Doombringer the 5th - ตอนที่ 31
Ch.31 – เงื่อนไขของพันธสัญญา
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 31
เงื่อนไขของพันธสัญญา
Part 1
ซาลให้อัลติม่าพาออกจากห้วงมิติเพื่อกลับไปหาพวกแซนโดรอีกครั้ง
แม้จะไม่อยากทำตามคำสั่งแม้แต่น้อย แถมยังคิดจะฆ่าเขาทิ้งซะตรงนี้ แต่เพราะผลของพันธสัญญาทำให้อัลติม่าไม่อาจทรยศข้อตกลงได้ แค่คิดร้ายต่อซาลก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับหัวสมองถูกบีบรัดจนทรมานไปทั้งตัวแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องยอมทำตามคำสั่งของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อออกมาจากห้วงมิติแล้วซาลก็พบว่าตัวเองอยู่ในอาคารร้างหลังหนึ่งภายในเมืองนั่นเอง
เพราะออกมาจากห้วงมิติแล้วทำให้แหวนสื่อสารสามารถใช้งานได้อีกครั้ง เขาจึงลองติดต่อกับแซนโดรเพื่อแจ้งข่าว ซึ่งแซนโดรก็ตอบกลับมาทันที
“…ซาลารัสเหรอ? …เธออยู่ไหนน่ะ?…”
แม้น้ำเสียงของเธอจะฟังดูเรียบ ๆ ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่จังหวะการพูดก็เร่งรีบขึ้นกว่าปกติอย่างรู้สึกได้ ซาลจึงคิดว่าแซนโดรก็คงเป็นห่วงตนเองอยู่เหมือนกัน
“ยังอยู่ในเมืองร้างนั่นแหละ แล้วทุกคนล่ะ?”
“…พวกเราออกมาที่หน้าเมืองแล้ว …ฉันจะใช้เวทอัญเชิญดึงตัวเธอมาเลยก็แล้วกัน…”
เมื่อแซนโดรพูดจบ ก็เกิดวงเวทขึ้นบนพื้นที่ซาลยืนอยู่
พอเขาวางฝ่ามือลงบนวงเวทเพื่อตอบสนองการอัญเชิญนั้นก็ปรากฏแสงสว่างจ้าออกมา
เมื่อแสงดับวูบลงร่างของซาลก็หายไปพร้อม ๆ กับแสงนั้น และวงเวทบนพื้นก็ค่อย ๆ จางหายไป
ซาลมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหน้าของเมืองร้าง
ที่นั่นมีแซนโดรกับลานาเทลกำลังยืนรออยู่แล้ว โดยมีรถม้าคันเก่งจอดอยู่ด้านหลัง
ในเวลาไล่เลี่ยกัน นิโคลก็บินร่อนกลับลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะเก็บปีกเพื่อคืนสู่ร่างมนุษย์และตรงเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีร้อนรน
“มะ.. ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
นิโคลเข้ามาแตะสำรวจร่างกายของเขาและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือราวกับกำลังจะร้องไห้ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลจนซาลเริ่มจะรู้สึกผิดไปด้วย
“อื้ม ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
“ดีใจจังเลย! โล่งอกไปที!”
นิโคลดึงตัวซาลเข้ามากอดไว้จนแน่น ทำเอาเขาเกือบหายใจไม่ออก ซาลคิดว้าถ้าเขากลับมาช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว นิโคลมีหวังร้องไห้ฟูมฟายแน่ ๆ เพราะโดยนิสัยของเธอแล้ว เธอคงจะโทษตัวเองอย่างหนักในการที่เขาหายไปและคงจะรู้สึกกระวนกระวายมาโดยตลอด เขาจึงรู้สึกดีใจที่ไม่ได้ทำให้นิโคลรู้สึกแย่ไปกว่านี้
“…แม่นี่น่ะเป็นห่วงเธอมากเลยนะ …ทั้งที่ฉันบอกว่าใช้แค่สมุนสอดแนมกระจายกันไปตามหาก็พอแล้ว แต่เธอก็ยังยืนกรานจะบินขึ้นไปหาจากบนท้องฟ้าอยู่ดี…”
แม้แซนโดรจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ซาลก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน ส่วนลานาเทลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสตามเคย ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
“…ตกลง …เธอหายไปไหนมาล่ะ?…”
แซนโดรที่เห็นว่าซาลปลอดภัยดีแล้วจึงเดินเข้ามาถาม เพราะเธอไม่คิดว่าเขาจะหายตัวไปโดยไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะในสถานที่และสถานการณ์แบบนั้น
“เรื่องนั้น…”
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ อัลติม่าก็บินตามออกมาจากเมืองและร่อนลงตรงหน้าทุกคนพอดี
