่อไว้น่ะ เอาล่ะ จะเริ่มละนะ!”
เมื่อพูดจบ ซาลก็ถือดาบวิ่งเข้าหาลานาเทลในทันที
——————————————————————————————————–
Part 2
ความเร็วของซาลแม้จะเหนือกว่านักเวทวัยเดียวกัน แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับนักผจญภัยรุ่นเยาว์ทั่วไป ลานาเทลจึงจ้องมองการเคลื่อนไหวนั้นอย่างใจเย็น เพราะสำหรับเธอแล้วมันแทบไม่ต่างจากภาพสโลว์โมชั่นเลย
เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะยี่สิบก้าว ซาลก็ยิงเวทไฟร์บอลใส่พื้นเบื้องหน้าของลานาเทลเพื่อให้เกิดม่านควันขึ้นมาบดบังวิสัยทัศน์ ซึ่งลานาเทลก็เห็นการรวบรวมพลังเวทในมือของซาลมาแต่ไกลแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจนัก
“หุหุหุ กะแล้วเชียวว่าต้องไม่เข้ามาตรง ๆ แน่ น่ารักจริง ๆ ”
ลานาเทลยืนรอการโจมตีของอีกฝ่ายอยู่ในม่านควันด้วยความตื่นเต้นว่าเขาจะโจมตีเข้ามาทางไหน
ด้วยประสาทสัมผัสของเธอแล้ว ต่อให้ถูกโจมตีจากด้านหลังในระยะไม่ถึงหนึ่งเมตรก็ยังสามารถหลบหลีกหรือปัดป้องได้ทันอยู่ดี
ทว่าสิ่งแรกที่เธอสัมผัสได้ไม่ใช่การโจมตี แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นดินที่เธอยืนอยู่ ซึ่งกลายสภาพเป็นเหมือนของเหลวแล้วดูดเท้าของเธอจนจมลงไปทีละน้อย
“หืม? เวท ‘ควิกแซนด์’ งั้นเหรอ? แต่ซาลารัสตอนนี้ยังไม่น่าจะใช้เวทนี้ได้เลยนี่นา?”
แม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ลานาเทลก็ไม่ได้เสียความเยือกเย็น เธอกระโดดหลุดออกมาจากหลุมทรายดูดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ในระหว่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศนั้นเอง ก็มีก้อนดินที่ถูกหุ้มด้วยวงเวทสองก้อนพุ่งเข้ามาหาเธอ
เพราะม่านควันที่บังอยู่ทำให้เธอสังเกตเห็นมันช้าไปนิด แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ตอบสนองทันอยู่ เธอจึงเตรียมดาบขึ้นมาเพื่อที่จะปัดก้อนดินทั้งสองก้อนนั้นทิ้งไปซะ
ทว่าทันทีที่ก้อนดินเข้ามาถึงระยะของดาบ มันก็กลายสภาพเป็นรากไม้ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าหาแขนของลานาเทลที่กำลังจะแกว่งไปฟันก้อนดินนั้น
ด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึงทำให้ลานาเทลชะงักไปวูบหนึ่ง บวกกับรากไม้นั้นเติบโตเร็วอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เธอจึงถูกมันพันแขนเข้าจนได้ ซึ่งเมื่อรั้งแขนของเธอเอาไว้ได้แล้วมันก็ยังลามไปพันร่างกายส่วนอื่น ๆ ของเธอต่อด้วย
ก้อนดินอีกก้อนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกัน มันโอบรัดส่วนเอวของลานาเทลเอาไว้ และแผ่กิ่งก้านลงไปพันธนาการขาทั้งสองข้างของเธอ จนตอนนี้เธอถูกรากไม้หุ้มเอาไว้เกือบทั้งตัว ไม่สามารถขยับได้ทั้งแขนและขา
“นี่มันเวท ‘เอ็นแทงเกิล’ นี่นา.. แต่ว่าใช้เวทนี้จากกลางอากาศเนี่ยนะ? ทำได้ยังไงกันเนี่ย?”
แม้จะถูกรากไม้รัดจนขยับไม่ได้ แต่ลานาเทลก็วิเคราะห์สถานการณ์อย่างเยือกเย็นด้วยแววตาที่อยากรู้อยากเห็น มากกว่าที่จะตื่นตระหนก
เธอตกลงมาบนพื้นพร้อมกับรากไม้เหล่านั้นซึ่งพวกมันก็แผ่รากหยั่งลงไปในดินทันทีที่สัมผัสกับผิวดิน ทำให้ลานาเทลยิ่งไม่สามารถขยับตัวออกจากตรงนั้นได้
เมื่อเธอลงมาถึงพื้นแล้ว ซาลก็พุ่งออกมาจากม่านควันเพื่อตรงเข้าจู่โจมในทันที
พอเห็นซาลยอมปรากฎตัวออกมาในที่สุด ลานาเทลก็เผยรอยยิ้มออกมา
ซาลพุ่งเข้าแทงดาบใส่ลานาเทลอย่างสุดแรง เพราะเขารู้ว่าให้ทุ่มสุดฝีมือยังไงก็คงสร้างความบาดเจ็บให้กับอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก่อนที่ดาบของเขาจะแทงถึงเป้าหมาย แขนขวาของลานาเทลที่ถูกพันธนาการอยู่ก็กลายเป็นของเหลวสีแดงเข้ม ทำให้เธอตวัดมันผ่านช่องว่างระหว่างรากไม้ออกมาปัดดาบของเขาเอาไว้ได้
เมื่อถูกปัดป้องการโจมตีอย่างกะทันหัน ซาลจึงต้องถอยออกมาตั้งหลัก ส่วนลานาเทลก็ทำให้แขนขวาจับตัวกันกลายเป็นแขนธรรมดาอีกครั้งและกวัดแกว่งดาบฟันรากไม้ที่พันตัวเธออยู่จนหลุดออกหมด
“ขะ.. ขี้โกงนี่นา!!”
