Doombringer the 5th - ตอนที่ 35
Ch.35 – จิตสังเคราะห์
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 35
จิตสังเคราะห์
Part 1
สีหน้าของแซนโดรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินซาลถามอัลติม่าถึงวิธีการสร้างสมุนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
แม้จะนั่งทานขนมจิบน้ำชากับนิโคลและลานาเทลอยู่เงียบ ๆ แต่เธอก็ยังใช้สมุนแอบฟังการสนทนาของทั้งสองคนอยู่ตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าซาลจะไม่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด หรืออีกฝ่ายจะไม่สอนอะไรอันตราย ๆ ให้
การสร้างสมุนที่มีความคิดนั้นเป็นสิ่งที่แซนโดรก็รู้วิธี แต่เธอไม่เคยสอนเรื่องนี้ให้กับซาล เพราะมันเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงอยู่
‘…ควรจะเข้าไปห้ามดีมั้ยนะ …แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดอันตรายในทันที …อีกอย่างคือวิทยาการของนรกอาจแตกต่างไปจากของผู้ใช้ศาสตร์มืดก็ได้…’
เพราะคิดว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ยังพอแก้ไขได้ทัน บวกกับอยากจะดูวิทยาการของฝั่งนรกด้วย แซนโดรจึงตัดสินใจเฝ้าดูทั้งสองคนต่อไปโดยยังไม่ลงมือทำอะไร
ทางด้านอัลติม่า เมื่อได้ยินซาลถามถึงวิธีการสร้างสมุนที่มีจิตใจก็หยุดคิดไปครู่หนึ่ง
“นายหมายถึง อยากจะสร้างสมุนที่มีความคิดและจิตใจโดยสมบูรณ์งั้นเหรอ?”
“อื้ม ก็ต้องแบบนั้นสิ”
“ขอบอกว่าอย่าทำจะดีกว่านะ”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
“อย่างที่เคยบอกไปนั่นแหละ การปล่อยให้สมุนมีความคิดอย่างอิสระจะทำให้เกิดปัญหาในการควบคุมได้ เพราะเมื่อมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว มันจะเริ่มเกิดคำถามขึ้นมา ว่าทำไมต้องรับคำสั่ง ทำไมต้องภักดี เมื่อหาคำตอบเหล่านั้นไม่ได้ก็จะเพิกเฉยต่อคำสั่ง หรือแม้แต่ทรยศ ดังนั้นพวกเราจึงกำหนดให้สมุนมีความนึกคิดเพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น”
“เป็นแบบนั้นเหรอเนี่ย นึกว่าถ้ากำหนดให้มันภักดี มันก็จะภักดีกับเราตลอดไปซะอีก”
“คงต้องบอกว่าการสังเคราะห์จิตเป็นวิทยาการที่สมบูรณ์แบบเกินไปล่ะมั้ง จิตที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจึงเกิดการพัฒนาจนกลายเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองได้ เมื่อมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วมันก็จะสามารถก้าวข้ามข้อกำหนดหรือคำสั่งที่เคยให้ไว้ในทีแรกทั้งหมดได้ เพราะมันไม่ใช่แค่หุ่นเชิดหรือภาชนะอันว่างเปล่าอีกแล้วไงล่ะ”
“แบบนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรเลยนี่นา”
“หา?”
“ก็แค่ควบคุมไม่ได้ แต่ถ้ามีความคิดเป็นของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมอะไรอยู่แล้วนี่”
“นายจะบ้ารึเปล่า สมุนที่ควบคุมไม่ได้ก็สั่งการไม่ได้ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ”
“เพราะเอาแต่มองแบบนั้นรึเปล่า ถึงได้ถูกทรยศเอาน่ะ”
“ว่าไงนะ!?”
อัลติม่าเริ่มหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย แต่ซาลกลับคิดว่าอัลติม่ายังมองไม่เห็นปัญหามากกว่า
“อืม… จิตที่สังเคราะห์ขึ้นมาเนี่ย มันจะมีพวก สามัญสำนึก มาให้ด้วยรึเปล่า?”
