Doombringer the 5th - ตอนที่ 29
Ch. 29
เมื่อฝุ่นควันจางหาย
Part 1
วันต่อมาทุกคนก็เดินทางออกจากเมืองฮีโร่แสตนด์ทันทีหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ
เป้าหมายหลักของการเดินทางคือการวางดันเจียนตามที่พื้นที่ต่าง ๆ ของโครซิส โดยแซนโดรเลือกมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เพราะเป็นทิศที่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสตั้งอยู่
แผนการเดินทางคือค่อย ๆ เดินทางและวางดันเจียนตามจุดต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส จากนั้นค่อยใช้เส้นทางสายใต้ย้อนกลับมาทางตะวันออกอีกครั้ง
แม้แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสจะอยู่ห่างออกไปเกือบแปดร้อยกิโลเมตร แต่เพราะเป้าหมายหลักของการเดินทางคือการวางดันเจียนมากกว่า แซนโดรจึงใช้การเดินทางด้วยรถม้าเป็นหลัก โดยแทบไม่ได้ใช้วงเวทเคลื่อนย้ายเลย
ซาลมองดูทิวทัศน์สองฟากถนนของโครซิสแล้วก็รู้สึกแปลกใจ เพราะมันต่างไปจากที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก
เนื่องจากโครซิสเคยเป็นดินแดนที่ถูกรุกรานแถมยังถูกขนานนามว่าดินแดนแห่งดันเจียน เขาจึงคิดว่าที่นี่คงเป็นแผ่นดินอันรกร้างและเสื่อมโทรมจนเหมือนดินแดนแห่งความตาย ทว่าทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
มันกลับเป็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งหญ้าเขียวขจีและพืชนานาพรรณขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป ดูงดงามจนแทบมองไม่ออกเลยว่ามันเคยเป็นดินแดนที่ล่มสลายมาก่อน ซาลจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ดินแดนโครซิสนี่ก็ดูดีนี่นา ผิดคาดจริง ๆ พวกปิศาจไม่ได้ทำลายธรรมชาติพวกนี้ไปด้วยงั้นเหรอ?”
“…ทิวทัศน์ที่เห็นนี่เกิดจากการฟื้นฟูขึ้นใหม่น่ะ …หลังจากการรุกราน ที่นี่ก็กลายเป็นแผ่นดินที่แห้งแล้งและแทบจะไม่มีพืชหรือสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย …เมื่อยึดครองดินแดนกลับคืนมาได้หมดแล้วกลุ่มพันธมิตรห้าอาณาจักรจึงได้ช่วยเหลือกันในการฟื้นฟูดินแดนให้กลับมางดงามยิ่งกว่าเดิม เพื่อเป็นการเยียวยาให้กับชาวเอ็นซิส ให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบได้อีกครั้ง …แต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ดี…”
ยังไม่ทันที่ซาลจะถามกลับไปว่าปัญหานั้นคืออะไร รถม้าก็เกิดการสั่นไหวจากการหยุดอย่างกะทันหัน
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เขาพบก็คือมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระทิงแต่มีโครงสร้างร่างกายกำยำกว่ามาก มันมีขนดกหนาสีน้ำตาลปกคลุมทั่วทั้งตัว แถมยังมีความสูงเกือบสามเมตรด้วย
เจ้ากระทิงตัวนั้นเข้ามายืนขวางหน้ารถม้าและเอาเท้าเขี่ยกับพื้นพร้อมทั้งหายใจดังฟืดฟาด แสดงท่าทีว่ากำลังจะพุ่งเข้าชนรถม้าที่ทุกคนนั่งอยู่
แซนโดรกวาดสายตามองดูเส้นทางโดยรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในบริเวณนี้จึงสั่งให้พวกม้าที่ลากรถอยู่พ่นลมหายใจพิษใส่กระทิงตัวนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน ความจริงแล้วม้าที่ลากรถอยู่นี้คือไนท์แมร์ (สมุนอัญเชิญชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นม้า) ซึ่งถูกปรับรูปลักษณ์ให้ดูเหมือนม้าปกตินั่นเอง
กระทิงตัวใหญ่นั่นเมื่อโดนลมหายใจพิษเข้าไปก็เกิดอาการตื่นตระหนกและวิ่งหนีลงข้างทางก่อนจะหายลับเข้าไปในชายป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก ในขณะที่ซาลยังตกใจไม่หาย
“มะ.. เมื่อกี้มันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ระดับห้าเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาโผล่กลางถนนแบบนี้ได้ล่ะ?”