“เห~ ว่าอะไรนะคะ? ได้ยินไม่ค่อยชัดเลยค่ะ สวมหมวกปิดหน้าอยู่แบบนั้นน่ะ”
ลานาเทลแกล้งทำเป็นได้ยินไม่ถนัดและพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทีละก้าว
“ทักษะการใช้เวทก็ไม่เลวหรอกนะคะ แต่ที่ฉันอยากเห็นคือทักษะทางกายภาพต่างหากค่ะ”
เมื่อพูดจบ ลานาเทลก็พุ่งตรงเข้าไปหาซาลอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาต้องใช้เวทไฟร์บอลระเบิดพื้นเพื่อสร้างม่านควันขึ้นมาอีกครั้ง
“ของแบบนั้นมันใช้ไม่ได้ผลไปตลอดหรอกนะคะ”
ลานาเทลเร่งความเร็วและพุ่งตัวเข้าไปในม่านควัน ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบเปลี่ยนแผน
ซาลวิ่งหลบออกมาจากม่านควันโดยมีลานาเทลตามมาติด ๆ ด้วยความเร็วของเธอทำให้สามารถเข้าประชิดตัวเขาได้ในชั่วอึดใจ แต่ขณะที่กำลังเงื้อดาบเพื่อรอให้ซาลหันมาปัดป้องอยู่นั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ในมือของเขาไม่มีดาบอยู่ ทำให้ลานาเทลรู้สึกแปลกใจ แต่เธอคิดว่าเขาอาจทำมันหล่นในระหว่างวิ่งหนีออกมาก็ได้
ทีแรกลานาเทลตั้งใจไว้ว่าจะโจมตีแค่เบาะ ๆ เพื่อทดสอบความสามารถในการปัดป้องของเขา แต่ถ้าเขาไม่มีดาบอยู่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าให้โจมตีตอนนี้เลยเลยก็จะจบการทดสอบเร็วเกินไปหน่อย เธอจึงรู้สึกลังเลว่าจะทำยังไงดี
ในชั่ววินาทีที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเองก็มีเงาคนอีกคนหนึ่งพุ่งออกมาจากม่านควันด้านหลัง ทำให้เธอรู้สึกตกใจกับการจู่โจมที่ไม่คาดคิดนี้ แต่ก็ยังสามารถก้มตัวหลบการโจมตีของคนผู้นั้นได้
เมื่อหันกลับไปมอง สิ่งที่เธอเห็นก็คือซาลอีกคนหนึ่งซึ่งมีดาบอยู่ในมือเป็นผู้ที่เข้ามาลอบโจมตี
เธอตวัดดาบสวนกลับไปโดยตั้งใจจะให้เขาปัดป้อง แต่อีกฝ่ายลับหลบได้และพุ่งถอยเข้าไปซ่อนตัวในม่านควันอีกครั้ง ลานาเทลจึงใช้ดาบตวัดหมวกของซาลอีกคนหนึ่งดู พบว่าใต้หมวกนั้นเป็นเด็กผู้หญิงผมสั้นสีทองที่มีดวงตาสีฟ้า ซึ่งค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงไปเมื่อถูกถอดหมวก
“งี้นี่เอง.. นี่คือวาลไครี่สินะ ปรับแต่งรูปร่างและชุดของวาลไครี่ให้เหมือนกับตัวเองเพื่อใช้เป็นตัวหลอกล่อ นั่นคือเหตุผลที่เอาหมวกแบบปิดหน้าขึ้นมาสวม ก็เพื่อไม่ให้แยกออกนี่เอง”
ลานาเทลยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่แสดงความพึงพอใจอย่างที่สุด แม้จะเป็นการต่อสู้กับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร แต่ซาลก็มีลูกเล่นที่ทำให้เธอแปลกใจได้อย่างต่อเนื่อง จนเธอระงับความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
“แหม~ ไม่อยากจะให้จบเลยจริง ๆ แต่มันก็สมควรแก่เวลาแล้วล่ะนะคะ เอ้า! ออกมาเถอะค่ะ!”
ลานาเทลตวัดดาบในมือขนานไปกับพื้นเพื่อสร้างแรงอัดอากาศ ทำให้เกิดลมกรรโชกพัดม่านควันที่ปกคลุมบริเวณนั้นอยู่ออกให้กระจายตัวออกไป เผยให้เห็นร่างของซาลที่ยืนอยู่ข้างในนั้น
เมื่อเห็นเป้าหมายแล้ว ลานาเทลก็พุ่งตรงเข้าจู่โจมในทันที แม้ซาลทำท่าจะขยับตัวหนี แต่เธอก็ยังเข้าถึงตัวเขาได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันจะได้ขยับเลยสักก้าวเดียว
ทว่าลานาเทลกลับหยุดอยู่แค่ตรงเบื้องหน้าของเขาโดยไม่ได้ลงมือใด ๆ และเอ่ยคำพูดออกมา
“แหม~ เป็นคนเจ้าเล่ห์จริง ๆ เลยนะคะ คิดจะหลอกกันตั้งสองครั้งแบบนี้ แต่ถ้าได้เห็นสักครั้งแล้วยังไงก็ต้องจับทางได้แหละค่ะ แม้จะปรับแต่งเกราะให้เหมือนตัวเองได้ แต่อาวุธน่ะสร้างขึ้นมาเลียนแบบไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะ? ก็ปกติแล้วอาวุธของวาลไครี่ต้องเป็นหอกนี่เนอะ”
เพราะร่างของเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ถือดาบอยู่ ทำให้ลานาเทลมองออกว่ามันเป็นตัวปลอม
ทันใดนั้นก็มีซาลอีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีจากทางด้านหลัง และเพราะเธอกำลังรออยู่แล้วทำให้สามารถตวัดดาบฟาดเข้ากลางอกของเขาได้ทันที
“รู้ผลแล้วนะคะ”
ซาลไม่ได้พูดตอบโต้อะไรและขว้างดาบไปยังฝั่งตรงข้าม ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นละอองแสงไป
“อะไรกัน!?”
