Doombringer the 5th - ตอนที่ 32
Ch.32 – คนที่นรกต้องการ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 32
คนที่นรกต้องการ
Part 1
รถม้าของแซนโดรมาหยุดอยู่หน้าเขตดันเจียนอีกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ดูจากสภาพแล้วที่นี่คงจะเคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน มันเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตอนนี้บ้านแต่ละหลังเหลือผนังแค่ไม่กี่ด้านเท่านั้น
ทุกคนลงจากรถม้าเพื่อเตรียมจะเคลียร์พื้นที่ตามปกติ แต่แซนโดรก็เสนอความคิดใหม่ขึ้นมาซะก่อน
“…เรื่องการเคลียร์พื้นที่น่ะ ให้อัลติม่าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน …ระหว่างนี้ซาลารัสก็ฝึกดาบกับลานาเทลไป …รอการเคลียร์พื้นที่เสร็จค่อยเข้าไปวางแกนดันเจียน…”
“หา!? ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ!?”
“…เป็นทาสก็ต้องอำนวยความสะดวกให้กับเจ้านายสิ เคยได้ยินคำว่า ‘อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย’ รึเปล่า? …อีกอย่างนึง ถ้าเธอใช้พวกอสูรสามตัวนั่นละก็ น่าจะเคลียร์พื้นที่ได้เร็วกว่านะ…”
“ฮึ่ม…”
อัลติม่าได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บใจ แม้จะไม่อยากทำตามคำสั่งของแซนโดร แต่เมื่อเหลือบมองไปทางซาลแล้วเธอก็คิดว่าท้ายสุดคงไม่มีทางเลือกอยู่ดี สู้ยอมทำไปก่อนที่จะถูกเด็กสั่งจะดีกว่า จึงได้แต่เดินย่ำเท้าเข้าไปในเขตดันเจียนด้วยความหงุดหงิด
เมื่อเห็นอาการของอัลติม่าแล้ว ซาลก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แม้เขาจะตั้งเงื่อนไขให้เธอมาเป็นทาสก็จริง แต่เพราะตอนนั้นไม่มีทางอื่นที่จะบีบให้อัลติม่ายอมปล่อยเขาอออกมาได้จึงต้องทำแบบนั้น
“นี่ แซนโดร อย่าใจร้ายกับเขานักสิ”
“…หืม? …จะเป็นอะไรไปล่ะ? …แม่นั่นน่ะเป็นปิศาจนะ …และเป็นคนที่ถือพันธสัญญาซึ่งกุมวิญญาณของเธอเอาไว้ด้วย …ถ้าฉันไม่เห็นว่ายังมีประโยชน์อยู่ละก็… …ช่างเถอะ …ที่สำคัญคือแบบนี้เธอจะได้มีเวลาในการฝึกมากขึ้นไงล่ะ…”
“แต่ไปทำแบบนั้นเค้าก็ยิ่งเกลียดเอาน่ะสิ แบบนี้เมื่อไหร่จะได้สนิทกันล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น แซนโดรก็กลอกตาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายก่อนจะอธิบายกับเขาอีกครั้ง
“…นี่เธอฟังฉันรึเปล่า? …จะไปสนิทกับแม่นั่นทำไมกัน? …หลังจากใช้ประโยชน์และถอนพันธสัญญาเสร็จแล้ว ชั้นคิดว่าเราควรจะแยกทางกับแม่นั่นด้วยซ้ำ …เพราะในตอนนี้น่ะการมีพวกปิศาจอยู่ใกล้ ๆ จะทำให้เราเคลื่อนไหวลำบากซะเปล่า ๆ …”
“แต่ผมคิดว่าอัลติม่าน่ะน่าจะเก่งมากเลยนะ! ถ้ามีเธอมาร่วมด้วยอีกคนนึงมันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ?”
เพราะสมุนสามตัวของอัลติม่าสามารถสู้กับแซนโดรและลานาเทลได้อย่างสูสี ทำให้ซาลคิดว่าตัวเธอเองก็จะต้องเก่งยิ่งกว่านั้นแน่ ๆ
“…คิดอะไรง่ายเกินไปแล้ว …แม่นั่นน่ะอันตรายเกินไป แถมยังไว้ใจไม่ได้ …อีกอย่าง แผนการของเราน่ะ ไม่จำเป็นต้องอาศัยแม่นั่นหรอก…”
“นี่มันไม่เกี่ยวกับแผนการหรืออะไรทั้งนั้นแหละ ผมแค่อยากให้เขาร่วมกลุ่มไปด้วยน่ะ”
“หืม~ เจ้าชู้จังเลยนะคะ มีพวกเราตั้งสามคนแล้วก็ยังไม่พอใจอีก”
ลานาเทลแกล้งพูดหยอกล้อตามประสา ทำให้แซนโดรออกอาการเซ็งนิด ๆ
“เรื่องแบบนี้ยิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ? ยังไงผมก็อยากได้อัลติม่ามาอีกคนนึงน่ะ”
“…หือ?…”
“เห?”
“เอ๋?”
ทั้งแซนโดร, ลานาเทล, และนิโคล ต่างก็มองมายังซาลเป็นตาเดียวกัน เพราะข้องใจกับประโยคที่เขาพูดออกมา
“มะ.. หมายความว่ายังไงกันคะ? คุณซาลารัส?”