“…นั่นแหละคือปัญหาของดินแดนโครซิส …รู้ทฤษฎีการกำเนิดพลังเวทในธรรมชาติและหินเวทมนตร์ใช่มั้ย?…”
“อืม เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์, สัตว์, พืช, หรือแม้แต่สถานที่ ต่างก็มีพลังงานด้านต่าง ๆ สถิตอยู่ และมีการถ่ายเทพลังงานเหล่านั้นสู่ธรรมชาติตลอดเวลา เมื่อพลังงานเหล่านั้นทับซ้อนและผสมกลมกลืนกันนาน ๆ เข้าก็เกิดการกลั่นตัวกลายเป็นพลังเวทมนตร์ในธรรมชาติ ซึ่งพลังงานนี้สามารถไหลย้อนกลับมาสู่สิ่งมีชีวิตและสถานที่ได้ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสถานที่ซึ่งมีพลังเวทมนตร์ ทั้งยังสามารถเกิดการตกผลึก กลายเป็นหินเวทมนตร์ ซึ่งเป็นแห่งพลังงานตามธรรมชาติชนิดหนึ่งด้วย”
“…ถูกแล้วล่ะ …กระแสพลังงานจากสิ่งมีชีวิตนั้นมีทั้งบวกและลบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเมื่อกลั่นตัวออกมาแล้วก็จะทำให้เกิดพลังเวทมนตร์ทั้งด้านบวกและด้านลบเข้าไปปะปนในกระแสเวทมนตร์ตามธรรมชาติด้วย เมื่อกระแสเวทมนตร์นี้ไหลย้อนกลับมายังสรรพสิ่งก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับว่าสัมผัสกับกระแสเวทมนตร์ด้านไหนมากกว่า
…เช่นสถานที่ที่ได้รับกระแสเวทมนตร์ด้านบวกก็จะกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าภูติ ไม่มีมอนสเตอร์หรือปิศาจมากล้ำกราย แต่กลับกันหากได้รับกระแสเวทมนตร์ด้านลบเข้าไปก็จะกลายเป็นดันเจียน เป็นรังของมอนสเตอร์และอมนุษย์ …พวกสัตว์ก็เช่นกัน อย่างม้าถ้าซึมซับพลังเวทด้านบวกก็จะกลายเป็นยูนิคอร์นหรือเพกาซัสได้ แต่ถ้าซึมซับพลังเวทด้านลบเข้าไปก็จะกลายเป็นไนท์แมร์แทน นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิดมอนสเตอร์
…ด้วยเหตุนี้ เพราะการรุกรานครั้งที่สามมีทั้งมนุษย์และปิศาจล้มตายลงเป็นจำนวนมาก …ทำให้เกิดเป็นพลังงานด้านลบปริมาณมหาศาลเข้าไปปะปนในกระแสเวทมนตร์ตามธรรมชาติของดินแดนโครซิส …มอนสเตอร์ในดินแดนนี้จึงมีอัตราการเกิดค่อนข้างสูงทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วย…”
“แต่นั่นมันมอนสเตอร์ระดับห้าเลยนะ ปกติจะไม่ออกมาอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งแบบนี้นี่นา”
“…เพราะในโครซิสนี้แม้แต่พื้นที่นอกเขตดันเจียนก็ยังมีความเข้มข้นของกระแสเวทมนตร์ค่อนข้างสูง …พวกมอนสเตอร์ก็เลยเดินเพ่นพ่านโดยไม่ค่อยสนใจเขตแดนแบบนี้แหละ …การเจอมอนสเตอร์ระดับสี่หรือห้ากลางทางสาธารณะก็ถือเป็นเรื่องปกติ…”
ซาลหันกลับไปมองชายป่าที่กระทิงตัวนั้นวิ่งหนีเข้าไปอีกครั้ง หากในพื้นที่สัญจรยังมีมอนสเตอร์ระดับนี้ออกเพ่นพ่าน แปลว่าในเขตเมืองก็คงมีความอันตรายไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
“แบบนี้คนที่นี่เขาใช้ชีวิตกันยังไงเนี่ย?”
“…เขตเมืองน่ะจะถูกล้อมด้วยกำแพงสูงสำหรับป้องกันมอนสเตอร์ …ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เพาะปลูกหรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์ก็จะอยู่หลังกำแพงนั้น …ส่วนการเดินทางก็จะมีขบวนคุ้มกันสำหรับรักษาความปลอดภัย หรือใช้เรือเหาะแบบเบาในการขนส่งทางอากาศแทน…”
เรือเหาะแบบเบาที่แซนโดรพูดถึงนั้นเป็นเรือเหาะที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ ลอยตัวได้ด้วยบอลลูนขนาดกลางที่มีความกว้าง 10-15 เมตร และใช้แรงส่งจากใบพัดในการขับเคลื่อน จึงบินได้ด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันไม่สามารถใช้บรรทุกของหนัก ๆ ได้ โดยปกติจึงใช้เป็นพาหนะโดยสารเท่านั้น สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้คราวละ 20-30 คน เป็นตัวเลือกปกติสำหรับการเดินทางข้ามเมืองในดินแดนโครซิส
“แปลว่าในโครซิสนี่คงไม่มีหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่เลยสินะ”
“…ส่วนใหญ่ก็แปรสภาพไปเป็นเมืองป้อมปราการหมดแล้วน่ะ …ชาวบ้านในนั้นก็จะทำแต่กิจการเกี่ยวกับนักผจญภัย …เพราะสภาพแบบนี้ทำให้ที่นี่สามารถดึงดูดนักผจญภัยมาได้มากมาย …ธุรกิจการค้าและงานบริการสำหรับนักผจญภัยก็เลยเจริญรุ่งเรือง…”
เมื่อคุยกันจบ ซาลก็หันกลับไปมองดูทิวทัศน์ระหว่างทางอย่างตาไม่กะพริบ เพราะอยากจะเห็นมอนสเตอร์ใกล้ ๆ อีก ซึ่งแม้จะไม่มีมอนสเตอร์เข้ามาขวางในเส้นทางสัญจร แต่เขาก็ยังเห็นเห็นมอนสเตอร์ระดับกลางเดินอยู่ในระยะสายตาเกือบตลอดเส้นทาง ในบางจุดพวกมันยังอยู่กันเป็นกลุ่มอีกด้วย
“มองไปทางไหนก็เหมือนจะเป็นพื้นที่ดันเจียนทั้งนั้นเลย แล้วแบบนี้เราจะไปวางดันเจียนกันแถวไหนดีล่ะ?”