ลานาเทลรู้สึกผิดคาดเพราะร่างที่เข้ามาโจมตีจากด้านหลังกลับเป็นตัวปลอม เธอจึงรีบหันกลับไปยังเด็กผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาได้รับดาบซึ่งตัวปลอมของขว้างมาให้พอดี
เด็กที่ลานาเทลคิดว่าเป็นตัวปลอมนั้น ความจริงคือซาลมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาจงใจเอาดาบให้ตัวปลอมไปถือแทนเพราะลานาเทลเข้าใจว่าเฉพาะตัวจริงเท่านั้นที่จะมีดาบ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกเพาะบ่มให้โดยความตั้งใจของเขา
ความจริงการจะสร้างดาบแบบเดียวกันให้ร่างอัญเชิญถือก็เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ซาลเห็นว่าคนระดับลานาเทลย่อมแยกแยะตัวจริงกับตัวปลอมออกได้ไม่ยากอยู่แล้ว จึงจงใจเพิ่มจุดสังเกตนี้ลงไปให้จับผิดง่ายขึ้น เพื่อที่จะหลอกให้เข้าใจผิดว่าร่างปลอมจะไม่มีดาบอยู่ในมือ แล้วจะได้ใช้เรื่องนี้ในการตบตาได้ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน
เมื่อได้รับดาบมาแล้ว ซาลก็ตวัดดาบเข้าใส่ลานาเทลในทันที ซึ่งเพราะเธอกำลังตื่นตระหนกจนลืมตัวจึงเผลอใช้ความเร็วเต็มที่ตวัดดาบสวนกลับไป แม้จะได้สติและยั้งมือไว้ได้ทัน แต่ปลายดาบก็เฉี่ยวโดนหน้าอกของเขาจนตัวลอยกระเด็นไปหลายเมตร
“อ๊ะ!”
เมื่อรู้ตัวว่าพลั้งมือไป ลานาเทลจึงรีบวิ่งเข้าไปดูซาล นิโคลที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ก็วิ่งเข้ามาดูอาการเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน โดยมีแซนโดรเดินค่อย ๆ เดินตามมา
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามพลางยื่นมือไปช่วยพยุงตัวซาลารัส แต่เขาก็ยันตัวลุกขึ้นมาเองได้ ก่อนจะตอบกลับเพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วง
“อืม ไม่เป็นไรหรอก จิ๊บจ๊อยน่ะ แต่น่าเสียดายจริง ๆ เลย อีกนิดเดียวแท้ ๆ !”
ซาลเอามือปัดฝุ่นที่เกราะหน้าอกพลางแสดงอาการเสียดายออกมา ส่วนลานาเทลกับนิโคลเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไรก็รู้สึกโล่งอก
แม้อีกฝ่ายจะแพ้ไปตามเงื่อนไข แต่ลานาเทลกลับไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะเลย
‘เมื่อครู่นี้ ถ้าเป็นการดวลระหว่างคนที่มีฝีมือในเชิงดาบเท่ากันละก็ คนที่แพ้อาจเป็นเราก็ได้นะเนี่ย…’
แม้จะไม่ได้เห็นพรสวรรค์ในเชิงดาบ แต่เธอก็ได้เห็นไหวพริบและความชาญฉลาดในการวางแผนของเขา ทำให้ลานาเทลรู้สึกตื่นเต้นกับการเติบโตของซาลในอนาคต จนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
“หุหุหุหุ~”
“หืม? มีอะไรเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะ”
เมื่อการทดสอบฝีมือจบลงแล้ว ทุกคนก็พากันกลับขึ้นรถม้าและออกเดินทางอีกครั้ง
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง นิโคลก็ให้ซาลถอดเสื้อออกเพื่อดูบาดแผล พบว่าเกิดรอยช้ำเป็นแนวยาวจากการโดนปลายดาบถากไป แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดอะไรให้เห็น ถึงกระนั้นนิโคลก็ช่วยใช้เวทรักษาทำการเยียวยาอาการบาดเจ็บให้กับเขา
อีกด้านหนึ่ง ลานาเทลมองดูอยู่ก็หันไปกล่าวกับแซนโดรด้วยสีหน้าที่ยังซ่อนความรู้สึกพึงใจเอาไว้ไม่มิด
“ขอพูดอีกครั้งนะคะ คุณแซนโดรเนี่ย สายตาแหลมคมไม่เบาเลยค่ะ”
แซนโดรนิ่งเงียบและกลอกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉย
“…งั้นขอพูดอีกครั้งละกัน …ก็แค่ฟลุคน่ะ …ตอนไปเก็บมาก็ไม่คิดว่า…”
“จะพูดซ้ำประโยคเดิมกันทำไมเนี่ย!?”
ซาลกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยท่าทีหงุดหงิด เพราะได้ยินคำพูดขัดหูเข้า ส่วนแซนโดรก็ทำเป็นไม่สนใจตามเคย ก่อนจะเอ่ยถามลานาเทลโดยสายตายังจับจ้องอยู่กับหนังสือในมือ
“…แปลว่าเจ้าหนูนี่ใช้ได้สินะ…”
“หุหุหุ~ ก็ใช้ได้อยู่นะคะ ทั้งไหวพริบและวิธีการต่อสู้ ถือว่าผ่านทั้งหมดเลยค่ะ แม้แต่เรื่องสมรรถภาพร่างกายก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีด้วย อ้อ จริงสิ ทำไมจู่ ๆ ถึงเคลื่อนไหวเร็วขึ้นได้ล่ะคะ?”