นิโคลที่ดูจะข้องใจมากที่สุดจึงรีบถามด้วยอาการร้อนรนนิด ๆ ใช่ว่าเธอจะหึงหวงกับการที่เขาพูดว่าต้องการอัลติม่า แต่เธอกลัวว่าเขาจะกลายเป็นเด็กไม่ดีไปมากกว่า
“หืม? ก็ขุนพลน่ะ มีเยอะเข้าไว้ก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ? พอผมเป็นผู้สร้างหายนะแล้ว สี่ขุนพลของผมก็คือแซนโดร, ลานาเทล, นิโคล, และอัลติม่าไง อันที่จริงถ้ามีโอกาสก็อยากจะรวบรวมให้ได้เยอะกว่านี้อีกน่ะนะ เพื่อสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไงล่ะ!”
“เห~ งี้นี่เอง หมายถึงขุนพลสินะคะ”
“…อืม ขุนพลสินะ…”
“ที่แท้ก็ขุนพลนี่เอง”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเขาแล้วทั้งสามคนก็มีท่าทีโล่งอก แต่อาจด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
“…ยังไงก็เถอะ …อย่างที่บอกแหละว่ามีพวกปิศาจมาติดสอยห้อยตามไปด้วยตอนนี้ยังเร็วเกินไป …อีกอย่างคือแม่นั่นน่ะไว้ใจไม่ได้ …เธอตัดใจซะดีกว่า…”
เมื่อได้ยินแซนโดรยืนกรานเช่นนั้น ซาลจึงคิดว่าโต้แย้งไปก็คงจะป่วยการเปล่า ๆ แต่ยังไงเขาก็อยากจะได้อัลติม่ามาเป็นพวกจริง ๆ และอยากให้เป็นโดยสมัครใจด้วย เลยคิดว่าจะหาทางทำความสนิทสนมเธอเอาไว้ แม้แซนโดรอาจไม่ชอบใจก็ตาม
อีกด้านหนึ่ง อัลติม่าที่เดินเข้าไปถึงกลางเขตดันเจียนก็เรียกสมุนทั้งสามตัวออกมาและสั่งการให้พวกมันเคลียร์พื้นที่ จากนั้นก็หันกลับไปมองทางที่พวกซาลารัสอยู่ด้วยแววตาที่แฝงความเคียดแค้น
“แย่จริง.. เสียท่าเจ้าเด็กเวรนั่นก็ว่าแย่แล้ว ยังต้องมาโดนยัยนั่นโขกสับอีก… ถ้าไม่ติดว่าการฆ่าผู้ทำพันธสัญญาถือเป็นการละเมิดกฎละก็…”
อัลติม่าได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความหงุดหงิด
ใจจริงเธออยากจะฆ่าซาลทิ้งเพื่อยกเลิกสัญญาด้วยซ้ำ แต่เพราะอักขระแห่งพันธสัญญาบนข้อมือของเธอจะทำงานทันทีที่มีการละเมิดสัญญา หากฆ่าเขาไปเธอเองก็จะต้องตายด้วย แม้แต่การกระทำใด ๆ ที่นำไปสู่การตายของเขา หากเป็นไปโดยเจตนาหรือการชักนำของเธอเองก็จัดเป็นการละเมิดสัญญาเช่นกัน อัลติม่าจึงไม่สามารถลงมือได้ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม
“ฟู่ว… ใจเย็นก่อน… หงุดหงิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา.. อย่างน้อยเราก็ทำให้เด็กนั่นเป็นผู้สร้างหายนะได้แล้ว (จริง ๆ ก็ไม่ใช่เพราะเราเท่าไหร่) เหลือแค่ทำยังไงจะควบคุมเจ้าเด็กนั่นได้เท่านั้น…”
อัลติม่าสงบสติอารมณ์แล้วย่องกลับมาแอบดูทุกคนอยู่ไกล ๆ ตอนนี้ซาลกำลังฝึกการต่อสู้กับลานาเทล โดยมีแซนโดรกับนิโคลยืนดูอยู่ใกล้ ๆ
“ดูท่ายัยพวกนั้นจะพยายามเลี้ยงดูเจ้าเด็กนั่นให้กลายเป็นผู้สร้างหายนะสินะ.. ถึงจะไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไรก็เถอะ.. แบบนี้เราควรจะรายงานท่านเดียโบลดีมั้ยนะ…”
อัลติม่าลังเลที่จะรายงานความจริงทั้งหมดให้กับเดียโบล เพราะถ้าบอกไปตามตรงว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเป็นผู้สร้างหายนะอยู่แล้ว ก็เท่ากับเธอไม่ได้สร้างผลงานอะไรเลย แถมยังโดนหลอกทำพันธสัญญาไปฟรี ๆ อีกต่างหาก แต่เจตนาของกลุ่มหญิงสาวที่ตั้งใจจะปั้นซาลให้เป็นผู้สร้างหายนะก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ อัลติม่าจึงรู้สึกหนักใจว่าควรจะพูดความจริงหรือไม่พูดดี
ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สมุนของเธอก็กลับมารายงานความสำเร็จในการเคลียร์พื้นที่ เธอจึงส่งพวกมันทั้งสามกลับมิติของตัวเองไป ก่อนที่จะเดินกลับไปหาทุกคน โดยยังเก็บคำตอบเอาไว้ในใจ
——————————————————————————————————–
Part 2
หลังจากซาลวางแกนของดันเจียนเสร็จแล้ว ทุกคนก็กลับมาที่รถม้าเพื่อเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง
แม้อัลติม่าจะสงสัยเรื่องเจตนาในการวางแกนดันเจียน แต่เพราะไม่ค่อยอยากจะคุยกับพวกซาลเท่าไหร่จึงไม่ได้ถามอะไรออกไป และกลับขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเองบนที่นั่งของสารถีตามเดิม
ทุกคนขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงซาลที่ยังไม่ขึ้นมาบนรถ แต่แทนที่จะขึ้นมานั่งประจำที่ เขากลับพูดในสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ
“ผมจะไปนั่งด้านหน้ากับอัลติม่านะ พอดีมีเรื่องอยากจะถามเขาหน่อยน่ะ”
พอพูดจบซาลก็ปิดประตูรถม้าและอ้อมขึ้นไปไปนั่งข้าง ๆ อัลติม่าบนที่นั่งสารถีในทันที โดยที่ไม่ได้รอการทักท้วงใด ๆ จากแซนโดร
แม้จะมีท่าทีหงุดหงิดนิดหน่อยแต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเธอนัก แซนโดรจึงได้แต่ถอนหายใจแบบปลง ๆ แล้วสั่งให้รถม้าออกเดินทาง
อัลติม่าที่เห็นอีกฝ่ายขึ้นมานั่งข้าง ๆ ก็รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย แต่ก็พยายามเก็บอาการและทำเป็นไม่สนใจเขาแทน
รถม้าแล่นตามถนนมาได้พักหนึ่งแล้วแต่ทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะอัลติม่าแกล้งทำเป็นไม่สนใจเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางมองไปทางอื่นตลอดเวลา ส่วนซาลก็นึกหาประเด็นมาคุยเธอไม่ออกเช่นกัน ความเงียบงันนั้นจึงดำเนินไปเป็นเวลานาน
ในที่สุดเมื่อนึกหาเรื่องคุยกับเธอไม่ออกจริง ๆ เขาก็เลยยกประเด็นที่เขาสนใจเป็นการส่วนตัวขึ้นมาแทน
“นี่ ๆ สมุนสามตัวที่อัลติม่าใช้น่ะ เป็นปิศาจระดับล่างที่อัญเชิญมาจากนรกงั้นเหรอ?”