เมื่อเห็นการมาของอัลติม่า แววตาของแซนโดรกับลานาเทลก็เปลี่ยนไป ทั้งสองคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ส่วนนิโคลก็ลุกขึ้นมายืนบังซาลเอาไว้
อัลติม่าบินมาด้วยปีกเล็ก ๆ สีดำที่ติดอยู่บนหลังคล้ายกับปีกค้างคาว เมื่อร่อนลงบนพื้นแล้วปีกนั้นก็หดกลับจนหายไป จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ เดินมาหาทุกคนด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“โอ้ ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่คืออัลติม่า คนที่ลักพาตัวผมไป แล้วก็เป็นทาสของผมด้วย”
“…หา?…”
ทั้งแซนโดร, ลานาเทล, และนิโคล ต่างก็มีสีหน้าแปลกใจเมื่อได้ฟังประโยคอันชวนงงนั้น ส่วนอัลติม่าพอได้ยินการแนะนำตัวว่า ‘ทาส’ ก็ยิ่งทำหน้าเหยเกเข้าไปอีก
ซาลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ตั้งแต่ตอนที่ถูกจับตัวไป จนถึงการทำพันธสัญญากับอัลติม่า
พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ลานาเทลที่พยายามกลั้นขำก็ถึงกับต้องหลบหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เสียกิริยา ส่วนแซนโดรก็มองอัลติม่าสลับกับซาลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
‘…เจ้าเด็กนี่มันตัวหายนะจริง ๆ …แม้แต่ปิศาจก็ยังไม่รอดเลยรึเนี่ย…’
ถึงจะมีเรื่องที่ข้องใจอยู่หลายอย่าง แต่แซนโดรคิดว่าตอนนี้การสอบถามข้อมูลจากอัลติม่าน่าจะสำคัญกว่า จึงเก็บเรื่องที่สงสัยเอาไว้ก่อน
“…เธอคือปิศาจจากนรกงั้นเหรอ? …ใครเป็นคนส่งเธอมา?…”
“………………”
อัลติม่าไม่ยอมตอบคำถามของแซนโดรและหันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจจะฟัง ทำให้ซาลต้องช่วยพูดย้ำ
“นี่ ตอบคำถามของแซนโดรสิ”
แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นการออกคำสั่ง แต่ผลของพันธสัญญาก็ทำให้อัลติม่าเกิดความรู้สึกอึดอัดต่อการขัดความประสงค์ของผู้เป็นนาย จนต้องยอมตอบคำถามของแซนโดรออกมา
“ทะ.. ท่านเดียโบลเป็นคนส่งฉันมา”
“…อืม …เดียโบลส่งมาเองเลยงั้นเหรอ …แล้วเป้าหมายของเธอล่ะ?…”
“หะ.. หาทางโน้มน้าวเด็กคนนี้ให้มาเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้า…”
“…แล้วเธอเป็นใคร? …บอกตำแหน่งของตัวเองมาซิ…”
“ฉัน… อัลติม่า ผู้นำแห่งกลุ่มปิศาจจักราศี.. มีหน้าที่คอยประสานงานกับปิศาจตนอื่น ๆ อยู่บนโลกมนุษย์”
แม้พยายามจะฝืน แต่อัลติม่าก็ไม่สามารถทนต่อความอึดอัดได้และต้องตอบคำถามของแซนโดรอย่างละเอียดทุกข้อ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกเจ็บใจขึ้นไปอีก
“…อัลติม่างั้นเหรอ …ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย …คงเป็นปิศาจรุ่นใหม่สินะ …มิน่าล่ะถึงได้เสียท่าเด็กเอาแบบนี้…”
“กรอดดด”
“…ทำไมนรกถึงสนใจเจ้าเด็กนี่ขึ้นมาได้ล่ะ? …เรายังไม่ได้ทำอะไรที่ดึงดูดความสนใจขนาดนั้นเลยนี่นา (แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่แฮะ) …แล้วเจ้านี่ก็ยังไม่โตเลยด้วย ยังไม่ถึงวัยที่จะเป็นผู้สร้างหายนะได้ด้วยซ้ำ…”
“ระ.. เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้หรอก แค่ได้รับคำสั่งมาอย่างเดียวน่ะ”
“…อืม…”
แซนโดรรู้สึกว่ายังมีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการที่นรกจะหมายตาซาลในเวลานี้ แต่ดูจากท่าทีของอัลติม่าที่กัดฟันตอบเพราะผลของพันธสัญญาแล้วเธอก็ไม่น่าจะโกหกได้ แซนโดรจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
“…ถึงจะเร็วกว่าที่คาดการณ์ไปหน่อย แต่ไหน ๆ มาแล้วก็เลยตามเลยละกัน …ฉันจะยอมให้เธอเข้าร่วมกลุ่มผู้สร้างหายนะของเราก็ได้…”
“หา!? มะ.. หมายความว่าไงกัน!? นี่พวกเธอ.. คิดจะให้เด็กคนนี้เป็นผู้สร้างหายนะอยู่แล้วงั้นเหรอ!?”