เมื่อลานาเทลหันมาถาม ซาลที่นึกขึ้นได้จึงควักสร้อยเส้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะอธิบาย
“เพราะสร้อยเส้นนี้น่ะ นี่เป็นสร้อยถ่วงน้ำหนัก พอปลดออกก็เลยทำให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นไงล่ะ”
“แบบนี้นี่เอง ที่ว่าฝึกฝนร่างกายอยู่ด้วยในแง่นึงก็คือแบบนี้สินะคะ อ้อ แล้วใช้เวท ‘ควิกแซนด์’ ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ เวทระดับสูงขนาดนั้น ยังไม่น่าจะใช้ได้เลยนี่นา”
“หลุมทรายดูดที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้น่ะ ไม่ใช่เวท ‘ควิกแซนด์’ หรอกนะ แต่เป็น ‘เวทอัญเชิญพื้นที่’ ซึ่งทำให้ได้ผลคล้าย ๆ กันน่ะ”
ซาลกล่าวด้วยสีหน้าภูมิใจ ในขณะที่ลานาเทลยังรู้สึกสงสัยอยู่เพราะไม่คุ้นหูกับคำ ๆ นี้เท่าไหร่ แม้แต่แซนโดรเมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็แอบเหลือบมามองด้วยความสนใจเช่นกัน
“เพราะว่าทั้ง ‘เอ็นแทงเกิล’ และ ‘ควิกแซนด์’ น่ะเป็นเวทที่มีข้อจำกัดในเรื่องสภาพภูมิประเทศทั้งคู่ ผมเลยลองไปคุ้ยงานวิจัยและบันทึกเวทมนตร์ของหลาย ๆ สำนักดูเพื่อจะหาทางแก้ไขข้อจำกัดนี้ แล้วก็ไปเจอ ‘เวทอัญเชิญพื้นที่’ เข้าน่ะ”
“…เวทอัญเชิญพื้นที่ …เป็นเวทที่สมัยก่อนพวกฮันเตอร์ กับนินจา ใช้กันในการวางกับดักสินะ …ถึงตอนนี้พวกนินจาจะยังใช้กันอยู่บ้าง แต่พวกฮันเตอร์น่ะเปลี่ยนไปใช้กับดักแบบวงเวทกันหมดแล้ว…”
แซนโดรกล่าวอธิบายเรื่องเวทอัญเชิญพื้นที่ให้ลานาเทลกับนิโคลฟัง ส่วนซาลก็พยักหน้ารับก่อนจะอธิบายต่อ
“ใช่แล้วล่ะ เวทนี้น่ะจะทำการอัญเชิญเฉพาะพื้นผิวของสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาทับลงบนพื้นผิวของสถานที่ที่เราต้องการ สมัยก่อนพวกฮันเตอร์หรือนินจาจะทำการวางกับดักเตรียมไว้บนพื้นที่สักแห่งหนึ่ง เวลาต่อสู้ก็จะอัญเชิญพื้นที่ขึ้นมา ทำให้นำกับดักออกมาใช้ได้ แต่อย่างที่ว่าแหละเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปใช้กับดักแบบวงเวทกันหมดแล้ว”
ลานาเทลไม่รู้จักเวทมนตร์ชนิดนี้มาก่อน เมื่อได้ฟังความสามารถของมันจึงรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ
“เห~ ยอดไปเลยนี่คะ แต่ฟังดูขี้โกงจัง ถ้าอัญเชิญแอ่งน้ำ หรือหลุมลึก ๆ มาตรงจุดที่เป้าหมายยืนอยู่ แบบนี้มิฆ่าคนได้เลยเหรอคะ?”
“เวทนี้จริง ๆ มีระยะเวลาเตรียมตัวหลายวินาทีน่ะ ถ้าไม่ได้ถูกควันบังอยู่ละก็ ลานาเทลคงจะเห็นวงเวทแล้วขยับออกจากตรงนั้นนานแล้วล่ะ อีกอย่างคือมันสลับพื้นผิวได้แค่ในระยะสั้น ๆ หลุมทรายนั่นอยู่ได้แค่ราว ๆ สิบวินาทีเท่านั้นแหละ แล้วขนาดกับปริมาตรของพื้นที่ที่สลับได้ก็มีจำกัดด้วย หากกว้างไปหรือลึกไปจะทำให้การสลับตำแหน่งมิติเกิดความเสถียรได้ยาก และเวทจะล้มเหลวได้”
“แบบนี้นี่เอง หลุมทรายนั่นเป็นของที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วสินะคะ แค่อัญเชิญพื้นที่ที่มีหลุมทรายออกมาวางเท่านั้น ก็ได้ผลเหมือนกับเวท ‘ควิกแซนด์’ แล้ว แถมยังใช้ที่ไหนก็ได้ด้วย ไม่เลวเลยค่ะ
ลานาเทลกล่าวชื่นชมเพราะรู้สึกประทับใจกับการพลิกแพลงใช้เวทแบบนี้ เช่นเดียวกับนิโคลที่แสดงความรู้สึกแบบเดียวกัน ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่เธอสงสัยออกมา
“จริงด้วยค่ะ ฉันเห็นคุณซาลารัสใช้เวท ‘เอ็นแทงเกิล’ จากกลางอากาศด้วย ทำได้ยังไงเหรอคะ?”
ซาลใช้เวลานึกย้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกออกและอธิบายเรื่องนี้ให้นิโคลได้ฟัง
“อ๋อ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นได้ระหว่างหาวิธีทำให้รากไม้ของ ‘เอ็นแทงเกิล’ เติบโตด้วยความเร็วที่ดีขึ้นกว่าเดิมน่ะ ตอนศึกษาข้อจำกัดของ ‘เอ็นแทงเกิล’ ว่าทำไมถึงเติบโตช้าเมื่อมีดินน้อย หรือล้มเหลวเมื่อไม่มีดิน ก็ทดลองทำอะไรหลายๆอย่างดู จนได้ข้อสรุปออกมา”
นิโคลกับลานาเทลจ้องมองซาลเป็นตาเดียวกันเพื่อรอคำตอบ แต่เขาก็จงใจทิ้งช่วงไว้ก่อนจะเหลือบไปมองแซนโดรซึ่งแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือแต่ความจริงก็แอบฟังเรื่องนี้อยู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเล่าต่อ เธอจึงยอมปิดหนังสือลงด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ และหันมาตั้งใจฟัง ทำให้ซาลยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะอธิบายต่อ
“จริงๆมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยล่ะ เพราะถึงจะเป็นเวทมนตร์ แต่ก็ยังอิงกฎของธรรมชาติอยู่ เวท ‘เอ็นแทงเกิล’ น่ะจะสร้างต้นกล้าขึ้นมาในดิน จากนั้นจึงถ่ายเทพลังเวทเพื่อทำการกระตุ้นความอุดมสมบูรณ์ในดิน ให้ต้นกล้าดูดซับสารอาหารและเติบโตขึ้นมาเป็นรากไม้ไปพันเป้าหมาย ขั้นตอนเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้เวทเกิดผลช้า และด้อยประสิทธิภาพจนถึงขั้นใช้การไม่ได้เมื่อไม่มีดินบนพื้นผิว ผมก็เลยทำการลัดขั้นตอนพวกนี้ซะ”
“ลัดขั้นตอนเหรอคะ?”