แม้จะไม่ค่อยอยากตอบ แต่เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยคำถามมาแล้วถ้านิ่งเงียบไว้ก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัด อัลติม่าจึงต้องตอบออกไปโดยที่สายตายังคงมองแต่ทิวทัศน์ข้างทางเช่นเดิม
“การเชื่อมต่อกับนรกไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ แบบนั้นหรอก พวกนั้นเป็นแค่สมุนอัญเชิญน่ะ”
“เอ๋? หมายถึงเป็นร่างอัญเชิญที่สร้างขึ้นงั้นเหรอ!? ทั้งที่เก่งขนาดนั้นเนี่ยนะ! ทำได้ไงอะ!?”
ซาลเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกายเพราะความอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากเขาเองก็เป็นผู้คลั่งไคล้เวทอัญเชิญอยู่แล้ว ส่วนอัลติม่าเมื่อได้ยินคำกล่าวชมก็รู้สึกเป็นปลื้มขึ้นมานิดหน่อย จึงผ่อนคลายการวางตัวลง
“พวกนั้นก็แค่อสูรที่สร้างขึ้นมาตามวิธีปกติน่ะ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”
“แต่พวกนั้นน่ะเก่งมากเลยนะ น่าจะมีฝีมือใกล้เคียงกับนักผจญภัยระดับ S เลยด้วยซ้ำ การที่สร้างสมุนแบบนี้ขึ้นมาได้แปลว่าอัลติม่าก็ต้องเก่งสุด ๆ ไปเลยน่ะสิ!”
พอได้ยินซาลกล่าวชมตรง ๆ อัลติม่าก็มีอาการเขินนิดหน่อยจนแก้มเริ่มมีสีชมพูจาง ๆ ออกมา แม้จะยังพยายามตีสีหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงของเธอก็ฟังดูเป็นมิตรขึ้นกว่าทีแรกมาก
“มะ.. มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า~ พวกนั้นก็แค่ติดอันดับท็อป 20 ของการจัดลำดับอสูรนรกเท่านั้นเอง”
“ท็อป 20 เลยเหรอ! สุดยอด!”
ยิ่งได้ยินคำชมของอีกฝ่ายอัลติม่าก็ยิ่งต้องฝืนทำหน้านิ่งเอาไว้ไม่ให้ยิ้มออกมาเพราะกลัวจะเสียฟอร์ม แต่กระนั้นก็ยังเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ เธอจึงได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่นไม่ให้เขาเห็นเท่านั้น
“ว่าแต่สมุนระดับนี้มิต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการเรียกออกมาเหรอ? แต่นี่อัลติม่าเรียกออกมาได้พร้อมกันตั้งสามตัวแน่ะ แปลว่ามีพลังเวทเยอะมากเลยน่ะสิ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันเรียกสมุนพวกนั้นออกมาโดยใช้เวทเปิดประตูมิติที่เรียกว่า ‘เกท’ (Gate) น่ะ”
“เกท เหรอ?”
“การอัญเชิญสมุนที่มีระดับสูงมาก ๆ ออกมาโดยตรงน่ะต้องใช้พลังเวทเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นพวกเราเหล่าปิศาจจึงใช้เวทสร้างประตูมิติเชื่อมต่อระหว่างโลกนี้กับมิติที่พวกสมุนอยู่แทน แบบนี้จะประหยัดพลังเวทได้มากกว่าเยอะ”
“แต่เวทสำหรับสร้างประตูเชื่อมระหว่างมิติก็เป็นของที่กินพลังเวทมหาศาลเหมือนกันนี่นา อาจมากกว่าการอัญเชิญสมุนตามปกติเลยด้วยซ้ำ”
“การเปิด ‘เกท’ นับเป็นความสามารถพิเศษประจำเผ่าปิศาจอย่างเรา ดังนั้นเราจึงใช้งานเวทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ามนุษย์มาก ทั้งตัวเวทเองก็มีการพัฒนาทางด้านวิทยาการไปมากกว่าด้วย ทำให้กินพลังเวทน้อยลงเยอะ สำหรับฉันแล้วการเปิดประตูมิติสำหรับสมุนพวกนั้นแต่ละตัวจะใช้พลังเวทแค่ราว ๆ 5% เท่านั้นเอง”
“เห!? แค่ 5% เองเหรอ! สุดยอดเลย! ว่าแต่การจะสร้างสมุนที่มีฝีมือระดับ S นี่ก็ต้องใช้พลังเวทมหาศาลกับโครงสร้างวงเวทที่ซับซ้อนสุด ๆ เลยนี่นา แปลว่าอัลติม่าเองก็ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบวงเวทพอตัวเลยสินะ?”