“…สมุนที่เธอต้องการฝึกคือ ‘วาลไครี่’ ที่ปรับแต่งให้ดูเป็น ‘ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ สินะ …สมุนประเภทนักรบแบบนี้ก็มีสถานที่ที่เหมาะกับการใช้งานอยู่ และน่าจะทำให้ใช้ชุดคำสั่งคล้าย ๆ กับในอคาทอชได้ด้วย…”
หลังจากรถม้าแล่นออกจากทางสายหลักแล้วอ้อมแนวป่ามาอีกนิดหน่อยก็มาถึงซากปรักหักพัง
มันดูเหมือนเป็นเศษซากของบ้านเรือนที่ถูกสร้างแบบง่าย ๆ คล้ายกับบ้านในชนบท แต่ตอนนี้กลับเหลือแค่กำแพงบางส่วนให้เห็น แทบไม่เหลือสภาพของบ้านอีกแล้ว ซึ่งดูจากเศษสิ่งก่อสร้างที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณนี้ทำให้ซาลคิดว่าที่นี่น่าจะเคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน
แม้จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นปกคลุมโดยรอบพื้นที่จนเกือบจะกลืนซากปรักหักพังเหล่านั้นไปแล้วก็ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงามไปอีกแบบหนึ่ง มันดูเหมือนกับเป็นสวนพฤกษาอันเขียวชอุ่มที่มีเศษซากของบ้านเรือนเป็นกระถางตามธรรมชาติ หากไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้ปกคลุมอยู่ ที่แห่งนี้คงให้ความรู้สึกหดหู่และวังเวงมากทีเดียว
หลังจากผ่านเขตที่เคยเป็นหมู่บ้านมาแล้ว เบื้องหน้าของพวกเขาก็คือซากเมืองเก่าซึ่งถูกทิ้งร้างเอาไว้ สภาพของเมืองดูเป็นเมืองขนาดกลางที่มีอาคารสองถึงสามชั้นตั้งเรียงรายกันเป็นจำนวนมาก สมัยที่ยังมีผู้คนอยู่ เมืองแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่คึกคักทีเดียว
สิ่งก่อสร้างในเมืองก็ถูกธรรมชาติกลืนกินไปทั่วทุกหัวระแหงเช่นกัน ทั้งถนน, อาคาร, หรือเครื่องเรือนที่ถูกทิ้งไว้ ต่างก็ถูกต้นไม้ใบหญ้า, เถาวัลย์, และมอสขึ้นปกคลุมไปทั่ว เมื่อประกอบกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ และอากาศที่ดูโปร่งแล้ว มันจึงดูเป็นสถานที่ที่ไม่น่ามีพิษภัยอะไรเลย
เมื่อลงจากรถ ซาลก็สอดส่ายสายตามองดูโดยรอบ แต่ก็ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ แม้แต่บรรยากาศก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นดันเจียนเลย จึงหันไปถามแซนโดรด้วยความสงสัย เพราะคิดว่ายังเข้ามาไม่ลึกพอรึเปล่า
“ที่นี่น่ะเหรอ? ดูไม่ค่อยเหมือนดันเจียนเลยนะ ไม่เห็นมีมอนสเตอร์สักตัวเลย”
“…ลองส่งสมุนเข้าไปในนั้นดูสิ…”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่แซนโดรบอก แต่ซาลก็ลองส่งสมุนมังกรตัวหนึ่งเดินดุ่ม ๆ ตามถนนเข้าไปยังย่านใจกลางเมือง แม้ในช่วงรอบนอกจะไม่มีอะไร แต่ทันทีที่เดินลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงลานกว้าง ก็ปรากฏร่างของนักรบจำนวนมากออกมาจากเงามืดของสิ่งก่อสร้างโดยรอบ พวกมันตรงเข้ากลุ้มรุมโจมตีมังกรที่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนสลายร่างไปในพริบตา
“หวา! นั่นมัน!?”
