Doombringer the 5th - ตอนที่ 37
Ch.37 – ความรู้สึก
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 37
ความรู้สึก
Part 1
เป็นเวลานานทีเดียวกว่าความวุ่นวายทั้งหมดจะสงบลงได้
ด้วยความช่วยเหลือของนิโคลทำให้อัลดูอินยอมคืนหอกของวาเคียและกลับมาอยู่นิ่ง ๆ ตามเดิม และเธอยังช่วยปลอบวาเคียจนสงบลงด้วย
ซาลมองดูวาเคียที่นั่งกอดหอกแน่นพลางปาดน้ำตาสะอึกสะอื้นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามอัลติม่า
“นี่ จิตสังเคราะห์ที่สร้างขึ้นใหม่เนี่ยจะมีสมองเทียบเท่ากับมนุษย์อายุกี่ขวบเหรอ?”
“ความจริงมันควรจะมีวุฒิภาวะใกล้เคียงกับต้นแบบของจิตสังเคราะห์นะ แต่ถ้าให้เดาละก็คงเพราะ ‘รากฐานของอะไรสักอย่าง’ ที่เธอใส่ลงไปนั่นแหละมั้ง มันอาจไม่ได้มีผลแค่กับรูปลักษณ์ภายนอกแค่เพียงอย่างเดียว แต่มีผลกับจิตสังเคราะห์ด้วยก็ได้”
“อืม… ว่าแต่นั่นน่ะเป็นจิตของผู้ชายจริง ๆ น่ะเหรอ? ทั้งกิริยาท่าทางและนิสัย ดูยังไงก็น่าจะเป็นผู้หญิงชัด ๆ เลยนี่นา”
พอเห็นสีหน้าท่าทางที่เหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิดเพี้ยนของวาเคียแล้วซาลก็อดข้องใจไม่ได้ เพราะนอกจากการบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชายแล้ว วาเคียก็ไม่มีอะไรที่แสดงถึงความเป็นผู้ชายเลยสักนิด
“อืม… นั่นก็อาจเพราะเป็นคุณสมบัติที่ฝืนปรับแต่งออกมาล่ะมั้ง”
“ฝืนปรับแต่งเหรอ?”
“ความจริงการคัดลอกและกำหนดคุณสมบัติของจิตสังเคราะห์เป็นอะไรที่ต้องใช้สมาธิน่ะนะ แต่ตะกี้เป็นการฝืนใจคัดลอกจิต แถมยังค่อนข้างวุ่นวายเลยนี่นา ถ้าจิตสังเคราะห์ที่ออกมาจะมีลักษณะผิดเพี้ยนไปก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ ”
“หมายความว่ายังไงอะ?”
“ดูจากนิสัยแล้วก็น่าจะเป็นผู้หญิงนั่นแหละ แค่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ชายเท่านั้น”
“หา? แบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ? พอจะมีวิธีแก้ไขอะไรบ้างรึเปล่า?”
“ลบทิ้งแล้วสร้างใหม่.. ไม่สิ ถ้าจะลบทิ้ง ฉันขอละกันนะ ท่าทางน่ารักน่าแกล้งแบบนี้น่ะ เก็บไว้เป็นของเล่นก็คงไม่เลวทีเดียว ยกให้ฉันแล้วไปสร้างตัวใหม่ละกัน”
อัลติม่าขบเม้มและเลียริมฝีปากด้วยท่าทางมันเขี้ยว พลางจ้องมองวาเคียด้วยสายตาอันชั่วร้ายจนอีกฝ่ายที่สัมผัสกับภัยคุกคามได้ต้องขนลุกไปทั้งตัว แม้จะไม่รู้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ ในขณะที่ซาลไม่ค่อยพอใจกับคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก
“ก็บอกว่าไม่เอาไงเล่า!”