“มีสิ ใช้สามัญสำนึกของคนสร้างเป็นพื้นฐานนั่นแหละ”
“มิน่าล่ะ มันถึงได้ทรยศน่ะ”
“หา!?”
อัลติม่ายิ่งออกอาการไม่พอใจมากขึ้นเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกด่า นั่นเพราะซาลพูดด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายทำให้ดูเหมือนการดูถูกนิด ๆ ด้วย
“ผมเดาว่าเวลาสร้างจิตให้ร่างอัญเชิญเนี่ย ก็จะพยายามใส่คำสั่งเพื่อควบคุมมันแต่แรก และยังปฏิบัติกับพวกมันเหมือนเป็นเครื่องมือ หรือสิ่งของด้วยสินะ?”
“ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว พวกมันเป็นสมุนนี่นา”
“การปฏิบัติแบบนั้นนั่นแหละที่ทำให้เกิดปัญหา”
“หมายความว่าไง?”
“ก็พวกมันไม่ใช่แค่ร่างที่ไร้ชีวิตจิตใจอีกแล้วนี่นา แต่เป็นตัวตนจริง ๆ ที่มีความคิด การไปพยายามควบคุมหรือบีบบังคับมันก็ต้องทำให้เกิดแรงต่อต้านแน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าใช้สามัญสำนึกของปิศาจเป็นพื้นฐานด้วยละก็ จะไม่ทรยศก็แปลกล่ะ”
“หนอย ทำเป็นพูดดีไปนะ ต่อให้เป็นมนุษย์เองก็ใช่ว่ามันจะไม่ทรยศซะหน่อย เป็นซัมมอนเนอร์แล้วไม่เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับนักอัญเชิญในยุคบุกเบิกรึไง?”
“เรื่องนั้นผมก็เคยอ่าน แต่ผมคิดว่าปัญหามันก็มาจากต้นตอเดียวกัน คือการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องนี่แหละ”
“ก็แล้วการปฏิบัติที่ถูกต้องมันคืออะไรกันล่ะ?”
“ในเมื่อมันมีชีวิตจิตใจแล้ว ก็ควรปฏิบัติต่อมันเหมือนกับเป็นเพื่อนสิ หรืออย่างแย่ที่สุดก็ทำเหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้”
“เพื่อน สัตว์เลี้ยง คนรับใช้ ทาส มันก็เป็นเครื่องมือเหมือน ๆ กันนั่นแหละ”
“โอเค ผมผิดเองแหละที่ถามเรื่องแบบนี้กับปิศาจน่ะ…”
ซาลรู้สึกว่าป่วยการที่จะถกเถียงในเรื่องที่มีพื้นฐานความคิดไม่ตรงกัน จึงยุติการถกเถียงเอาไว้แค่นั้น
——————————————————————————————————–
Part 2
ทางด้านนิโคลซึ่งได้ยินการสนทนาเพราะประสาทหูที่ดีเป็นพิเศษก็รู้สึกข้องใจในเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันจึงหันไปถามแซนโดรที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ
“คุณแซนโดรคะ เรื่องของนักอัญเชิญในยุคบุกเบิกเนี่ย มีเรื่องราวเป็นยังไงเหรอคะ?”
“…มันเป็นเรื่องของนักอัญเชิญในยุคแรกซึ่งได้สร้างร่างอัญเชิญที่มีความคิดของตัวเองขึ้นมาแล้วไม่สามารถควบคุมมันได้ …ท้ายที่สุดก็ถูกร่างอัญเชิญนั้นฆ่าตาย …ด้วยเหตุนี้การสร้างจิตให้กับร่างอัญเชิญเลยกลายเป็นหนึ่งในวิชาต้องห้าม และไม่มีใครกล้ามอบอิสระทางความคิดให้กับร่างอัญเชิญอีก…”
“เอ๋? แปลว่าการสร้างจิตให้กับร่างอัญเชิญก็เป็นสิ่งที่อันตรายน่ะสิคะ?”
“…เรื่องนั้นมันก็ใช่ …แต่ว่า…”
แซนโดรลองครุ่นคิดถึงคำพูดของซาลแล้วก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลซะทีเดียว
นักอัญเชิญไม่ว่ายุคไหน ๆ ต่างก็มองว่าจิตสังเคราะห์ของร่างอัญเชิญเป็นเพียงคุณสมบัติที่มาช่วยเสริมให้ร่างอัญเชิญมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ไม่ได้มองในแง่ของการทำให้เกิด ‘ตัวตน’ ใหม่ขึ้นมา และยังปฏิบัติกับร่างอัญเชิญเหมือนเป็นแค่เครื่องมือที่ต้องทำตามคำสั่งเช่นเดิม
เพราะมองว่าพวกมันเป็นแค่สิ่งประดิษฐ์ เหมือนกับเป็นเครื่องจักร จึงคิดง่าย ๆ ว่าเมื่อสั่งให้พวกมันภักดี มันก็ควรจะภักดีโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วจิตของสมุนไม่ได้ทำงานแบบนั้น
ยิ่งเพราะเรื่องที่เกิดกับนักอัญเชิญในยุคบุกเบิก ทำให้นักอัญเชิญรุ่นต่อ ๆ มายิ่งพยายามหาทางควบคุมร่างอัญเชิญอย่างเข้มงวดขึ้นไปอีก พูดง่าย ๆ ว่านักอัญเชิญได้เสียความเชื่อมั่นต่อจิตสังเคราะห์ไปแล้ว จึงไม่เคยมีใครคิดที่จะมอบอิสระให้กับพวกมัน
เพราะไม่เคยมีใครคิดจะทำมัน และทุกคนก็ล้มเหลวมาโดยตลอด แซนโดรจึงคิดว่าข้อสันนิษฐานของซาลอาจเป็นทางออกที่แท้จริงของปัญหานี้ก็ได้
“…ถ้าไม่พยายามจำกัดหรือควบคุมแต่แรก ก็อาจไม่ถูกทรยศงั้นเหรอ …แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมได้ แล้วจะสั่งการยังไงล่ะ …แบบนั้นมันก็ไม่ใช่สมุนน่ะสิ…”
แซนโดรพึมพัมกับตัวเองอยู่เบา ๆ แต่นิโคลก็ได้ยินอย่างชัดเจนทุกคำ กระนั้นเธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอยู่ดี
“คุณแซนโดรคะ?”
“…อืม …ไม่เป็นไร รอดูไปก่อนละกัน…”
“หืมมม คุยอะไรกันแค่สองคนอีกแล้ว เล่าให้ฉันฟังบ้างสิคะ”
ลานาเทลที่เห็นแซนโดรกับนิโคลคุยกันรู้เรื่องอยู่แค่สองคนก็แสดงอาการแง่งอนขึ้นมา
เธอแอบพองแก้มนิด ๆ แล้วดึงไหล่ของแซนโดรจนตัวโยกไปมา แต่แซนโดรก็ยังไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ และจ้องมองไปทางซาลกับอัลติม่าตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทางด้านซาลกับอัลติม่าก็เริ่มเข้าสู่การเตรียมการเพื่อสร้างจิตสังเคราะห์แล้ว
อัลติม่าสร้างวงเวทเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึงครึ่งเมตรขึ้นมาบนอากาศ และชี้ให้เขาดู
“เอาล่ะ นี่คือวงเวทสำหรับการสร้างจิตสังเคราะห์ วางมือสักข้างไว้ตรงนี้แล้วร่ายเวทก็จะได้อักขระหนึ่งตัวที่ทำหน้าที่เหมือนดวงจิตของร่างอัญเชิญ เมื่อสร้างร่างอัญเชิญโดยใช้อักขระตัวนั้นเป็นส่วนประกอบก็จะทำให้ได้สมุนที่มีดวงจิตนั้นอยู่ด้วย”
“อืม แล้วเรากำหนดอะไรเพิ่มเติมให้กับดวงจิตที่จะสร้างได้บ้างรึเปล่า? เช่นว่าอยากให้มันมีอุปนิสัยแบบไหน เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อะไรแบบนี้น่ะ”
“ก็.. ได้เป็นบางอย่างมั้ง”
“บางอย่างเหรอ?”
“เขาว่ากันว่าถ้าเพ่งสมาธิให้ดี ๆ กำหนดคุณลักษณะของจิตที่ต้องการจะให้เป็น ก็สามารถปรับแต่งอุปนิสัยของจิตสังเคราะห์ได้ แต่การจะทำแบบนั้นได้มันเป็นเรื่องยาก เพราะตัววงเวทไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองความคิดที่ซับซ้อนได้ขนาดนั้น เพราะงั้นแค่กำหนดเพศให้ดวงจิตได้ก็เต็มที่แล้ว”
“แปลว่าถ้าพัฒนาวงเวทให้มันตอบสนองจินตนาการได้มากกว่านี้ก็มีสิทธิ์ที่จะใช้สร้างจิตสังเคราะห์ที่มีอุปนิสัยแบบไหนขึ้นมาก็ได้สินะ?”
“ก็ได้มั้ง ไม่รู้สินะ ฉันเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ซะด้วย ใช้เป็นอย่างเดียวน่ะ”
“อืม.. ช่างมันก่อนละกัน.. ถ้างั้นก็ เริ่มเลยนะ”
ซาลตั้งท่าจะร่ายเวทสร้างจิตขึ้นมา แต่เขาก็ค้างอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง เพราะเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง
“อา… เวทนี้น่ะ เราใช้จิตของคนอื่นเป็นต้นแบบได้รึเปล่า?”
“มันก็ได้อยู่นะ แค่ให้เจ้าตัววางมือสัมผัสกับตำแหน่งนี้ของวงเวทแทนเรา ก็จะสามารถสร้างจิตโดยใช้จิตของคน ๆ นั้นเป็นต้นแบบได้”
“โอเค ถ้างั้นละก็”
ซาลยกวงเวทนั้นค้างไว้และเดินไปทางโต๊ะน้ำชาที่แซนโดร, นิโคล, และลานาเทลนั่งอยู่ ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ แม้แต่อัลติม่าเองก็รู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรและเดินตามมาแบบงง ๆ
“นี่ นิโคล ช่วยเอามือแตะตรงนี้ให้หน่อยสิ”
“เอ๋? จะใช้ฉันเป็นต้นแบบเหรอคะ?”
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ.. เอ๋? ทำไมถึงรู้ล่ะ?”
“เอ่อ.. กะ.. ก็…”
เพราะนิโคลหลุดปากแบบนั้นออกไปทำให้แซนโดรได้แต่ทำหน้าเซ็ง ที่สุดแล้วนิโคลเลยต้องสารภาพว่าได้ยินการสนทนามาโดยตลอดและกล่าวขอโทษด้วยท่าทีสำนึกผิด
“เห~ แบบนี้นี่เอง แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ แบบนี้จะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มด้วยน่ะ เอ้า ช่วยแตะวงเวททีสิ คงไม่ถือใช่มั้ย?”
“ไม่ถือหรอกค่ะ ยินดีที่ได้ช่วยค่ะ”
นิโคลเอามือแตะสัมผัสกับวงเวทอย่างว่าง่าย ซาลจึงเริ่มทำการถ่ายเทพลังเวท เพื่อให้วงเวททำงาน
ลวดลายอักขระของวงเวทค่อย ๆ ทอแสงขึ้นไล่จากจุดกึ่งกลางแผ่ออกไปจนสุดขอบ เป็นสัญญาณว่า มันกำลังทำงาน และหลังจากวงเวททั้งวงเปล่งแสงครบทุกสัดส่วนแล้ว มันก็ค่อย ๆ หดตัวเข้าหาจุดศูนย์กลาง จนกลายเป็นอักขระเวทหนึ่งตัวแทน
“ทำไมต้องใช้ต้นแบบจิตของคนอื่นด้วยล่ะ?”
อัลติม่าที่ยังไม่ค่อยเข้าใจจึงเอ่ยถามขึ้น
“ถ้าจะใช้จิตของใครสักคนเป็นต้นแบบในการสร้างจิตสังเคราะห์ละก็ จิตของนิโคลนี่แหละที่เหมาะสมที่สุด เพราะนิโคลน่ะเป็นคนที่จิตใจดีที่สุดในโลกแล้วไงล่ะ! ถ้าใช้จิตของนิโคลละก็ต้องได้สมุนที่มีจิตใจงดงามและไม่มีทางทรยศแน่นอน!”
“แหม~ ชะ.. ชมกันเกินไปแล้วค่ะ”
เมื่อถูกชมเข้าตรง ๆ แบบนั้นนิโคลเองก็ออกอาการอายจนต้องบิดตัวไปมาเลยทีเดียว ส่วนอัลติม่าที่ได้ยินคำพูดสุดเลี่ยนนั่นก็ทำหน้าตาเหยเกเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“เอาล่ะ ทีนี้ก็… ดวงจิตของนิโคล ก็ต้องเป็นมังกรสินะ”
ซาลใช้อักขระของนิโคลบรรจุลงในวงเวทสำหรับสร้างมังกรอัญเชิญ ซึ่งเขากำหนดให้เป็นมังกรธาตุหิน (ดิน+ไฟ) เพราะน่าจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสมุนที่ต้องการมากที่สุด
“ในที่สุดก็จะได้สร้างของจริงซะที ไม่ใช่แค่ตุ๊กตาเหมือนเดิมแล้ว~ เอาล่ะ! จงออกมา! ราชามังกร อัลดูอิน!”
เมื่อร่ายคาถาเสร็จก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาจากวงเวท ทันทีที่แสงจางหายไปก็ปรากฏแฮชลิ่ง (ลูกมังกร) สีเทา มีผิวเหมือนกับหินอัคนี ตัวขนาดไม่ถึงเมตร นั่งอยู่ตรงจุดที่เคยเป็นวงเวทมาก่อน
“ใช่เลย! แบบนี้แหละที่ใฝ่ฝันถึง! เอาล่ะ.. อัลดูอิน มานี่สิ”
ซาลร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนจะก้มตัวลงไปหาอัลดูอินเพื่อที่จะอุ้มมันขึ้นมา แต่ทันทีที่ยื่นมือออกไป อัลดูอินก็กระโดดงับเข้าที่คอของเขาทันที
——————————————————————————————————-
Part 3
“อ๊ากกกกกกก”
“เย้ย!?”
“คุณซาลารัส!!!”
ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทำให้ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการตกใจ
แม้แต่แซนโดรที่กำลังยกน้ำชาขึ้นมาซดพอดีก็ถึงกับสำลักเพราะเหตุการณ์ตรงหน้า ส่วนลานาเทลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่ทันที่ใครจะได้ขยับหรือทำอะไร มังกรตัวน้อยก็ผละออกจากคอของซาลและโดดถอยออกไปตั้งหลักอยู่ห่าง ๆ โดยยังส่งเสียงขู่แถมยังตั้งท่าเป็นศัตรูกับทุกคนด้วย
นิโคลรีบเข้าไปดูอาการของซาลารัสและพบว่านอกจากรอยช้ำจากการโดนงับที่คอแล้วก็ไม่ได้มีแผลอะไรจนถึงขั้นเลือดตกยางออก เธอจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง และรีบร่ายเวทรักษาให้
“เห~ เนี่ยเหรอจิตของคนที่มีจิตใจดีที่สุดในโลก? ใช้ได้เลยนะเนี่ย~ ว่าแต่วิธีของนายก็ไม่เลวนะ ไม่ต้องควบคุมจะได้ไม่ต้องระแวงว่ามันจะทรยศเมื่อไหร่ ให้มันทรยศซะแต่วันนี้เลย ประหยัดเวลาดีจริง ๆ ”
อัลติม่ามองมังกรน้อยแล้วก็เหลือบตากลับมามองทางซาลกับนิโคลด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทำให้เขารู้สึกฉุนขึ้นมานิดหน่อย ส่วนนิโคลก็รู้สึกลำบากใจจนพูดไม่ออกเช่นกัน
“…อืม …แบบนี้นี่เอง …ตัวตนที่แท้จริงของนิโคลนี่ก็โหดใช่ย่อยนะ …สงสัยคงต้องระวังเอาไว้ซะหน่อยแล้ว…”
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณแซนโดร นี่น่ะหมายความว่าในใจลึก ๆ แล้วนิโคลเขาจ้องจะ ‘กิน’ ซาลารัสอยู่ต่างหากล่ะคะ ในที่สุดเราก็ได้รู้เจตนาที่แท้จริงซะที”
“มะ.. ไม่ใช่แบบนั้นนะค้าาา” > <
เพราะถูกยัดข้อหาให้แม้กระทั่งจากคนกันเองอย่างแซนโดรกับลานาเทล นิโคลจึงยิ่งมีท่าทางร้อนรนเข้าไปอีก ทำให้ซาลต้องเขม่นตาจ้องให้ทั้งสองเลิกล้อเล่นกันได้แล้ว
“…เข้าใจแล้วน่า ไม่ต้องทำสายตาแบบนั้นก็ได้ …ที่มันเป็นแบบนี้เพราะว่านิโคลเป็นมังกรไงล่ะ…”
“เพราะเป็นมังกรเหรอ?”
“…ก็เวทนี้น่ะมันสร้างจิตสังเคราะห์ขึ้นมาจากการลอกแบบจิตใจส่วนที่เป็นพื้นฐานของบุคคล …ซึ่งเดิมทีแล้วนิโคลน่ะเป็นมังกร …เพราะงั้นก็เลยได้จิตของมังกรออกมาไงล่ะ…”
“อา… จริงด้วยสินะ แม่นี่น่ะเป็นมังกรนี่นา”
อัลติม่าเองก็ทำสีหน้าเหมือนกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ โดยแซนโดรยังคงจ้องมองเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจรึเปล่ากันแน่ แต่ดูจากนิสัยป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ของอัลติม่าแล้วถ้าจะลืมจริง ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“หมายความว่ากลายเป็นร่างอัญเชิญที่มีจิตของมังกรงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ แบบนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก นายเองก็ไม่ได้ใส่อักขระสำหรับการควบคุมลงไปด้วยนี่ แบบนี้มันก็เหมือนเป็นมอนสเตอร์ธรรมดานั่นแหละ เพราะงั้นคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ ทำลายทิ้งไปแล้วสร้างใหม่เถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอัลติม่า มังกรน้อยก็ยิ่งมีท่าทีเป็นปรปักษ์มากกว่าเดิม
“ไม่เอาด้วยหรอก! ถึงจะเป็นมังกรก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา ต่อให้พูดกันไม่รู้เรื่องก็ใช่ว่าจะสื่อสารกันไม่ได้ซะหน่อย”
ซาลปฏิเสธข้อเสนอของอัลติม่าแล้วเดินตรงไปหามังกรน้อยอีกครั้ง โดยไม่สนท่าทีหวาดระแวงของมัน
“ไม่ต้องกลัวนะ อัลดูอิน ฉันไม่ทำร้ายนายหรอกน่า”
ซาลย่อตัวลงและยื่นมือไปหามังกรตัวน้อยอีกครั้ง แต่ก็โดนงับเข้าที่มืออีกทันที
“คะ.. คุณซาลารัส!”
นิโคลร้องออกมาด้วยความเป็นห่วง ซาลเองก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา แต่ก็ยังกัดฟันทนและใช้มืออีกข้างลูบหัวของมังกรน้อยเบา ๆ
“ไม่เป็นไร ที่นี่น่ะไม่มีใครเป็นศัตรูกับนายหรอก พวกเราเป็นเพื่อนกันทั้งนั้นแหละ มาเป็นเพื่อนกันเถอะนะ”
มังกรน้อยจ้องตาของซาลอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นแววตาที่อ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นของเขาแล้ว มันก็มีท่าทีอ่อนลง และยอมคายมือของเขาออกมา
เมื่อเห็นว่ามังกรน้อยมีท่าทีเป็นมิตรมากขึ้นแล้ว ซาลจึงอุ้มตัวมันขึ้นมา ซึ่งมันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร และยังเลียมือข้างที่บาดเจ็บของเขาเหมือนจะพยายามรักษาให้ด้วย
ซาลอุ้มมังกรน้อยแล้วเดินกลับมาหาทุกคน ทำให้ทุกคนมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง มีเพียงอัลติม่าที่แสดงท่าทีหงุดหงิดนิดหน่อยเหมือนจะผิดหวังอยู่เล็ก ๆ
“เห็นรึเปล่า ถึงคุยกันไม่ได้ก็ยังสื่อสารกันได้น่า”
“จ้าๆ~ ระวังอย่าไปโดนมันกินตอนหลับเข้าละกัน แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องมันก็ไม่ต่างไปจากสัตว์เลี้ยงอย่างหมารึแมวนั่นแหละ ใช้เป็นสมุนไม่ได้หรอก”
“ไม่หรอกน่า พวกคลาสอย่าง ‘บีสมาสเตอร์’ (ผู้ควบคุมสัตว์) ก็ใช่ว่าพูดภาษาสัตว์ได้ แต่ก็ยังสื่อสารกับพวกมันรู้เรื่องและสั่งการได้ดั่งใจเลย ถ้าค่อย ๆ เลี้ยงไปละก็ ต้องสื่อสารและเข้าใจกันได้แน่ ๆ ”
“ก็นั่นมันบีสมาสเตอร์ พวกนั้นน่ะมีทักษะที่ช่วยให้สื่อสารทำความเข้าใจกับสัตว์ได้ในระดับนึงอยู่ แต่นายน่ะไม่ใช่ซะหน่อย หรือจะบอกว่าจะไปเรียนเป็นบีสมาสเตอร์เพื่อเลี้ยงเจ้ามังกรตัวนี้ล่ะ? แต่การฝึกมังกรน่ะเป็นทักษะระดับสูงที่ใช้เลื่อนเป็นคลาสระดับสี่ (ดรากอนมาสเตอร์) เชียวนะ คนทั่วไปถ้าคิดจะฝึกคงไม่ง่ายหรอก”
“อืม… อ๊ะ ความจริงเราก็มีคนที่คุยกับมังกรรู้เรื่องอยู่นี่นา!”
ซาลพูดพลางหันไปทางนิโคลซึ่งดูจะยังตั้งตัวไม่ทัน
“เอ๋? ฉันเหรอคะ?”
“ก็จะมีใครอีกล่ะ”
“เอ่อ.. ถึงเป็นฉันเองก็ใช่ว่าจะสื่อสารกับมังกรระดับต่ำได้หรอกนะคะ”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ?”
“มังกรระดับต่ำน่ะจะสื่อสารกันด้วยสัญชาติญาณมากกว่าภาษา เหมือนเป็นการสื่อสารทางจิตในรูปแบบหนึ่งน่ะค่ะ สำหรับเผ่ามังกรที่ยกระดับจิตขึ้นมาแล้วจะสูญเสียความเข้าใจในสัญชาติญาณส่วนนั้นไป ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกับพวกมันได้อีก เพราะงั้นพวกเราถึงได้ถูกมังกรป่าโจมตีไงล่ะคะ ความจริงก็มีเผ่ามังกรบางคนที่ยังพอสื่อสารกับพวกมันได้อยู่นะคะ แต่ฉันน่ะทำไม่ได้หรอกค่ะ”
นิโคลเดินเข้ามาใกล้ ๆ พลางลูบหัวของมังกรน้อยดู แล้วเธอก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ
“เอ๋? นี่มัน?”
“หืม? ทำไมเหรอ?”
“ฉันรู้สึกเหมือนจะพอเข้าใจความคิดของเด็กคนนี้ด้วยล่ะค่ะ แปลกจังเลย ทั้งที่ฉันไม่น่าจะเข้าใจการสื่อสารทางจิตของมังกรระดับต่ำได้แท้ ๆ แต่นี่มัน… เหมือนกับว่าเขากำลังสื่อสารด้วยคลื่นที่เป็นกลางมากกว่ามังกรป่าทั่ว ๆ ไป…”
“เห? งั้นก็ดีน่ะสิ! แล้วเขาพูดว่าอะไรบ้างล่ะ?”
“อืม… เขาบอกว่าขอโทษที่ทำให้บาดเจ็บน่ะค่ะ เป็นเพราะว่าอยู่ในอาการสับสนและตกใจที่ผู้สร้างไม่ใช่สัตว์ประเภทเดียวกัน แถมคุณยังไม่ตอบรับการสื่อสารทางจิตของเขาด้วย ก็เลยจู่โจมไปตามสัญชาตญาณน่ะค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง.. เอ๋? เขารู้ว่าผมเป็นผู้สร้างด้วยเหรอ?”
“รู้ค่ะ ดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งที่รู้ด้วยสัญชาตญาณนะคะ”
“จิตของร่างอัญเชิญมันก็รู้ว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งนั้นแหละ เพราะงั้นมันถึงได้ยอมเชื่อฟังคำสั่งในทีแรกไงล่ะ”
อัลติม่าพูดเสริมขึ้นมาด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังเซ็ง คงเพราะเธอไม่อยากให้ซาลเป็นฝ่ายคิดถูก
“ใช่ค่ะ ที่เขาจู่โจมเมื่อกี้เป็นเพราะว่ากำลังสับสนเท่านั้นเอง และสัญชาตญาณการป้องกันตัวของมังกรก็ค่อนข้างแรงด้วย”
“แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วล่ะ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง หากมีสามัญสำนึกก็ต้องเชื่อฟังหรือภักดีกับผู้สร้างแน่อยู่แล้ว แค่อย่าไปทำอะไรที่เป็นการบั่นทอนหรือทำลายความภักดีนั้นเท่านั้นเอง”
อัลติม่ายังแสดงสีหน้าปั้นยากเหมือนจะยังไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้นแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ส่วนแซนโดรก็ได้แต่นั่งฟังและครุ่นคิดถึงแนวคิดนั้นอยู่ตามลำพัง
“อืม… แล้วนี่เขาพอจะเข้าใจภาษามนุษย์บ้างรึเปล่าอะ?”
“ดูเหมือนจะพอเข้าใจนะคะ แปลกจริง ๆ เลย รู้สึกว่าจิตของเขาจะไม่ใช่จิตของมังกรระดับต่ำซะทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่จิตที่มีสติปัญญาอันสมบูรณ์จากการผ่าน ‘อีเทอนัลดรีม’ ด้วย”
“แค่เข้าใจภาษามนุษย์ก็พอแล้วล่ะ! เท่านี้ก็เป็นเพื่อนกันได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว!”
ซาลกอดมังกรน้อยแนบอกด้วยท่าทางตื่นเต้น ซึ่งมันเองก็แกว่งหางไปมาด้วยอารมณ์ดีใจเช่นกัน
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงคิวของวาลไครี่ล่ะนะ จิตที่จะใช้เอามาสร้างเป็นวาลไครี่ก็…”
ซาลกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนกระทั่งมาหยุดจับจ้องที่คน ๆ หนึ่ง
“เอาเป็นจิตของแซนโดรก็แล้วกัน”