นิโคลกับลานาเทลเอ่ยถามโดยพร้อมเพรียงจนแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ซาลจึงอธิบายต่อ
“ผมสร้างต้นกล้าพร้อมกับก้อนดินที่ทำการกระตุ้นธาตุอาหารเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อต้องการจะใช้ก็นำออกมาจากช่องมิติเก็บของและโยนใส่เป้าหมาย หรือบางทีอาจอัญเชิญออกมาใกล้ ๆ เป้าหมายก็ได้ จากนั้นพอร่ายเวทใส่ รากไม้ก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมันมีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเติบโตแล้ว พลังเวทที่ถ่ายเทลงไปจึงถูกส่งไปกระตุ้นการเติบโตได้อย่างเต็มที่ วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นดินในการร่ายด้วย จึงสามารถใช้งานที่ไหนก็ได้ แต่ก็ต้องแลกกับการเตรียมต้นกล้าเอาไว้ล่วงหน้าอะนะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จุกจิดนิดหน่อย”
นิโคลเองก็เป็นดรูอิด (Druid) มานาน แต่ก็ไม่เคยคิดจะดัดแปลงหรือประยุกต์การใช้เวทมนตร์ในเชิงนี้มาก่อนเลย ทำให้เธอรู้สึกทึ่งมาก ๆ กับวิธีการของเขา ส่วนลานาเทลที่นั่งฟังอยู่ก็ยิ้มและมีสีหน้าที่ตื่นเต้นขึ้นไปอีก แม้แต่แซนโดรที่พยายามจะเก็บอาการแต่สายตาก็ยังแสดงความประทับใจออกมาเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ลานาเทลก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นและอยากเห็นว่าเขาจะนำวิชาดาบไปประยุกต์ใช้ในแบบฉบับของตัวเองได้ดีแค่ไหน จึงอยากจะรีบสอนเขาซะแต่ตอนนี้เลย
“เอาล่ะ ถ้างั้นละก็ จากนี้ไปช่วงบ่ายฉันจะเป็นคนฝึกสอนวิชาดาบให้เอง ตกลงตามนี้นะคะ”
“อื้ม ขอฝากตัวด้วยนะ”
“ฝากตัวเช่นกันค่ะ”
รถม้าของแซนโดรใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเมืองมอทัลเบาด์ที่อยู่กลางสะพาน
มันเป็นเมืองที่มีรูปลักษณ์ไม่ต่างไปจากการ์เดี้ยนแสตนด์สักเท่าไหร่นัก ต่างแค่ในเมืองนี้จะมีรูปปั้นของอาเรียลให้เห็นบางตากว่ามากแต่ก็ยังพอมีอยู่ และกำแพงเมืองก็มีเพียงด้านเดียวคือด้านที่กั้นระหว่างตัวเมืองกับทางที่จะไปยังเมืองฮีโร่แสตนด์นั่นเอง
พวกเขาพักกินอาหารเที่ยงกันที่นั่นก่อนที่จะเดินทางต่อ ซึ่งด้วยบัตรนักผจญภัยระดับสูงของแซนโดรทำให้สามารถผ่านด่านตรวจที่กำแพงเมืองและเดินทางต่อไปได้โดยไม่มีอุปสรรคอะไร
ระหว่างการเดินทางในช่วงบ่ายลานาเทลก็สอนเรื่องทฤษฎีพื้นฐานของการเป็นนักดาบให้ซาลฟังไปด้วย ซึ่งแม้เขาจะอยากลองฝึกปฏิบัติในทันที แต่เพราะไม่อยากให้การเดินทางต้องล่าช้าจึงยอมอดใจไว้จนกว่าจะถึงที่หมาย
เพราะเป็นเส้นทางขาลงทำให้รถม้าใช้ความเร็วได้มากขึ้นด้วย เพียงไม่กี่ชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงเมืองฮีโร่แสตนด์ เมืองที่อยู่ปลายสะพานฝั่งโครซิส
เมืองนี้มีสภาพเป็นเมืองป้อมปราการที่ดูแข็งแกร่งตามรูปแบบมาตรฐานของเมืองในเอ็นซิส ทำให้มีบรรยากาศแตกต่างจากการ์เดี้ยนแสตนด์ค่อนข้างมาก เพราะแค่มองจากด้านนอกก็เหมือนกับมันเป็นป้อมปราการที่มีกำแพงขนาดใหญ่แผ่ยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ พื้นที่บนสะพานก่อนจะถึงตัวเมืองนั้นเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพจำนวนมากที่เรียงรายกันจนกินเนื้อที่ของสะพานสูงขึ้นมาหลายร้อยเมตร
เมื่อเห็นทิวทัศน์ตรงหน้าแล้วนิโคลก็มีสีหน้าที่เศร้าหมองลงไปขนัดตา แต่ซาลที่มัวแต่ตื่นเต้นกับทิวทัศน์โดยรอบนั้นยังไม่ทันสังเกต
“พวกนี้คือ หลุมศพของคนที่ตายในการรุกรานครั้งที่สามเหรอ?”