“…พวก ‘เคิร์สอาเมอร์’ และ ‘ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ ไงล่ะ …มอนสเตอร์ประเภทกึ่งวิญญาณซึ่งเกิดจากจิตตกค้างของเหล่านักรบที่ตายในการต่อสู้ …ในเวลากลางวันแบบนี้มันจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แต่ถ้าเข้าไปใกล้ก็จะออกมาจู่โจมทันที…”
“แบบนี้นี่เอง ถ้าเป็นที่นี่ก็เหมาะสุด ๆ เลย ที่สำคัญ อาคารร้างพวกนี้น่ะน่าจะใช้เป็นที่วางจุดอัญเชิญได้ด้วย แบบนี้ก็ใช้ชุดคำสั่งรูปแบบเดียวกับอคาทอชได้แน่! แจ่มมากแซนโดร!”
ซาลกล่าวชื่นชมด้วยความตื่นเต้น แต่แซนโดรก็ไม่ได้สนใจนัก และหันมาบอกกล่าวกับคนอื่น ๆ
“…นิโคล ช่วยคุ้มกันซาลารัสด้วย …ส่วนลานาเทล เธอจะรออยู่ที่นี่ก็ได้นะ…”
“ไม่เอาหรอกค่ะ แบบนั้นน่าเบื่อจะตาย ให้ฉันไปช่วยด้วยคนนะคะ”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทุกคนก็เดินเข้าไปยังเมืองร้างเพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับการวางดันเจียน โดยไม่มีใครรู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่
——————————————————————————————————–
Part 2
ที่บริเวณชายป่าห่างออกมาจากเมืองร้างไม่มากนัก มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเร้นกายอยู่ในแนวไม้
อัลติม่า ปิศาจในรูปลักษณ์ของเด็กสาว ได้แอบตามทุกคนมาตั้งแต่ตอนออกจากเมือง และคอยเฝ้าดูพวกเขาอยู่ห่าง ๆ
“อืม~ จากข้อมูลที่ลองประสานงานกับหน่วยข่าวกรองมา เจ้าหนูนั่นคือ ซาลารัส แฮลเซียน ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่สินะ ดูกี่ทีก็น่ารักจริง ๆ ~”
อัลติม่ากำลังดีใจที่ผู้มีคุณสมบัติในการเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้าเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แถมยังหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอีกด้วย ทำให้เธอยิ้มจนแก้มปริ และจ้องมองเขาด้วยแววตาปรารถนา
นับแต่ถูกวางตัวให้เป็นผู้ชักจูงผู้สร้างหายนะ เธอก็กังวลมาตลอดว่าจะใช้วิธีไหนในการหลอกล่อให้ผู้มีคุณสมบัติคนนั้นเข้าสู่ด้านมืดได้ เพราะวิธีการที่คาซาเดียเคยใช้ชักจูงผู้สร้างหายนะคนที่สามทำให้ไม่มีคนยอมเชื่อใจหรือรับของจากเหล่าปิศาจอีก และโลกนี้ก็ดูจะเป็นที่ ๆ สมบูรณ์พร้อมจนยากจะหาคนที่อยากจะร่วมมือกับเหล่าปิศาจเพื่อทำลายมันลง การจะหาคนที่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้สร้างหายนะก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว แต่การจะทำให้คนผู้นั้นยอมทำลายโลกของตัวเองกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า
เมฟิสโต้เคยแนะนำกับอัลติม่าว่าให้ใช้เสน่ห์ของผู้หญิงในการชักจูงให้อีกฝ่ายทำตามที่ตนเองต้องการ หรือใช้ร่างกายในการล่อลวงผู้สร้างหายนะนั่นเอง ทำให้อัลติม่าที่นึกหาวิธีการอื่นไม่ออกต้องกังวลมาตลอดว่าถ้าเกิดผู้มีคุณสมบัติดันเป็นตาแก่หรือผู้ชายหน้าตาอัปลักษณ์จะทำยังไงดี อาจต้องฆ่าทิ้งซะเพื่อเลี่ยงงานนี้เลยก็ได้
แต่เมื่อพบว่าผู้มีคนสมบัตินั้นเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แถมหน้าตายังถูกสเป็คของเธอด้วย ทำให้อัลติม่าคิดว่างานแบบนี้ต่อให้ไม่มีค่าจ้างเธอก็จะยอมทำฟรี และอาจจะแถมเงินให้ด้วยก็ยังได้
“จะทำยังไงกับเจ้าหนูนี่ดีน้า~ อืม~ ก่อนอื่นก็คงต้องกำจัดพวกตัวเกะกะนั่นซะก่อน ทำให้เจอกับสถานการณ์เฉียดตายแล้วค่อยเข้าไปช่วย แบบนี้จะได้มองเราเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต แล้วจากนั้นจะชักจูงยังไงก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือแล้ว อุ ฮุฮุฮุฮุฮุ~ โอเค เอาตามนี้ล่ะ”
เมื่อคิดแผนได้แล้ว อัลติม่าก็ใช้เวทพรางกายและเปลี่ยนร่างเป็นหมอกสีดำบินตามทุกคนเข้าไปในเมือง
ภายในเมืองร้าง แซนโดรกับลานาเทลกำลังช่วยกันเคลียร์มอนสเตอร์ออกจากพื้นที่ โดยมีซาลกับนิโคลเดินตามหลังเพื่อวางตำแหน่งแกนของดันเจียนเป็นระยะ ๆ
ดูจากขนาดของเมืองแล้ว แซนโดรคิดว่าแค่แกนดันเจียนสี่จุดก็น่าจะครอบคลุมตัวเมืองทั้งหมดได้ โดยตอนนี้พวกเขาวางไปได้หนึ่งจุดแล้ว
อัลติม่าแอบดูทุกคนจากหน้าต่างชั้นสองของอาคารที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัว เมื่อเห็นว่าสบโอกาส จึงเริ่มดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้
“อืม… ถ้าใช้พวกอสูรนรก มันก็จะสะดุดตาเกินไป เจ้าหนูนั่นอาจรู้ว่าเราเป็นคนจัดฉากได้ เพราะงั้นก็… ‘มอนสเตอร์ลัวร์’~”
อัลติม่าร่ายคาถาดึงดูดมอนสเตอร์ด้วยพลังเต็มพิกัด เพื่อให้เหล่ามอนสเตอร์ในพื้นที่แห่กันเข้ามายังบริเวณที่ทุกคนอยู่
บรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะเวทมอนสเตอร์ลัวร์ความเข้มข้นสูง ทำให้ทั้งแซนโดร ลานาเทล และนิโคล ต่างก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้
“คุณแซนโดรคะ?”