อัลติม่ามีสีหน้าตกตะลึงเมื่อได้ยินที่แซนโดรพูด ดวงตาของเธอแทบจะถลนออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว
“…ก็ใช่น่ะสิ …ไม่รู้หรอกเหรอ? …ไม่สิ คงไม่รู้จริง ๆ สินะ ถึงได้พยายามทำอะไรยุ่งยากตั้งมากมายแบบนั้น…”
เมื่อได้ยินคำพูดของแซนโดร อัลติม่าก็ทรุดลงกับพื้นด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า ราวกับวิญญาณได้ล่องลอยหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“แล้วนี่ฉัน.. ทำทั้งหมดนั่นไปเพื่ออะไรกัน… แม้กระทั่งกลายเป็นทาสของเด็กคนนี้… มันเพื่ออะไรก๊านนนน”
อัลติม่ากรีดร้องคร่ำครวญพลางเอามือกระหน่ำทุบพื้นเพื่อระบายความเจ็บใจออกมา
แม้แต่แซนโดรเมื่อได้เห็นท่าทางอันน่าสังเวชนั่นแล้วก็ยังแสดงสีหน้าที่ปนความสงสารขึ้นมาเล็กน้อย แต่ซาลคิดว่าบางทีเธออาจแค่รู้สึกสมเพชก็ได้
——————————————————————————————————–
Part 2
ทุกคนกลับมาที่เมืองฮีโร่แสตนด์อีกครั้งเพื่อพักผ่อนจากการต่อสู้
อัลติม่าขอรออยู่นอกเมืองเพราะในเขตเมืองฮีโร่แสตนด์มีศิลาตรวจจับปิศาจล้อมอยู่โดยรอบจึงอาจถูกตรวจพบได้
ความจริงถ้าใช้ ‘ม่านแห่งความมืดมิด’ สวมให้ อัลติม่าก็น่าจะเล็ดรอดจากการตรวจจับได้ แต่แซนโดรคิดว่ายังไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น บวกกับต้องการจะกันอัลติม่าออกไปจากกลุ่มก่อนอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถพูดคุยปรึกษาเรื่องราวกันได้สะดวกขึ้น เธอจึงปล่อยให้อีกฝ่ายรออยู่นอกเมืองไปก่อน
ที่ห้องพักของโรงแรม แซนโดรให้ทุกคนนั่งล้อมวงกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ครบแล้ว เธอก็เริ่มเปิดประเด็นทันที
“…ไม่นึกว่าพวกปิศาจจะหมายตาซาลารัสเร็วขนาดนี้ …บางทีอาจมีเบื้องหลังอย่างอื่นอีกก็ได้ …แต่เรื่องนั้นไว้ตรวจสอบให้แน่ชัดอีกที …การเดินทางต่อจากนี้คงต้องมีแม่นั่นติดไปด้วย เพราะงั้นคงต้องระมัดระวังคำพูดให้มากขึ้น …โดยเฉพาะเรื่องที่เราไม่ได้คิดจะเป็นผู้สร้างหายนะจริง ๆ จะให้แม่นั่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด …แม้แต่เรื่องรายละเอียดของการเตรียมการครองโลกก็ห้ามให้รู้ด้วย…”
“ทำไมล่ะ? เรื่องการครองโลกนี่ก็นับว่ามีเป้าหมายเดียวกันไม่ใช่เหรอ?”
ซาลไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปกปิดอัลติม่ากระทั่งแผนในการครองโลกจึงเอ่ยถามขึ้น เพราะเขาคิดว่าให้ฝ่ายนรกมีส่วนร่วมด้วยน่าจะทำให้มีทางเลือกมากกว่า
“…การครองโลกในความหมายของเรากับความหมายของพวกปิศาจน่ะต่างกัน …เธอรู้รึเปล่าว่าพวกปิศาจกำเนิดขึ้นมาได้ยังไง?…”
“เอ่อ… พอจะรู้แค่ว่าปิศาจแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกเกิดจากวิญญาณมนุษย์ที่ตกลงไปยังนรก และถูกความมืดเกาะกุมจนกลายเป็นปิศาจที่เรียกว่า ‘เลซเซอร์อีวิล’ (Lesser Evil) กับอีกประเภทหนึ่งคือพวกปิศาจที่ถือกำเนิดจากการกลั่นตัวของความมืดจนกลายเป็นตัวตนขึ้นมาเอง เรียกว่า ‘เพียวอีวิล’ (Pure Evil)”
“…ใช่แล้วล่ะ …การกำเนิดของ ‘อีวิล’ ทั้งสองประเภทมีจุดร่วมที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือความมืด …ซึ่งความมืดที่ว่าก็คือตะกอนหนักของพลังงานด้านลบในกระแสเวทมนตร์นั่นแหละ…”
“เอ่อ… ตะกอนหนัก?”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เข้าใจ แซนโดรจึงพยายามอธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น
“…สมมุติว่ากระแสเวทมนตร์ในธรรมชาติคือแม่น้ำสายหนึ่ง …พลังงานด้านลบของสรรพสิ่งในโลกที่ปลดปล่อยลงสู่กระแสเวทมนตร์ในธรรมชาติ ก็เหมือนกับขยะหรือสิ่งปฏิกูลนั่นแหละ สิ่งเหล่านี้จะลงไปทับถมและสะสมอยู่ที่ก้นแม้น้ำจนกลายเป็นกลุ่มก้อนสิ่งสกปรกอันหนาทึบ …ในเวลาที่สายน้ำไหลไปก็จะชะเอาผิวนอกของสิ่งสกปรกนั้นบางส่วนกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ และลอยไปติดสิ่งต่าง ๆ ที่แม่น้ำไหลผ่าน
นั่นคือการไหลย้อนกลับของพลังงานด้านลบในกระแสเวทมนตร์ตามธรรมชาติที่ทำให้เกิดมอนสเตอร์หรือดันเจียน แต่ต้นตอที่แท้จริงของสิ่งสกปรกก็ยังคงอยู่ก้นแม้น้ำนั้น และนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า ‘ความมืด’ ในทางทฤษฎีเวทมนตร์ เป็นกลุ่มก้อนของความชั่วร้ายที่เกิดจากการสะสมของพลังงานด้านลบนั่นเอง…”
“อ๋อ นึกออกแล้ว เรื่องนี้เหมือนเคยได้ยินผ่านหูมาเหมือนกัน เห็นว่าเป็นทฤษฎีกระแสพลังงานในธรรมชาติที่ทำให้เกิดมอนสเตอร์ แต่ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่น่ะ แหะ ๆ ”
ซาลทำหน้าเป็นและหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ในขณะที่แซนโดรจ้องมองเขาด้วยสายตาหงุดหงิด
“…นี่ เธอน่ะ หัดตั้งใจเรียนให้มันมากกว่านี้หน่อยได้มั้ย? เรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่นักผจญภัยทุกคนต้องรู้ไม่ใช่เรอะ?…”
“กล้าพูดนะ ตัวเองเป็นคนพาผมหนีโรงเรียนออกมาเองแท้ ๆ น่ะ”
แซนโดรยิ่งแสดงอาการหงุดหงิดเพราะคำพูดยอกย้อนของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า แต่เธอก็ไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงด้วย จึงอดกลั้นไว้และอธิบายต่อ
“…กระแสเวทมนตร์เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแค่ในสมัยโลกเก่านั้นมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้ อีกทั้งกระแสพลังงานทั้งด้านลบและด้านบวกก็จะไหลไปรวมกันยังปลายทางที่อยู่ต่างภพ เช่นพลังงานด้านบวกก็จะไหลไปรวมกันบนสวรรค์ ส่วนพลังงานด้านลบก็จะไหลลงไปรวมกันในนรก บนโลกจะไม่มีกระแสพลังงานด้านใดด้านหนึ่งตกค้างอยู่เป็นเวลานานจนเกิดการไหลย้อนกลับสู่สรรพสิ่งได้