“มันก็แค่ร่างอัญเชิญน่า ไม่ต่างจากพวกที่นายเอาไป ‘แซคคริไฟซ์’ หรอก เทียบกันแล้วแม่นี่เป็นของที่เพิ่งสร้างด้วยซ้ำ จะไปอาลัยอาวรณ์ทำไมกัน?”
“ต่างสิ! ก็วาเคียน่ะมีจิตใจนะ”
“นั่นก็แค่คุณสมบัติที่เราเพิ่มเติมเข้าไปเองน่า สร้างตัวใหม่ก็มีเหมือนกันนั่นแหละ”
“เพราะตีค่าสมุนอัญเชิญแบบนั้นไง ท้ายสุดถึงได้ถูกทรยศน่ะ”
“หา!? คนอุตส่าห์ช่วยแนะนำแท้ ๆ ถ้างั้นก็คิดหาทางเอาเองละกัน”
ทั้งสองคนจ้องหน้ากันด้วยสายตาที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างเมินหน้าไปทางอื่น
นิโคลที่ปลอบวาเคียอยู่นั้นได้ยินการสนทนาทุกถ้อยคำ เมื่อเห็นวาเคียสงบลงมากแล้วจึงปลีกตัวออกมาและเดินมาหา
“เรื่องเพศก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรนี่คะ คงไม่มีผลกับความสามารถในการต่อสู้หรอกค่ะ และตอนนี้เขาก็ยังเด็กอยู่ด้วย เมื่อโตขึ้นแล้วอาจจะเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดก็ได้ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ”
“อืม… นั่นสินะ ถึงการพูดจะขัดหูไปสักหน่อย แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”
เมื่อคิดเรื่องเพศของวาเคียแล้ว ก็ทำให้ซาลเอะใจถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้
“เอ่อ นี่ ตอนที่นิโคลสัมผัสวงเวทเพื่อสร้างจิตของอัลดูอินน่ะ ได้กำหนดอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”
“ก็เปล่านี่คะ.. อ๊ะ?”
พอถูกซาลถามก็ทำให้นิโคลเริ่มเอะใจขึ้นมาได้
“แปลว่า.. อัลดูอินเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันสินะ…”
“เอ่อ… ใช่ค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ…”
“มะ.. แม้แต่อัลดูอินก็ด้วยรึเนี่ย… พลาดครั้งใหญ่เลยแฮะ”
คำตอบของนิโคลทำให้ซาลคอตกในทันที ส่วนนิโคลก็มีสีหน้าที่รู้สึกผิดเช่นกัน
“เอาเถอะ ช่วยไม่ได้นะ ถึงเพศจะไม่ตรงกับที่ตั้งใจเอาไว้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริง ๆ นั่นแหละ”
เพราะการสร้างจิตใจให้กับร่างอัญเชิญทั้งสองให้ผลลัพธ์ต่างไปจากที่ซาลารัสคาดหมายเอาไว้มาก ทำให้เขาหยุดการสร้างจิตของร่างอัญเชิญเอาไว้แค่นี้ เนื่องจากจิตของร่างอัญเชิญมีวุฒิภาวะเหมือนเด็ก ทำให้ต้องใช้เวลาในการสั่งสอนเลี้ยงดูอีกนาน การเลี้ยงร่างอัญเชิญแบบนี้แค่คราวละสองตัวก็ถือว่าเต็มที่แล้ว
อันที่จริงซาลไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะเลี้ยงอัลดูอินกับวาเคียออกมาได้ดีรึเปล่า เพราะตัวเขาเองก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่เขาคิดว่าถ้ามีคนอื่น ๆ เช่นนิโคลคอยช่วยอีกแรง ก็น่าจะพอไหว