“…อืม …เตรียมตัวไว้ให้พร้อม…”
ลานาเทลหันไปทักแซนโดรซึ่งเธอก็รู้ตัวอยู่แล้ว ทางด้านนิโคลที่อยู่กับซาลก็ยืนในท่าที่รัดกุมมากขึ้นเช่นกันเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน มีเพียงซาลที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
ครู่ต่อมา มอนสเตอร์จำนวนมากก็แห่กันมาจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งสเกลตัน, เคิร์สอาเมอร์, และฟอลเลนแชมเปี้ยน ทุกตัวต่างก็วิ่งตรงมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่อย่างดุดัน
อัลติม่าเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย เธอคิดว่าเหล่านักผจญภัยหญิงที่มากับซาลนั้นคงต้านทานฝูงมอนสเตอร์จำนวนขนาดนี้ไว้ได้ไม่นาน จึงเตรียมจะหาจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะเข้าไปแทรกก่อนพวกมอนสเตอร์จะเข้าถึงตัวเขาได้
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้ หญิงสาวเพียงสองคนที่อยู่แนวหน้าก็สามารถจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์ที่กรูกันเข้ามาได้อย่างสบาย โดยไม่มีทีท่าว่าจะเพลี่ยงพล้ำเลยแม้แต่น้อย
“อะไรกัน? ยัยสองคนนั่น ทำไมถึงเก่งนักนะ.. ชิ.. แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ”
อัลติม่าหันไปร่ายเวทเสริมพลังหลายชนิดให้กับเหล่ามอนสเตอร์ที่กำลังตรงเข้าไปหาทุกคน
เวทที่เธอใส่ให้กับเหล่ามอนสเตอร์คือ ‘อันโฮลี่สเตรนท์’ (Unholy Strength) เวทเสริมพลังของธาตุมืดซึ่งเพิ่มพลังโจมตีได้อย่างมหาศาล แลกกับพลังป้องกันที่ลดลง อีกเวทคือ ‘เฟรนซี่’ (Frenzy) เวทเสริมความเร็วในการเคลื่อนที่และโจมตีซึ่งมีผลข้างเคียงคือทำให้พลังป้องกันลดลงเช่นกัน
อัลติม่าแจกเวทเสริมพลังนี้ให้กับเหล่ามอนสเตอร์ทุกตัวที่วิ่งผ่านจุดที่เธออยู่เพื่อให้พวกมันเข้าไปบดขยี้เป้าหมายตามที่เธอวางแผนไว้ ทว่าแม้เหล่ามอสเตอร์จะมีทั้งพลังและความเร็วมากขึ้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของหญิงสาวทั้งสองอยู่ดี
หญิงสาวที่ใช้ดาบสยายผ้าคลุมสีดำสนิทออกมาช่วยทั้งในการโจมตีและการป้องกัน เธอยังมีท่าโจมตีที่สร้างคมดาบสีดำจำนวมนับไม่ถ้วนขึ้นมาจากพื้น ทำให้สังหารเหล่ามอนสเตอร์เป็นจำนวนมากได้ในคราวเดียว
หญิงสาวอีกคนที่ใช้เคียวเป็นอาวุธก็ดูจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้เวทมนตร์ เธอมีเวทโจมตีอันรุนแรงมากมาย เพียงสะบัดเคียวครั้งเดียวก็มีลูกไฟเวทมนตร์สีเขียวจำนวนมากพุ่งเข้าโจมตีเหล่ามอนสเตอร์ราวกับห่าฝนจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
“มะ.. ไม่จริงน่า!? ยัยพวกนั้นเป็นใครกันแน่เนี่ย? ไม่ใช่นักผจญภัยธรรมดา ๆ แล้ว”
อัลติม่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน มอนสเตอร์ในบริเวณนี้เองก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่ต่อให้ทั้งหมดกรูเข้ามาโจมตีพร้อมกันก็ใช่ว่าจะทำอันตรายนักผจญภัยที่มีฝีมือระดับนี้ได้
“จะถอยกลับไปสืบข้อมูลของยัยพวกนี้ก่อนดีมั้ยนะ.. แต่ทำขนาดนี้พวกมันก็น่าจะรู้ตัวแล้ว.. การลงมือครั้งต่อไปคงจะยากขึ้นอีก…”
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง อัลติม่าก็ตัดสินใจได้ว่าคงต้องลงมือให้ถึงที่สุด เธอวาดอักขระสีขาวขึ้นบนอากาศ จากนั้นก็ปรากฏประตูมิติสีขาวค่อย ๆ ขยายตัวออกมาจากจุดที่อักขระลอยอยู่