“…นี่แค่หลุมศพของพวกนักผจญภัยและนักรบของอาณาจักรต่าง ๆ ที่มาตายที่นี่น่ะ …สำหรับพลเรือนจะมีสุสานกระจายกันอยู่ตามเมืองต่าง ๆ บนแผ่นดินใหญ่อีก…”
“เห… เยอะขนาดนั้นเชียว…”
ซาลหยุดพูดไปกลางคันเพราะหันกลับมาเห็นสีหน้าที่ดูเศร้าหมองของนิโคล เขาจึงนั่งลงและกุมมือของเธอเอาไว้ ทำให้นิโคลได้สติ
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ”
แม้เธอจะพยายามฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่ซาลก็สัมผัสได้ว่ามือของเธอนั้นมีอาการสั่นอยู่เล็กน้อย เขาจึงชวนเธอคุยเรื่องอื่น ๆ แทนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งลานาเทลก็ช่วยอีกแรงด้วย นิโคลที่มีคนคุยก็ดูจะมีสีหน้าแจ่มใสขึ้นในที่สุด
เพราะการตรวจคนผ่านแดนจะทำที่เมืองมอทัลเบาด์เท่านั้น ทำให้พวกเขาสามารถผ่านเข้าไปในเมืองฮีโร่แสตนด์ได้โดยไม่ถูกตรวจสอบเพิ่มเติมอีก พวกเขาหาโรงแรมในเมืองเพื่อใช้มันเป็นที่พักในคืนนั้นก่อนจะเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
——————————————————————————————————–
Part 4
ณ ห้วงมิติอันว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
มันมีลักษณะเหมือนหลุมดำที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้ ไม่ว่าจะมองขึ้นไปด้านบนหรือด้านล่าง ทางซ้ายหรือทางขวา ก็มิอาจหยั่งได้ว่าปลายทางของความว่างเปล่านี้จะไปสุด ณ ที่แห่งใด
ในห้วงความมืดอันว่างเปล่านั้น มีทางเดินสายหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนสะพานหินสีเทาแก่ ทอดยาวคดเคี้ยวไปมา ราวกับเป็นเส้นด้ายที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
บนทางเดินแห่งนั้น มีเค้าร่างของหญิงสาวนางหนึ่งกำลังเยื้องย่างอยู่อย่างองอาจและเงียบงัน
ชุดที่เธอใส่มีดีไซน์อันดูแปลกตา เพราะเป็นชุดผ้าเนื้อหนาสีเทาที่ดูปกปิดมิดชิด แต่กลับเปิดเผยในส่วนของเนินอก, แผ่นหลัง, และต้นขา ราวกับชุดราตรี ทำให้ดูมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งขึ้น และลักษณะรัดรูปของชุดก็ยิ่งขับดันสรีระของหญิงสาวให้ดูโดดเด่นมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะเนินอกอันอวบอิ่มนั้น
เธอมีผมสั้นสีทอง ดวงตาสีเหลือง ใบหน้าอันงดงามนั้นดูเยือกเย็นและให้ความรู้สึกเร้นลับ แต่ที่โดดเด่นที่สุดดูจะเป็นวงเขาอันโค้งมนที่งอกออมาจากศีรษะ ซึ่งดูคล้ายกับเขาของสัตว์ร้าย ผิดกับเขาของพวกเผ่ามังกรที่จะดูคล้ายกับมงกุฎ นอกจากนี้เธอยังมีปีกลักษณะเหมือนกับปีกค้างคาวสยายออกมาจากบั้นเอว
ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของพวกปิศาจที่เรียกว่า ‘เพียวอีวิล’ (Pure Evil) คือปิศาจที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความมืดมิด จัดเป็นชนชั้นสูงแห่งนรก และเป็นผู้ปกครองเหล่าปิศาจทั้งมวล
“ไปอยู่ที่ไหนนะ… ชิ…”
หญิงสาวเดินพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีหงุดหงิด
เธอเดินมาหยุดอยู่ ณ จุด ๆ หนึ่งของทางเดินอันทอดยาวนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาวาดไปบนอากาศ พริบตาต่อมาก็บังเกิดก้อนพลังงานสีม่วงขึ้นกลางห้วงอากาศตรงหน้าของเธอ ก้อนพลังงานนั้นค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นโดยมีรูโหว่อยู่ตรงกลางจนกลายเป็นวงแหวนพลังงานรูปวงรีขนาดใหญ่ ภายในรูโหว่นั้นนั้นมีภาพทิวทัศน์ที่แตกต่างไปจากห้วงมิติอันว่างเปล่าที่อยู่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นประตูมิติที่เหล่าปิศาจใช้ในการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างมิติของกันและกัน
อีกฟากหนึ่งของประตูมิติเป็นห้องอันหรูหราที่ประดับประดาด้วยพรมและผนังที่มีลวดลายอันวิจิตรมากมายราวกับเป็นห้องบรรทมของเชื้อพระวงศ์ แต่ทั้งพื้นและผนังต่างก็มีโทนสีม่วงเข้ม เมื่อประกอบกับความมืดในห้องที่มีแสงสลัว ๆ ให้ความสว่างอยู่เพียงน้อยนิดแล้วมันจึงมีบรรยากาศเหมือนกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเหล่านักท่องราตรีมากกว่า
“อ้าว บาลเองเหรอจ๊ะ? มีอะไรเหรอ?”
มีเสียงของหญิงสาวแว่วออกมาจากภายในห้อง ก่อนที่จะมีเงาของคนผู้หนึ่งเดินมาทางประตู เธอก้าวผ่านประตูสีแดงนั้นออกมายังทางเดินที่หญิงสาวผมทองยืนอยู่
ผู้ที่ออกมาจากห้องเป็นหญิงสาวในชุดราตรีสีม่วงซึ่งมีเส้นผมสีเงินทอดยาวลงไปถึงสะโพก เธอมีดวงตาสีม่วงและมีใบหน้าอันงดงาม บนหัวของเธอก็มีเขาอยู่หนึ่งคู่และมีปีกคล้ายกับปีกค้างคาวติดอยู่ที่หลังเช่นกัน ชุดของเธอยิ่งเปิดเผยเนื้อหนังมากกว่าชุดของหญิงสาวผมทองซะอีก ทำให้สรีระอันอวบอัดนั้นล้นทะลักออกมาจากชุดแทบจะในทุกส่วน ความงามของเธอเป็นความงามของสตรีที่เติบโตเต็มวัย ผิดกับหญิงสาวผมทองที่มีความงามในแบบของหญิงสาววัยแรกแย้ม
หญิงผมยาวคนนี้คือเมฟิสโต้ จ้าวแห่งความเกลียดชัง พี่คนโตของ ‘ไพรม์อีวิล’ (Prime Evil) ทั้งสาม ซึ่งเป็นผู้นำของเหล่าเพียวอีวิลที่ทำการปกครองนรกอยู่ในขณะนี้ ส่วนหญิงสาวผมทองอีกคนคือบาล จ้าวแห่งการทำลายล้าง น้องสาวคนรองที่เป็นปิศาจระดับสูงสุดเช่นกัน
“เดียโบลมาที่นี่รึเปล่า?”