——————————————————————————————————–
Part 2
เมื่อเข้าไปวางแกนดันเจียนในพื้นที่ดันเจียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซาลก็กลับมาที่รถม้าและเตรียมตัวที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
“เอาล่ะ เตรียมตัวไปกันต่อเถอะนะ”
“เดี๋ยวสิ ถ้าไม่ยกตัวนี้ให้ละก็ ช่วยสร้างตัวใหม่ให้ฉันได้มั้ยอ่า~ ยังไงก็อยากได้อะ”
อัลติม่ายังคงตื๊อซาลไม่หยุด เพราะอยากได้ร่างอัญเชิญแบบวาเคียไปเป็นของเล่น
“ก็บอกว่าไม่ได้ไงเล่า! แล้วถึงสร้างขึ้นมาใหม่อีกคนก็ใช่ว่าจะมีนิสัยเหมือนแบบนี้เป๊ะซะหน่อย”
“ของแบบนั้นไม่ลองก็ไม่รู้หรอกน่า นะ ๆ ๆ ”
“งั้นก็ไปเอาจิตของแซนโดรมาสิ เขานั่งอยู่นั่นไงล่ะ แต่คราวนี้คงไม่มีคนช่วยหรอกนะ”
“อึก…”
พออัลติม่าหันมองไปทางแซนโดร อีกฝ่ายก็เหลือบตาขึ้นมามองด้วยสายตาอันคมกริบในทันที ทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ความจริงอัลติม่าคิดว่าหากจะใช้กำลังฝืนใจอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่แบบนั้นก็ออกจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปสักหน่อย แถมยังยุ่งยากอีกด้วย ที่สำคัญคือถึงได้จิตสังเคราะห์มา ซาลจะยอมสร้างร่างอัญเชิญให้เธอจริง ๆ รึเปล่าก็ไม่รู้ อัลติม่าจึงต้องยอมตัดใจไว้แค่นั้น
เพื่อที่จะให้เดินทางได้สะดวก ซาลจึงเดินไปหาอัลดูอินและวาเคียที่นั่งรออยู่เพื่อส่งทั้งสองคนกลับเข้าห้องมิติ
“ไว้เจอกันใหม่นะ อัลดูอิน, วาเคีย”
เมื่อพูดจบก็ปรากฏวงเวทขึ้นใต้พื้นที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ถูกส่งเข้าห้องมิติไปในทันทีอย่างที่ซาลารัสตั้งใจไว้
“เอ๋? ทำไมกันล่ะ?”
“คงเพราะทั้งสองคนมีจิตเป็นของตัวเองแล้ว การส่งกลับเลยไม่ใช่การกระทำแบบทางเดียวน่ะค่ะ ทั้งสองคนต้องยอมรับการส่งด้วย ถึงจะเกิดการเคลื่อนย้าย เหมือนคนจริง ๆ ไงล่ะคะ”
นิโคลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ร่างน้อย ๆ ทั้งสอง ช่วยอธิบายให้ซาลฟัง
“อืม แบบนี้เอง เอ้าทั้งสองคน สัมผัสวงเวทเพื่อรับการส่งสิ”
วาเคียทำตามที่ซาลบอกอย่างว่าง่ายและหายเข้าวงเวทไป ส่วนอัลดูอินมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยอมทำตาม เมื่อทั้งสองกลับเข้าไปในห้องมิติแล้ว ซาลารัสจึงตามทุกคนขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วทุกคนก็เริ่มออกเดินทางต่ออีกครั้ง
ระหว่างที่เดินทางอยู่นั้น ซาลก็อดครุ่นคิดเรื่องของวงเวทสำหรับสังเคราะห์จิตไม่ได้
เขาคิดว่าหากทำการปรับแต่งออกแบบวงเวทซะใหม่ การจะสร้างจิตที่มีอุปนิสัยหรือสติปัญญาตามต้องการก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่การจะปรับแต่งวงเวทนับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากทีเดียว เพราะจากโครงสร้างของวงเวทที่เขาเห็น มันก็มีความซับซ้อนพอตัวอยู่แล้ว หากจะแกะออกมาแก้ไขเพิ่มเติมประสิทธิภาพให้มากขึ้น คงเป็นงานที่ยุ่งยากมาก
เพราะในปัจจุบันนี้ก็มีตารางเวลาแน่นเอี๊ยดอยู่แล้ว ทั้งการฝึกเวทพันธนาการ, การจัดการดันเจียน, และฝึกการต่อสู้กับลานาเทล ทำให้ซาลคิดว่าเรื่องการปรับแต่งวงเวทสังเคราะห์จิตคงต้องรอไปก่อน แต่สักวันหนึ่งเขาก็คิดจะสร้างวงเวทสังเคราะห์จิตที่กำหนดรายละเอียดคุณสมบัติตามต้องการให้ได้
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง ซาลก็รู้สึกถึงแรงสั่นจากห้องมิติ ทำให้เขาต้องเปิดแบบจำลองของห้องมิติขึ้นมาดู แล้วพบว่าแรงสั่นนั้นมาจากห้องของอัลดูอิน
รู้สึกว่าอัลดูอินจะกำลังอาละวาดอยู่ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก อัลติม่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
——————————————————————————————————–
Part 3
เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซาลจึงอัญเชิญอัลดูอินออกมาอีกรอบ ทันทีที่ออกมาได้ อัลดูอินก็ส่งเสียงร้องไม่หยุด เหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง
นิโคลที่ได้ยินเสียงร้องของอัลดูอินจึงเปิดช่องหน้าต่างด้านหน้าของห้องโดยสารที่ใช้สำหรับสนทนากับคนรถออกมาเพื่อคุยกับซาล
“คุณซาลารัสคะ?”
“อื้ม นิโคล ว่าจะหันไปถามอยู่พอดีเลย อัลดูอินเป็นอะไรไปเนี่ย?”
“เขาบอกว่าไม่ชอบห้องแคบ ๆ นั้นน่ะค่ะ มันอึดอัดแล้วก็น่าเบื่อด้วยค่ะ”
“เอ๋? ไม่ชอบห้องเหรอ? อืม…”
สำหรับสมุนปกติที่ไม่มีจิตใจแล้ว จะถูกเก็บไว้ในห้องแบบไหนก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับสมุนที่มีจิตใจ การต้องถูกเก็บอยู่ในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยเป็นเวลานาน ๆ คงทำให้รู้สึกอึดอัดจริง ๆ เมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็ทำให้ซาลพอจะเข้าใจเหตุผลที่อัลดูอินอาละวาดอยู่บ้าง
“เฮ้อ~ เรื่องมากจริงๆเลยน้า~ ยินดีด้วยนะที่สร้างภาระให้กับตัวเองสำเร็จน่ะ”
“ยังจะพูดแบบนั้นอยู่อีก ไม่มีของมีค่าอะไรที่ได้มาเปล่า ๆ หรอกน่า ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องลงแรงมากก็ยิ่งมีค่าตอบแทนสูงนะรู้มั้ย”
“คิดง่ายเกินไปแล้ว โลกนี้มันไม่ได้สวยหรูแบบนั้นหรอกนะ เรื่องบางเรื่องถึงลงทุนลงแรงไปเท่าไหร่ ผลสุดท้ายมันก็สูญเปล่าอยู่ดีแหละ”
“เหมือนการพยายามยึดครองโลกของพวกปิศาจน่ะเหรอ?”
“หนอย!…”
มันเป็นความจริงที่ปิศาจส่วนใหญ่รับรู้กันอยู่แล้วว่าการยึดครองโลกให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าฝันซะอีก เพราะโลกอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งสุด ๆ แถมสวรรค์ก็ยังให้การคุ้มครองโลกอยู่ด้วย
การรุกรานส่วนใหญ่ทำไปเพื่อที่จะสร้างพลังงานด้านลบจากสงครามและความสูญเสียให้มากที่สุดเท่านั้น เผื่อว่าจะเพียงพอสำหรับการให้กำเนิดปิศาจตนใหม่หรือทำให้นรกเข้มแข็งขึ้นบ้าง แต่ในการรุกรานถึงสามครั้งก็ยังทำให้เกิดปิศาจที่เป็น ‘เพียวอีวิล’ ขึ้นมาได้แค่ตนเดียว ก็คืออัลติม่านั่นเอง
เพราะโดนซาลารัสพูดแทงใจดำแบบนี้ ทำให้อัลติม่าได้เม้มปากด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะเชิดหน้าหนีไปทางอื่นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ไม่ต้องช่วงนะอัลดูอิน ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอยู่ในนั้นก็ได้”
ซาลอุ้มอัลดูอินขึ้นมาและเอามือลูบไล้คอของมันอยู่พักหนึ่ง อัลดูอินจึงมีทีท่าสงบลง
เมื่อเห็นอัลดูอินมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงแล้ว ซาลจึงรู้สึกโล่งใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงอีกคนขึ้นมาได้
“จริงสิ ถ้าอัลดูอินยังเป็นแบบนี้ แล้ววาเคียล่ะ?”
ด้วยความสงสัย ซาลจึงอัญเชิญวาเคียออกมาบนเบาะนั่งที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก็เป็นไปตามคาด วาเคียที่ออกมานั้นอยู่ในสภาพที่กำลังนั่งคุดคู้กอดหอกเอาไว้แน่นแถมยังตัวสั่นเทาด้วย
“นะ.. นี่ วาเคีย ไม่เป็นอะไรนะ?”
“มะ.. ไม่เป็นไรครับ.. ผมน่ะ.. มะ.. ไม่ได้กลัวหรืออะไรเลยนะครับ.. ฮึก…”
แม้จะพยายามทำเป็นเข้มแข็ง แต่สีหน้าท่าทางที่เหมือนกำลังจะร้องให้ได้ทุกเมื่อของวาเคียนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่ไหวแล้ว ซาลจึงได้แต่เกาหัวด้วยความลำบากใจ
‘เอาเถอะ อย่างน้อยก็พยายามที่จะทำตัวเข้มแข็งแหละนะ…’
แม้จะมีจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ แต่วาเคียก็มีความตั้งใจที่จะทำตัวเข้มแข็งอยู่บ้าง ทำให้ซาลคิดว่าการสั่งสอนวาเคียให้เป็นนักรบที่แท้จริงได้คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นจนเกินไปนัก
เขาลูบหัวของวาเคียเพื่อให้เธอผ่อนคลายลง ซึ่งแรก ๆ ที่ถูกสัมผัสเข้าเธอก็มีอาการสะดุ้งนิดหน่อย แต่สักพักก็มีท่าทีสงบลง และไม่มีอาการสั่นกลัวอีกต่อไป
‘ลาซเองก็น่าจะโตประมาณนี้แล้วล่ะมั้ง… ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ…’
รูปลักษณ์ที่เหมือนกับเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกันของวาเคียทำให้ซาลนึกถึงน้องสาวของเขาขึ้นมา เขาได้แต่หวังว่าเธอจะเติบโตมาโดยไม่ต้องพบกับเรื่องร้าย ๆ หากเป็นเช่นนั้นได้ก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่อเห็นซาลลูบหัวของวาเคียด้วยแววตาที่ปนความเศร้าอยู่นิด ๆ ก็ทำให้อัลติม่ารู้สึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผิดกับทางอัลดูอินที่พอเห็นผู้เป็นนายลูบหัววาเคียอยู่คนเดียวแล้วก็เกิดอาการอยู่ไม่สุกขึ้นมา และพยายามเอาหัวดันแทรกเข้ามาใต้มืออีกข้างของเขา
“หืม? อิจฉาเหรอ? ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า ฉันไม่ลืมนายหรอก (เอ.. ต้องเรียกว่าเธอถึงจะถูกรึเปล่านะ?)”
ซาลใช้มืออีกข้างลูบหัวของอัลดูอินด้วย ทำให้อัลดูอินยอมสงบลงและเอาหัวหนุนนอนบนตักของซาลารัสไปทั้งอย่างนั้น จนเหมือนกับหลับไป
ทั้งสามอยู่ในสภาพนั้นจนใกล้จะถึงตัวเมือง ซาลจึงต้องพาทั้งสองคนกลับเข้าไปในรถม้าเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ส่วนอัลติม่าก็แยกตัวออกไปก่อนเข้าเมืองเหมือนเช่นเคย
ซาลไม่ค่อยชอบใจนักที่ต้องแยกกับอัลติม่าทุก ๆ ครั้งที่เข้าเมืองแบบนี้จึงคิดว่าคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้เขาต้องให้ความสำคัญกับวาเคียและอัลดูอินเป็นอันดับแรก จึงได้แต่เก็บปัญหานี้เอาไว้ก่อน
——————————————————————————————————–
Part 4
ในคืนนั้น อัลติม่าที่อยู่นอกเมืองตามลำพังก็ได้แต่เหม่อมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เปิดประตูมิติเพื่อเรียกตัวสมุนทั้งสามตัวออกมา
ทันที่ที่ก้าวผ่านประตูมิติออกมา พวกมันทั้งสามก็นั่งชันเข่าลงต่อหน้าอัลติม่าเพื่อเตรียมรับคำบัญชาเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ท่านอัลติม่า มีอะไรให้พวกเรารับใช้รึ?”
อัลติม่าจ้องมองเหล่าสมุนเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำถามออกมา
“นี่ พวกนายน่ะ เคยรู้สึกอึดอัดบ้างรึเปล่า?”
เหล่าสมุนมองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง ก่อนที่สมุนซึ่งมีหัวเหมือนแกะจะทวนคำถามของอัลติม่าอีกครั้ง
“ท่านอัลติม่า หมายความว่ายังไงรึ?”
“ก็ต้องอยู่ในห้องแคบ ๆ แบบนั้นเกือบตลอดเวลาน่ะ ไม่รู้สึกอึดอัดหรือเบื่อบ้างเหรอ?”
เหล่าสมุนนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบคำถามกลับมา
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเราหรอก”
“ฉันไม่ได้ถามว่าเป็นปัญหารึเปล่า แต่ถามว่าอึดอัดรึเปล่าต่างหาก”
“หากเป็นความต้องการของท่านอัลติม่า จะให้พวกเราอยู่ที่ไหนเราก็ไม่เกี่ยง”
“เฮ้อ… นี่ลองตอบคำถามด้วยความคิดของตัวเองมาสักครั้งจะได้มั้ย ฉันอนุญาต บอกมาตามตรงเถอะ ถ้าให้เลือกระหว่างอยู่ในห้องนั้นกับอยู่ข้างนอกนี่ พวกนายจะเลือกอะไรล่ะ?”
เหล่าสมุนนิ่งเงียบและมองหน้ากันไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สมุนซึ่งมีหัวเหมือนแกะจะตอบคำถามกลับมา
“เราอยากอยู่ข้างกายท่านอัลติม่าตลอดเวลามากกว่า”
เมื่อได้ฟังคำตอบนั้นแล้ว อัลติม่าก็มองเหล่าสมุนด้วยสายตาที่อ่อนโยนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวบนท้องฟ้าอีกครั้ง
“งั้นเหรอ…”
ความเงียบงันปกคลุมบริเวณนั้นอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่อัลติม่าจะเอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้ง
“งั้นฉันจะหาโอกาสให้พวกนายได้ออกมาบ่อยๆนะ”
เหล่าสมุนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบอัลติม่ากลับมาด้วยโทนเสียงราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกของพวกมัน
“…เป็นพระคุณอย่างสูง”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า อัลติม่ากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีใจจากน้ำเสียงอันราบเรียบนั้น
เธอเอนตัวนอนมองดาวบนท้องฟ้าพลางครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยและผลอยหลับไปในที่สุด โดยที่ไม่ได้ส่งเหล่าสมุนกลับไปยังมิติของตัวเอง
นั่นเป็นคืนแรกที่ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้ากันจนกระทั่งรุ่งสาง