เมื่อประตูขยายออกจนสุด ก็ปรากฏร่างของอสูรกายสามตัวเดินออกมาจากอีกฟากหนึ่งของประตู
อสูรกายทุกตัวมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำคล้ายมนุษย์ในชุดเกราะแต่กลับมีหัวเป็นสัตว์
ตัวแรกมีหัวเหมือนกับแกะ ตัวที่สองมีหัวเหมือนกับราชสีห์ ส่วนตัวที่สามมีหัวเหมือนกับเลียงผา ทุกตัวมีใบหน้าที่ดูดุดันทั้งยังมีความสูงเกือบสามเมตร หากไม่เพราะเพดานของอาคารชั้นสองนี้พังไปเกือบหมดแล้ว คงไม่มีที่พอให้เหล่าอสูรได้ยืนกันเป็นแน่
“ท่านอัลติม่า มีอะไรให้พวกเรารับใช้รึ?”
อสูรที่มีหัวเหมือนแกะเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ก้องกังวาน
“อืม เห็นผู้หญิงสามคนข้างล่างนั่นมั้ย? ไปฆ่าพวกมันให้หมด แต่ห้ามทำร้ายเด็กคนนั้นนะ”
“รับบัญชา”
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เหล่าอสูรทั้งสามก็สยายปีกสีดำที่เหมือนกับปีกค้างคาวออกมาจากกลางหลังและพุ่งทะยานออกหน้าต่างไป แต่เพราะหน้าต่างมีขนาดเล็กกว่าตัวของพวกมันมาก กำแพงฟากนั้นจึงพังหายไปทั้งแถบ ส่วนอัลติม่าก็หันกลับไปมองกลุ่มของซาลด้วยรอยยิ้มและแววตาอันชั่วร้ายอีกครั้ง
——————————————————————————————————–
Part 3
แซนโดรกับลานาเทลสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่กำลังใกล้เข้ามาในทันที จึงระวังตัวเต็มพิกัด
พริบตานั้นอสูรที่มีหัวเหมือนแกะก็พุ่งลงมากระทืบพื้นตรงจุดที่ลานาเทลยืนอยู่จนแตกกระจาย แรงสะเทือนทำให้อาคารที่อยู่ใกล้เคียงเกิดการแตกร้าวและถล่มตามลงมาด้วย แต่ลานาเทลก็หลบออกจากตรงนั้นไปได้ก่อนแล้ว
พวกมอนสเตอร์ที่อยู่บริเวณนั้นเมื่อเห็นการปรากฏตัวของอสูรที่มีระดับสูงกว่าก็เกิดความตื่นกลัวและทยอยกันหลบออกจากบริเวณปะทะ
แซนโดรเตรียมการร่ายเวทชุดใหญ่จึงปรากฏวงเวทหลายวงขึ้นมารอบตัว แต่ทันใดนั้นอสูรที่มีหัวเป็นราชสีห์ก็บินโฉบลงมาพร้อมกับส่งเสียงคำรามลั่น ทำให้การร่ายเวทของเธอหยุดชะงักและวงเวทที่เตรียมไว้ก็เกิดการสั่นสะเทือนจนแตกสลายไป
แม้จะไม่รู้ว่านั่นเป็นความสามารถอะไร แต่แซนโดรคิดว่าเสียงคำรามนี้คงมีผลในการสกัดกั้นการร่ายเวท เพราะกระแสเวทมนตร์รอบตัวเธอได้เกิดความสั่นไหวจนไม่สามารถสร้างวงเวทขึ้นมาได้อีก สภาวะแบบนี้คงจะมีผลต่อไปอีกหลายวินาที แซนโดรจึงจำเป็นต้องป้องกันการโจมตีด้วยตัวเอง
อสูรที่มีหัวเป็นราชสีห์อาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้ามาโจมตีแซนโดรในระยะประชิด แต่เธอก็ยังใช้เคียวปัดป้องและหลบหลีกออกมาได้
อีกด้านหนึ่ง ลานาเทลก็กำลังถูกอสูรที่มีหัวเหมือนแกะรุกไล่อยู่
แม้จะมีร่างกายใหญ่โตและดูอุ้ยอ้าย แต่อสูรเหล่านี้กลับเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล การเหวี่ยงหมัดแต่ละครั้งสามารถบดขยี้พื้นหรือผนังอาคารให้แหลกเป็นผุยผงได้ในหมัดเดียว เป็นการโจมตีที่จะประมาทไม่ได้เลย
ระหว่างที่ลานาเทลกำลังพยายามหลบหลีกการโจมตีอันรุนแรงนั้นอยู่ ก็มีสายฟ้าพุ่งเข้าใส่จากด้านหลัง แต่เธอก็ยังแปรสภาพผ้าคลุมเป็นโล่แล้วกันเอาไว้ได้
สายฟ้านั้นมาจากอสูรที่มีหัวเป็นเลียงผา มันยังเตรียมวงเวทสำหรับโจมตีไว้อีกหลายวงด้วยกัน
ระหว่างที่ลานาเทลถูกดึงดูดความสนใจจากการลอบโจมตีอยู่นั้นเอง อสูรที่มีหัวเป็นแกะก็พุ่งเข้าชนเธอด้วยความเร็วสูง ลานาเทลจึงต้องตั้งดาบขึ้นมาป้องกัน แต่ก็ยังโดนกระแทกจนปลิวกระเด็นทะลุผนังของอาคารที่อยู่ด้านหลังไป
“คะ.. คุณซาลารัส รออยู่ตรงนี้นะคะ!”