ด้วยเหตุนี้ ในโลกเก่าจึงมีโอกาสเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติได้ยากมาก แม้จะพอมีโอกาสเกิดอยู่บ้างแต่ก็มีอัตราที่ต่ำจนเป็นแค่เรื่องเล่าหรือเรื่องลี้ลับไปแทน …แต่หลังการสร้างโลกใหม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎนี้ ให้พลังงานด้านลบไม่สามารถไหลลงไปยังนรกได้ มันจึงวนเวียนอยู่แค่ในโลกและตกตะกอนกลายเป็นความมืด เป็นสาเหตุให้เกิดทั้งมอนสเตอร์และดันเจียนขึ้นบนโลก แถมในบางครั้งยังทำให้ก่อกำเนิดปิศาจอีกด้วย…”
แม้จะเคยผ่านหูเรื่องทฤษฎีพื้นฐานนี้มาบ้าง แต่ซาลยังไม่เคยได้ยินเหตุผลที่แท้จริงของมันมาก่อน ความจริงคือนี่เป็นเรื่องที่มีคนรู้แค่ในวงจำกัด คนส่วนใหญ่จะคิดว่านี่เป็นเรื่องตามธรรมชาติของโลก น้อยคนที่จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่ ซาลที่เพิ่งได้รู้เรื่องนี้จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เห? หมายความว่าการที่พลังงานด้านลบและความมืดตกค้างอยู่บนโลกจนทำให้เกิดทั้งมอนสเตอร์และปิศาจแบบนี้เป็นเพราะกฎที่พระเจ้ากำหนดขึ้นตอนสร้างโลกใหม่งั้นเหรอ? ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”
“…เพื่อเป็นการตัดกำลังฝ่ายนรกไงล่ะ …สมัยโลกเก่าน่ะพลังงานด้านลบเกือบทั้งหมดจะลงไปสะสมกันในนรก ทับถมกันจนกลายเป็นห้วงแห่งความมืดมิดอันไพศาล ก่อให้เกิดทั้งเลซเซอร์อีวิลและเพียวอีวิลขึ้นมามากมาย …ในช่วงปลายของโลกเก่าซึ่งเหล่ามนุษย์ใช้ชีวิตกันอย่างทุกข์ทรมานนั้นพลังงานด้านลบก็ยิ่งมากเป็นทวีคูณ …ว่ากันว่าตอนนั้นจำนวนของปิศาจในนรกน่ะมีมากกว่าล้านล้านตัวเลยทีเดียว…”
“ละ.. ล้านล้าน!? แต่สวรรค์ก็อุตส่าห์เอาชนะมาได้นะ…”
“…อืม …ถึงจะชนะมาได้แต่ฝั่งสวรรค์ก็สูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน …ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม พระเจ้าจึงสร้างกฎใหม่ให้พลังงานด้านลบไหลเวียนอยู่ภายในโลกเท่านั้น เพราะถ้าปล่อยให้พลังงานด้านลบไหลลงไปรวมตัวกันที่นรกจนกลายเป็นห้วงแห่งความมืด ก็จะให้กำเนิดปิศาจขึ้นมามากมายและนรกก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
แต่ถ้าหากให้พลังงานด้านลบไหลเวียนอยู่แต่ในโลก กระแสเวทมนตร์ตามธรรมชาติจะช่วยชะล้างให้ความมืดนั้นเจือจางลงและค่อย ๆ ไหลย้อนกลับมาสู่สรรพสิ่ง …กฎนี้ได้ทำให้นรกอ่อนแอลงอย่างมาก แลกกับการที่มนุษย์ต้องใช้ชีวิตที่อันตรายขึ้น เพราะต้องหาทางจัดการกับผลของพลังงานด้านลบที่ไหลเวียนอยู่ในโลกด้วยตัวเอง…”
“หมายถึงการที่ต้องเผชิญกับเหล่ามอนสเตอร์สินะ”
“…ใช่ …ด้วยกฎนี้ทำให้มีมอนสเตอร์เกิดขึ้นมาบนโลกแทน …เพราะพระเจ้าเห็นว่าพวกมอนสเตอร์เป็นภัยคุกคามที่ด้อยกว่าพวกปิศาจมาก และมนุษย์ยังค่อย ๆ ทยอยกำจัดหรือรับมือได้ …พูดง่าย ๆ ว่าการต่อสู้กับมอนสเตอร์ทุกวันนี้ก็เหมือนกับการผ่อนส่งภัยคุกคามทีละน้อย ดีกว่าอยู่อย่างสงบแล้วรอภัยคุกคามอันใหญ่หลวงจากพวกปิศาจในอนาคต …นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้การครองโลกในความหมายของเรากับพวกปิศาจแตกต่างกัน…”
“หืม? ทำไมล่ะ?”
“…เพราะกฎที่ว่าทำให้นรกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เนื่องจากแทบไม่มีพลังงานด้านลบลงไปถึงนรกเลย อัตราการเกิดของปิศาจรุ่นใหม่จึงแทบจะเป็นศูนย์ …เป้าหมายของพวกปิศาจในการคุกคามโลกจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสูญเสียต่อมนุษย์ ให้เกิดพลังงานด้านลบขึ้นให้ได้มากที่สุด …เพื่อว่าพลังงานบางส่วนจะได้หลุดรอดลงไปถึงนรกได้บ้าง…”
“หืม~ คุณแซนโดรนี่รู้ละเอียดดีจังเลยนะคะ เรื่องพวกนี้น่ะแม้แต่ฉันยังไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
ลานาเทลที่นั่งฟังอยู่รู้สึกประทับใจกับข้อมูลเชิงลึกของแซนโดรจึงเอ่ยขึ้นด้วยเจตนาที่จะแสดงความชื่นชม แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนมีเจตนาประชด แต่สีหน้าและแววตาของเธอก็แสดงความประทับใจออกมาจริง ๆ
“…มันเป็นเรื่องที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดกลุ่มหนึ่งเคยฟังมาจากปิศาจที่ขึ้นมาบนโลกอีกทีนึงน่ะ …ถึงพวกปิศาจจะไม่เคยบอกออกมาตรง ๆ แต่ถ้าปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดแล้ว เจตนาของพวกมันคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้…”
“อืม… สรุปว่าเราต้องแสร้งทำเป็นร่วมมือไปก่อน โดยพยายามไม่ให้อัลติม่ารู้แผนการที่แท้จริงสินะ”
ซาลที่พอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงเอ่ยออกมา
“…ใช่ …แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะเธอทำพันธสัญญากับแม่นั่นในฐานะทาส …ทำให้เราไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ส่วนแม่นั่นก็ต้องทำตามคำสั่งอย่างเดียว …ว่าแต่นึกยังไงถึงเอ่ยคำขอให้มาเป็นทาสล่ะน่ะ?…”
“อ่า.. ก็เคยอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับการทำพันธสัญญากับปิศาจจากบันทึกของโลกเก่ามาบ้างน่ะ ตอนอ่านก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าถ้าตั้งเงื่อนไขแบบนี้ดูจะเป็นยังไงน้า~ ตอนนั้นเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วก็เลยลองดูน่ะ ไม่นึกว่าจะได้ผลจริง ๆ ”
‘…ตอบไม่ตรงคำถามเท่าไหร่ …แต่ดูเหมือนจะทำไปโดยไม่ตั้งใจหรือไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงสินะ …ถึงงั้นก็ยังน่ากลัวอยู่ดี …ไอ้การทำเรื่องชั่วร้ายได้หน้าตาเฉยโดยที่ไม่รู้ตัวเนี่ย…’
แซนโดรสังเกตท่าทางของซาลแล้วก็เชื่อว่าเขาไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนกับคำขอนี้จริง ๆ ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังอดกังวลกับความแสบแบบไร้เดียงสาของเขาไม่ได้
เมื่อทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น
——————————————————————————————————–
Part 3
เช้าวันต่อมา ทุกคนก็นั่งรถม้าออกมาจากเมืองตามกำหนดการที่วางเอาไว้
เมื่อออกมาไกลจากตัวเมืองได้ระยะหนึ่ง อัลติม่าก็ปรากฏตัวขึ้นที่ถนนเบื้องหน้า แซนโดรจึงหยุดแวะรับ แต่พออีกฝ่ายทำท่าจะขึ้นมาบนรถม้า แซนโดรก็ห้ามเอาไว้ซะก่อน
“…เธอน่ะ …ไปนั่งข้างหน้าซะ…”
“หา!? แต่นั่นมันที่นั่งคนขับไม่ใช่เหรอ? ข้างในนี้ก็ยังพอมีที่เหลืออยู่นี่นา!”
อัลติม่าแสดงความไม่พอใจออกมา เพราะเห็นว่าในห้องโดยสารยังมีที่ว่างอีกเยอะ จึงรู้สึกเหมือนกำลังถูกกลั่นแกล้ง แต่แซนโดรก็ยืนยันคำเดิมด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“…ซาลารัสต้องฝึกการใช้เวทกับนิโคล …ถ้าต้องมานั่งเบียดกันจะไม่ถนัดเปล่า ๆ …เพราะงั้นเธอไปนั่งข้างหน้าซะ…”
“หนอย…”
ความจริงรถม้าของแซนโดรมีห้องโดยสารที่ค่อนข้างกว้าง ที่นั่งแต่ละด้านมีความยาวเกือบสองเมตร เรียกว่าใช้เป็นที่นอนก็ยังได้ ดังนั้นถึงให้คนสามคนนั่งด้วยกันก็ไม่นับว่าเป็นการเบียดจนเกินไปนัก แต่แซนโดรไม่ค่อยอยากให้อัลติม่านั่งฟังการสนทนาของทุกคนเท่าไหร่จึงไล่ให้ไปนั่งด้านหน้าแทน
อัลติม่าปิดประตูรถม้าดังปังก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดไปยังที่นั่งของสารถีที่อยู่ด้านหน้าของรถม้า เมื่อเดินไปถึง สารถีประจำรถซึ่งเป็นร่างอัญเชิญก็สลายร่างไป เพื่อให้อัลติม่าก็ขึ้นไปนั่งแทน
พอเธอนั่งประจำที่แล้ว รถม้าก็เคลื่อนตัวอีกครั้ง ส่วนแซนโดรก็ร่ายเวทกักเก็บเสียงเพื่อกั้นเสียงภายในห้องโดยสารไม่ให้เล็ดรอดออกไปภายนอกได้ ก่อนที่จะดำเนินการสนทนาต่อ
“…ซาลารัส …เธอบอกว่าเงื่อนไขของพันธสัญญาคือให้อัลติม่าเป็นทาสเพื่อช่วยในการยึดครองทั้งสามโลกสินะ?…”
“อื้ม ก็ระบุในพันธสัญญาไว้แบบนั้นแหละ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของแซนโดรก็เริ่มเคร่งเครียดลง
“…ฉันลองศึกษาตำราว่าด้วยการทำสัญญากับปิศาจดูแล้ว …หากไม่คงเจตนาของการทำพันธสัญญาเอาไว้ละก็ …จะถือว่าเป็นการละเมิดสัญญาและถูกริบวิญญาณเอาได้…”
“เอ๋? คงเจตนาของการทำพันธสัญญา? หมายความว่าไงเหรอ?”
“…ในอดีตก็มีคนที่เคยใช้วิธีหัวหมอ ร่างเงื่อนไขยาก ๆ เอาไว้ แล้วจงใจหยุดก่อนที่เงื่อนไขจะบรรลุเหมือนกัน …เช่นพระราชาที่ทำสัญญาให้ปิศาจช่วยในการยึดครองเจ็ดอาณาจักร แต่หยุดทำสงครามแค่เมื่อได้ครองอาณาจักรที่หก …หรือหนุ่มนักรักที่ขอกับปิศาจว่าต้องการจะมีภรรยาหนึ่งร้อยคน แต่หยุดแค่เก้าสิบเก้าคน …เป็นการจงใจหยุดการทำตามสัญญาก่อนที่เงื่อนไขจะครบ …เมื่อมีเจตนาจะไม่ทำตามเงื่อนไข อักขระพันธสัญญาจะรับรู้ได้ และทำการลงโทษด้วยการริบวิญญาณของผู้ทำพันธสัญญาทันที…”
“หา!? แปลว่าถ้าผมไม่คิดจะยึดครองสามโลกจริง ๆ ก็จะถูกริบวิญญาณงั้นเหรอ!? แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะยึดครองทั้งสามโลกจริง ๆ นี่นา!”
ซาลออกอาการตื่นตระหนกเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ส่วนนิโคลกับลานาเทลที่นั่งฟังอยู่ต่างก็มีสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน
“…นั่นอาจเป็นเพราะเจตนาของเธอในการช่วยพ่อกับแม่ …จิตใต้สำนึกของเธอส่วนหนึ่งคงคิดว่าต่อให้ต้องทำถึงขนาดยึดครองสวรรค์หรือนรกก็จะต้องช่วยทั้งสองคนออกมาให้ได้ …ด้วยความปรารถนานี้จึงทำให้มีเจตนาที่ใกล้เคียงกับเงื่อนไขในพันธสัญญา …คำสัญญาจึงยังไม่ถือว่าถูกละเมิด…”
“ผมเองก็ไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นหรอกนะ… แค่คิดว่าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้พวกท่านกลับมาเท่านั้น…”
“…แค่ความคิดนั้นก็พอแล้วล่ะ …แต่ที่น่ากังวลก็คือเมื่อไหร่ที่เธอได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่นได้ตัวพ่อหรือแม่ของเธอกลับมาแล้ว …เจตนาที่ต้องการยึดครองทั้งสามโลกก็จะหายไป แล้วเธอก็อาจถูกริบวิญญาณเอาได้ …ดังนั้นเธอต้องหาโอกาสยกเลิกพันธสัญญาก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น…”
“เรื่องแบบนั้นมันจะทำได้ง่าย ๆ เหรอ?”
“…การยกเลิกสัญญาสามารถทำได้ถ้าได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย …ซึ่งปกติพวกปิศาจจะไม่ยอมบอกเลิกสัญญาหรอกนะ …แต่ในกรณีของเธอน่ะเป็นสัญญาที่ฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบมาก ๆ เพราะฉะนั้นถ้าขอยกเลิก อีกฝ่ายก็คงจะรีบตกลงแน่…”
“งั้นรีบบอกยกเลิกเดี๋ยวนี้เลยดีมั้ยคะ?”
นิโคลพูดแทรกขึ้นมาด้วยท่าทีร้อนใจเพราะความเป็นห่วง แต่แซนโดรก็ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวต่อ
“…ยังก่อน …ไม่มีความจำเป็นต้องรีบขนาดนั้น …ยังไงก็อีกนานกว่าเราจะช่วยพ่อหรือแม่ของซาลารัสกลับมาได้ …ระหว่างนี้เราควรคงพันธสัญญาเอาไว้เพื่อเก็บแม่นั่นไว้ใช้งานจะดีกว่า …อีกอย่างคือถ้าจู่ ๆ ไปขอยกเลิกพันธสัญญามันก็จะดูน่าสงสัยด้วย …หากแม่นั่นเกิดเอะใจขึ้นมาว่าซาลารัสไม่คิดจะทำตามเงื่อนไขของสัญญาละก็ก็อาจไม่ยอมยกเลิกพันธสัญญาเลยก็ได้ …ถึงฉันจะไม่คิดว่าแม่นั่นจะฉลาดขนาดนั้นก็เถอะนะ…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงจามของอัลติม่าแว่วมาจากด้านหน้ารถ ซึ่งอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้
“…สำหรับเรื่องการยกเลิกพันธสัญญานั้นฉันจะคอยดูความเหมาะสมให้เอง …รอให้ถึงจังหวะเหมาะ ๆ ค่อยบอกเลิกพันธสัญญา …หรือบางทีอาจแกล้งทำข้อตกลงใหม่เพื่อขอสิ่งแลกเปลี่ยนในการยกเลิกพันธสัญญาก็ได้ แบบนี้ก็จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว …ไว้ถึงเวลาแล้วฉันจะบอก…”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วซาลก็ใช้เวลาช่วงเช้าในการฝึกซ้อมเวทมนตร์กับนิโคลตามปกติ ส่วนแซนโดรก็นำตำราว่าด้วยการทำสัญญากับปิศาจขึ้นมาอ่านอีกครั้งเพื่อศึกษาข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์
เธอกวาดสายตาดูหัวข้อเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อจำกัดของพันธสัญญาอีกครั้งเพราะเป็นส่วนที่ยังรู้สึกข้องใจนับแต่ซาลเล่าเรื่องให้ฟังเป็นครั้งแรก
อักขระพันธสัญญาถือเป็นเครื่องมือที่จะตัดสินคำขอและเงื่อนไขในการทำพันธสัญญาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม รวมไปถึงจะลงโทษผู้ที่ละเมิดพันธสัญญาโดยไม่มีการแบ่งแยกด้วย หากคำขออยู่นอกเหนือข้อจำกัดของปิศาจหรือผู้ทำพันธสัญญา ตัวอักขระจะไม่ตอบสนองต่อคำขอนั้น และพันธสัญญาก็จะไม่เกิดขึ้น
คำขอที่อาศัยพลังของปิศาจ จะมีข้อจำกัดที่ขีดความสามารถของปิศาจตนนั้น หากเป็นคำขอที่ปิศาจตนนั้นไม่สามารถทำได้ ก็ไม่อาจทำพันธสัญญาได้ เช่นเดียวกับตัวผู้ทำพันธสัญญา หากเป็นผู้ด้อยความสามารถในระดับที่แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากปิศาจแล้วก็ยังไม่เพียงพอต่อการทำความปรารถนาให้เป็นจริง หรือไม่ใช่ผู้ที่มีชะตากรรมซึ่งสามารถทำตามเป้าหมายของพันธสัญญาได้ การทำพันธสัญญาก็จะไม่บังเกิดผล
แซนโดรอ่านทบทวนเนื้อหาส่วนนี้อยู่หลายรอบ พลางครุ่นคิดถึงพันธสัญญาของซาล ด้วยสีหน้าอันซับซ้อน
‘…หมายความว่าเจ้าเด็กนี่มีชะตาที่สามารถครอบครองทั้งสามโลกได้จริง อักขระจึงยอมให้ทำพันธสัญญาได้งั้นเหรอ?…’
แซนโดรได้แต่เก็บความคิดนั้นเอาไว้ในใจ และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยในระหว่างมองดูซาลซึ่งกำลังฝึกเวทกับนิโคลอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ลึกลับจนยากจะคาดเดาว่ามีความหมายเช่นไรกันแน่