“แหม~ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ ความจริงสมุนพวกนี้เติบโตขึ้นมาด้วยการ ‘แซคคริไฟซ์’ น่ะ”
“เดี๋ยวซิ.. แปลว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีพลังระดับ S แต่แรกงั้นเหรอ? แล้ว ‘แซคคริไฟซ์’ นั่นคืออะไรกันน่ะ?”
“แซคคริไฟซ์ (Sacrifice) คือการใช้มอนสเตอร์หรือสมุนในการเซ่นสังเวยเพื่อเพิ่มระดับให้กับสมุนอีกตัวหนึ่ง มันเป็นหนึ่งในวิทยาการที่นรกใช้ในการพัฒนาร่างอัญเชิญและสร้างอสูรนรกที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใช้งาน เพราะเมื่อก่อนมีพวกอสูรและปิศาจชั้นต่ำอยู่ในนรกเป็นจำนวนมาก การใช้วิธีนี้สร้างสมุนที่มีประสิทธิภาพก็เลยเร็วกว่า”
ดวงตาของซาลเป็นประกายในทันทีเมื่อได้ยินว่าเหล่าปิศาจมีวิธีพัฒนาสมุนอัญเชิญแบบนี้อยู่ด้วย เขาคิดว่าถ้านำมาปรับใช้ละก็น่าจะช่วยให้สมุนของเขาพัฒนาได้เร็วขึ้นอีกแน่ ๆ
“มะ.. มีวิธีการแบบนี้ด้วยเหรอ!? สุดยอดไปเลย! นี่ ถ้าไงก็ช่วยสอนให้บ้างสิ”
“……ไม่เห็นต้องทำเป็นเกรงใจเลย ของแค่นี้ถ้าออกคำสั่งมา ยังไงฉันก็ขัดไม่ได้อยู่แล้ว”
เมื่อคุยกันถึงตรงนี้สีหน้าของอัลติม่าก็เปลี่ยนไป จากท่าทางที่ดูปลื้มใจระคนเขินอาย กลายเป็นท่าทีที่เย็นชาแม้กระทั่งน้ำเสียง มันเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนจนซาลสังเกตได้
“นี่… ยังโกรธเรื่องพันธสัญญาอยู่อีกเหรอ?”
“เฮอะ! ทาสผู้ต่ำต้อยอย่างดิฉันจะกล้าโกรธเคืองผู้เป็นนายอย่างท่านซาลารัสได้ยังไงกันล่ะคะ! จริง ๆต้องรู้สึกเป็นเกียรติต่างหาก!”
อัลติม่าหลับตาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันทั้ง ๆ ที่ยังเบือนหน้าไปทางอื่นอยู่
มันเป็นการแสดงอาการงอนที่เหมือนกับเด็ก ๆ เมื่อรวมกับการแสดงอารมณ์ที่ผ่าน ๆ มาแล้วทำให้ซาลแอบคิดว่าอัลติม่าน่าจะมีอายุน้อยกว่าที่คาด แต่บางทีอาจเป็นแค่นิสัยก็ได้
“นี่ พูดกันอย่างแฟร์ ๆ เลยนา อับติม่าเองก็คิดไม่ซื่อเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ในตอนนั้นก็เตรียมจะใช้กำลังบังคับให้ผมทำพันธสัญญาอยู่แล้วนี่?”
“อะ.. เอาอะไรมาพูดน่ะ!? ฉะ.. ฉันไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นซะหน่อย!”
อัลติม่ารีบปฏิเสธเป็นพัลวันพลางฝืนยิ้มแห้ง ๆ และหลบสายตาไปทางอื่น ดูยังไงก็เป็นการกลบเกลื่อนที่ไม่แนบเนียนเลย
“ไม่ต้องมาทำไก๋เลยน่า~ บอกมาตามตรงซะดี ๆ ”
“กะ.. กะ.. ก็ใช่! ฉันคิดจะทำจริง ๆ !”
ซาลแค่คิดจะพูดแหย่ให้ตอบเฉย ๆ ไม่ได้คิดจริงจังอะไร แต่อัลติม่ากลับต้องกัดฟันตอบด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะไม่สามารถฝืนคำสั่งได้
เมื่อได้เห็นอาการแบบนั้นกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นไปอีก
‘สีหน้าแบบนี้อีกแล้ว… เป็นเพราะถูกฝืนใจงั้นเหรอ? ไม่ว่าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่สามารถฝืนคำสั่งได้… แบบนี้ก็ไม่มีทางคุยเล่นกันตามสบายได้ และไม่มีทางสนิทสนมกันได้ด้วยน่ะสิ…’
ซาลมองดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคับแค้นของอัลติม่าแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่อีกพักหนึ่ง จนตัดสินใจเอ่ยปากถามขึ้นมา
“นี่.. มีวิธีอะไรที่จะยกเลิกสถานะเจ้านายกับทาสนี่บ้างรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น อัลติม่าก็หันมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ
——————————————————————————————————–
Part 3
ด้านในรถม้า แซนโดรที่นั่งหลับตามาโดยตลอดแม้จะถูกลานาเทลลวนลามด้วยการกอดหรือซุกไซ้ จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้น แถมบรรยากาศรอบตัวยังเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ทำให้อีกสองคนที่นั่งอยู่ในรถต้องรู้สึกแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามขึ้นโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากรอบเอวของแซนโดร แต่แซนโดรก็ไม่ได้ตอบหรือใส่ใจอะไร และเริ่มการร่ายเวทจนมีบอลพลังเวทสีเขียวส่องแสงอ่อน ๆ หลายลูกปรากฏขึ้นมาบนอากาศ
“…พวกเธออยู่เฉย ๆ ก่อน …เรื่องนี้ฉันจัดการเอง…”
แม้แซนโดรจะไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไร แต่ทั้งสองคนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่มุ่งตรงไปยังด้านหน้าของรถม้า ทำให้รู้ว่าเป้าหมายของเธอก็คืออัลติม่านั่นเอง
‘…เจ้าบ้าซาลารัส คิดจะทำอะไรตามใจอีกแล้ว …ถ้าไม่มีพันธสัญญาผูกมัดอยู่ละก็ อีกฝ่ายจะทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ …เพราะงั้นถ้าเพิกถอนพันธสัญญาจริง ๆ คงต้องรีบเก็บยัยปิศาจนั่นซะก่อนจะดีกว่า…’
แซนโดรใช้ ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ กับม้าที่ลากรถอยู่ด้านหน้าทำให้รับรู้การสนทนาของทั้งสองคนมาโดยตลอด เมื่อได้ยินว่าซาลคิดจะยกเลิกพันธสัญญาจึงเตรียมเวทจู่โจมเพื่อจัดการกับอัลติม่าทันที
เพราะภายในห้องโดยสารได้กางเวทกักเก็บเสียงเอาไว้ แถมแซนโดรยังใช้เวทปิดกั้นอีกชั้นหนึ่งเพื่อไม่ให้กระแสพลังเวทหรือจิตสั่งหารแผ่ออกไปนอกห้องโดยสารได้ อัลติม่าจึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกเล็งเวทเพื่อปลิดชีพได้ทุกเมื่อ
“คุณแซนโดรคะ! ใจเย็น ๆ ก่อนสิคะ!”
นิโคลเอ่ยทักท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นว่าแซนโดรมีความตั้งใจจะฆ่าอัลติม่าจริง ๆ แต่แซนโดรก็ไม่ได้ลดท่าทีอันแข็งกร้าวนั้นลงเลยแม้แต่น้อย
“…ซาลารัสคิดจะยกเลิกพันธสัญญาน่ะ …เพราะงั้นคงเก็บแม่นั่นเอาไว้ไม่ได้แล้วล่ะ…”
“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนเลยไม่ใช่เหรอคะ? รอดูไปก่อนจะดีกว่าค่ะ!”
“…เธอได้ยินด้วยเหรอ?…”
“ประสาทสัมผัสส่วนอื่น ๆ ของฉันค่อนข้างดีพอสมควรน่ะค่ะ ทำให้พอจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันบ้าง แต่ยังไงก็ใจเย็นก่อนเถอะนะคะ”
“…ถ้ายกเลิกพันธสัญญาไปละก็ แม่นั่นอาจฆ่าซาลารัสทิ้ง หรือชิงตัวไปอีกก็ได้นะ…”
“เรื่องนั้นรอดูไปก่อนดีกว่ามั้ยคะ แล้วถ้าจู่ ๆ ไปฆ่าเขาทิ้งแค่เพราะความระแวงแบบนี้ คุณซาลารัสจะโกรธเอาได้นะคะ”
“…ก็ช่างสิ …เรื่องนี้จะได้เป็นบทเรียนให้กับเจ้านั่นด้วย ว่าอย่าคิดอะไรง่ายเกินไปนัก …การตัดสินใจทุกอย่างมันต้องมีผลตามมาทั้งนั้น …ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…”
“ทำแบบนั้นอาจถูกคุณซาลารัสเกลียดเอาได้นะคะ”
“…ฉันไม่ได้ต้องการความรักจากเจ้านั่นอยู่แล้ว…”
แซนโดรตอบด้วยน้ำเสียงและสายตาอันเย็นชาจนนิโคลก็พูดไม่ออก ลานาเทลเห็นบรรยากาศอันตึงเครียดจึงพยายามพูดเพื่อให้ทั้งสองคนผ่อนคลายลง
“แหม~ แปลว่าแค่ความรักจากฉันก็พอแล้วสินะคะ? จะถือว่าเป็นการสารภาพรักได้รึเปล่าเนี่ย?”
แซนโดรไม่มีท่าทีตอบสนองใด ๆ ต่อถ้อยคำหยอกล้อนั้นและยังคงจ้องเขม็งไปยังจุดที่อัลติม่านั่งอยู่ ทำให้ลานาเทลเองก็จนปัญญาที่จะรับมือด้วยเหมือนกัน
ทั้งลานาเทลกับนิโคลจึงได้แต่เฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ ด้วยความกังวลใจ
อีกฟากหนึ่ง ทางด้านหน้าของรถม้า อัลติม่าก็จ้องมองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเพราะยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ทะ.. เธอ? จะยอมยกเลิกพันธสัญญางั้นเหรอ?”
“อ่า… ผมก็ไม่ได้คิดจะทำถึงขั้นนั้นหรอกนะ แค่อยากลดระดับความเข้มงวดลง ไม่ต้องถึงกับเป็นทาสที่ต้องทำตามคำสั่งไปซะทุกอย่างน่ะ”
“อะไรกัน.. ก็ไม่เห็นจะต่างไปจากเดิมเลยนี่นา…”
อัลติม่าแสดงท่าทีผิดหวังออกมาและหันไปมองทางอื่นด้วยสีหน้าหงุดหงิดอีกครั้ง แต่ซาลก็ยังพยายามอธิบายต่อไป
“ต่างสิ! แค่พูดผิดไปหน่อยเดียวก็กลายเป็นคำสั่งอย่างนี้มันน่ารำคาญออก แบบนี้เมื่อไหร่ถึงจะได้เป็นเพื่อนกันล่ะ?”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้อัลติม่าเหลือบตากลับมามองเขาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อได้เห็นแววตาอันมุ่งมั่นของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจขึ้นไปอีก
“เธอจะต้องการฉันเป็นเพื่อนไปทำไมล่ะ แค่มีทาสที่ทำตามคำสั่งได้ก็พอแล้วนี่ แบบนี้สะดวกกว่ากันตั้งเยอะ”
“พวกปิศาจก็คิดแบบปิศาจจริง ๆ เลยน้า~ ไม่สิ แม้แต่มนุษย์บางคนก็คงจะคิดแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง”
“หา!? ว่าไงนะ!”
คำพูดนั้นเหมือนแฝงการดูถูกความคิดของพวกปิศาจอยู่ในที อัลติม่าจึงรู้สึกฉุนขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมเคยอ่านหนังสือแล้วเจอคำกล่าวหนึ่งที่ว่า ‘เงินและอำนาจสามารถซื้อผู้ติดตามได้ แต่ไม่สามารถซื้อคนระวังหลังได้’ เคยได้ยินรึเปล่า? เพราะงั้นสิ่งที่ผมอยากได้จึงเป็นคนระวังหลัง ไม่ใช่ผู้ติดตามหรอก”
“หืม? มันก็อย่างเดียวกันไม่ใช่เหรอ? แค่สั่งให้พวกผู้ติดตามคอยระวังหลังให้ก็ได้นี่”
“ผิดแล้วล่ะ คนที่ทำตามคำสั่งแค่เพราะเงินหรืออำนาจน่ะ สามารถแปรเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ หากวันหนึ่งมีคนเสนอเงินให้มากกว่า หรือเขาต้องการจะหลุดพ้นจากอำนาจของเรา คนผู้นั้นก็พร้อมที่จะทรยศเราได้ทุกเวลา อัลติม่าเองก็เถอะ ถ้าหาทางหลุดพ้นจากพันธสัญญาได้จะกลับมาแก้แค้นผมรึเปล่า?”
“ทะ.. ทำสิ…”
อัลติม่ากัดฟันตอบอีกครั้งแม้จะพยายามฝืนสีหน้าสุด ๆ ก็ตาม
“ตอบมาตามความจริงเลยสินะ… แต่ก็ช่างเถอะ ผมน่ะอยากให้เราเป็นเพื่อนกันแม้จะไม่มีพันธสัญญานี้ผูกมัดอยู่ก็ตาม เพราะงั้นต้องเริ่มจากความเชื่อใจกันก่อน ดังนั้นขั้นแรกก็ต้องหาทางแก้เรื่องฐานะของเจ้านายกับทาสนี่แหละ”
“……แต่ว่าพันธสัญญาน่ะเกิดผลไปแล้ว ไม่มีทางแก้ไขได้หรอก…”
อัลติม่าพูดขึ้นด้วยแววตาที่แฝงความเศร้าอยู่ลึก ๆ ทำให้ซาลรู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง
“อืม พันธสัญญานี่ทำให้ต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดสินะ แล้วถ้าลองสั่งให้ไม่ต้องทำตามคำสั่งล่ะ?”
“แบบนั้นเงื่อนไขมันก็จะขัดแย้งกันเอง ทำให้คำสั่งไม่มีผลไป”
“อา… งั้นถ้าตั้งเงื่อนไขให้ทำตามเฉพาะคำสั่งที่เป็นคำสั่งจริง ๆ ล่ะ?”
“หืม? ยังไงเหรอ?”
“ก็เช่น… ถ้าไม่พูดกำกับว่า ‘นี่เป็นคำสั่ง’ ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างเคร่งครัดก็ได้ อะไรแบบนี้น่ะ”
“อืม… ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ก็.. อาจจะได้มั้ง?”
“งั้นขอลองดูละกันนะ อัลติม่า ผมอนุญาตให้ไม่ต้องทำตามคำสั่งทุกคำพูดก็ได้ เว้นแต่จะบอกว่า ‘นี่เป็นคำสั่ง’ เท่านั้น”
เมื่อสิ้นคำประกาศของซาล อักขระแห่งพันธสัญญาที่ข้อมือของทั้งสองคนก็ปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเลือนหายไปอีกครั้ง แต่อัลติม่าก็ยังไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
“แล้ว.. จะทดสอบยังไงดีล่ะ?”
“อืม… อัลติม่าน่ะ หนักเท่าไหร่เหรอ?”
“สะ.. เสียมารยาท! ผู้ชายที่ไหนเขาถามน้ำหนักของสุภาพสตรีกัน!?”
อัลติม่าต่อว่าด้วยท่าทีหงุดหงิด แล้วเธอก็รู้ตัวว่าไม่ได้ถูกอักขระแห่งพันธสัญญาบังคับให้ตอบคำถามที่ตัวเองไม่ต้องการจะตอบอีกต่อไปแล้ว เป็นความรู้สึกที่ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
“ดูเหมือนจะได้ผลนะ เอาล่ะ ต่อจากนี้ไปหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ”
“เพื่อนน่ะเขาไม่จับเพื่อนล่ามโซ่หรอกนะ ถ้าอยากจะเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ละก็ ยกเลิกพันธสัญญาด้วยสิ”
แม้จะรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายทุกคำพูดแล้ว แต่อัลติม่าก็ยังอดที่จะขอยกเลิกสัญญาทาสไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ ก็ตาม
“อืม… เรื่องนั้นน่ะ ถ้าอัลติม่าทำตัวดี ๆ ละก็ สักวันนึงผมอาจจะยอมยกเลิกสัญญาให้ก็ได้นะ”
“จะ.. จริงเหรอ!? ไม่ได้โกหกนะ!?”
“อื้ม จริงสิ เกี่ยวก้อยสัญญาเลยเอ้า”
ซาลยื่นนิ้วก้อยให้กับอีกฝ่าย ซึ่งอัลติม่าก็รีบยกนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นมาเกี่ยวเพื่อทำสัญญากันด้วยท่าทางดีใจสุด ๆ
ซาลรู้สึกว่าอัลติม่าเป็นคนที่มีอุปนิสัยเป็นเด็กกว่ารูปลักษณ์ที่เห็นภายนอกมากทีเดียว ทั้งสีหน้าท่าทางที่อ่านง่าย หลอกใครก็ไม่ค่อยเป็น (แถมยังเชื่อคนง่ายด้วย) แม้จะมีความคิดบางอย่างที่ดูบิดเบี้ยวอยู่บ้างก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เธอเหมือนกับเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงมาแบบผิด ๆ มากกว่า
ด้วยนิสัยแบบนี้ของอัลติม่า ทำให้ซาลคิดว่าจริง ๆ แล้วอัลติม่าเองก็ไม่ใช่คน (ปิศาจ) ที่เลวร้ายอะไรนัก และรู้สึกเหมือนได้มีเพื่อนวัยเดียวกันอีกครั้ง
อีกฟากหนึ่ง แซนโดรที่เห็นเหตุการณ์จบลงด้วยดีจึงยกเลิกการร่ายเวท ทำให้บอลพลังเวทที่ลอยอยู่นั้นหายไป ลานาเทลกับนิโคลที่เฝ้าดูอยู่จึงรู้สึกโล่งใจในที่สุด
“…หึหึหึ…”
เมื่อได้ฟังการพูดคุยของทั้งสองคนแล้ว แซนโดรก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ แม้เธอจะยังไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดแบบง่าย ๆ ของซาลซะทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่าประเมินเขาต่ำไปมากทั้งในแง่ของการกระทำและความคิด ความพึงพอใจนั้นทำให้เธอถึงกับหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ
นิโคลที่ฟังการสนทนาอยู่ด้วยนั้นก็รู้สึกไม่ต่างไปจากแซนโดร จึงพอจะเข้าใจท่าทีที่แสดงความพึงพอใจนั้น ส่วนลานาเทลที่ไม่ได้ยินอะไรเลยจึงไม่รู้ว่าทั้งสองคนคิดอะไรกันอยู่ เลยได้แต่กอดแซนโดรให้แน่นขึ้นอีก แล้วเอาคางมาถูไหล่พร้อมกับพองแก้มเหมือนจะบอกว่า ‘เล่าให้ฟังบ้างสิ’
“…เธอเองก็ปล่อยซะทีเซ่! …พอนิ่งแล้วก็เอาใหญ่เลยนะ!…”
“อ๊อย!”
แซนโดรเอาหัวโขกใส่ลานาเทลที่กำลังหนุนไหล่ของเธออยู่ จนอีกฝ่ายต้องผละตัวออกไป
นิโคลซึ่งเห็นทั้งสองคนกลับมาเป็นปกติอีกครั้งก็รู้สึกดีใจและแอบหัวเราะออกมา
ทุกคนยังเดินทางไปวางดันเจียนตามที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่งก่อนที่จะแวะเข้าเมืองที่อยู่ระหว่างทางในช่วงเย็น เพื่อหาที่พักผ่อนในคืนนั้น
——————————————————————————————————–
Part 4
ในคืนนั้นเอง อัลติม่าซึ่งแยกตัวออกมาก่อนเข้าเมืองเพื่อเลี่ยงศิลาตรวจจับปิศาจตามเคย ก็ได้เสาะหาสถานที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งเป็นที่พัก แต่ก่อนจะพักผ่อน เธอก็ได้วาดวงเวทขึ้นบนพื้น และยืนมองมันเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ไม่นาน วงเวทบนพื้นก็ส่องแสงขึ้นมา ก่อนที่จะฉายภาพขึ้นกลางอากาศ
มันเป็นภาพของหญิงสาวสามคนซึ่งยืนอยู่ภายในห้องอันมืดทึบ มีเพียงแสงสลัว ๆ คล้ายกับแสงจากจอโทรทัศน์สาดส่องมาตกกระทบร่างของพวกเธอให้พอเห็นเค้าร่างอย่างเลือนลาง มันเป็นแสงจากหน้าจอแบบเดียวกันที่อยู่อีกฟากหนึ่ง เพราะว่านี่เป็นการสื่อสารด้วยภาพผ่านทางไกลนั่นเอง
ผู้ที่อยู่อีกฟากของการสนทนาคนหนึ่งคือสาวสวยผมสีเงินผู้มีทรวดทรงอันเย้ายวนและทรงเสน่ห์ในแบบของผู้ใหญ่ ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวผมทองที่มีทรวดทรงองค์เอวโดดเด่นไม่แพ้กัน แต่ความงามของเธอออกไปทางความงามของสาววัยแรกแย้มมากกว่า ทั้งสองคนคือเมฟิสโต้ และ บาล สองในสามไพร์มอีวิล กลุ่มปิศาจที่ทรงพลังอำนาจที่สุดในนรก
“มองไม่เห็นอะไรเลย! เลื่อนหน้าจอลงมาหน่อยเซ่!”
ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนมีศีรษะของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีผมสีแดงสดโผล่แทรกขึ้นมา แต่เพราะความเตี้ยของเธอทำให้โผล่เข้ามาในจอได้แค่ส่วนปลายกระหม่อม แม้จะพยายามเขย่งอย่างสุดแรงเกิดก็ยังไม่สามารถทำให้หน้าผากโผล่เข้ามาในหน้าจอได้ด้วยซ้ำ เธอพยายามเขย่งพลางร้องโวยวายอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเมฟิสโต้ต้องอุ้มเธอขึ้นมาเพื่อให้ใบหน้าของเธออยู่ระดับเดียวกับจอภาพได้
“เอ้า แบบนี้เป็นไงจ๊ะ”
“อืม ค่อยยังชั่วหน่อย.. เอ้า อัลติม่า การชักจูงผู้สร้างหายนะไปถึงไหนแล้ว? รายงานมาซิ”
เด็กผู้หญิงผมแดงตัวเล็กคนนั้นก็คือเดียโบล จ้าวแห่งนรกนั่นเอง แม้จะโผล่เข้ามาในหน้าจอได้โดยอาศัยการอุ้มของเมฟิสโต้ แต่เธอก็ยังมีท่าทีวางอำนาจโดยไม่สนความทุลักทุเลในการโผล่เข้ามาในหน้าจอสื่อสารเลยแม้แต่น้อย
“ระ.. เรื่องนั้น เพราะบารมีของท่านเดียโบล ทำให้ทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น ตอนนี้เราได้เขามาเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้าแล้วล่ะค่ะ”
อัลติม่าจงใจข้ามเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยไปและบอกแต่ผลลัพธ์แทน เพราะคิดว่าแบบนี้น่าจะดีต่อตัวเองมากกว่า
“โอ้~ ไม่เลวเลยนี่นา แล้วนี่ใช้วิธีไหนถึงทำให้เขายอมร่วมมือกับเราได้ล่ะ?”
“ระ.. เรื่องนั้น… ก็ด้วยวิธีที่ท่านเมฟิสโต้สอนให้ไงล่ะคะ! ดิฉันน่ะใช้การหว่านเสน่ห์ยั่วยวนอย่างที่ท่านเมฟิสโต้บอก ทำให้เจ้านั่นหลงใหลจนหัวปักหัวปำ ขนาดยอมมอบวิญญาณ ถวายชีวิตให้เลยล่ะค่ะ”
เพราะไม่ได้เตรียมข้ออ้างเอาไว้สักเท่าไหร่ อัลติม่าเลยต้องแกล้งแถมั่ว ๆ เพื่อตอบคำถามของเดียโบล
“เห~ คน ๆ นั้นน่ะเขามีรสนิยมแบบนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย~ รู้แบบนี้ฉันหาทางไปด้วยตัวเองก็คงจะดีหรอก”
เมฟิสโต้เมื่อได้ยินการรายงานของอัลติม่าก็ออกอาการแปลก ๆ ขึ้นมา ทั้งกอดรัดเดียโบลที่อยู่ในมือแน่นขึ้นและเหวี่ยงตัวไปมาด้วยอาการมันเขี้ยว แม้อีกฝ่ายจะทำหน้าเซ็ง ๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
ส่วนอัลติม่าแม้จะรู้สึกงง ๆ กับอาการและคำพูดนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะอยากให้จบการรายงานโดยเร็ว
“เอาล่ะ ในเมื่อทำสำเร็จก็ดีแล้ว ถ้างั้นเราจะเริ่มการรวบรวมไพร่พลทันที ส่วนเธอก็ช่วยผู้สร้างหายนะในการรวบรวมไพร่พลจากบนโลกซะ สำหรับสถานที่ที่จะใช้ในการเปิดประตูนรกแห่งต่อไปน่ะได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ดำเนินการได้เลย”
บาลก้าวออกมาสั่งการแทนเพราะเห็นว่าเมฟิสโต้ยังอยู่ในอาการมันเขี้ยวไม่หยุด ส่วนเดียโบลก็มีท่าทีไม่ค่อยจะสนใจอะไรสักเท่าไหร่ ความจริงคือแค่ลากให้มาช่วยเปิดการติดต่อกับอัลติม่าได้ก็เต็มที่แล้ว เพราะเจ้าตัวคิดแต่จะนอนเล่นเกมท่าเดียว หากไม่สั่งการด้วยตัวเอง การดำเนินการในวันนี้ก็คงไปไม่ถึงไหนเช่นเคย
“เอ๋? แบบนี้มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ? เด็กคนนั้นน่ะน่าจะเพิ่งสิบขวบเอง แถมด้วยฝีมือตอนนี้ก็ยังไม่น่าจะเป็นผู้นำทัพอสูรได้เลย”
“หืม? เด็กคนนั้น? เด็กคนไหนกัน?”
“ก็ ซาลารัส แฮลเซียน คนที่ท่านเดียโบลให้ดิฉันไปชักจูงมาเป็นผู้สร้างหายนะไงคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอัลติม่า เมฟิสโต้ก็เผลอทำเดียโบลหลุดมือในขณะเหวี่ยง จนอีกฝ่ายลอยลงไปกระแทกพื้นดังแอ๊ก ส่วนบาลก็ถลึงตามองอัลติม่าด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ใช่ที่ไหนกันล่ะยัยบ้า!!”
“อะ.. เอ๋!?”
“คนที่เราต้องการให้เป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้า และให้เธอไปชักจูงมาน่ะ คือลิช ที่ชื่อแซนโดร เอลราธ ต่างหาก!”