บาลเอ่ยถามเมฟิสโต้ด้วยสีหน้าซึ่งดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“หืม? ยังไม่เห็นเลยนะ ไม่ได้อยู่ที่ห้องเหรอ?”
“ถ้าอยู่จะมาหาที่นี่ทำไมล่ะ?”
“น่า ๆ ~ อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิ ถ้างั้นคงอยู่ที่ ‘ห้องนั้น’ ล่ะมั้ง.. มา ฉันจะพาไปเอง”
เมฟิสโต้พาบาลเดินตามทางเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุด ณ ที่แห่งหนึ่ง
เธอวาดมือขึ้นบนอากาศ พลันก็เกิดประตูมิติสีแดงขึ้นที่นั่น เผยให้เห็นห้องที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตู
มันเป็นห้องมืด ๆ ที่มีของวางอยู่ระเกะระกะ ทั้งหนังสือ, แผ่น DVD, กล่องเกม, หรือแม้แต่ถุงขนม แสงสว่างในห้องมาจากแสงสลัว ๆ ของหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยโดยมีเด็กผู้หญิงในเสื้อยืดสีขาวตัวหลวมโครกพร้อมกับกางเกงขาสั้นกำลังนั่งขัดสมาธิเล่นเกมอยู่ ด้วยลักษณะนี้บวกกับสภาพแวดล้อมโดยรอบทำให้เธอดูเหมือนกับพวกเด็กมีปัญหาที่เอาแต่หมกตัวเล่นเกมอยู่กับบ้านโดยที่ไม่ยอมไปโรงเรียน
“เดียโบลจ๊ะ บาลเค้ามาหาน่ะจ้ะ”
เมฟิสโต้เอ่ยเรียกเด็กผู้หญิงที่อยู่ในห้องอย่างสุภาพ ในขณะที่บาลมีท่าทีหงุดหงิดขึ้นอีกเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับ
“ไม่อยู่ ไปหาที่อื่นเถอะ”
เด็กผู้หญิงในห้องตอบกลับมาแบบขอไปที พลางตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมต่อไป ทำให้บาลหมดความอดทน เธอจึงเล็งมือยิงแท่งผลึกสีเหลืองที่มีเปลวไฟลุกท่วมพุ่งเข้าใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เด็กคนนั้นกำลังเล่นอยู่ในทันที
“อ๊าาาาาา”
ผลึกที่หุ้มด้วยเปลวเพลิงนั้นพุ่งกระแทกหน้าจอคอมพิวเตอร์จนระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เด็กผู้หญิงที่กำลังเล่นอยู่แผดเสียงออกมา เธอผุดลุกจากที่นั่งและพุ่งออกมาจากห้องในทันที
เด็กหญิงตัวน้อยพุ่งเข้ามากระแทกบาลจนกระเด็นหล่นลงไปจากทางเดิน แต่ครู่ต่อมาก็มีประตูมิติสีเหลืองโผล่ขึ้นบนอากาศเหนือทางเดิน แล้วบาลก็หล่นจากประตูนั้น ลงมายืนบนพื้นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเห็นแบบนั้นเด็กผู้หญิงที่โกรธเกรี้ยวจึงพุ่งเข้ามาจับเธออีกครั้ง แต่บาลก็ยันมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ได้ น่าแปลกที่แม้รูปร่างของทั้งสองคนจะต่างกันมาก แต่การปะทะกำลังกันนี้กลับเป็นไปอย่างสูสี
“ฉันยังไม่ได้เซฟเลยนะยัยบ้า!!! รู้รึเปล่าว่าต้องไปเริ่มเล่นใหม่ไกลแค่ไหนน่ะ!?”
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว! เอาแต่เล่นเกมอยู่ได้! หัดทำตัวให้สมกับเป็นจ้าวนรกหน่อยเซ่!”
“น่า ๆ ~ ทั้งสองคน ใจเย็นๆกันก่อนสิจ๊ะ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อยๆจากันนะ”
แม้เมฟิสโต้จะพยายามห้าม แต่ทั้งสองก็ประลองกำลังกันอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะสงบลงได้
“ชิ.. แล้ว มีเรื่องอะไรล่ะ ถึงต้องถ่อมาถึงที่นี่น่ะ?”
เด็กผู้หญิงเจ้าของห้องเอ่ยถามขึ้นเมื่อสงบสติอารมณ์ลงแล้ว
เธอเป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างเล็ก มีผมยาวสีแดงสดราวกับเลือด หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แม้จะไม่มีปีกเหมือนกับหญิงสาวอีกสองคนแต่บนหัวของเธอก็มีเขาหนึ่งคู่ที่เป็นสัญลักษณ์ของปิศาจระดับสูงเช่นกัน
เธอคือเดียโบล จ้าวแห่งความสะพรึง น้องคนเล็กสุดของกลุ่มไพรม์อีวิล แม้จะเป็นคนเล็ก แต่เธอก็เป็นปิศาจที่ทรงพลังที่สุดในนรก จึงครองตำแหน่งจ้าวนรกอยู่ในขณะนี้ ส่วนสาเหตุที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็ก ก็เพราะนี่เป็นร่างกำเนิดใหม่หลังจากเคยตายในการทำสงครามกับสวรรค์เมื่อวันสิ้นโลก ทำให้ร่างกายยังโตไม่เต็มที่ แต่สำหรับอุปนิสัยของเธอนั้นดูเหมือนจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
“เธอนี่น้า… ตั้งใจทำหน้าที่ให้มันดีกว่านี้หน่อยได้มั้ย? ฟังนะ ผู้ที่เหมาะสมกับการเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้าน่ะได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และตอนนี้ก็เดินทางมาถึงดินแดนโครซิสแล้วด้วย”
บาลพูดด้วยสีหน้าละเหี่ยใจกับความไม่เอาการเอางานของเดียโบล แต่อีกฝ่ายก็ยังมีทีท่าว่าไม่สนใจนัก
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้เองเหรอ ฉันไปเล่นเกมต่อละ”
“เฮ้ย! หยุดเลยนะ!”