“อื้ม! รีบไปเถอะ!”
นิโคลที่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงให้ซาลซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงก่อนที่จะเข้าไปช่วยแซนโดรกับลานาเทลในการต่อสู้
อสูรที่มีหัวเป็นแกะกระโจนขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้งเพื่อทิ้งตัวลงมากระทืบยังซากปรักหักพังที่ลานาเทลถูกทับอยู่ แต่นิโคลก็พุ่งเข้าไปสกัดได้ซะก่อน
เธอคืนสภาพแขนข้างหนึ่งกลับเป็นมังกรก่อนจะฟาดกรงเล็บเช้าใส่อสูรตนนั้นเต็มแรง แต่มันก็สามารถยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ดป้องกันได้ทัน กระนั้นก็ยังถูกกระแทกจนลอยกระเด็นไปชนกับซากตึกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
อสูรเลียงผาเมื่อเห็นนิโคลเข้ามาแทรกก็ระดมยิงเวทเข้าใส่ แต่เธอก็ใช้ปีกที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งราวกับผินผานั้นห่อหุ้มร่างของตัวเองและป้องกันการโจมตีด้วยเวทมนตร์ทั้งหมดนั้นเอาไว้ได้
ทางด้านอสูรที่มีหัวเป็นแกะจ้องมองนิโคลที่อยู่บนฟ้าและตั้งท่าเหมือนจะกระโจนขึ้นไปหาเธออีกครั้ง ทันใดนั้นก็เกิดรอยปริแตกขึ้นบนพื้นที่มันยืนอยู่
คมดาบสีดำขนาดใหญ่พุ่งทะลุพื้นขึ้นมาแล้วแทงเข้าที่หน้าอกของเจ้าอสูรอย่างจังเพราะมันไม่ทันระวังตัว ทำให้เสื้อเกราะส่วนอกที่มันสวมอยู่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ แถมหน้าอกยังถูกเฉือนเป็นแนวยาวด้วย
พริบตาต่อมา ลานาเทลก็พุ่งออกมาจากซากปรักหักพังและฟันเข้าใส่อสูรตนนั้นด้วยดาบเคลย์มอร์ประจำกาย มันจึงยกแขนขึ้นมากันการโจมตีเอาไว้ได้ แต่แม้จะสวมเกราะชิ้นหนาอยู่ คมดาบของลานาเทลก็ยังฟันทะลุและฝังเข้าไปในแขนของมันได้เกือบครึ่ง
มันพยายามชกสวนกลับไป แต่ลานาเทลก็ดีดตัวหลบออกมาได้ก่อน และถอยออกมาตั้งหลักในจุดที่ไม่ห่างออกไปมากนัก
ทางด้านอสูรเลียงผา เมื่อเห็นว่าเวทมนตร์ไม่มีผลกับนิโคล มันจึงโฉบตัวลงมาเพื่อจะโจมตีในระยะประชิด
แต่ก่อนที่มันจะเข้าถึงตัว นิโคลก็เปิดปีกที่หุ้มร่างอยู่ออกและชกเข้าใส่เจ้าเลียงผา ซึ่งมันก็บิดคอหลบได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะใช้เวทที่เตรียมไว้ในมือซ้ายยิงเข้าใส่เธอในระยะประชิด แต่นิโคลก็ยกหางขึ้นมากันไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะใช้หางนั้นรัดคอของอสูรเลียงผาแล้วเหวี่ยงมันลงไปเบื้องล่าง ทำให้มันพุ่งลงไปกระแทกกับซากปรักหักพังบนพื้นอย่างรุนแรง
ทางด้านแซนโดรนั้นถูกรุกไล่อย่างต่อเนื่องจนไม่มีโอกาสได้ร่ายเวทจัง ๆ เลยสักครั้ง พวกเวทระดับล่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลำแสงหรือบอลพลังเวทก็ดูจะไม่ระคายผิวของอสูรราชสีห์ตัวนี้เลยแม้แต่น้อย เธอจึงเก็บเคียวและหันมาร่ายเวทอัญเชิญแทน
วงเวทขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าแซนโดร จากนั้นก็มีอัศวินขี่ม้าในชุดเกราะสีดำปรากฏออกมาจากวงเวท มันคือ ‘เดรดไนท์’ (Dread Knight) สมุนอัญเชิญระดับกลางของเธอนั่นเอง
