Doombringer the 5th - ตอนที่ 3
Ch.3 – ปราสาททราย
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 3
ปราสาททราย
Part 1
สามสัปดาห์ผ่านไป หลังจากการสอบภาคสนาม
ตอนนี้ซาลและเพื่อน ๆ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์อย่างเป็นทางการแล้ว
ทุกคนต่างก็เลือกคลาสหลักที่อยากจะเป็นตามที่ตัวเองได้ตั้งใจกันเอาไว้
อลันเลือกเป็นนักดาบ (Swordman) ทาลิสเลือกเป็นเคลริค (Cleric) โลเฟ่นเป็นนักเวทฝึกหัด (Apprentice) และซาลารัสเลือกซัมมอนเนอร์ (Summmoner) หรือนักเวทอัญเชิญ
เนื่องจากแต่ละคลาสมีวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนไม่เหมือนกันทำให้ทั้งสี่คนต้องแยกชั้นเรียนกันในหลาย ๆ วิชา โดยเฉพาะวิชาของสายนักรบที่แยกกับสายนักเวทอย่างชัดเจน แต่คนที่ดูจะเจอปัญหามากกว่าคนอื่นคือซาล
แม้นักเวทอัญเชิญจะเป็นคลาสสายเวทเช่นเดียวกับนักเวทฝึกหัด แต่เนื่องจากเป็นคลาสที่ค่อนข้างมีรูปแบบเฉพาะตัว และไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องการใช้เวทมนตร์เหมือนกับคลาสผู้ใช้เวทคลาสอื่น ๆ แผนการเรียนจึงแตกต่างไปแม้กระทั่งกับคลาสสายเวทด้วยกันเอง
เพราะคนทั่วไปจะไม่นิยมเรียนเวทอัญเชิญเป็นคลาสแรก การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเวทอัญเชิญในช่วงอายุต่ำ ๆ จึงมีน้อยตามไปด้วย วิชาที่ซาลต้องเรียนเลยกลายเป็นวิชาประเภท ‘เรียนด้วยตนเอง’ ซึ่งต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลเอาเองจากห้องสมุด เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหมกตัวค้นคว้าอยู่ในห้องสมุดตามลำพัง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของนักเวทอัญเชิญที่มีให้ใช้ในการเรียนก็ยังค่อนข้างน้อยอยู่ดี เช่นในห้องสมุดอันกว้างขวางของโรงเรียนอีจิสนี้ แม้จะมีหนังสือบรรจุอยู่มากมายไม่ด้อยไปกว่าหอสมุดตามเมืองใหญ่ ๆ แต่หมวดหมู่ของหนังสือสำหรับนักเวทอัญเชิญกลับเป็นแค่มุมเล็ก ๆ ที่มีหนังสืออยู่ไม่เต็มหิ้งเท่านั้น และแม้จะสามารถใช้สิทธิ์ของคลาสในการเข้าถึงฐานข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับเวทเวทอัญเชิญด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดได้แล้ว แต่ซาลกลับพบว่าแม้ในฐานข้อมูลออนไลน์จะมีบันทึกทางวิชาการของนักเวทอัญเชิญให้ศึกษาค้นคว้าเยอะกว่า แต่ทุกฉบับล้วนเป็นข้อมูลเก่าเก็บที่ไม่มีการปรับปรุงพัฒนามาเป็นเวลานาน ขนาดบันทึกทางวิชาการที่มีการปรับปรุงข้อมูลใหม่ล่าสุดก็ยังเป็นข้อมูลของเมื่อ 75 ปีที่แล้วโน่น
“อา… ท่าทางจะมีปัญหามากกว่าที่คิดแฮะ…”
ซาลซึ่งอ่านหนังสือพื้นฐานสำหรับนักเวทอัญเชิญและดูข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ไปเกือบหมดแล้วก็เริ่มจะเข้าใจสาเหตุที่นักเวทอัญเชิญเป็นคลาสที่ไม่นิยมนัก
นักเวทอัญเชิญจะแบ่งรูปแบบการอัญเชิญเป็นสองประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน คือการอัญเชิญตัวตนที่มีอยู่จริงหรือการอัญเชิญพันธสัญญา (Contact Summon) กับการอัญเชิญตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นหรือการอัญเชิญสมุน (Minion Summon)
การอัญเชิญตัวตนที่มีอยู่จริงหรือการอัญเชิญพันธสัญญาก็คือการอัญเชิญสิ่งที่มีตัวตนดั้งเดิมอยู่จริง ๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ แต่การจะอัญเชิญด้วยวิธีนี้ จำเป็นต้องทำพันธสัญญากับตัวตนนั้น ๆ ซะก่อน
เช่นถ้าจะอัญเชิญคน ก็ต้องไปทำพันธสัญญากับบุคคลนั้น ๆ เพื่อให้สามารถอัญเชิญมาได้ หรือกับสัตว์และมอนสเตอร์ก็เช่นกัน ต้องหาทางทำให้สัตว์เหล่านั้นยอมทำพันธสัญญากับตนเองให้ได้
การทำพันธสัญญานั้นเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะการทำพันธสัญญากับมนุษย์ เพราะตัวนักเวทอัญเชิญเป็นผู้ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียวโดยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตอบแทนให้กับผู้ที่ถูกอัญเชิญมาเลย โดยมากจึงต้องให้ค่าตอบแทนเป็นเงินไป ยิ่งเป็นนักผจญภัยระดับสูง ค่าตอบแทนก็ยิ่งแพงตามไปด้วย การอัญเชิญนักผจญภัยระดับสูง ๆ มาจึงเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองมาก กระนั้นคนก็ยังไม่ค่อยอยากจะทำพันธสัญญาซึ่งเหมือนเป็นการผูกมัดฝ่ายเดียวนัก
การอัญเชิญพันธสัญญายังมีปัญหาอีกประการคือ บ่อยครั้งที่เจ้าตัวไม่สะดวกจะรับการอัญเชิญ เช่นกำลังทำกิจกรรมส่วนตัว อย่างการทานข้าว, อาบน้ำ, นอนหลับ, ฯลฯ ก็จะไม่สามารถอัญเชิญมาได้ มิหนำซ้ำ ตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายยังส่งผลกับการอัญเชิญด้วย คือถ้ายิ่งผู้ถูกอัญเชิญอยู่ไกลจากผู้อัญเชิญมาก ๆ พลังเวทที่ต้องใช้ในการอัญเชิญตัวมาก็จะมากตามไปด้วยจนอาจถึงขั้นอัญเชิญไม่ได้ อย่าว่าแต่การอัญเชิญเลย หากทั้งสองฝ่ายอยู่ไกลกันเกินไปแค่การติดต่อกันผ่านวงเวทพันธสัญญาก็ทำไม่ได้แล้ว ยิ่งทำให้การใช้เวทอัญเชิญมีข้อจำกัดมากขึ้นไปอีก
สำหรับปัญหานี้ นักเวทอัญเชิญในยุคก่อนได้หาวิธีแก้ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘การอัญเชิญร่างเสมือน’ (Image Summon) ขึ้นมา
การอัญเชิญร่างเสมือน คือการสร้างร่างตัวแทนของผู้ที่ได้รับการทำพันธสัญญาด้วยออกมาแทนตัวจริง ซึ่งความสามารถของร่างเสมือนจะเทียบเท่าตัวจริงเกือบทุกประการ ต่างกันแค่ความสามารถในการตัดสินใจหรือการตอบสนองซึ่งจะด้อยกว่าในระดับหนึ่ง วิทยาการนี้จัดเป็นนวัตกรรมแห่งศตวรรษของนักเวทอัญเชิญในยุคก่อนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี คือการอัญเชิญร่างเสมือนต้องใช้พลังเวทมหาศาล เพราะมันคือการสร้างร่างอัญเชิญที่มีพลังเทียบเท่ากับร่างจริงขึ้นมา ไม่ใช่แค่การสร้างทางเชื่อมมิติเหมือนการอัญเชิญปกติ ยิ่งเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง การสร้างร่างเสมือนก็ยิ่งต้องใช้พลังเวทมาก นักเวทอัญเชิญจึงไม่สามารถอัญเชิญร่างเสมือนของนักสู้ทีมีระดับสูงมาก ๆ ได้
อีกประการคือเพราะร่างเสมือนจะมีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน และถูกผู้อัญเชิญควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้เกิดความกังวลว่าผู้อัญเชิญจะนำร่างนั้นไปใช้ในทางที่ไม่ดีรึเปล่า เช่นว่าถ้าเอาร่างเสมือนไปก่ออาชญากรรม เจ้าของร่างก็อาจโดนหมายจับแทนได้ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้อัญเชิญใช้ร่างเสมือนของนักผจญภัยหญิงไปทำเรื่องมิดีมิร้ายด้วย เพราะเหตุนี้เลยทำให้มีคนยอมทำพันธสัญญาน้อยลงมาก ยิ่งการทำพันธสัญญากับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่ใช่ผู้ที่ไว้ใจได้จริง ๆ จึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย
“ตามกฎแล้วห้ามทำพันธสัญญากับผู้มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี แต่มันก็แค่ข้อห้ามนี่นา ไม่ใช่ข้อจำกัดของพันธสัญญาซะหน่อย ทำไมเราถึงทำพันธสัญญากับทุกคนไม่ได้หว่า…”
ซาลเคยลองพยายามทำพันธสัญญากับอลัน, โลเฟ่น, และทาลิสแล้ว แต่ไม่สามารถทำพันธสัญญาได้ ทีแรกคิดว่าเป็นเพราะข้อจำกัดของตัวเวท แต่อ่านในตำราแล้วมันก็เป็นแค่ข้อห้ามเฉย ๆ ไม่ควรจะมีผลกับการใช้จริงเลย
“ไม่สามารถทำพันธสัญญากับผู้ที่มีพันธสัญญาผูกมัดอยู่แล้ว หรือไม่สามารถทำพันธสัญญากับสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ เช่นสิ่งของหรือร่างอัญเชิญงั้นเหรอ ก็ไม่ได้ผิดเงื่อนไขอะไรนี่นา… เฮ้อ ช่างมันก็แล้วกัน”
ยังไงการอัญเชิญพันธสัญญาก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของซาลอยู่แล้ว เพราะความฝันของเขาคืออยากสร้างกองทัพของตัวเอง เขาจึงมุ่งเน้นการค้นคว้าไปที่เรื่องของการอัญเชิญตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นหรือการอัญเชิญสมุน แต่แค่หยิบหนังสือเกี่ยวกับการสร้างร่างอัญเชิญระดับกลางขึ้นมาอ่านได้พักเดียวก็รู้สึกวิงเวียนแล้ว
“นี่มัน… ภาษามนุษย์แน่รึเนี่ย?”
ความจริงแล้วการสร้างร่างอัญเชิญเป็นวิทยาการที่มีความซับซ้อนในระดับสูงมาก
คุณสมบัติของร่างอัญเชิญจะถูกกำหนดด้วยโครงสร้างของอักขระบนวงเวทซึ่งนักเวทอัญเชิญเป็นผู้ออกแบบและเขียนขึ้น หากต้องการสร้างสมุนที่มีขีดความสามารถสูง ก็ต้องใช้วงเวทที่มีโครงสร้างซับซ้อนขึ้นตามไปด้วย
ซาลพยายามอ่านเพื่อทำความเข้าใจกับหลักการของการออกแบบวงเวทขึ้นมาเองจากรากฐาน แต่เพราะมันมีรายละเอียดเยอะ และเต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะที่ไม่เข้าใจมากมาย ทำให้ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกงุนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมันเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก หาความหมายไม่ได้เลยสักนิด
“ถ้าไม่มีคนสอนก็คงไม่ไหวจริง ๆ ด้วยแฮะ… ”
เนื่องจากการออกแบบวงเวทขึ้นมาเองเป็นสิ่งที่เกินความสามารถในตอนนี้ ทางเลือกของซาลจึงเหลือแค่การนำวงเวทที่มีคนออกแบบไว้แล้วมาดัดแปลงใช้ หมาป่าอัญเชิญที่ซาลารัสใช้ในการทดสอบภาคสนามก็เป็นร่างอัญเชิญที่มีคนเขียนวงเวทเป็นต้นแบบเอาไว้ให้แล้ว เขาแค่ลอกแบบจากในหนังสือมาปรับใช้งานเท่านั้น
วงเวทที่มีคนเขียนไว้ให้เสร็จแล้วนี้แม้จะใช้งานง่าย แต่ก็มีข้อจำกัดในการปรับแต่ง เช่นหมาป่าที่ซาลนำมาใช้ สามารถปรับแต่งได้แค่ระยะเวลาในการคงอยู่และทักษะที่ใช้งานได้เท่านั้น ไม่สามารถเพิ่มความสามารถทางกายภาพได้ แถมทักษะที่มีให้เลือกติดตั้งก็ยังมีจำกัดด้วย
เพราะการออกแบบวงเวทเพื่อสร้างสมุนเก่ง ๆ ขึ้นมาสักตัวเป็นอะไรที่ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวและความทุ่มเทอย่างมาก นักเวทอัญเชิญในสมัยก่อนจึงมักจะออกแบบวงเวทไว้ใช้เองส่วนตัวโดยไม่ค่อยเผยแพร่สู่สาธารณะเท่าไหร่นัก
มันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะหวงแหนผลงานที่อุตส่าห์ทุ่มเทพยายามสร้างขึ้นมาแบบเลือดตาแทบกระเด็น ไม่อยากให้คนอื่นมาชุบมือเปิบ หยิบเอาไปใช้ได้ง่าย ๆ ต้นแบบวงเวทสำเร็จรูปที่ถูกเผยแพร่ออกมาจึงมีน้อยตามไปด้วย
พอคนที่ศึกษาวิชาแขนงนี้มีน้อย แถมยังหวงวิชากันเองอีกต่างหาก ทำให้คนรุ่นต่อ ๆ มาศึกษาเรียนรู้ได้ลำบากเพราะมีข้อมูลน้อย เมื่อมันเป็นวิชาที่เรียนยากคนสนใจก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ และเมื่อมีคนเรียนน้อยก็ยิ่งขาดการแบ่งปันความรู้เพื่อพัฒนาวิทยาการเข้าไปอีก กลายเป็นวังวนที่ทำให้นักเวทอัญเชิญกลายเป็นคลาสที่ล้าหลังกว่าคลาสอื่น ๆ อยู่ร่วมร้อยปี
หากเป็นคลาสยอดนิยมอย่างนักเวท (Mage) ซึ่งมีผู้สนใจศึกษาเป็นจำนวนมาก อัตราการแบ่งปันข้อมูลและแชร์ความรู้จะมีเยอะกว่า ทำให้เกิดการค้นพบและพัฒนาวิทยาการใหม่ ๆ ของคลาสอยู่เสมอ
ยกตัวอย่างเช่นเวท ‘ไฟร์บอล’ ซึ่งโลเฟ่นใช้ในตอนสอบภาคสนามนั้น สมัยก่อนจัดเป็นเวทชั้นกลางซึ่งมีแต่นักเวทระดับสองขึ้นไปจึงจะสามารถใช้งานได้ แต่ด้วยการที่สาขาวิชานี้มีคนเรียนเยอะ ทำให้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา จึงมีการคิดค้นและปรับปรุงโครงสร้างทางเวทมนตร์ของมันอยู่เสมอทำให้มันกลายเป็นเวทที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น ทั้งลดระยะเวลาในการร่าย, กินพลังเวทน้อยลง, และเดี๋ยวนี้แม้แต่นักเวทระดับโนวิชก็สามารถใช้งานได้แล้ว เรียกว่าความยากในการใช้ลดลงมาถึงสองระดับเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกันแล้ว ฝั่งนักเวทอัญเชิญยังมีแต่วงเวทของร่างอัญเชิญดาษ ๆ ที่กินค่าร่ายมหาศาลแต่กลับมีความสามารถธรรมดา ๆ ที่ทั้งไม่คุ้มค่าร่ายและประสิทธิภาพก็ด้อยกว่าที่ควรจะเป็นด้วย หากอยากจะสร้างร่างอัญเชิญที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้ค่าร่ายน้อยก็ต้องค้นคว้าออกแบบและพัฒนาโครงสร้างทางเวทมนตร์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งนับเป็นงานวิจัยระดับศาสตราจารย์เลยทีเดียว
“สงสัยคงต้องรีบสอบเลื่อนชั้นขึ้นไปเป็นคอนจูเรอร์เท่านั้นสินะ… ถ้ารู้วิธีออกแบบวงเวทย์ขึ้นมาเองละก็ น่าจะทำอะไรได้บ้างล่ะ”
เพราะการค้นคว้าด้วยตัวเองมาถึงทางตัน แถมทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีให้ใช้งานได้ที่นี่ก็ค่อนข้างจำกัด ซาลจึงคิดว่าทางเดียวที่จะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายได้คือต้องเลื่อนระดับขึ้นเป็นคอนจูเรอร์ (Conjurer) คลาสระดับสองของนักเวทอัญเชิญซึ่งมุ่งเน้นไปที่ทักษะในการสร้างร่างอัญเชิญ
ถ้าเป็นคอนจูเรอร์แล้ว จะมีสิทธิ์ขอให้ทางสถาบันส่งร่างอัญเชิญเสมือนของอาจารย์สาขาคอนจูเรอร์มาช่วยสอนให้เป็นครั้งคราวได้ นับเป็นสิทธิพิเศษของคลาสระดับสองซึ่งตอนนี้เขายังไม่มี จึงได้แต่ต้องรอการสอบเลื่อนชั้นเท่านั้น
ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่ ระฆังบอกเวลาพักเที่ยงก็ดังขึ้นพอดี ทำให้ซาลเพิ่งรู้สึกตัวว่ามัวค้นคว้าจนลืมเวลาไปอีกแล้ว ทั้งที่วันนี้มีนัดกินข้าวพร้อมกับเพื่อน ๆ แท้ ๆ เขาจึงลุกลี้ลุกลนนำหนังสือกลับขึ้นไปเก็บบนชั้นวาง และวิ่งออกจากห้องสมุดไปอย่างเร่งรีบ
———————————————————————————————————-
Part 2
ที่โรงอาหาร ซาลซึ่งมาสายก็พบเพื่อน ๆ กำลังนั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว
“เฮ้ ซาล ทางนี้ ๆ ”
โลเฟ่นโบกมือเรียกซาลให้มานั่งด้วยกัน ซึ่งตรงที่นั่งนั้นมีถาดอาหารสำหรับเขาเตรียมไว้ให้แล้ว
“ขอโทษทีนะ เผลอนึกอะไรเพลินไปหน่อย”
“กำหนดเวลาเรียนเองก็ยังมาสายได้นี่ไม่ไหวเลยนะ วัน ๆ นึงไม่ค่อยจะได้เจอกันเท่าไหร่อยู่แล้ว รักษาเวลาหน่อยเซ่”
“ฉันกับนายก็เจอกันทุกวันอยู่แล้วนี่นา…”
ซาลหยุดพูดกลางคันเพราะเหลือบไปเห็นสายตากับสีหน้าของโลเฟ่นแล้วเพิ่งจะเข้าใจความหมาย
สายตาของโลเฟ่นชี้ไปทางทาลิสซึ่งนั่งกินข้าวอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างเขา แต่เธอกลับพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจจะหันมามองหรือทักทายเขาเลย ดูเหมือนเธอจะงอนนิดหน่อยที่เขามาช้า
เพราะวิชาที่คลาสนักรบกับนักเวทเรียนมีเนื้อหาต่างกันมาก ทั้งสองคนจึงแทบไม่ได้เจอกันในเวลาเรียนเลย ช่วงพักเที่ยงและหลังเลิกเรียนภาคบ่ายจึงเป็นช่วงเวลาเพียงน้อยนิดที่ทั้งคู่จะได้พบกัน
“นายคงลำบากแย่เลยสินะ ที่นี่น่ะไม่มีอาจารย์เฉพาะทางที่สอนวิชาของนักเวทอัญเชิญเลยนี่นา”
อลันซึ่งอ่านบรรยากาศออกก็พยายามเปลี่ยนเรื่องโดยใช้ประเด็นที่ช่วยเป็นข้ออ้างให้ซาลได้อีกแรง ทำให้โลเฟ่นแอบยิ้มด้วยความนับถือในความหลักแหลมของอลันที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“อืม อาจารย์ที่ช่วยสอนหรือให้คำแนะนำในเรื่องการสร้างร่างอัญเชิญได้น่ะแทบไม่มีเลยล่ะ ต้องศึกษาเอาเองล้วน ๆ แต่อาจารย์ที่พอจะให้คำปรึกษาเรื่องการอัญเชิญพันธสัญญาก็มีอยู่นะ ตอนนี้ฉันเลยเข้าใจหลักการของการอัญเชิญพันธสัญญาเกือบทั้งหมดแล้วล่ะ”
“โอ้ไม่เลวนี่นา สมกับเป็นนาย”
โลเฟ่นกล่าวชมเชยพลางเสียบไส้กรอกชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากไปอีกคำหนึ่ง
“ไม่หรอก เพราะเนื้อหาของสายนี้มันมีน้อยน่ะ คนส่วนใหญ่เขาก็เรียนกันแค่นี้แหละ เพราะที่หนักและซับซ้อนจริง ๆ คือสายสร้างร่างอัญเชิญต่างหาก”
แม้จะไม่สนใจในการอัญเชิญสมุน แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคลาสซัมมอนเนอร์เป็นคลาสรองติดตัวไว้เพื่อให้ใช้การอัญเชิญขั้นพื้นฐานได้ เนื่องจากความสามารถในการอัญเชิญเป็นความสามารถที่มีประโยชน์และนำมาปรับใช้ได้หลายอย่าง
เช่นในการตะลุยดันเจียนชั้นลึก ๆ หากพลัดหลงกันขึ้นมาก็สามารถอัญเชิญสมาชิกในกลุ่มกลับมารวมกลุ่มกันได้ หรือการอัญเชิญสมุนธรรมดา ๆ ออกมาเบี่ยงเบนความสนใจในจังหวะคับขันก็อาจส่งผลชี้เป็นชี้ตายได้เหมือนกัน มันจึงเป็นคลาสที่หลาย ๆ คนมักจะเลือกเรียนติดตัวไว้สักครั้งหนึ่ง แต่ก็เพื่อเอาความสามารถในการอัญเชิญขั้นพื้นฐานเท่านั้น
“การสอบเลื่อนชั้นจะมีขึ้นในอีกสี่เดือนสินะ ฉันเองก็ว่าจะขอสอบอยู่…”
ระหว่างที่ซาลพูด ทาลิสที่เคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ จนแก้มป่องก็หันมาฟังแบบไม่วางตา แต่พอเขาหันไปมองเธอก็หลบหน้าไปทางอื่นพลางเคี้ยวอาหารไปด้วย เป็นปฏิกิริยาที่ดูน่ารักดีจนซาลเองยังแอบชอบใจ แต่ถ้าจะปล่อยให้งอนกันอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะเสียเวลาอันมีค่าไปซะเปล่า ๆ เขาเลยต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
“ฉันกะว่าจะสอบเลื่อนขั้นเป็นคอนจูเรอร์แล้วอาจไปเรียนต่อที่สถาบันเฉพาะทางน่ะ”
“อุ๊บ! …วะ ว่าไงนะ!?”
ทาลิสที่ได้ยินประโยคนั้นเข้าก็แทบสำลัก เธอรีบกลืนอาหารในปากก่อนจะหันมาถามย้ำอย่างร้อนรน ในที่สุดซาลก็ทำให้เธอยอมพูดด้วยได้แล้ว
“ก็ที่นี่ไม่มีอาจารย์เฉพาะทางที่สอนการสร้างร่างอัญเชิญได้เลยนี่นา ฉันเลยกะว่าถ้าเลื่อนขั้นเป็นคอนจูเรอร์แล้วก็อาจลองหาสถาบันเฉพาะทางที่มีอาจารย์เก่ง ๆ ในด้านนี้เพื่อศึกษาอย่างจริงจังดู”
“บะ… แบบนั้นมัน…”
ทาลิสมีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด จนซาลเริ่มรู้สึกผิดว่าตัวเองหยอกแรงเกินไปรึเปล่า ดีที่มีอลันช่วยแทรกได้ถูกจังหวะ
“สถาบันเฉพาะทางสำหรับซัมมอนเนอร์น่ะปิดตัวไปเกือบหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ถึงจะมีโรงเรียนที่มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่แต่จะย้ายไปเพื่อเรียนก็ใช่ที่มั้ง ถ้าเลื่อนคลาสแล้วใช้สิทธิ์เชิญอาจารย์มาเป็นที่ปรึกษาทางไกลเอาน่าจะดีกว่านะ”
“โอ้ งั้นเหรอ มีวิธีแบบนั้นอยู่ด้วยสินะ ดีจัง ความจริงฉันเองก็ไม่อยากจะไปเรียนที่อื่นเท่าไหร่หรอก”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทาลิสก็แสดงอาการโล่งใจออกมา โลเฟ่นที่แอบดูอยู่ตลอดก็อดขำกับความเจ้าเล่ห์ของซาลและความซื่อของทาลิสไม่ได้ แต่เขาก็พยายามเก็บอาการไว้ ส่วนอลันพอเห็นท่าทีของโลเฟ่นก็เริ่มจะเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของซาล แต่ก็ยังตีสีหน้าเรียบเฉยต่อไป
“จะว่าไปแล้วนับแต่ได้เป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์อย่างเต็มตัว เราก็ยังไม่เคยไปรับภารกิจและออกผจญภัยกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยนะ ไว้ช่วงปิดเทอมครั้งหน้าเราหาเวลาไปรับภารกิจกันดีมั้ย?”
โลเฟ่นเสนอขึ้นหลังจากทุกคนรับประทานอาหารกันเสร็จหมดแล้ว
ทาลิสเมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็มีสีหน้าตื่นเต้นและมองไปรอบ ๆ ด้วยตาเป็นประกายราวกับจะใช้มันอ้อนให้คนอื่น ๆ เห็นด้วย แต่อลันกลับมีท่าทีลังเลและครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน
“อืม… แต่ภารกิจสำหรับนักผจญภัยรุ่นเยาว์รับได้ส่วนมากจะเป็นภารกิจที่น่าเบื่อน่ะสิ อย่างพวกส่งของ หาของ หรือกำจัดสัตว์รบกวนแบบง่าย ๆ ไม่มีอันไหนที่น่าตื่นเต้นเท่าตอนสอบภาคสนามหรอก”
“ช่วงแรก ๆ ก็อาจเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเคลียร์ภารกิจกำจัดสัตว์แบบง่าย ๆ จนสะสมแต้มเพื่อเลื่อนระดับของกลุ่มได้ ทางกิลด์ก็จะยอมให้รับภารกิจระดับสูงขึ้นด้วยนะ”
“กว่าจะเลื่อนระดับได้ต้องเคลียร์สักกี่ภารกิจกันล่ะ เวลาจะพอเหรอ หมดช่วงปิดเทอมก็ยังเลื่อนระดับไม่ได้เลยมั้ง”
“อาจไม่นานอย่างที่คิดก็ได้น่า แล้วถ้าไม่เริ่มตอนนี้เมื่อไหร่จะเลื่อนระดับได้ล่ะ หรือจะรออีกสามปีจนจบหลักสูตรนักผจญภัยรุ่นเยาว์ ได้เป็นนักผจญภัยเต็มตัวแล้วค่อยรับภารกิจระดับกลางงั้นเหรอ?”
ดูเหมือนอลันจะไม่ค่อยอยากไปทำภารกิจระดับต่ำสำหรับนักผจญภัยรุ่นเยาว์สักเท่าไหร่จึงโต้แย้งโลเฟ่นในเกือบทุกประเด็น สำหรับอลันที่เคยไปทำภารกิจระดับกลางกับพวกพี่ ๆ มาแล้วการต้องกลับมาทำภารกิจระดับล่างแบบนี้คงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อพอสมควร
ซาลยังคงนั่งเงียบโดยไม่แสดงความเห็นอะไร อันที่จริงตัวเขาเองก็อยากไปทำภารกิจตามประสานักผจญภัยอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีเรื่องที่ยังกังวลอยู่
เรื่องนั้นก็คือแซนโดร นักเวทที่มีใบหน้าเป็นหัวกะโหลกซึ่งเขาได้พบในดันเจียนเมื่อตอนสอบภาคสนาม
ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนมานี้ไม่มีวันไหนเลยที่ซาลจะไม่ขบคิดถึงคนผู้นั้น โดยเฉพาะรูปลักษณ์ราวกับยมทูตอันน่าสะพรึงกลัวนั่น เขาลองศึกษาหาข้อมูลมาแล้วพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่แซนโดรจะเป็น ‘ลิช’ (Lich)
‘ลิช’ คือคลาสสูงสุดของ ‘เนโครแมนเซอร์’ ซึ่งเป็นนักเวทอัญเชิญอีกแขนงหนึ่ง คลาสสายนี้จัดอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืด ซึ่งศึกษาทั้งเวทธาตุมืดและมนต์ดำทุกแขนง ในช่วงแรก ๆ ของการฟื้นฟูอารยะธรรม การศึกษาศาสตร์มืดไม่ใช่เรื่องต้องห้าม แต่หลังจากผ่านการรุกรานมาหลายครั้งเข้าก็พบว่ามีผู้ศึกษาศาสตร์มืดจำนวนมากเข้าร่วมกับฝ่ายนรกในการรุกรานโลก ทั้งเข้าร่วมการต่อสู้โดยตรง และเป็นสายลับให้กับนรก จึงเริ่มมีการกวาดล้างและประกาศให้การศึกษาศาสตร์มืดเป็นสิ่งต้องห้ามตั้งแต่ศักราชที่ 203 หรือราว ๆ หนึ่งร้อยปีก่อน
สำหรับ ‘ลิช’ จัดเป็นคลาสลับที่เหล่าผู้ศึกษาศาสตร์มืดพากันใฝ่ฝันถึง เพราะนอกจากมันจะเป็นคลาสระดับสุดยอดของผู้ใช้เวทสายมืดแล้ว ยังเป็น ‘ตัวตน’ ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ จนเทียบชั้นกับปิศาจหรือทูตสวรรค์ได้เลยทีเดียว
ผู้ที่สำเร็จการเป็นลิช จะได้รับร่างใหม่ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกมาแทน ร่างนี้ไม่มีอายุขัย ไม่มีวันป่วยไข้ ไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องพักผ่อน แม้จะดูเปราะบางเพราะเป็นโครงกระดูก แต่ความจริงแล้วกระดูกของลิชมีความแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า การโจมตีทางกายภาพตามปกติยากจะสร้างความระคายเคืองได้ นอกจากนี้ลิชยังเป็นจอมเวทที่มีพลังมหาศาล ความสามารถในการต้านทานเวทมนตร์จึงสูงตามไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่มีความสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน แถมต่อให้ถูกฆ่าก็ยังสามารถคืนชีพใหม่ได้เรื่อย ๆ ตราบที่วัตถุเวทมนตร์ซึ่งใช้เก็บวิญญาณยังไม่ถูกทำลายไป บางคนจึงถึงกับกล่าวว่าการจัดการกับลิชนั้นยากกว่าจัดการกับพวกปิศาจซะอีก
อย่างไรก็ตาม การเป็นลิชก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อให้สำเร็จวิชาและได้รับร่างนี้มาต้องผ่านพิธีกรรมและการทดสอบมากมาย หากไม่ใช่ผู้ที่มีสติปัญญาและความอดทนในระดับเหนือมนุษย์จริง ๆ ก็ยากที่จะสำเร็จการเป็นลิชได้ เท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ ในช่วงเวลาสามร้อยปีมานี้จึงมีผู้สำเร็จการเป็นลิชเพียง 23 คน เท่านั้น แม้นี่จะเป็นตัวเลขเท่าที่มีการบันทึกและอาจจะมีลิชคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยตัวตนอยู่อีก แต่อัตราส่วนนี้ก็พอการันตีถึงความยากลำบากในการเป็นลิชได้
เมื่อรู้ว่าผู้ที่ต้องการตัวเขาเป็นบุคคลระดับนี้ ซาลก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น
โรงเรียนอีจิสจัดเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเพราะมันเป็นโรงเรียนในสังกัดของ ‘พีชคีปเปอร์’ องค์กรที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก ในโรงเรียนจึงมีทั้งระบบรักษาความปลอดภัยอันแน่นหนาและคณะอาจารย์ที่แข็งแกร่ง การที่แซนโดรไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เลยก็เป็นสิ่งที่การันตีเรื่องนั้นอยู่
แต่หากก้าวออกจากโรงเรียนนี้ไป ไม่แน่ว่าอาจเจอแซนโดรดักรออยู่ที่ไหนก็ได้ ทำให้ซาลไม่อยากจะออกไปข้างนอกมากนัก โดยเฉพาะการไปกับเพื่อน ซึ่งอาจทำให้คนอื่น ๆ พลอยรับอันตรายไปด้วย
“เอางี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้พวกพี่ ๆ ลองติดต่อกับคนรู้จักในสมาคมนักผจญภัยท้องถิ่นดู ถ้าไปได้สวยเราอาจไม่ต้องเคลียร์ภารกิจระดับต่ำเพื่อเลื่อนระดับ หรืออาจเลื่อนระดับได้โดยการเคลียร์แค่สองสามภารกิจเท่านั้น แบบนั้นน่าจะดีกว่า”
ในที่สุดการสนทนาของอลันกับโลเฟ่นก็ได้ข้อสรุป ทำให้ซาลต้องรีบนึกหาข้ออ้างที่จะบ่ายเบี่ยงกำหนดการนี้ไป
“เอ่อ… ฉันคงต้องขอคุยกับที่บ้านก่อนนะ ไม่รู้ว่าจะปลีกตัวออกมาได้มั้ย แต่ก็จะพยายามจ้ะ”
“จริงสิ ทาลิสต้องกลับไปบ้านก่อนนี่นะ แบบนี้เวลาที่จะว่างตรงกันก็คงน้อยลงไปอีก แต่ถ้าเลื่อนระดับได้เร็วตามแผนก็คงไม่มีปัญหามั้ง นายล่ะซาล โอเคตามนี้นะ”
โลเฟ่นกล่าวสรุปเพื่อปิดประเด็น เพราะคิดว่าทุกคนไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว แต่คำตอบของซาลกลับผิดไปจากที่เขาคาดเอาไว้
“ความจริงแล้ว… ฉันมีแผนว่าจะขอให้อาจารย์แกริสช่วยแนะนำอาจารย์สายคอนจูเรอร์ให้น่ะ แล้วก็อาจจะใช้เวลาช่วงนั้นเรียนพิเศษเท่าที่จะทำได้ด้วย ขอโทษทีนะ”
สิ่งที่ซาลพูดไม่เชิงจะเป็นการโกหก เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เขาคิดว่าจะทำจริง ๆ แค่ยังไม่ได้ตัดสินใจเท่านั้น
“เห~ ทำไมนายไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะ?”
“นายเองก็เพิ่งมาพูดเรื่องการไปทำภารกิจเหมือนกันแหละ ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า”
แม้จะด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่ทั้งโลเฟ่นและทาลิสก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก
“ถึงไม่มีซาลก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงช่วงแรกก็อาจได้ทำแต่ภารกิจระดับต่ำอยู่แล้ว เราสามคนไปทำภารกิจเพื่อเลื่อนระดับของกลุ่มไว้ก่อนก็ได้ พอหมอนี่ว่างเมื่อไหร่จะได้ทำภารกิจระดับกลางได้เลยไง”
ข้อเสนอของอลันทำให้โลเฟ่นพอจะสงบปากสงบคำได้บ้าง แต่ก็ยังมีท่าทีไม่พอใจสักเท่าไหร่ ส่วนทาลิสก็ยังมีสีหน้าที่แสดงความเสียดายอยู่
ซาลเองถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปร่วมผจญภัยกับเพื่อน ๆ เหมือนกัน แต่ในตอนนี้ความปลอดภัยของทุกคนต้องมาก่อน
‘บางที… เราควรจะบอกเรื่องของแซนโดรกับอาจารย์แกริสรึเปล่านะ…’
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจมาหลายครั้งแล้ว แต่เพราะทิ้งช่วงเวลามานาน ไม่ได้บอกอาจารย์ในทันที ทำให้กลัวว่าจะถูกดุเลยยิ่งไม่กล้าบอก แต่ถ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาอยู่แบบนี้สู้ขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เลยน่าจะดีกว่า ก็เลยตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องทั้งหมดกับอาจารย์แกริสในวันพรุ่งนี้
‘ขอเวลาเตรียมใจโดนดุอีกสักวันก็แล้วกัน…’
แผนการในช่วงปิดเทอมจบลงด้วยข้อสรุปของอลัน เป็นเวลาใกล้เคียงกับที่ช่วงพักกลางวันใกล้หมดลง เด็ก ๆ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปยังอาคารเรียนของตัวเอง ส่วนซาลก็กลับไปที่ห้องสมุดตามเดิม
———————————————————————————————————-
Part 3
ในคืนนั้นโลเฟ่นยังคงเซ้าซี้ซาลไม่หยุด ในเรื่องแผนการช่วงปิดเทอม
ท่าทางโลเฟ่นจะอยากให้เขาไปด้วยจริง ๆ เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้ที่เข้าขากันมาก ใช่ว่าโลเฟ่นจะไม่ชอบหรือไม่สนิทกับอลันและทาลิส แต่คนที่ต่อปากต่อคำกับเขาได้สนุกเท่ากับซาลนั้นไม่มีอีกแล้ว หากไม่มีซาลไปด้วยโลเฟ่นคงรู้สึกเหงาปากมากทีเดียว
“นายจะไม่ว่างตลอดช่วงปิดเทอมเลยจริง ๆ น่ะเหรอ? หาเวลาแวบออกมาสักวันสองวันไม่ได้เลยรึไง?”
“เรื่องนั้นฉันตัดสินใจไม่ได้หรอก มันขึ้นกับอาจารย์น่ะ”
ถ้าบอกเรื่องของแซนโดรกับอาจารย์แล้ว โอกาสที่จะได้ออกไปข้างนอกคงยิ่งริบหรี่ อาจารย์แกริสคงจะให้เขาหลบอยู่แต่ในโรงเรียนเป็นแน่ อย่างน้อยก็จนกว่าจะตามจับตัวแซนโดรมาได้ หรือจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น อันที่จริงกว่าจะถึงช่วงปิดเทอมก็ยังมีเวลาอีกร่วมสามเดือน ซาลคิดว่าถ้าทุกอย่างคลี่คลายได้ก่อนหน้านั้นก็คงจะดีไม่น้อย
โลเฟ่นยังคงเซ้าซี้อยู่อีกเป็นนาน จนเกือบจะถึงเวลาปิดไฟของหอแล้วเขาก็ยังไม่ยอมรามือ
“เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ หรอกนะซาล! ถ้าไม่ยอมมาจริง ๆ ละก็ นายต้องหาเวลามาชดเชยเวลาช่วงปิดเทอมที่เสียไปให้กับชั้นด้วย!”
โลเฟ่นหันมาตวาดพร้อมกับชี้หน้าซาล ในขณะที่ตัวเองกำลังเดินไปปิดไฟ
“ฉันจำไม่ได้เลยว่าเรามีความสัมพันธ์กันแบบนั้น ตอนวันวาเลนไทน์นายก็ไม่ได้ให้ช็อกโกแลตฉันซะหน่อย หรือฉันไม่ได้สังเกตเอง? พอเรียนจบแล้วฉันต้องหาคนไปสู่ขอนายมั้ยเนี่ย?”
“ใช่สิ! ในสายตาของนายมีแต่ทาลิสนี่! นายไม่รู้หรอกว่าเวลาเห็นพวกนายสองคนแล้วฉันต้องรู้สึกยังไง!”
โลเฟ่นแกล้งโอเวอร์แอ็คติ้ง เดินโซเซเข้าพิงกับผนังพลางเอามือกุมหน้าอกด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด ซาลจึงแสดงสีหน้าตกใจออกมา
“วะ.. ว่าไงนะ!? ที่แท้นายก็รู้สึกแบบนั้นกับฉันมาตลอดงั้นเหรอ!? ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย… ที่ผ่านมานายคงเจ็บปวดมากสินะโลเฟ่น…”
“ซาลารัส!”
“โลเฟ่น!”
ทั้งสองคนทำท่าเหมือนจะโผเข้ากอดกัน แต่ก็หยุดอยู่แค่นั้นและหัวเราะร่วนให้กับอีกฝ่าย บางครั้งบทสนทนาอันไร้สาระของทั้งสองคนก็ไหลตามน้ำไปจนกลายเป็นละครน้ำเน่าฉากเล็ก ๆ แบบนี้แหละ
โลเฟ่นเดินขึ้นไปปิดไฟในห้องและเตรียมเข้านอน แต่ยังไม่ทันจะหย่อนตัวลงบนเตียง เสียงระฆังของโรงเรียนก็ดังขึ้น พร้อม ๆ กับท้องฟ้ายามราตรีที่จู่ ๆ ก็สว่างไสวราวกลับกลายเป็นเวลากลางวัน
เสียงระฆังนั้นดังเป็นจังหวะของสัญญาณเตือนภัย ส่วนท้องฟ้าที่สว่างไสวขึ้นก็เพราะวงเวทขนาดมหึมาที่อยู่เหนือน่านฟ้าของโรงเรียนได้เปลี่ยนเป็นสีส้ม และส่องแสงลงมาอาบทั่วทั้งโรงเรียนราวกับเป็นตะเกียงดวงใหญ่
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ไฟไหม้เหรอ? รึว่า?”
เด็กทั้งสองคนต่างรู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนก ซาลเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองหาเหตุการณ์ผิดปกติแต่ก็ยังไม่พบอะไร โลเฟ่นเปิดประตูออกไปดูที่นอกระเบียงก็พบนักเรียนคนอื่น ๆ เปิดประตูห้องออกมาดูสถานการณ์ด้วยท่าทีงุนงงเช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงประกาศดังขึ้นจากลำโพงประจำหอ เป็นเสียงของอาจารย์แกริสนั่นเอง
“ขณะนี้มีคนนอกบุกรุกเข้ามาในบริเวณโรงเรียน ขอให้นักเรียนทุกคนอยู่แต่ในห้อง ห้ามออกมาข้างนอกโดยเด็ดขาด จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงต่อไป”
เสียงของอาจารย์แกริสดูค่อนข้างเร่งรีบและพยายามประกาศแบบรวบรัด หลังจากจบคำประกาศได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนวิ่งขึ้นมาบนหอและบอกให้นักเรียนทุกคนปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
“ผู้บุกรุกงั้นเหรอ น่าสนใจดีแฮะ ใครกันนะที่กล้ามาบุกโรงเรียนนักผจญภัยในสังกัดของ ‘พีชคีปเปอร์’ แบบนี้น่ะ”
โลเฟ่นดูไม่กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ ออกจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าสนุกด้วยซ้ำ เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ผิดกับซาลที่มีสีหน้าซีดเผือด
‘ไม่จริงน่า… เจ้านั่นงั้นเหรอ? เข้ามาถึงที่นี่เนี่ยนะ? ไม่น่าเป็นไปได้เลย…’
เมื่อคำประกาศพูดถึงผู้บุกรุก สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของซาลก็คือแซนโดร
ความจริงเขาก็เคยกังวลเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่กลับมาจากการสอบภาคสนาม แต่เพราะเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยคิดว่าแซนโดรไม่น่าจะกล้าเข้ามาถึงที่นี่
‘ใจเย็น ๆ ก่อน… อาจไม่ใช่เจ้านั่นก็ได้…’
ซาลพยายามมองในแง่ดีและคิดถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ แต่ในช่วงเวลากว่าสามปีที่เขาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่มีผู้บุกรุกบุกเข้ามาในโรงเรียนมาก่อนเลย จู่ ๆ จะมีคนอื่นบุกเข้ามาในโรงเรียนหลังจากที่เขาได้พบกับแซนโดรก็ดูจะบังเอิญเกินไปหน่อย
“เฮ้ ดูตรงโน้นสิ เหมือนจะมีการต่อสู้อยู่นะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของโลเฟ่นที่กำลังเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ซาลก็รีบลุกขึ้นไปดูทันที
บริเวณสวนด้านหน้าโรงเรียนมีประกายแสงแปลบปลาบคล้ายการต่อสู้เกิดขึ้นในทิวไม้ เจ้าหน้าที่และอาจารย์ของโรงเรียนหลายคนก็พากันวิ่งไปสมทบยังจุดนั้น ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นจุดที่เกิดการปะทะกับผู้บุกรุก
“แย่จัง จากตรงนี้มองไม่เห็นเลยแฮะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“อืม… อ๊ะ! ฉันนึกออกแล้ว!”
“นึกอะไรออกเหรอ?”
“นักเวทอัญเชิญน่ะมีทักษะที่ช่วยให้มองเห็นในสิ่งที่สมุนมองเห็นได้ ถ้าฉันส่งสมุนไปตรงนั้นก็น่าจะพอรู้สถานการณ์ได้บ้าง”
“โอ้ แจ๋วเลยนี่นา จะรออะไรอยู่อีกล่ะ”
ซาลอัญเชิญหมาป่าออกมาหนึ่งตัวทันที แต่เพราะหน้าต่างนี้อยู่บนชั้นสาม เจ้าหมาที่น่าสงสารเลยร่วงลงไปกระแทกพื้นดังเอ๋ง ก่อนที่จะสลายไป
“……………….”
“………………”
ทั้งสองคนมองดูพื้นอันว่างเปล่าที่หมาป่าร่วงลงไปกระแทกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่โลเฟ่นจะหันมาพูด
“นายคิดว่ามันเป็นแมวรึไง?”
“ก็นึกว่าความสูงแค่นี้ไม่น่าจะทำให้ตายได้นี่นา!”
ปรากฏว่าสมุนของเขามีความทนทานไม่มากพอที่จะรับการตกจากความสูงระดับนี้ได้
ที่ระเบียงก็น่าจะมีเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเฝ้าอยู่ ซาลคิดว่าถ้าปล่อยสมุนออกไปทางนั้นก็อาจถูกเข้าใจผิดและโดนกำจัดทิ้งซะก่อนด้วย ทางเดียวที่จะใช้ออกไปได้ก็คือทางหน้าต่างนี่แหละ แต่จะทำยังไงดี
“อืม… อ๊ะ! นึกออกแล้ว! ถึงจะดูโหดร้ายไปหน่อยก็เถอะ แต่คงไม่มีทางอื่นแล้วล่ะนะ”
เขานึกวิธีการใหม่ขึ้นมาได้จึงอัญเชิญหมาป่าออกมาสองตัวพร้อมกัน โดยให้ตัวหนึ่งเหยียบหลังอีกตัวหนึ่งอยู่ เมื่อทั้งสองร่วงลงไปจนใกล้จะถึงพื้น หมาป่าตัวบนก็กระโจนออกโดยใช้ตัวล่างเป็นแท่นเหยียบ จึงสามารถลงพื้นโดยไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่นัก ส่วนหมาป่าตัวล่างก็กระแทกพื้นดังเอ๋งและสลายร่างไปตามระเบียบ
“เห~ นายนี่ใช้งานสมุนได้เถื่อนระดับโลกเลยนะ ถ้าพวกสิทธิสัตว์อัญเชิญมาเห็นเข้าละก็มีหวังโดนฟ้องหมดตัวแหง ๆ ”
“เงียบเถอะน่า! ก็มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่นา”
ซาลสั่งการให้หมาป่าตัวสุดท้ายวิ่งหลบตามหลังพุ่มไม้เพื่อไปยังจุดปะทะ เมื่อใกล้ถึงแล้วเขาก็ใช้ทักษะ ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ (Minion’s Vision) เพื่อให้เห็นภาพที่สมุนกำลังมองอยู่
ณ บริเวณนั้นมีการต่อสู้กระจัดกระจายเป็นวงกว้างเพราะผู้บุกรุกที่เข้ามาไม่ได้มีแค่คนเดียว
อัศวินในชุดเกราะจำนวนมากกำลังต่อสู้อยู่กับเหล่าอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนไปทั่วบริเวณ
ซาลรู้สึกเย็นเยียบไปถึงสันหลัง เพราะเขาเคยเห็นอัศวินพวกนั้นมาก่อน
พวกนั้นสวมชุดเกราะที่มีสีเทาหมองหม่นจนเกือบเป็นสีดำ ทั้งชุดเกราะและอาวุธมีลักษณะทรุดโทรมเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก มีดวงไฟสีเขียวสองดวงอยู่ในความมืดภายใต้หมวกเหล็กที่ปิดบังใบหน้าอยู่ราวกับเป็นดวงตา มันคืออัศวินชุดเกราะที่เขาเคยเห็นแซนโดรอัญเชิญออกมาใช้นั่นเอง
“เป็นเจ้านั่นจริง ๆ เหรอเนี่ย… กล้ามาถึงที่นี่ แถมยังบุกมาซึ่ง ๆ หน้าด้วย…”
“หืม? นายเห็นอะไรน่ะ? เล่าให้ฟังกันบ้างเซ่”
ซาลยังคงมองเหตุการณ์ต่อไปโดยไม่ได้ตอบคำถามของโลเฟ่น เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของคณะอาจารย์ที่อยู่แนวหลังกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงร้อนรน หนึ่งในนั้นเป็นเสียงของอาจารย์แกริส
“จัดการไปเท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที! แบบนี้เราอาจต้านไว้ได้อีกไม่นานนะครับ!”
“กำลังเสริมที่เราขอไปกับทางสมาคมท้องถิ่นล่ะ?”
“น่าจะมาถึงในอีกสิบนาทีครับ!”
“ฮึ่ม… ยังหาตัวผู้อัญเชิญไม่เจออีกเหรอ?”
“ไม่เจอเลยครับ! ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสมุนที่บุกเข้ามา บางทีอาจยังแอบอยู่ด้านนอกโรงเรียนก็ได้!”
“ทางเราก็มีคนไม่มากพอที่จะส่งออกไปล่าตัวผู้อัญเชิญซะด้วย… ช่วยไม่ได้… สั่งการให้อพยพนักเรียนทั้งหมดออกไปทางวงเวทเคลื่อนย้าย! บอกพาราเวนให้คุ้มกันซาลารัสออกไปอย่างปลอดภัยด้วย!”
ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิด แต่สิ่งที่สะกิดใจเขาก็คือคำสั่งของอาจารย์แกริส ที่สั่งให้ใครบางคนคุ้มกันเขาออกไปแบบเจาะจง หรือว่าอาจารย์จะรู้เป้าหมายของแซนโดรแล้ว? แต่เพราะอะไรกันล่ะ?
“เฮ้ ซาล~ อย่ามัวสนุกอยู่คนเดียวเซ่ เล่าให้ฉันฟังบ้าง”
“เราคงต้องรีบไปกันแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันที่โลเฟ่นจะถามอะไรต่อก็มีเสียงประกาศให้นักเรียนทุกคนออกไปรวมกันที่หอประชุมของโรงเรียนในทันที
โลเฟ่นกับซาลออกจากห้องและเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างเพื่อจะไปยังหอประชุมตามคำสั่งในประกาศ ซึ่งที่ห้องโถงด้านล่างพวกเขาก็ได้เจอกับอลันที่มารออยู่ก่อนแล้ว
“พวกนายไม่เป็นไรนะ”
“โอ้ อลัน นายพอจะรู้บ้างมั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะ พวกเรากำลังจะไปไหนกันเนี่ย?”
อลันเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ โลเฟ่นและกระซิบด้วยเสียงอันเบา
“อพยพไงล่ะ พวกเขากำลังอพยพนักเรียนออกจากโรงเรียน น่าจะเพราะผู้บุกรุกมีจำนวนมากเกินไป หรือแข็งแกร่งเกินไปจนอาจต้านเอาไว้ไม่อยู่…”
โลเฟ่นที่ได้ยินแบบนั้นก็เลิกทำหน้าเป็นในทันที เขามองไปทางซาลเหมือนอยากจะถามย้ำ ซึ่งซาลก็ พยักหน้ารับ ทำให้โลเฟ่นได้แต่นิ่งเงียบกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้
ในห้องโถงนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนหลายคนกำลังช่วยกันแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้เดินทางไปยังหอประชุมได้อย่างเป็นระเบียบและไม่แตกตื่น มีนักเรียนหลายกลุ่มทยอยกันออกจากหอไปบ้างแล้ว
ระหว่างนั้นก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดนักผจญภัยเต็มยศวิ่งเข้ามาในห้องโถง เขามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งเห็นกลุ่มของซาลจึงรีบเดินเข้ามาหา
“อาจารย์แกริสให้ฉันมาดูแลพวกเธอน่ะ ตามฉันมาเลย”
ชายคนนั้นเป็นคนที่ดูคุ้นหน้า ซาลพยายามนึกอยู่พักหนึ่งจึงนึกออกว่าเขาคือคนรถที่เคยขับรถม้าไปส่งกลุ่มของตนในวันสอบภาคสนามนั่นเอง หรือคนนี้คือพาราเวนที่อาจารย์แกริสเอ่ยถึง แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาถามอะไรแบบนั้น ซาลและเพื่อน ๆ จึงเดินตามชายหนุ่มออกจากหอไปอย่างเงียบ ๆ
———————————————————————————————————-
Part 4
ที่ด้านนอกหอยังคงดูเงียบสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงเพราะจุดปะทะอยู่ที่สวนด้านหน้าใกล้ ๆ กับทางเข้าของโรงเรียน จึงไม่ค่อยมีเสียงอะไรเล็ดรอดมาถึงเขตหอพักซึ่งอยู่ด้านหลังมากนัก
เด็กแต่ละกลุ่มพากันเดินไปยังหอประชุมอย่างรีบเร่งแต่ก็เป็นระเบียบ เพราะมีเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ภายในหอประชุมของโรงเรียนอีจิสมีวงเวทเคลื่อนย้ายถูกซ่อนเอาไว้ใต้พื้นเพื่อให้ใช้อพยพนักเรียนจำนวนมากในยามฉุกเฉินได้ แต่จำนวนคนที่เคลื่อนย้ายได้พร้อมกันในแต่ละรอบก็มีจำนวนจำกัด นักเรียนที่มาทีหลังจึงต้องยืนรออยู่ด้านนอกของหอประชุมไปก่อน
ในลานหน้าหอประชุมมีนักเรียนอีกหลายกลุ่มที่กำลังรอการเรียกเข้าไปในหอประชุมอยู่ ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของนักเรียนหญิงซึ่งได้รับการพามาที่นี่ก่อนแล้ว
ทาลิสซึ่งอยู่ในกลุ่มนักเรียนหญิงเมื่อหันมาเห็นเพื่อน ๆ ก็พยายามจะแยกตัวออกมาหา แต่โดนเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนดุเอาซะก่อน จึงได้แต่ชะเง้อมองทุกคนอยู่ไกล ๆ
“ฉันเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ในหอประชุมก่อนนะ พวกเธอรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนล่ะ”
เมื่อพูดจบ นักผจญภัยหนุ่มก็เดินหายเข้าไปยังหอประชุม โดยทิ้งพวกซาลารัสไว้ที่ลานด้านนอก
“ดีจังเลยน้า~ คุณชายอลันเนี่ย มีคนคุ้มกันส่วนตัวมานำทางซะด้วย นี่คงเข้าไปคุยเพื่อขอลัดคิวเทเลพอร์ทแน่ ๆ เลย”
“พูดอะไรของนายน่ะ ฉันไม่รู้จักคน ๆ นั้นหรอกนะ ไม่ใช่คนของบ้านฉันหรอก”
“เห~ แต่เขาบอกว่าอาจารย์แกริสส่งมานี่นา สงสัยอาจารย์จะอยากเอาใจบ้านนายล่ะมั้งเนี่ย”
“ฉันไม่คิดว่าอาจารย์แกริสจะเป็นคนแบบนั้นหรอกนะ”
เมื่อได้ยินอลันปฏิเสธ ซาลก็ยิ่งแน่ใจว่านั่นคือพาราเวน คนที่อาจารย์แกริสส่งมาเพื่อคุ้มกันเขาโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง พาราเวนก็กลับออกมาจากหอประชุม และตรงมายังกลุ่มของซาลทันที
“พวกเธอ ตามฉันมา เราจะเคลื่อนย้ายกันเดี๋ยวนี้เลย”
“แบบนั้นก็แซงคิวคนอื่นน่ะสิครับ ผมไม่ต้องการสิทธิพิเศษอะไรหรอกนะ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของสิทธิพิเศษหรอก ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลัง ยังไงตอนนี้ก็รีบไปกันก่อนเถอะ”
อลันดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ทุกคนจึงเตรียมจะมุ่งหน้าเข้าไปยังหอประชุม แต่ทันใดนั้นก็เกิดวงเวทจำนวนมากปรากฏขึ้นทั่วทุกสารทิศทั้งบนลานกว้างและทางเข้าหอ ก่อนจะมีอัศวินในชุดเกราะสีเทาหมองหม่นโผล่ขึ้นมาจากวงเวท ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนและนักเรียนที่อยู่ในบริเวณนั้นเกิดความตกตะลึง
“บ้าน่า! ทำไมถึงมีพวกมันเข้ามาได้!?”
พาราเวนชักดาบออกมาเพื่อเตรียมต่อสู้ เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบลานกว้างก็เปลี่ยนเป็นชุดเป็นชุดต่อสู้เช่นกัน เด็ก ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็เริ่มเกิดอาการแตกตื่นแต่เจ้าหน้าที่ก็พยายามกันพวกเขาให้หลบออกจากลานกว้างไป
อลันก็ตอบสนองด้วยการเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักผจญภัยเช่นกัน โลเฟ่นกับซาลจึงเรียกอุปกรณ์ออกมาสวมเพื่อเตรียมพร้อมตามไปด้วย แต่พาราเวนก็หันมาใช้สายตาปรามไว้ในเชิงห้ามว่าอย่าเพิ่งทำอะไรทั้งสิ้น
เหล่าอัศวินชุดเกราะที่อยู่โดยรอบเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันเข้าปะทะกับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่อยู่รอบบริเวณทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ต้องคอยต้านไว้เพื่อให้เด็ก ๆ หลบออกจากพื้นที่ต่อสู้ ส่วนอัศวินกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กับพวกซาลก็บีบวงล้อมเข้ามาทีละน้อย เมื่อเข้ามาใกล้ถึงระดับหนึ่งพวกมันก็เริ่มโจมตี
อัศวินสามตัวพุ่งเข้าหาพาราเวนจากรอบทิศและโจมตีพร้อมกัน แต่ชั่วพริบตานั้นเขาก็หายไป ทำให้พวกมันโจมตีโดนเพียงอากาศเปล่า ๆ แถมตัวหนึ่งยังถูกฟันจนแขนขาดกระเด็นไปในจังหวะนั้นด้วย
ยังไม่ทันที่พวกมันจะหาเป้าหมายพบ พาราเวนซึ่งโผล่มาจากด้านหลังก็ฟันหัวของอัศวินทั้งสองตัวจนหลุดกระเด็นก่อนที่เท้าของเขาจะลงสัมผัสพื้นซะอีก
“ยะ… ยอดไปเลย”
โลเฟ่นอุทานออกมาเพราะการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า แม้แต่อลันก็ยังทึ่งจนพูดไม่ออก เพราะขนาดในกลุ่มนักผจญภัยระดับกลางที่เขาเคยพบมาก็ยังไม่ค่อยจะมีคนที่มีฝีมือระดับนี้ให้เห็นนัก
“นั่นมัน… เมลเบรคเกอร์?”
เมื่อเห็นแสงสีแดงที่อาบคมดาบของพาราเวนอยู่ ซาลก็พึมพำขึ้น
‘เมลเบรคเกอร์’ (Mailbreaker) เป็นท่าเสริมพลังของนักดาบระดับสูง ซึ่งจะทำให้คมดาบมีพลังในการตัดผ่าชุดเกราะได้ราวกับเป็นกล่องกระดาษ แม้ผลของมันจะด้อยลงเมื่อเจอกับชุดเกราะระดับสูงหรือเกราะที่มีพลังต้านทานเวท แต่สำหรับอัศวินอัญเชิญที่สวมเกราะธรรมดา ๆ นั้น พาราเวนสามารถสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือความเร็วของเขา
พาราเวนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะมองตามไม่ทัน พวกเด็ก ๆ เห็นแค่แสงจากดาบของเขาเป็นเส้นแดง ๆ วาดไปตามจุดต่าง ๆ แล้วพวกอัศวินชุดเกราะก็แตกสลายล้มลงราวกับใบไม้ร่วง เพียงไม่นานพวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นแค่กองซากบนพื้นก่อนจะสลายหายไปโดยยังไม่ทันได้เข้าถึงตัวพวกเขาเลย
“สเกลตัน งั้นเหรอ?”
ซาลซึ่งมองไปยังซากของอัศวินตัวสุดท้ายก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในก่อนมันจะสลายไป
ภายในชุดเกราะนั้นคือนักรบโครงกระดูก (Skeleton) เป็นสมุนอัญเชิญที่พวกเนโครแมนเซอร์ (Necromancer) ชอบใช้กัน นี่ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่าแซนโดรเป็นลิชอย่างไม่ต้องสงสัย จึงรู้สึกหวาดหวั่นจนเย็นเยียบไปถึงสันหลัง
แม้จะจัดการกับอัศวินชุดเกราะที่อยู่ใกล้ ๆ ไปหมดแล้วแต่สถานการณ์โดยรอบก็ยังดูยุ่งเหยิง มีการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนกับพวกอัศวินตามอยู่เป็นหย่อม ๆ ทว่าเส้นทางเข้าไปยังหอประชุมก็เปิดโล่งแล้ว พาราเวนจึงเร่งให้ทุกคนรีบไปต่อ
“เอาล่ะ รีบไปกันเร็ว”
“เราจะทิ้งคนอื่น ๆ ไว้เหรอครับ?”
“พอส่งพวกเธอแล้วฉันจะรีบกลับออกมาช่วยพวกเขาเอง อย่าทำให้เสียเวลาดีกว่า”
ซาลยังรู้สึกเป็นห่วงทาลิสที่น่าจะยังอยู่ข้างนอกนี่จึงลังเลที่จะไป แต่สิ่งที่พาราเวนพูดมาก็มีเหตุผล บางทีถ้าตัวเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วพวกมันอาจล่าถอยกันไปเองก็ได้ เขาจึงได้แต่ทำตามที่พาราเวนบอกเท่านั้น
แต่ยังไม่ทันที่การสนทนาจะสิ้นสุดลงก็เกิดกลุ่มหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นมาขวางทางที่จะไปยังหอประชุม ทำให้ซาลขนลุกไปทั้งตัว เพราะหมอกและความเย็นนี้คือบรรยากาศเดียวกับตอนที่แซนโดรโผล่มาในคราวก่อน
แล้วก็เป็นดังคาด ใจกลางของหมอกนั้นปรากฏเงาของคนผู้หนึ่งค่อย ๆ เดินฝ่าม่านหมอกออกมา
คนผู้นั้นสวมชุดเกราะสีดำอันแปลกประหลาดปกคลุมทั่วทั้งตัว ดีไซน์ของชุดเกราะนั้นมีส่วนที่บ่งบอกถึงความเป็นนักเวทผสมอยู่ด้วย เช่นผ้าคลุมที่ปกปิดศีรษะอยู่ หรือชายผ้าคลุมที่ยาวลงไปจนถึงข้อเท้า แต่ส่วนอื่น ๆ เป็นเกราะเหล็กสีดำสนิทที่ปกปิดหมดทั้งร่างกายราวกับเป็นนักรบ ใบหน้านั้นไม่ใช่หัวกะโหลกขาวโพลนเหมือนที่ซาลเคยเห็น แต่เป็นหน้ากากเหล็กรูปหัวกะโหลกที่บดบังทั้งใบหน้า
แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะต่างไปจากเดิมพอสมควร แต่ดวงตาสีเขียวที่ส่องประกายดุจเปลวไฟนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซาลจึงมั่นใจว่าคน ๆ นี้คือแซนโดรอย่างแน่นอน
“แกคือผู้อัญเชิญสินะ… เข้ามาถึงนี่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
พาราเวนเอ่ยถามพร้อมกับยกดาบตั้งขวางในท่าเตรียมพร้อม แต่แซนโดรก็ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
“…ซาลารัส แฮลเซียน …เธอจะยอมตามฉันไปได้รึยัง?…”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ทั้งอลันและโลเฟ่นหันไปมองซาลเป็นตาเดียวกัน มีเพียงพาราเวนที่ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
“…ความจริงก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริกแบบนี้เลย … แต่ฉันเองก็เป็นคนที่มีความอดทนไม่เยอะเท่าไหร่ คงรอได้แค่นี้แหละ …เอ้า รีบมากับฉันซะ…”
ซาลยังคงไม่เข้าใจคำพูดของแซนโดรตามเคย ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงคิดว่าเขาจะยอมไปด้วยง่าย ๆ แต่ไม่ทันจะเอ่ยถามกลับไป พาราเวนก็กระซิบกับพวกเขาซะก่อน
“ฉันจะเปิดช่องให้เอง พวกเธอรีบอาศัยจังหวะนั้นวิ่งเข้าไปในหอประชุมซะ”
พวกเด็ก ๆ พยักหน้ารับคำและเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่ง ทันใดนั้นพาราเวนก็หายไปจากสายตาของทุกคนในทันที
เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางอากาศห่างจากแซนโดรไปทางขวามือกว่าสิบเมตร ก่อนจะระดมตวัดดาบอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ทำให้ก้อนพลังงานรูปร่างคล้ายกับใบมีดจำนวนมากพุ่งถาโถมเข้าใส่แซนโดรราวกับพายุ
เมื่อใบมีดแสงเหล่านั้นกระทบกับร่างกายของแซนโดรก็ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเป็นลูกโซ่ แรงลมจากการระเบิดได้พัดจนหมอกรอบ ๆ เริ่มคลายตัวลง พวกเด็ก ๆ จึงอาศัยจังหวะนั้นวิ่งอ้อมทางที่เปิดออกเพื่อมุ่งไปยังหอประชุม
แม้จะอยู่ในระหว่างวิ่งสุดฝีเท้า แต่พวกเขาก็อดหันไปมองดูการต่อสู้ไม่ได้
เมื่อฝุ่นควันจากการระเบิดเริ่มจางลงไป ปรากฏว่าร่างของแซนโดรยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไร้รอยขีดข่วน
แซนโดรหันมองตามพวกเด็ก ๆ โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวออกจากตรงนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่พาราเวนพุ่งเข้าไปฟาดดาบเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายด้วยคบดาบซึ่งอาบแสงสีแดงฉาน จนมีเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น
ทว่าคมดาบนั้นกลับหยุดอยู่แค่ที่ผิวของเกราะโดยไม่สามารถตัดทะลวงไปได้ แถมแสงสีแดงที่อาบคมดาบอยู่ยังถูกดูดกลืนจนหายไปด้วย พาราเวนที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนจึงหลุดปากอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“บ้าน่า! นี่มัน!?”
แซนโดรยกมือขึ้นเหมือนกำลังจะร่ายเวท ทำให้พาราเวนต้องรีบดีดตัวออกมาจากตรงนั้น แต่ความสนใจของอีกฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ที่เขาเลย สายตาของแซนโดรยังคงจับจ้องอยู่ที่กลุ่มเด็ก ๆ อย่างไม่ลดละ
ทันทีที่แซนโดรกำฝ่ามือ กำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างจากโครงกระดูกก็ยกตัวขึ้นจากพื้นและแผ่ออกไปจนปิดล้อมหอประชุมเอาไว้หมดทุกด้าน
กำแพงนั่นมีความสูงจนบังหอประชุมซึ่งมีขนาดเทียบเท่าตึกสามชั้นจนเกือบมิด ตอนนี้ไม่มีทางที่ใครจะเข้าหรือออกจากหอประชุมได้เลย พวกเด็ก ๆ จึงได้แต่หยุดเท้าไว้ที่หน้ากำแพงนั้น และหันกลับมามองพาราเวนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้พาราเวนขบฟันด้วยความเจ็บใจ ทางเลือกของเขาเหลือเพียงต้องจัดการกับนักเวทหัวกะโหลกคนนี้ให้ได้เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ทุ่มสุดตัวก็คงจะทำได้ยาก
เขาวิ่งมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างแซนโดรกับกลุ่มเด็ก ๆ และเริ่มวาดดาบไปบนอากาศราวกับเป็นการร่ายรำ จากนั้นก็เกิดวงเวทสีฟ้าหลายวงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นที่โดยรอบ ทั้งบนพื้นดินและบนอากาศ
“ตัดสินกันตรงนี้แหละ! ไอรอน พาวิเลี่ยน!”
สิ้นเสียงประกาศ วงเวททั้งหมดก็หดตัวลงและกลายสภาพเป็นดาบแสงจำนวนหลายร้อยเล่ม ก่อนจะพุ่งเข้าหาแซนโดรโดยพร้อมเพรียงกันจากทั่วทุกสารทิศ
ดาบทุกเล่มปักเข้าที่ตัวของแซนโดรอย่างแม่นยำ ตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มสุดท้าย พวกมันทับซ้อนกันจนตอนนี้แซนโดรมีสภาพเหมือนเป็นหมอนปักเข็มขนาดใหญ่ หรือราวกับแม่นที่กำลังเรืองแสงเลยทีเดียว
การโจมตียังไม่จบแค่นั้น พาราเวนกระโจนเข้าหาแซนโดรเพื่อโจมตีปิดฉากเป็นครั้งสุดท้าย เขาอัดพลังที่มีทั้งหมดลงบนดาบจนเกิดเปลวเพลิงสีขาวขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมา เปลวเพลิงนั้นค่อย ๆ ก่อรูปร่างจนกลายเป็นดาบแสงขนาดยักษ์ห่อหุ้มดาบของชายหนุ่มอีกทีหนึ่ง
พาราเวนฟาดดาบแสงขนาดยักษ์นั่นลงไปยังศัตรูซึ่งถูกดาบปักตรึงอยู่ ทำให้เกิดการระเบิดกึกก้องขนาดที่พื้นดินและอาคารโดยรอบยังต้องสั่นไหว ลมกรรโชกจากแรงระเบิดถึงกลับผลักให้เขาลอยถอยหลังกลับมาทางพวกเด็ก ๆ เลยทีเดียว
แต่ยังไม่ทันที่พาราเวนจะลงถึงพื้น ก็มีลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากกลุ่มควันและเจาะทะลุไหล่ของเขา ทำให้ชายหนุ่มร่วงลงมากระแทกพื้นราวกับนกปีกหัก
“อั่กกก… ไม่จริงน่า…”
“พี่ชาย!”
พวกเด็ก ๆ รีบวิ่งเข้ามาดูอาการของพาราเวน ทั้งที่มันน่าจะเป็นบาดแผลเล็ก ๆ แต่ที่ปากแผลยังมีประกายเวทมนตร์สีเขียวหลงเหลืออยู่ และจากปากแผลนั้นก็ทำให้เกิดรอยช้ำสีม่วงแผ่กระจายออกไปจนถึงต้นคอราวกับถูกพิษ สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดทรมานอย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง แซนโดรก็ค่อย ๆ เดินออกจากหลุมที่เต็มไปด้วยกลุ่มควันจากการระเบิด ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…มากับฉันซะ …ซาลารัส”
สถานการณ์ช่างดูสิ้นหวัง
ซาลถอดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะเหลือทางใดให้ทำได้อีก แต่ดูเหมือนเพื่อน ๆ ของเขายังไม่ตัดใจ
ทั้งอลันและโลเฟ่นต่างก็ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับแซนโดรโดยเอาตัวบังซาลเอาไว้ ทำให้ซาลที่เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองทั้งรู้สึกตื่นตระหนกและแปลกใจกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
“ถ้าปล่อยให้เพื่อนถูกพาตัวไปต่อหน้าแบบนี้ ฉันคงนอนไม่หลับไปตลอดชีวิตแน่”
“นาน ๆ ทีเราจะมีความเห็นที่ตรงกันนะเนี่ย ไม่เลว ๆ ”
ด้วยคำพูดของอลันกับโลเฟ่นทำให้ซาลรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสองคนมากขึ้นด้วย จึงคิดจะตวาดบอกให้ทั้งสองคนถอยออกไป ทว่าแซนโดรที่เห็นภาพนั้นกลับพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“…เป็นภาพที่งดงามจริง ๆ …แต่รู้มั้ย …ยิ่งดูงดงามมากเท่าไหร่ …เวลาที่มันพังทลายลงก็จะยิ่งทำให้รู้สึกปวดใจมากขึ้นเท่านั้น…”
แซนโดรยังคงพูดถ้อยคำที่ซาลไม่เข้าใจความหมายอยู่เช่นเคย แต่ตอนนี้เขาพยายามคิดแค่วิธีที่จะพาทุกคนหนีไปอย่างปลอดภัยเท่านั้น เพียงแต่คิดเท่าไหร่ก็ไม่เห็นหนทางที่พอจะเป็นไปได้
“…ถ้าตามฉันไปดี ๆ ละก็ …ฉันจะยอมให้เธอเก็บภาพฝันนี้เอาไว้ก็ได้นะ…”
คำพูดนั้นทำให้ซาลนิ่งเงียบไปด้วยความประหลาดใจ
แซนโดรหมายถึงจะยอมไว้ชีวิตคนอื่น ๆ หากเขายอมตามไปโดยดีงั้นเหรอ?
ซาลกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นเพื่อนนักเรียนทั้งชายหญิงอีกจำนวนมากแอบอยู่ตามหลังพุ่มไม้หรือตัวอาคารเพื่อหลบเร้นจากการต่อสู้
หากพิจารณาดูดี ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เด็กทั้งสามคนจะหนีรอดเงื้อมือของคนระดับแซนโดรไปได้ กรณีที่เลวร้ายที่สุด อลันกับโลเฟ่นอาจถูกฆ่าตาย หรือเพื่อนนักเรียนทั้งหมดนี้อาจถูกฆ่าตายไปด้วย ซึ่งเขาจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้
“พวกนาย… ถอยไป…”
“ซาล!”
“อย่าพูดบ้า ๆ น่า!”
อลันกับโลเฟ่นรู้ได้ทันทีถึงการตัดสินใจของเพื่อนจึงคัดค้านอย่างแข็งขัน แต่ซาลก็ได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เจ้านั่นคงไม่ฆ่าฉันหรอกน่า ถ้าจะทำคงทำไปนานแล้ว… ถึงไม่รู้ว่ามันจะพาฉันไปไหนก็เถอะ แต่สักวันฉันจะต้องกลับมาหาพวกนายให้ได้…”
“จะคิดแบบนั้นได้ไงเล่า! เราอาจไม่ได้พบกันอีกเลยนะ!
“ถ้าพวกนายตายไปตอนนี้เราก็ไม่ได้พบกันอีกอยู่ดี!
ด้วยคำพูดนั้นของซาล ทำให้ทั้งโลเฟ่นและอลันนิ่งเงียบไป
ในเมื่อเจ้าตัวไม่คิดจะต่อสู้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ที่สำคัญคือในใจลึก ๆ แล้วอลันกับโลเฟ่นก็รู้ดีว่าพวกตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ถึงฝืนสู้ไปก็มีแต่จะตายเปล่า การยอมให้ซาลไปเพื่อรักษาชีวิตของทุกคนไว้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ทั้งสองคนจึงได้แต่ขบเม้มริมฝีปากด้วยความเจ็บใจเท่านั้น
ซาลค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแซนโดร แต่ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาฉุดมือของเขาไว้ซะก่อน
“ไม่ได้นะซาล!”
เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็ผมว่าผู้ที่มาคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ก็คือทาลิสซึ่งแอบแยกตัวจากกลุ่มนักเรียนหญิงที่ถูกพาหลบไปก่อนหน้านี้ เธอกลับมาดูพวกเขาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง และมาถึงในเวลาสำคัญพอดี
“ฉันไม่ยอมให้เธอไป… เธอจะไปไม่ได้!”
ทาลิสกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า พลางกุมมือของเขาไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นน้ำตาของทาลิสแล้วซาลก็รู้สึกลังเลขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็เพราะการที่มีทาลิสอยู่ตรงนี้ด้วยนี่แหละที่ทำให้เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าต้องไป เพื่อปกป้องชีวิตของทุกคนเอาไว้ให้ได้
ในระหว่างนั้น แซนโดรที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอดก็เอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ
“…แบบนี้เองสินะ …ภาพฝันนี้คือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเธออยู่ …แบบนี้ถึงพาตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ …มีแต่ต้องทำให้ตื่นขึ้นก่อนเท่านั้น…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็วาดมือไปบนอากาศเพื่อทำการร่ายเวท สักพักก็มีวงเวทสีเขียวหลายวงปรากฏขึ้นบนพื้นรอบ ๆ แสงของวงเวทเหล่านั้นสว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ขึ้นไปตัดกับวงเวทสีส้มของโรงเรียนอีจิส
“ยะ.. หยุดนะ!!!”
พาราเวนที่แม้จะบาดเจ็บอยู่ก็พยายามตะโกนอย่างสุดเสียง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น
พวกเด็ก ๆ ต่างก็ตกใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร ทาลิสหลับตาและกอดแขนของซาลเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าแสงนั้นจะพรากเอาตัวเขาไป
แสงสีเขียวนั้นทำให้โครงสร้างวงเวทย์ของโรงเรียนอีจิสเริ่มพังทลายลง อักขระบนวงเวทค่อย ๆ หลุดร่อนออกทีละน้อย เส้นแสงที่ประกอบกันเป็นวงเวทก็คลายตัวออกจากกันจนไม่สามารถรักษาสภาพเดิมเอาไว้ได้ ในที่สุดวงเวทบนฟ้าก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทันทีที่วงเวทแตกออก บรรยากาศโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ราวกับการพังทลายของดันเจียนมิติ ซาลรู้สึกเหมือนกับตอนถูกเทเลพอร์ทส่งออกมาจากดันเจียน ต่างกันที่เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็ยังอยู่ที่เดิม
เพราะแสงจากวงเวทบนฟ้าหายไปทำให้โดยรอบมืดขนัด แต่เพราะมีละอองแสงสีส้มที่เกิดจากการพังทลายของวงเวทได้โปรยปรายไปทั่วบริเวณราวกับเป็นหิมะเรืองแสงบวกกับแสงจากดวงจันทร์และโคมไฟส่องทาง ทำให้ยังพอมองเห็นพื้นที่โดยรอบอยู่บ้าง
ทันใดนั้นซาลก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ
“ทุกคน…?”
ณ ที่แห่งนั้น มีเพียงแซนโดร, ซาล, และพาราเวนที่บาดเจ็บนอนอยู่บนพื้น ส่วนอลัน, โลเฟ่น และแม้แต่ทาลิสที่กอดแขนของเขาเอาไว้แน่นจนถึงเมื่อครู่นี้ต่างก็หายไปไม่เหลือร่องรอย
ซาลพยายามกวาดสายตามองหาคนอื่น ๆ แต่โดยรอบนั้นก็เหลือแต่เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนกับเหล่าอัศวินชุดเกราะที่หยุดการต่อสู้กันไว้ชั่วคราวเพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่มีนักเรียนคนอื่น ๆ อยู่เลย แม้แต่เหล่าเพื่อนนักเรียนที่ซาลารัสเห็นแอบอยู่ตามมุมต่าง ๆ ก็ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่คนเดียว
“นี่แกทำอะไรลงไป!! ทุกคนหายไปไหน!?”
ซาลตะคอกใส่แซนโดรด้วยเสียงอันดัง ดวงตาของเขาเจือปนไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งตื่นตระหนก ทั้งหวาดกลัว ทั้งโกรธเกรี้ยว
ณ วินาทีนี้เขาคิดว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนจริง ๆ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องฆ่าแซนโดรให้ได้
คนระดับแซนโดรย่อมไม่ถูกแววตาอาฆาตของเด็กอายุสิบขวบคุกคามเอาอยู่แล้ว จึงตอบกลับไปอย่างเรียบ ๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ
“…ที่นี่น่ะมีแค่พวกเรา …มีแค่เธอมาตั้งแต่แรกแล้ว…”
“หมายความว่ายังไง!! แกพูดอะไรของแก!?”
“…นักเรียนทุกคนที่นี่น่ะ เป็นเพียงร่างอัญเชิญเสมือนเท่านั้น …ร่างเสมือนที่ถูกนำตัวมาใช้วาดภาพฝัน ให้เธอมีชีวิตในโรงเรียนไงล่ะ…”
ความคิดของซาลหยุดนิ่ง เหมือนกับสมองของเขายังประมวลผลคำพูดเหล่านั้นไม่ทัน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสนจนทำอะไรไม่ถูก เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้งแต่ความสับสนนั้นก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ในขณะที่แซนโดรอธิบายต่อ
“…วงเวทเหนือโรงเรียนนี้น่ะ ไม่ได้ใช้ป้องกันภัยเท่านั้นหรอกนะ …มันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ร่างอัญเชิญเสมือนภายในอาณาเขตนี้สามารถคงรูปร่างอยู่ได้ตลอดเวลาไงล่ะ …เมื่อทำลายวงเวททิ้ง ร่างอัญเชิญทั้งหมดถึงได้หายไป…”
คำพูดนั้นพูดออกมาในขณะที่ซาลเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว ทำให้เขายิ่งรู้สึกช็อกหนักขึ้นไปอีก
ในห้วงแห่งความสับสนนี้ ซาลก็นึกถึงเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมาได้
มันเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลมาโดยตลอด แต่เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่แซนโดรพูดก็ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นมา
“…เพราะแบบนี้เราเลยทำพันธสัญญากับทุกคนไม่ได้งั้นเหรอ? …เพราะทุกคนเป็นร่างอัญเชิญอยู่แล้ว?”
ซาลทรุดลงกับพื้น เขารู้สึกเหมือนสมองกำลังถูกบีบรัดจนแน่น และร่างกายก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนอีกต่อไป
“โลเฟ่น… อลัน… ทาลิส…”
ซาลจ้องมองแขนซ้ายที่ทาลิสกอดเอาไว้แน่นจนถึงเมื่อสักครู่นี้ ผิวของเขายังรู้สึกถึงแรงกดและความอบอุ่นที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยได้ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
“…ทุกคนน่ะไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว …ตั้งแต่สามปีก่อนที่เธอมาเรียนที่นี่ …ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีนี้มันไม่ต่างไปจากภาพฝันที่ถูกสร้างขึ้นเลย…”
ด้วยคำพูดสุดท้ายของแซนโดร ประสาทรับรู้ต่าง ๆ ของซาลก็เริ่มเลือนลางลงเรื่อย ๆ เสียงโดยรอบเริ่มเงียบลง สายตาของเขาก็ค่อย ๆ มืดลง สิ่งสุดท้ายที่เขามองเห็นคือม่านหมอกหนาทึบที่เข้ามาปกคลุมตัวเขาอย่างช้า ๆ เท่านั้น