บาลฉุนขาดเลยเอามือคว้าเขาข้างหนึ่งของเดียโบลไว้แล้วดึงกลับมา จนเจ้าตัวต้องแผดเสียงอีกครั้ง
“อะไรกันเล่า!? เรื่องแค่นี้พวกเธอจัดการกันเองก็ได้นี่นา!”
“ก็คนที่เป็นผู้ประสานงานในโครซิสคือยัยอัลติม่า สมุนของเธอไม่ใช่เหรอ!? คนที่จะติดต่อกับยัยนั่นที่อยู่บนโลกได้ก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละ!”
“อะไรกัน ยุ่งยากจริง เฮ้อ.. เอ้า ๆ ฉันจะติดต่อให้ก็ได้”
เดียโบลทำท่ากระฟัดกระเฟียดก่อนจะวาดอักขระขึ้นบนอากาศ มันเป็นอักขระแสงสีแดงที่คงรูปอยู่กลางอากาศแบบนั้น สักพักก็มีเสียงของหญิงสาวดังออกมาจากตัวอักขระ
“ค่าค่า~ ท่านเดียโบลมีอะไรจะให้ดิฉันคนนี้รับใช้เหรอคะ?”
เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายทาง เดียโบลก็ทำการออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“ดูเหมือนคนที่ห้าจะโผล่มาแล้วน่ะ เธอจงไปจัดการเก็บเจ้านั่นซะ
“ใช่ที่ไหนเล่า!? เราต้องไปหาทางทำให้มันมาร่วมมือกับเราต่างหาก!”
บาลที่ได้ยินเดียโบลสั่งผิดไปคนละเรื่องก็รีบแย้งขึ้นมา
“เออ ๆ นั่นแหละ ไปทำอย่างที่ต้องทำน่ะ เข้าใจนะ”
การสั่งการแบบขอไปทีของเดียโบลทำให้บาลยิ่งหงุดหงิดจนเริ่มมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา แต่ก็พยายามสงบอารมณ์เอาไว้ ส่วนปิศาจที่อยู่ปลายสายก็ถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพราะทางผู้สั่งยังไม่ได้บอกเล่าอะไรให้ชัดเจนเลย
“อ่า… แล้วคนที่ว่านี่เค้าหน้าตาเป็นยังไงเหรอคะท่านเดียโบล?”
“นั่นสิ หน้าตาเป็นไงเหรอ?”
เดียโบลหันไปถามบาล ทำให้อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าเหนื่อยใจ ก่อนที่จะร่ายมนตร์เพื่อฉายภาพ ๆ หนึ่งขึ้นมาให้เดียโบลดู
มันเป็นภาพของแซนโดรกับซาลที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของอยู่ในตลาดของฮีโร่แสตนด์
“คนนี้เหรอ?”
“อืม คนนี้แหละ”
“โอเค อัลติม่า ฉันจะส่งภาพไปให้ดูนะ”
เดียโบลวาดมืออีกครั้งเพื่อส่งภาพไปให้อัลติม่าดู ซึ่งพออัลติม่าได้ดูภาพก็ออกอาการดีใจเป็นยกใหญ่
“เห~ คนนี้เหรอคะ! ว้าว น่ารักสุดๆเลยนี่นา! ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะทำให้เขามาเข้ากับฝ่ายนรกให้ได้เลยค่ะ!”
“หืม? น่ารักเหรอ? เดี๋ยวก่อนนะ เธอน่ะ..”
ยังไม่ทันที่เดียโบลจะพูดจบ อักขระเวทที่ใช้สื่อสารก็สลายไป ทำให้การสื่อสารถูกตัดขาด
“อ้าว”
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมการสื่อสารถูกตัดขาดล่ะ?”
บาลที่เห็นว่าจู่ ๆ การสื่อสารก็ตัดขาดไปอย่างกะทันหันจึงถามขึ้น ส่วนเดียโบลก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายปนหงุดหงิด
“ความจริงคือฉันเล่นเกมโต้รุ่งมาสามเดือนแล้วน่ะ ยังไม่ได้นอนเลย ก็เลยรักษาการติดต่อเอาไว้ไม่ได้ เพราะสมองเริ่มจะเบลอนิด ๆ แล้ว”
“ว่าไงนะ!! ยังคุยกันไม่จบเลยไม่ใช่เหรอ!? รีบติดต่อกลับไปใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“เวทสื่อสารข้ามภพน่ะมันกินพลังงานและต้องใช้สมาธิมากนา ฉันในตอนนี้คงใช้ซ้ำไม่ได้แล้วล่ะ ยังไงยัยนั่นก็รู้งานแล้วนี่ คงไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า”
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนเซ่!”
โดยไม่สนคำพูดของบาล เดียโบลก็เปิดประตูมิติเพื่อกลับเข้าห้องของตัวเองไปอีกครั้ง และยังผนึกมิติเอาไว้จนไม่มีใครสามารถตามเข้าไปได้ด้วย
“ปัดโถ่เอ๊ย! ยัยบ้านี่! ชิ.. ถ้าไม่มีเรื่องผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นก็คงจะดีหรอกนะ”
“น่า ๆ ~ ยังไงก็สั่งการไปเรียบร้อยแล้ว ทำใจให้สบายดีกว่านะ เราไปดื่มชากันเถอะ”
เมฟิสโต้พยายามปลอบให้บาลใจเย็นลง และพาเธอไปที่ห้องเพื่อดื่มน้ำชาให้อารมณ์ดีขึ้น
อีกฟากหนึ่งบนแผ่นดินโครซิส
บริเวณเนินซึ่งห่างจากเมืองฮีโร่แสตนด์มาในระยะเกือบสุดสายตา หญิงสาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองเมืองที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาอันเป็นประกาย
เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก มีผมสั้นสีทองที่หยิกเป็นลอนเล็กน้อยและดวงตาสีแดง แววตาของเธอนั้นฉายแววเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ยังดูงดงามอย่างน่าประหลาด
“คนที่ห้างั้นเหรอ.. รอก่อนเถอะ หุหุหุหุ~”
พริบตาต่อมาหญิงสาวคนนั้นก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ ทำให้ที่ตรงนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า