เดรดไนท์พุ่งเข้าหาอสูรราชสีห์อย่างไม่กลัวเกรง แต่แค่ปัดแขนครั้งเดียวทั้งตัวอัศวินและม้าก็ถูกซัดจนกระเด็นไปกระแทกกับผนังของซากอาคารที่อยู่ใกล้ ๆ สื่อถึงระดับพลังที่ยังต่างกันมาก
แซนโดรยังคงอัญเชิญเดรดไนท์ออกมาเรื่อย ๆ ทำให้มีกลุ่มอัศวินม้าดำหลายสิบคนวิ่งเป็นขบวนเข้าล้อมอสูรราชสีห์ แม้มันจะสามารถจัดการกับอัศวินแต่ละคนได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และการโจมตีของเหล่าอัศวินจะแทบไม่ระคายผิวของมันเลย แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ก็ทำให้อสูรราชสีห์ต้องพัวพันกับการต่อสู้จนรุกไล่แซนโดรต่อไปไม่ได้
ในที่สุดมันก็รวบรวมพลังแล้วทุบแขนทั้งสองข้างลงกับพื้น ทำให้เกิดแรงกระแทกแผ่ออกไปเป็นวงกว้างจนเหล่าเดรดไนท์โดยรอบกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง เมื่อจัดการกับเดรดไนท์โดยรอบหมดแล้วมันก็มองหาแซนโดรอีกครั้ง
แต่สิ่งที่มันพบก็คือแซนโดรที่มีบอลเวทมนตร์ห้าลูกลอยเป็นวงโค้งอยู่เหนือศีรษะ
บอลเหล่านั้นปล่อยลำแสงเข้าประสานกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียวก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาอสูรราชสีห์
ความเร็วของลำแสงนั้นรวดเร็วจนเจ้าอสูรไม่อาจหลบหลีกได้ทัน มันถูกลำแสงสีเขียวเจาะทะลุไหล่เป็นรูโหว่เท่ากำปั้นจนต้องร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
แม้จะถูกโจมตีจนบาดเจ็บ แต่เจ้าอสูรก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแอลงแต่อย่างใด ดวงตาอันแดงก่ำราวกับสัตว์ร้ายของมันยังคงถลึงมองแซนโดรด้วยแววตาอันมุ่งมั่นและดุดันไม่ต่างไปจากก่อนหน้านี้
อสูรเลียงผาลุกขึ้นมาจากซากปรักหักพังโดยไม่มีท่าทีบาดเจ็บอะไร ส่วนอสูรที่มีหัวเหมือนแกะก็ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองเช่นกัน แม้เลือดของมันจะถูกดูดออกจากปากแผลและไหลเป็นสายราวกับเส้นไหมสีแดงไปยังดาบของลานาเทลตลอดเวลา
พวกมันทั้งสามตัวดูจะยังไม่ยี่หระกับการต่อสู้ และพร้อมที่จะเข้าสู่การต่อสู้รอบใหม่ได้ทุกเมื่อ
ทันใดนั้นเหล่าอสูรก็มีท่าทางเหมือนกับได้ยินเสียงเรียกจากที่ไหนสักแห่ง พวกมันหรี่ตาลงราวกับจะแสดงความไม่พอใจ จากนั้นก็มีประตูมิติสีขาวเปิดออกมาทางด้านหลังของแต่ละตัว ก่อนที่พวกมันจะเดินถอยเข้าประตูและหายวับไป
เมื่อเหล่าอสูรล่าถอยไปแล้ว แซนโดร ลานาเทล และนิโคล จึงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“ทุกคนไม่เป็นอะไรนะคะ?”
นิโคลเอ่ยถามทั้งสองคนด้วยความเป็นห่วง
“อื้ม ไม่เป็นไรค่ะ อาการบาดเจ็บก็ใช้เลือดของเจ้านั่นรักษาเรียบร้อยแล้วล่ะ”
ลานาเทลตอบกลับนิโคลก่อนที่จะหดผ้าคลุมเก็บกลับเข้าปกเสื้ออีกครั้ง
“…แล้วซาลารัสล่ะ?…”
แซนโดรเอ่ยถามขึ้นเมื่อไม่เห็นซาล นิโคลจึงหันไปชี้ยังกำแพงที่เธอให้เขาซ่อนตัวอยู่
“คุณซาลารัสก็อยู่ตรง.. เอ๋?”
เธอชะงักคำพูดค้างไว้เพราะตรงกำแพงนั้นไม่มีใครอยู่เลย ซึ่งตามปกติซาลควรจะวิ่งออกมาหาพวกเธอเองแล้ว เมื่อเห็นว่าการต่อสู้จบลง
นิโคลรีบวิ่งไปดูที่บริเวณหลังกำแพง แต่ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซาลหายตัวไปจากตรงนั้น