Doombringer the 5th - ตอนที่ 30
Ch.30 – ผู้ที่ถูกตีตรา
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 30
ผู้ที่ถูกตีตรา
Part 1
“เอาล่ะ แถวนี้ก็น่าจะปลอดภัยแล้วนะ”
หญิงสาวผมทองเอ่ยบอกกับซาลซึ่งกำลังงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือ เขากำลังมองดูการต่อสู้ของทุกคนอยู่หลังกำแพง ทันใดนั้นก็มีหมอกสีดำเข้ามาล้อมตัวเขาจนมองอะไรไม่เห็น ก่อนจะมาโผล่ในห้องนี้
สภาพของห้องดูเหมือนกับห้องในอาคารร้างซึ่งอยู่บริเวณนั้น แต่เพราะซาลค่อนข้างเชี่ยวชาญเรื่องเวทเกี่ยวกับมิติ เขาจึงรู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้เป็นดันเจียนมิติที่ถูกสร้างขึ้นให้ดูเหมือนโลกภายนอก
เพราะรู้ว่าไม่ได้อยู่ในที่ ๆ สามารถหนีออกไปได้ง่าย ๆ ซาลจึงได้แต่พยายามรักษาความเยือกเย็นและสังเกตพฤติกรรมของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ
‘บ้าจริง.. ยัยพวกนั้นดันเก่งกว่าที่คิดเอาไว้มากเลย ถึงพวกสมุนจะใช้พลังเต็มที่บนโลกไม่ได้ก็เถอะ แต่ไม่นึกว่าจะโดนเล่นงานขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้สู้ต่อไปอาจแพ้ก็ได้ เพราะเห็นว่าไม่มีทางเลือกแล้วก็เลยต้องรีบลักพาตัวเจ้าหนูนี่มา แต่แบบนี้แผนการที่วางไว้ตอนแรกก็ล้มเหลวหมดอยู่ดี…’
อัลติม่าที่หันหลังให้กับซาลารัสกำลังขบกัดนิ้วโป้งตัวเองด้วยความหงุดหงิดและมีสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรนัก เพราะแผนการที่ตั้งใจเอาไว้ในทีแรกดันผิดพลาดไปทั้งหมด แม้จะได้ตัวซาลารัสมาแล้วแต่ปัญหาที่แท้จริงคือทำอย่าไรถึงจะชักจูงเขาได้ต่างหาก
“เอ่อ.. พี่สาวครับ”
“หืม? มีอะไรเหรอจ๊ะ?”
อัลติม่ารีบปรับอารมณ์และหันมาหาซาลารัสด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ท่าทางที่ดูเสแสร้งเกินเหตุแบบนั้นกลับทำให้ซาลรู้สึกระแวงขึ้นไปอีก
“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่เหรอ?”
“เอ๋? ก็… ฉันเห็นว่าพวกเธอกำลังถูกมอนสเตอร์โจมตีอยู่ กลัวว่าเธอจะเป็นอันตรายได้ ก็เลยช่วยพามาหลบยังที่ปลอดภัยไงล่ะ!”
อัลติม่าพยายามปั้นเรื่องให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิมมากที่สุดโดยหวังว่ามันจะพอซื้อใจของอีกฝ่ายได้บ้าง แต่การพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ไม่เข้ากับสถานการณ์และบรรยากาศนั้นไม่ได้ช่วยให้เรื่องฟังดูน่าเชื่อถือขึ้นเลยสักนิด แถมยังดูมีพิรุธอีกต่างหาก
“อ่า… ขอบคุณมากนะครับ แต่ว่าช่วยพาผมกลับไปหาทุกคนได้รึเปล่า?”
“เอ๋!? แต่ว่ามันอันตรายมากนะ! อสูรพวกนั้นน่ะแข็งแกร่งมากเลย! ตอนนี้เพื่อน ๆ ของเธออาจจะถูกจัดการไปหมดแล้วก็ได้!”
“อา.. แต่ที่ผมเห็นล่าสุดนี่ ดูเหมือนพวกเขากำลังจะชนะนะ”
“นะ… นั่นมัน… เพราะยังเป็นร่างแรกอยู่ต่างหากล่ะ! พวกอสูรนรกน่ะมันแปลงร่างได้ถึงสามขั้นเชียวนะ! ถ้าพวกมันแปลงร่างขั้นที่สองละก็…”
อัลติม่าพูดอ้างไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่รู้จะอ้างอะไรดี ความจริงสมุนเหล่านั้นอยู่ในร่างที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่สามารถพัฒนาร่างเพิ่มเติมได้อีก แม้ซาลจะรู้สึกเหมือนเคยได้ยินเรื่องการแปลงร่างของเหล่าอสูรมาจากบันทึกของโลกเก่าฉบับไหนสักฉบับหนึ่ง แต่คำพูดของเธอก็ยังเผยพิรุธอีกอย่างออกมา
“เห~ พวกนั้นเป็นอสูรนรกงั้นเหรอ? พี่สาวนี่รู้ละเอียดจังเลยนะ”
“ระ.. เรื่องนั้นก็เพราะว่า…”
อัลติม่ามีท่าทีเลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าทางแล้วเธอเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาซะเลย ท่าทีส่อพิรุธนั้นมันชัดเจนซะจนแม้แต่ซาลยังรู้สึกแปลกใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคนไม่ดีจริง ๆ รึเปล่า
เมื่อรู้สึกว่าฝืนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ อัลติม่าจึงตัดสินใจเผยความจริงออกมา
“หึหึหึ เก่งมากที่ดูออก.. ใช่แล้วล่ะ! ฉันนี่แหละคืออัลติม่า! ผู้นำแห่งกลุ่มปิศาจจักราศี!”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย…”
“……………..”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่
อัลติม่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเปิดเผยตัวเร็วเกินไปหน่อย แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
“ยะ.. ยังไงก็เถอะ! ธะ.. เธอน่ะคือ ซาลารัส แฮลเซียน สินะ! ถ้ายอมร่วมมือกับเราในการครองโลกละก็ ฉันจะทำให้ความปรารถนาทุกอย่างของเธอเป็นจริง! สนใจรึเปล่า?”
แม้จะพูดจาตะกุกตะกักเพราะยังรู้สึกเขิน ๆ กับความผิดพลาดเมื่อสักครู่ แต่อัลติม่าก็ยังยื่นข้อเสนอให้กับเขาด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย
ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นพวกปิศาจจริง ๆ รึเปล่า เพราะท่าทางป้ำ ๆ เป๋อ ๆ นั่นมันต่างจากปิศาจที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้มาก
อีกสาเหตุคือแม้แซนโดรจะเคยบอกเอาไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งพวกปิศาจจะเป็นฝ่ายมาชักชวนให้เขาร่วมมือด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต
ตามแผนการของแซนโดรแล้วพวกเขาจะเริ่มดึงดูดความสนใจของเหล่าปิศาจหลังจากที่ซาลมีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว ซึ่งแซนโดรคิดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ตอนนี้กลับมีปิศาจโผล่มามอบข้อเสนอให้เขาก่อนเวลาที่แซนโดรประเมินเอาไว้มาก ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกแปลกใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินสถานการณ์จากเรื่องที่เกิดขึ้น บวกกับสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมา ก็น่าเชื่อว่าเธอเป็นปิศาจจากนรกที่ถูกส่งมาชักชวนเขาจริง ๆ เขาจึงคิดที่จะลองเจรจากับเธอดู
“ที่ว่าทำให้ความปรารถนาทุกอย่างเป็นจริงได้น่ะ เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“หืม~ จริงสิ จะขออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
อัลติม่าตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอแอบแสยะยิ้มในใจเพราะคิดว่าเหยื่อติดกับแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับถามรายละเอียดต่อ
“แล้วต้องแลกกับอะไรบ้างล่ะ?”
“อา~ ก็แลกกับการช่วยพวกเราในการยึดครองโลกไง”
“พูดแบบนั้นมันกว้างเกินไป ผมอยากรู้รายละเอียดว่าต้องทำอะไรบ้าง และมีเงื่อนไขอะไรผูกพันอีกรึเปล่าน่ะ”
“เอ่อ…”
อัลติม่าเริ่มพูดไม่ออกเพราะเจอกับคำถามที่คาดไม่ถึง เธอคิดว่าเด็กอย่างซาลถ้าหลอกล่อด้วยการให้พรอะไรก็ได้คงจะตอบรับมาแบบง่าย ๆ แต่ปรากฏว่าเขากลับถามถึงเงื่อนไขและรายละเอียดของสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งเธอยังไม่ได้คิดหาข้ออ้างเอาไว้
“หลัก ๆ แล้ว เราก็แค่ต้องการให้เธอเป็นผู้ช่วยในการเปิดประตูเชื่อมภพน่ะ และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เป็นผู้รวบรวมกองทัพอสูรบนโลก รวมถึงนำทัพในการรุกรานโลกด้วย อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องวิธีการหรอกนะ เพราะฉันจะคอยช่วยเธอในการทำทุก ๆ อย่างเอง”
“ถ้าแบบนั้น พี่สาวทำเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องใช้ผมเลยนี่นา”
“อ้อ เธอคงไม่รู้เรื่องนี้สินะ ผู้ที่จะเปิดประตูเชื่อมภพได้ต้องอาศัยผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า ‘โฮสท์’ เป็นคุณสมบัติที่จะพบในคนเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น พวกเราเหล่าปิศาจน่ะถึงพอจะหาทางเล็ดรอดขึ้นมาบนโลกได้เป็นคน ๆ แต่การจะเปิดประตูเพื่อนำกองทัพจำนวนมากขึ้นมาจากนรกน่ะต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ประสานการเปิดประตูจากฟากนี้จึงจะทำได้ แต่ได้ข่าวว่าเธอมีสายเลือดของชาวสวรรค์ด้วยนี่ ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติที่เหนือกว่าโฮสท์ซะอีก เลยไม่น่าจะมีปัญหานะ ส่วนเรื่องการรวบรวมกองทัพนั้นเพราะทั้งโลกและสวรรค์ต่างก็คอยสอดส่องการเคลื่อนไหวของเหล่าปิศาจ ทำให้เราทำงานไม่สะดวก ถ้ามีมนุษย์เป็นตัวแทนในการเคลื่อนไหวให้ก็จะทำอะไร ๆ ได้สะดวกกว่า”
เรื่องของโฮสต์นี้ซาลเคยได้ยินมาจากแซนโดรแล้ว (แต่ก็เกือบลืมไปแล้ว) อย่างไรก็ตาม การที่อีกฝ่ายรู้ประวัติของเขาแบบนี้แปลว่าทางนรกมีการจับตาเขาอยู่จริง ๆ ทำให้เขายิ่งระวังตัวมากขึ้น
“อืม… แล้วหลักประกันในการทำพันธสัญญาล่ะ?”
“หลักประกันเหรอ?”
“การให้พรแลกกับการทำงานครั้งนี้คงเป็นการทำพันธสัญญาอย่างหนึ่งใช่ม้า? แต่ผมรู้มาว่าฝ่ายมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกบังคับด้วยเวทพันธสัญญานั้นต้องให้หลักประกันบางอย่างในการทำพันธสัญญาด้วยเพื่อเป็นการรับรองว่าจะไม่ทำผิดข้อตกลง”
‘ชิ… เจ้าเด็กรู้มากนี่…’
อัลติม่าได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเพราะอีกฝ่ายชักจะรู้เยอะเกินไปแล้ว แต่เธอก็ยังปั้นสีหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ก่อนที่จะตอบคำถามของเขา
“ใช่แล้วล่ะ หลักประกันในการทำพันธสัญญาก็คือวิญญาณของเธอไงล่ะ”
อัลติม่าพูดถ้อยคำนั้นออกมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ผิดกับซาลที่ต้องแอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
——————————————————————————————————–
Part 2
แซนโดรเคยบอกเล่าสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแบบคร่าว ๆ ให้เขาฟังแล้ว
ทั้งในเรื่องที่วันหนึ่งอาจมีปิศาจมาชักชวนเขาให้เป็นผู้สร้างหายนะ และวิธีการที่พวกนั้นอาจใช้ เพื่อให้เขาได้ระวังตัว จะได้ไม่หลงกลและถูกหลอกไปเป็นเครื่องมือของพวกปิศาจ
การครอบงำมนุษย์ไม่ใช่อะไรง่าย ๆ อย่างที่มีการร่ำลือกัน ผู้คนมักจะเข้าใจกันว่าเพียงแค่เผชิญหน้ากับพวกปิศาจ หรืออยู่กับพวกมันนาน ๆ ก็จะถูกร่ายมนต์สะกดใส่จนกลายเป็นทาสของพวกมันไปได้ แต่แท้จริงแล้วการถูกครอบงำจิตใจไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นได้ง่ายขนาดนั้น เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ไม่มีเวทมนตร์ใดสามารถทำการควบคุมอย่างถาวรได้ พวกคนที่ไปเข้ากับฝ่ายปิศาจล้วนแล้วแต่ถูกชักจูงด้วยกิเลส, ตัณหา, และความโลภความทะเยอทะยานทั้งสิ้น
นั่นเป็นสาเหตุให้ดาบต้องสาปของผู้สร้างหายนะคนที่สามมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน มันถูกออกแบบมาให้กลืนกินวิญญาณด้านมืดของมนุษย์มาหลอมรวมกับวิญญาณของผู้ใช้ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นการทำลายตัวตนดั้งเดิมของผู้ใช้ไปและแทนที่ด้วยจิตมาร ไม่ใช่การครอบงำหรือควบคุมด้วยเวทมนตร์
นอกเหนือจากช่องทางแบบนี้แล้ว ก็เหลือแต่เพียงการหลอกล่อให้ทำพันธสัญญาด้วยเท่านั้น
แม้จะมีคำกล่าวกันว่าพวกปิศาจเป็นเผ่าที่เจ้าเล่ห์และชอบเล่นตุกติกกับการทำสัญญา แต่ความจริงแล้วเวทพันธสัญญาที่ใช้ในการทำข้อแลกเปลี่ยนกับมนุษย์นั้นถือเป็นเวทศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่าปิศาจ เวทนี้มีผลในการควบคุมการกระทำของปิศาจที่ยื่นข้อเสนอให้ทำตามข้อตกลงให้ได้โดยไม่มีทางขัดขืน แปลว่าเหล่าปิศาจจะไม่มีทางเป็นฝ่ายทำผิดข้อตกลงเด็ดขาด เพราะการทำพันธสัญญาแลกเปลี่ยนถือเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของเผ่าปิศาจด้วย
กลับกัน ฝ่ายมนุษย์ที่รับข้อเสนอนั้นไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยเวทมนตร์ใด ๆ ปิศาจที่ยื่นข้อเสนอจึงเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ เพราะตนเองไม่สามารถทำผิดข้อตกลงได้ แต่อีกฝ่ายกลับทำได้ จึงได้มีการเพิ่มเติม ‘หลักประกัน’ ของการทำพันธสัญญาเข้าไป เพื่อให้ฝ่ายมนุษย์ต้องทำตามคำพูด ซึ่งหลักประกันที่ใช้กันเป็นมาตรฐานนั้นก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ทำพันธสัญญานั่นเอง
หากมนุษย์ทำผิดข้อตกลง หรือไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้ได้ วิญญาณของเขาก็จะถูกยึดเป็นสมบัติของปิศาจที่ถือพันธสัญญา ทำให้ปิศาจตนนั้นสามารถใช้งานผู้ผิดสัญญาได้เหมือนกับเป็นทาสหรือหุ่นเชิด ดังนั้นหากเผลอทำพันธสัญญากับปิศาจไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำตามข้อตกลงที่เคยรับปากเอาไว้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้แซนโดรจึงเคยย้ำกับซาลารัสเอาไว้เป็นพิเศษว่าห้ามทำพันธสัญญากับปิศาจโดยเด็ดขาด และต้องให้เป็นเป็นคนเจรจาเท่านั้น แต่สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างออกไป เพราะเขาถูกแยกตัวมาจากทุกคน แถมอัลติม่าคงไม่ปล่อยตัวเขาออกไปง่าย ๆ ซาลารัสจึงต้องหาวิธีเอาเอง
“ถ้าแบบนั้นคงต้องขอปฏิเสธล่ะ”
“หา!? ทะ.. ทำไมล่ะ!?”
อัลติม่าแสดงอาการตกใจกับคำปฏิเสธของอีกฝ่าย ซึ่งอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเธอ
“ก็มันฟังดูขาดทุนยังไงก็ไม่รู้สิ”
“ขาดทุนงั้นเหรอ? เธอสามารถขออะไรก็ได้เลยนะ”
“เรื่องที่ผมขอได้มันก็จำกัดอยู่แค่เรื่องส่วนตัว แต่ฝ่ายปิศาจถ้ายึดครองโลกสำเร็จแล้วก็เท่ากับได้ครอบครองทุกอย่างเลยนี่นา ดูยังไงผมก็ขาดทุนเห็น ๆ ”
“อึก.. ยะ.. อย่าไปคิดแบบนั้นสิ ความสมหวังจะใหญ่หรือเล็กมันขึ้นกับความพึงพอใจของผู้ได้รับต่างหากเล่า ในอดีตน่ะเคยมีพระราชาคนหนึ่งสละราชบัลลังก์ให้กับผู้อื่นเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่กับครอบครัวเชียวนะ แปลว่าคุณค่าของแต่ละสิ่งก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เลือก แม้บางคนอาจมองว่าการนำบัลลังก์ไปแลกกับชีวิตธรรมดาดุจสามัญชนจะเป็นเรื่องโง่ แต่สำหรับเจ้าตัวแล้วนั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดไงล่ะ!”
ซาลรู้สึกแปลกใจที่ปิศาจอย่างอัลติม่าเคยได้ยินเรื่องเล่านี้ด้วย แต่ดูเหมือนเธอจะฟังมาไม่หมด หรือไม่ก็ยกตัวอย่างผิด เพราะในเรื่องนี้ความจริงแล้วหลังจากพระราชาสละบัลลังก์จนหมดสิ้นอำนาจก็ถูกพระราชาองค์ใหม่ส่งคนไปลอบสังหารทั้งครอบครัวเพราะกลัวว่าเหล่าขุนนางและประชาชนที่ยังจงรักภักดีจะไปเชิญอดีตพระราชากลับมาครองบัลลังก์อีกครั้ง ซึ่งในที่สุดพระราชาที่ชั่วร้ายก็ถูกประชาชนล้มล้างและทำการประหารให้ตายตกตามกันไป กลายเป็นเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับพระราชาสองพระองค์ ซึ่งองค์หนึ่งตายเพราะดูหมิ่นอำนาจมากเกินไป ส่วนอีกองค์ก็ตายเพราะลุ่มหลงในอำนาจมากเกินไป
อัลติม่าเห็นว่าเด็กน้อยตรงหน้ายังแสดงท่าทีเหมือนกับยังไม่ยอมคล้อยตาม จึงพยายามพูดจาหว่านล้อมเพื่อเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง เธอคิดว่ากะอีแค่เด็กตัวเล็ก ๆ จะมีคำขอที่ยุ่งยากสักเท่าไหร่กัน สิ่งที่เขาต้องการคงหนีไม่พ้นพลังฝีมืออันแกร่งกล้าเกินใคร หรืออาจอยากมีสมบัติพัสถานเหลือกินเหลือใช้ก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นเธอมีวีธีจัดหาและทำให้เป็นจริงได้อยู่แล้ว
“ทะ.. เธอไม่มีอะไรที่ต้องการจริง ๆ น่ะเหรอ? อะไรก็ได้นะ! ขอแค่เพียงบอกมา ฉันจะทำให้มันเป็นจริงได้ทุกอย่างเลย!”
คำพูดที่เหมือนกับเป็นโฆษณาชวนเชื่อนั้นยิ่งทำให้ซาลรู้สึกไม่ไว้ใจ แต่ในเมื่อเธอพูดมาแบบนี้ เขาก็คิดจะอาศัยจุดนี้แหละในการทำให้อีกฝ่ายยอมถอยไปเอง
“อะไรก็ได้จริงๆน่ะเหรอ?”
“จริงสิ!”
“งั้นช่วยทำให้ผมเป็นพระเจ้าทีสิ”
“หา!?”
อัลติม่าทำหน้านิ่วและร้องเสียงหลงเพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอที่บ้าบอคอแตกอะไรแบบนี้ ส่วนซาลเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไปจึงรุกไล่ต่อ
“ทำไม่ได้เหรอ?”
“เรื่องแบบนั้นใครจะไปทำได้กันล่ะ!”
“แบบนั้นที่ว่า ‘ขอพรอะไรก็ได้’ มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะสิ”
“อึก! ระ.. เรื่องนั้นมัน…”
“โกหกกันนี่นา แบบนี้ผมกลับล่ะ ช่วยพาผมไปส่งที่เดิมทีนะ”
ซาลพลิกตัวทำท่าจะเดินจากไป แต่อัลติม่าก็รีบมาดักหน้าเขาไว้ซะก่อน พร้อมกับพูดแก้ตัวด้วยท่าทางลนลาน
“ดะ.. เดี๋ยวก่อน! ที่บอกว่าขอพรได้ทุกอย่างอาจเป็นการพูดเกินความจริงไปหน่อย แต่ว่าฉันก็สามารถทำให้คำขอเกือบทุกอย่างเป็นจริงได้นะ! ถ้ามันไม่เกินกำลังของฉันละก็… นะ…”
ประโยคสุดท้ายที่พูดด้วยเสียงอันแผ่วเบานั้นทำให้ซาลยิ่งรู้สึกมั่นใจในทางรอดขึ้นมา แต่คำพูดของอัลติม่าก็ทำให้เขานึกอยากถามอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันเป็นสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วนับแต่วันที่เริ่มออกเดินทางกับแซนโดร
“งั้น .. สมมุตินะ สมมุติว่าผมอยากให้ปล่อยตัวพ่อของผมออกมาจากนรก จะได้รึเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้อัลติม่ายิ่งแสดงสีหน้าลำบากใจมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะตอบกลับมา
“ระ.. เรื่องนั้นก็ทำไม่ได้เหมือนกันแหละ…”
“เอ๋? ทำไมล่ะ? มันเป็นเรื่องที่ฝ่ายนรกน่าจะทำได้ไม่ใช่เหรอ?”
นี่เป็นคำตอบที่ผิดจากที่ซาลคาดเอาไว้เช่นกัน ใบหน้าของเขาจึงแสดงความผิดหวังออกมา ส่วนอัลติม่าแม้จะอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็อธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและสีหน้าที่รู้สึกผิด
“ผู้ที่ถูกจองจำอยู่ใน ‘เทรชเชรี่’ (Treachery) ซึ่งเป็นชั้นลึกสุดของนรกน่ะ มีเงื่อนไขในการถูกจองจำอยู่ ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอก เพราะความจริงถ้านับตามลำดับอาวุโสแล้วฉันก็เป็นแค่ปิศาจรุ่นใหม่น่ะ หากเป็นปิศาจระดับสูงเช่นไพรม์อีวิล หรือจ้าวนรกอย่างท่านเดียโบลละก็อาจรู้วิธีปลดปล่อยคนในนั้นออกมาก็ได้ แต่สำหรับตัวฉันเองแล้วไม่รู้วิธีหรอก…”
อัลติม่าตอบคำถามของซาลพลางหลบสายตาด้วยท่าทีที่ปนความละอายใจเอาไว้ไม่น้อย เพราะเธอต้องปฏิเสธคำขอที่เคยบอกว่า ‘อะไรก็ได้’ เป็นครั้งที่สองแล้ว
“นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ สรุปว่าพี่สาวน่ะให้พรอะไรได้บ้างเนี่ย? ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย ผมกลับละ”
เมื่อพูดจบซาลก็แสร้งทำเป็นหันหลังแล้วเดินจากมา แม้จะรู้ว่าไม่สามารถออกไปจากมิตินี้ได้ด้วยตัวเองก็ตาม
“ดะ.. เดี๋ยวก่อนสิ! นอกจากเรื่องพวกนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หรือหญิงสาว ฉันก็สามารถเนรมิตให้ได้นะ! ระ.. หรือว่าถ้าต้องการจริง ๆ ละก็…”
อัลติม่ารีบวิ่งมาดักหน้าซาลอีกครั้งพลางยกข้อเสนอต่าง ๆ นา ๆ ออกมาเพื่อที่จะรั้งตัวเขาไว้ และเพราะจนหนทางสุด ๆ แล้วก็เลยจำเป็นต้องงัดไม้ตายสุดท้ายที่พอจะเหลืออยู่ออกมา
“ถะ.. ถ้าต้องการจริง ๆ ละก็.. จะเอาร่างกายของฉันไปด้วยก็ได้นะ…”
อัลติม่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและท่าทีเขินอาย แม้แต่ใบหน้าของเธอก็กลายเป็นสีแดงระเรื่อ บ่งชี้ว่าเธอไม่คุ้นเคยกับการกระทำหรือคำพูดเชิงนี้เลยสักนิด แต่ฝ่ายซาลที่ได้ยินคำพูดนั้นกลับขมวดคิ้วและแสดงสีหน้างุนงงออกมา
“ร่างกายของพี่สาวงั้นเหรอ? …แล้ว พี่สาวน่ะทำอะไรได้บ้างล่ะ?”
“เอ๋?”
อัลติม่านิ่งเงียบไปด้วยใบหน้าที่แดงยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำถามนั้น
——————————————————————————————————–
Part 3
อัลติม่านิ่งเงียบไปเป็นเวลานานเพราะไม่รู้จะตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างไรดี
หลังได้รับคำแนะนำจากเมฟิสโต้เรื่องการใช้ร่างกายยั่วยวนผู้สร้างหายนะมาแล้ว เธอก็ได้ลองไปศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องนี้มาบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการลงมือทำจริง ๆ เลย ความจริงแค่เปิดดูข้อมูลไปได้นิดหน่อยเธอก็รู้สึกอายจนไม่กล้าดูต่อแล้ว เพราะอัลติม่าเป็นปิศาจรุ่นใหม่ที่เกิดมาหลังการกำเนิดโลกใหม่ อุปนิสัยและจิตใจจึงแตกต่างไปจากพวกปิศาจรุ่นก่อน ๆ มาก พอเจอซาลถามมาตรง ๆ แบบนี้เธอจึงยิ่งรู้สึกเขินอายจนพูดไม่ออก
ซาลที่เห็นอัลติม่าไม่ยอมพูดอะไรกลับมาซะทีจึงเอ่ยทักอีกครั้ง
“นี่ ว่าไงล่ะ?”
“อะ.. เอ๋!? วะ.. ว่าอะไรเหรอ?
“พี่สาวน่ะทำอะไรได้บ้างล่ะ?”
“เอ่อ.. กะ.. ก็ พอจะได้หลายอย่างอยู่นะ.. ยะ.. อยากให้ฉันทำอะไรบ้างล่ะ?”
อัลติม่าหันหลังให้กับอีกฝ่ายเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงพลางเอานิ้วชี้จิ้มกันแก้เขิน และตอบคำถามอย่างตะกุกตะกัก
แม้เธอจะไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่และไม่ค่อยอยากจะใช้วิธีนี้ แต่หากอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักอย่างซาลแล้ว เธอคิดว่าก็คงพอจะทำได้โดยไม่เป็นการฝืนตัวเองมากนัก (อันที่จริงในใจลึก ๆ แล้วก็รู้สึกสนใจอยู่นิดหน่อย)
“งั้น พี่สาวทำอาหารอะไรได้บ้างล่ะ?”
“ระ.. เริ่มจากอาหารก่อนเลยเหรอ? อาหารก็… เอ๋? ว่าไงนะ?”
อัลติม่าตื่นจากภวังค์เพราะคำถามที่ผิดคาดของซาล จึงหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้างุนงง
“ก็ถามว่าพี่สาวทำอาหารอะไรได้บ้างไงล่ะ”
“นะ.. นั่นคือเรื่องที่จะให้ฉันทำงั้นเหรอ?”
“ก็ นอกจากเรื่องอาหารแล้วก็ยังมีพวกเรื่องงานบ้านงานเรือน อย่างถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้า อะไรพวกนี้อีกน่ะ พอจะทำได้มั้ย?”
ซาลคิดว่าปิศาจระดับสูงอย่างอัลติม่าคงไม่ยอมลดตัวลงมาทำงานใช้แรงอย่างงานบ้านเป็นแน่ จึงพยายามตั้งเงื่อนไขการทำงานให้เธอปฏิเสธไปอีกครั้ง แต่อัลติม่าที่เสนอ ‘ร่างกาย’ ด้วยความหมายอีกอย่างนั้นกลับคิดไปคนละเรื่อง
“เรื่องที่จะให้ฉันทำมีแค่เรื่องพวกนี้เหรอ?”
“ก็ต้องเรื่องพวกนี้สิ นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วมีเรื่องอะไรที่ใช้ร่างกายทำได้อีกเหรอ?”
“ก็มีน่ะสิ!”
อัลติม่าตวาดกลับด้วยท่าทีฉุนเฉียว ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจกับอารมณ์อันแปรปรวนของเธอ
“หืม? มีอะไรอีกล่ะ?”
“ก็! กะ.. ก็.. ไม่มีแล้วก็ได้!”
อัลติม่าหันหลังกลับไปเพื่อซ่อนใบหน้าอันแดงก่ำจากซาลอีกครั้ง ทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ตกลงมีรึไม่มีกันแน่เนี่ย.. เอ้า สรุปว่าทำไม่ได้เหมือนกันสินะ ถ้างั้น ผมไปละ”
“ดะ.. เดี๋ยวก่อน! ถ้าแค่ทำงานบ้านพวกนั้นละก็ ฉันทำให้ได้นะ! ตกลงมาทำพันธสัญญากันเลยมั้ย!?”
อัลติม่าที่ตั้งสติได้รีบหันกลับมาห้ามซาลอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าซาลก็ไม่ได้คิดจะทำพันธสัญญาด้วยเรื่องนี้หรอก
“บ้ารึเปล่า? ใครมันจะไปขายโลกทั้งใบเพื่อแลกกับคนทำงานบ้านกันล่ะ ของแบบนั้นไปจ้างสาวใช้ทำเอาก็ได้”
“วะ.. ว่าไงน้าาาาา~ แล้วจะถามมาทำไมเล่า!?”
“ก็แค่ถามดูเฉย ๆ น่ะ เห็นว่าขอเรื่องยาก ๆ แล้วทำไม่ได้สักเรื่อง เลยลองเรื่องง่าย ๆ ดูว่าจะทำได้มั้ยน่ะ”
“กรอดดดด (เจ้าเด็กบ้านี่!)”
อัลติม่าพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อระงับความโกรธ ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความหงุดหงิดที่ถูกเด็กผู้ชายตรงหน้าปั่นหัวเอา
“สรุปว่าขอได้เฉพาะเรื่องที่ไม่เกินความสามารถของพี่สาว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพี่สาวทำอะไรได้บ้างนี่นา แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าขอบเขตของพรที่ขอได้มีอะไรบ้างน่ะสิ”
“ฮึ่ม… เรื่องคำขอน่ะจะอะไรก็ได้น่า! แค่มาทำพันธสัญญากับฉันก็พอแล้ว!”
ด้วยความหงุดหงิดและอยากจะให้จบเรื่องเร็ว ๆ อัลติม่าจึงนำอักขระสำหรับทำพันธสัญญาออกมากางขึ้นตรงหน้า มันเป็นอักขระสีขาวที่มีลักษณะเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ แต่ซาลกลับรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากตัวอักขระแทนที่จะเป็นความร้อน
ความจริงนี่เป็นการทำผิดขั้นตอนเล็กน้อย เพราะโดยปกติทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงเงื่อนไขของพันธสัญญากันซะก่อน เมื่อได้ข้อตกลงที่เป็นธรรมแล้วฝ่ายปิศาจจึงจะนำอักขระพันธสัญญาออกมาประกาศเงื่อนไขก่อนจะให้ฝ่ายมนุษย์แตะสัมผัสอักขระเพื่อรับเงื่อนไขของพันธสัญญา
แต่ตอนนี้อัลติม่านั้นใกล้จะหมดความอดทนแล้ว เธอคิดว่าต่อให้ต้องใช้กำลังบังคับก็ต้องให้อีกฝ่ายทำพันธสัญญากับเธอให้ได้ จึงทำอักขระออกมาทันทีเพื่อทำการกดดันให้ซาลทำข้อตกลงด้วย
“เอาล่ะ รีบ ๆ บอกความปรารถนาของเธอมาแล้วแตะสัมผัสอักขระเพื่อทำพันธสัญญากับฉันซะ แค่นี้ข้อตกลงของเราก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์”
อัลติม่าเอามือแตะสัมผัสอักขระเพื่อเร่งให้อีกฝ่ายรีบทำพันธสัญญาด้วย โดยไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่น
ซาลซึ่งเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของอัลติม่าก็พอจะมองออกเช่นกันว่าเธอคงไม่คิดล้อเล่นด้วยอีกแล้ว
“ผมจะรู้ได้ไงว่านี่ไม่ใช่กลลวงน่ะ? เกิดแตะสัมผัสอักขระไปแล้วถูกขโมยวิญญาณไปฟรี ๆ ก็แย่น่ะสิ”
“ปิศาจก็มีกฎของปิศาจเช่นกัน การทำพันธสัญญาถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งสำหรับพวกเรา มันเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงเท่านั้น ต่อหน้าอักขระแห่งพันธสัญญานี้คำพูดของเราถือเป็นสัจจะ และเป็นข้อบังคับในพันธสัญญาด้วย”
“หมายความว่า… ผมจะไม่สูญเสียวิญญาณไปเว้นแต่จะทำผิดข้อตกลงงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว หลักประกันน่ะจะถูกยึดเมื่อมีการทำผิดสัญญาเท่านั้น เห็นมั้ยล่ะว่าพวกเราเผ่าปิศาจน่ะยุติธรรมแค่ไหน”
“แล้ว… ถ้าผมขอให้พี่สาวเป็นคนช่วยผมในการทำอะไรสักอย่าง พี่สาวก็จะทำตามใช่มั้ย?”
“อ้อ ถ้าแบบนั้นก็จะเป็นพันธสัญญาสำหรับการเป็นผู้ติดตาม มีหลายคนที่ขอพรทำนองนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะให้ช่วยเป็นผู้คุ้มกัน หรือเป็นคนสนิท …หรือแม้แต่เป็นภรรยาอะนะ ขอแค่บอกมาว่าอยากให้เป็นอะไรก็พอ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลที่มีแผนอยู่ในใจแล้วก็เริ่มเห็นทางรอดขึ้นมาบ้าง เขาขยับตัวเข้าไปใกล้อักขระโดยมีท่าทีลังเลอยู่เล็กน้อย
“จริงสิ แล้วก็อย่าพยายามหัวหมอด้วยการขอพรที่เป็นไปไม่ได้ล่ะ เพราะอักขระแห่งพันธสัญญานี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือห้วงแห่งชะตากรรม สามารถพิจารณาคำขอเองได้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่ หากยื่นเงื่อนไขที่ไม่มีทางเป็นไปได้มาละก็มีแต่จะถูกปฏิเสธไปเท่านั้นแหละ และถ้าหากทำให้ฉันต้องเสียเวลามากไปกว่านี้ละก็…”
อัลติม่าแสยะยิ้มและจ้องมองซาลด้วยแววตาที่เหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะ จิตมุ่งร้ายที่แผ่ออกมาดูไม่เหมือนกับรังสีแห่งการฆ่าฟัน แต่เหมือนกับเป็นเจตนาที่จะค่อย ๆ เล่นกับเหยื่อให้ทรมานเหมือนตายทั้งเป็นมากกว่า ทำให้ซาลรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แต่ก็ยังพยายามรวบรวมความกล้าเอาไว้
“อืม… ถ้างั้นละก็… พี่สาวชื่ออัลติม่าสินะ?”
“ใช่แล้ว”
‘ไม่รู้ว่าจะได้ผลรึเปล่า.. อาจจะเสี่ยงไปหน่อย แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะนะ…’
ซาลคิดในใจ พลางรวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้าย ก่อนจะประกาศคำขอออกมา
“ผม ซาลารัส แฮลเซียน ขอให้อัลติม่ามาเป็นทาสของผมในการยึดครองทั้งสามโลก”
“เอ๋?”
ซาลประกาศคำขอและรีบแตะมือสัมผัสกับอักขระที่อัลติม่าตั้งรออยู่
ทันใดนั้นอักขระก็ส่องแสงสว่างวาบก่อนที่จะสลายไป พลันก็ปรากฏอักขระรูปแบบเดียวกันขึ้นมาบนข้อมือของทั้งสองคน ก่อนที่มันจะเลือนหายไปอีกครั้ง
“ฮะ.. เฮ้ย! มะ.. ไม่จริงน่า!?”
อัลติม่ามีสีหน้าตื่นตะลึงเพราะยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น ส่วนซาลก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาเช่นกัน
“เอ๋? ได้ด้วยเหรอเนี่ย? แปลว่าการทำพันธสัญญาเสร็จสิ้นแล้วสินะ?”
“ทะ.. ทำไมถึงทำได้กันล่ะ!? เงื่อนไขบ้าบอแบบนั้นน่ะ!?”
“เสียมารยาทจริง ๆ เลย มาบอกว่าคำขอของคนอื่นเป็นเรื่องบ้าบอแบบนี้เนี่ย… ว่าแต่ตอนนี้พี่สาวก็เป็นทาสของผมแล้วสินะ?”
“แบบนี้มันขี้โกงนี่นา!? แล้วไอ้เงื่อนไขยึดครองสามโลกนั่นมันอะไรกันน่ะ!? เธอจะเอาสามโลกไปทำไมกัน!?”
“จะขายโลกทั้งทีมันก็ต้องเอาให้คุ้มไม่ใช่เหรอ? บังเอิญว่าทั้งในนรกและบนสวรรค์ต่างก็มีของที่ผมต้องการอยู่น่ะ”
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะทำสำเร็จกันล่ะ!? ฉันมิต้องเป็นทาสเธอไปจนแก่งั้นเรอะ!?”
“ถ้าอยากเป็นอิสระเร็ว ๆ ก็รีบหาทางให้ผมยึดครองทั้งสามโลกได้เร็ว ๆ สิ”
ซาลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และสีหน้าอันเย็นชาเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผิดกับอัลติม่าที่มีสีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้
“ธะ.. เธอนี่มัน… พวกมนุษย์นี่มัน… ชั่วร้ายที่สุดเลยยยยย”
อัลติม่ากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บแค้น ส่วนซาลก็รู้สึกปวดใจนิด ๆ ที่ถูกปิศาจด่าว่าชั่วร้าย แต่ผลลัพธ์ของการทำพันธสัญญาครั้งนี้ออกมาในทางที่ดีเขาก็พอใจแล้ว