Doombringer the 5th - ตอนที่ 38
Ch.38 – พันธสัญญาอัญเชิญ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 38
พันธสัญญาอัญเชิญ
Part 1
รถม้าของแซนโดรเข้ามาหยุดอยู่ ณ โรงแรมขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองเช่นเคย
เมื่อถึงที่พักแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามปกติ
เพราะมีวาเคียกับอัลดูอินมาด้วยบวกกับโรงแรมนี้ไม่มีห้องพักขนาดใหญ่พอที่จะจุคนทั้งหมดได้ ทำให้ต้องมีการจัดห้องใหม่
ซาล, วาเคีย, และอัลดูอิน จะอยู่ห้องเดียวกัน แต่เพราะเขายังสื่อสารกับอัลดูอินโดยตรงไม่ได้ ทำให้นิโคลต้องอยู่เป็นเพื่อนด้วย
ลานาเทลมีท่าทางตื่นเต้นดีใจที่จะได้นอนห้องเดียวกันกับแซนโดรสองต่อสอง ส่วนแซนโดรแม้จะมีท่าทางที่ไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมรับการแบ่งห้องแบบนี้ไปด้วยสีหน้าละเหี่ยใจ
เมื่อเข้ามาถึงห้องพัก ซาลก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการคิดเรื่องของอัลดูอินกับวาเคีย
สำหรับวาเคียที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวนั้นการพาเธอเข้าเมืองด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่อัลดูอินที่มีรูปลักษณ์เป็นลูกมังกรนั้นทำให้เกิดความยุ่งยากอยู่นิดหน่อย
ตอนพาอัลดูอินเข้าที่พัก พวกเขาก็ต้องซ่อนตัวอัลดูอินเอาไว้ในกระเป๋าขนาดใหญ่แล้วยกขึ้นห้องไปในฐานะสัมภาระ เพราะอัลดูอินไม่ยอมกลับเข้าไปในห้องมิติ กระนั้นมันก็ยังดูผิดสังเกตมากอยู่ดี เพราะคนทั่วไปไม่ค่อยมีใครหอบหิ้วสัมภาระชิ้นใหญ่ ๆ ด้วยตัวเองกันหรอก เนื่องจากมันเป็นของที่ควรจะเก็บเอาไว้ในช่องมิติเก็บของมากกว่า
นอกจากนี้ การจะให้ทั้งสองคนอยู่ข้างนอกตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกอีกหลายอย่าง เพราะการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่เกินไปจะทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่าย ที่สำคัญคือมันไม่ปลอดภัยสำหรับทั้งสองคนเลยที่จะให้ตัวจริงอยู่ข้างนอกแบบนี้แทนที่จะอยู่ในห้องมิติหรือในวงเวท หากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นมา ทั้งสองคนอาจโดนลูกหลงจนตายไปจริง ๆ ก็ได้
“ยังไงก็ควรจะให้เข้าไปอยู่ในวงเวทพันธสัญญานิรันดร์จริง ๆ สินะ แต่ทั้งสองคนไม่ชอบห้องมิติแคบ ๆ นี่สิ แถมการจะนำตัวทั้งสองคนเข้า ๆ ออก ๆ จากวงเวทนั้นก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซะด้วย…”
ซาลครุ่นคิดพลางเหลือบตามองวาเคียและอัลดูอินที่นั่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งทั้งสองก็จ้องมองกลับมาด้วยดวงตาแป๋วแหววอันไร้เดียงสา
“อืม… อ๊ะ! มันก็มีวิธีอยู่นี่นา การจะให้ทั้งสองคนเข้าไปอยู่ในวงเวทได้อย่างปลอดภัย และไม่ต้องอึดอัดกับการต้องอยู่ภายในห้องด้วย!”
ซาลตบมือแสดงความดีใจที่คิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ ในขณะที่วาเคียกับอัลดูอินได้แต่มองหน้ากัน
เขาสร้างวงเวทพันธสัญญานิรันดร์ขึ้นมาหนึ่งวง มันเป็นวงเวทที่มีรูปแบบโครงสร้างใหม่ซึ่งได้รับการปรับปรุงมาแล้ว เพราะซาลรู้สึกว่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะต้องนำสมุนใส่ห้องมิติ แล้วแปลงห้องมิติเป็นอักขระ เพื่อผนึกลงในวงเวทพันธสัญญานิรันดร์อีกที การจะนำสมุนออกมาก็ต้องย้อนกระบวนการสามขั้นตอนนี้ซึ่งนับว่าค่อนข้างเสียเวลาพอสมควรโดยเฉพาะกับคนที่มีสมุนเป็นจำนวนมากอย่างเขา
ซาลจึงทำการปรับปรุงโครงสร้างของวงเวทพันธสัญญานิรันด์อย่างเงียบ ๆ และในที่สุดก็เขาสามารถลัดขั้นตอนการใช้งานของมันได้ โดยโครงสร้างแบบใหม่นี้ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับห้องมิติในอักขระบนวงเวทได้โดยตรง จึงนำสมุนเข้าหรือออกจากวงเวทได้เลยโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนอันยุ่งยากแบบเดิม ๆ อีก
เมื่อสร้างวงเวทเสร็จแล้ว เขาก็ใส่ทักษะ ‘โพสเซสชั่น’ ให้กับทั้งสองคน ก่อนจะให้วาเคียเข้าไปในห้องมิติ ซึ่งแม้จะมีสีหน้ากังวลอยู่บ้าง แต่วาเคียก็ยอมทำตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืน
เมื่อเธอเข้าไปในห้องมิติแล้ว ซาลก็ทำการอัญเชิญร่างเสมือนของวาเคียออกมา
“เอาล่ะ ทีนี้ก็… วาเคีย ได้ยินรึเปล่า? ลองใช้ทักษะ ‘โพสเซสชั่น’ ดูซิ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของซาล วาเคียก็ใช้ทักษะ ‘โพสเซสชั่น’ ทำให้จิตของเธอย้ายมาที่ร่างอัญเชิญเสมือนที่อยู่ข้างนอกแทน
“นะ.. นี่มัน?”
“เป็นไง รู้สึกยังไงบ้าง? ร่างนี้น่ะใช้งานได้ใกล้เคียงกับตัวจริงรึเปล่า?”
“เหมือนกับร่างปกติแทบไม่มีผิดเพี้ยนเลยล่ะครับ! แทบจะแยกความรู้สึกไม่ออกเลย!”
วาเคียพูดด้วยอาการตื่นเต้นดีใจจนอัลดูอินที่ดูอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังมีท่าทางตื่นเต้นไปด้วย
“เอาล่ะ ทีนี้ก็หมดปัญหาเรื่องความปลอดภัยไปอย่างนึงแล้วล่ะนะ”
——————————————————————————————————–
Part 2
ด้วยการให้ทั้งสองคนเข้าไปอยู่ในวงเวทพันธสัญญานิรันดร์แล้วใช้การ ‘โพสเซสชั่น’ ร่างอัญเชิญเสมือนที่ถูกอัญเชิญออกมาแบบนี้ ก็จะทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของทั้งสองคนอีกต่อไป เพราะถึงร่างที่อยู่ข้างนอกจะเป็นอะไรไป ร่างในวงเวทก็ไม่น่าจะได้รับผล แบบนี้ทั้งวาเคียและอัลดูอินก็จะมีสภาพเหมือนกับเป็นอมตะเลยนั่นเอง
ความจริงถ้าเป็นวงเวทที่มี ‘สายใยวิญญาณ’ สำหรับเชื่อมต่อประสบการณ์ของร่างเสมือนกับร่างจริงในวงเวท เมื่อร่างเสมือนตายไป ร่างในวงเวทก็อาจได้รับแรงช็อคจนตายไปด้วย แต่เพราะซาลตั้งใจจะเพิ่มระดับให้กับอัลดูอินและวาเคียผ่านทางการแซคคริไฟซ์แค่เพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว จึงปลดอักขระส่วนที่เป็น ‘สายใยวิญญาณ’ ออกไป ทำให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้
“อืม… จะว่าไปแล้ว ถึงไม่มี ‘สายใยวิญญาณ’ แต่ร่างอัญเชิญที่มีจิตใจเป็นของตัวเองและใช้เวท ‘โพสเซสชั่น’ ในการควบคุมร่างเสมือนแบบนี้ก็น่าจะได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้โดยไม่ต้องใช้ ‘สายใยวิญญาณ’ รึเปล่านะ…”
ซาลคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าทดลองอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องใส่ใจมากกว่า ก็คือแม้จะแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยได้ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการพาทั้งสองคนไปไหนมาไหนอยู่ดี
“อืม… ปัญหานี้เกิดจากรูปลักษณ์เป็นหลักแหละมั้ง ถ้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ของอัลดูอินเป็นมนุษย์ได้ละก็… ไม่สิ ก็ยังมีปัญหาเรื่องการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่เกินไปอยู่ดี… ทำยังไงถึงจะเดินทางไปด้วยกันได้โดยไม่สะดุดตานะ…”
ซาลคิดหาวิธีพลางลองปรับแต่งวงเวทไปด้วย แล้วเขาก็พบอะไรบางอย่าง
“หืม? อักขระตัวนี้มัน… รู้สึกว่าจะใช้ควบคุมความสมดุลของร่างอัญเชิญกับพลังเวทงั้นเหรอ? ถ้าลองเอาออกหรือปรับแต่งดูจะเป็นยังไงกันนะ…”
อักขระตัวนั้นเป็นหนึ่งในโครงสร้างหลักของวงเวทซึ่งแม้ซาลารัสจะเคยเห็นมาแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดจะแตะต้อง เพราะในตอนนั้นเขายังมีความรู้ไม่มากพอ และไม่กล้าที่จะปรับแต่งอักขระที่เป็นโครงสร้างหลัก เพราะกลัวว่าจะทำให้วงเวทล้มเหลวได้ แต่ตอนนี้เขามีความเชี่ยวชาญในการปรับแต่งโครงสร้างวงเวทเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก ทำให้กล้าลองทำอะไรใหม่ ๆ และยุ่งกับโครงสร้างที่ยังไม่เคยปรับแต่งมากขึ้น
หลังจากปรับแต่งเพื่อปลดข้อจำกัดของอักขระตัวนั้นออก ซาลารัสก็พบว่าพลังเวทที่จำเป็นต้องใช้ในการอัญเชิญซึ่งเคยถูกกำหนดเอาไว้แบบตายตัว ตอนนี้กลับไม่มีการกำหนดแล้ว
“หืม? กลายเป็นใช้พลังเวทเท่าไหร่ก็ได้เหรอ? ไหนลองดูซิ ถ้าใช้พลังเวทแค่ 50% ของปกติจะเป็นยังไงนะ”
ซาลปรับแต่งวงเวทและทดลองอัญเชิญวาลไครี่ระดับเจ็ดออกมาด้วยพลังเวทเพียงครึ่งเดียวดู พบว่าสิ่งที่ออกมากลับเป็นวาลไครี่ที่มีร่างเป็นเด็ก ขนาดตัวลดเหลือเกือบครึ่งเดียวของปกติแทน
“นะ.. นี่มัน!? เพราะใช้พลังเวทแค่ครึ่งเดียว ขนาดกับพลังเลยลดลงเหลือครึ่งเดียวด้วยงั้นเหรอ!? ไม่เลวนี่นา! แบบนี้อาจใช้ได้ก็ได้!”
ถ้าเป็นปกติ ร่างอัญเชิญที่มีขนาดและพลังแค่ครึ่งเดียวคงจัดว่าเป็นการอัญเชิญที่ล้มเหลว แต่ในตอนนี้ที่ต้องการแนวทางใหม่ ๆ สำหรับปรับแต่งรูปลักษณ์แล้ว ซาลคิดว่ามันเป็นการค้นพบที่น่าสนใจไม่น้อย แถมเขายังคิดว่ามันอาจปรับใช้ในทางตรงกันข้ามได้
เขาลองอัญเชิญวาลไครี่ออกมาใหม่อีกครั้งด้วยการใช้พลังเวทเป็นสองเท่าเพราะหวังว่าวาลไครี่จะมีพลังเพิ่มเป็นสองเท่าด้วย
แต่วาลไครี่ที่อัญเชิญออกมานั้นกลับกลายเป็นวาลไครี่ตัวอ้วนฉุที่บวมออกข้างแทน
——————————————————————————————————–
Part 3
“อะ.. เอ๋? ไม่ได้หรอกเหรอเนี่ย มีแต่น้ำหนักที่เพิ่มเป็นสองเท่าแฮะ ค่าพลังต่างๆยังเท่าเดิมอยู่เลย… ยังไงก็ไม่มีทางที่จะมีพลังเกินร่างต้นไปได้สินะ น่าเสียดายจัง”
“เอ่อ… เล่นอะไรคะเนี่ยคุณซาลารัส?”
เมื่อเห็นร่างบวม ๆ ของวาลไครี่แล้ว นิโคลที่นั่งอยู่ในห้องด้วยก็รู้สึกแปลกใจจนต้องถามขึ้นมา
“อ๋อ มะ.. ไม่มีอะไรหรอก แค่ลองการอัญเชิญแบบใหม่ดูน่ะ”
เมื่อตอบคำถามของนิโคลแล้ว ซาลก็หันกลับมาทำการอัญเชิญใหม่อีกครั้ง
คราวนี้เขาใช้พลังเวทเท่าที่จำเป็นในการร่ายเพื่อให้ได้วาลไครี่ร่างสมบูรณ์ออกมา แต่วาลไครี่ที่ออกมากลับเป็นวาลไครี่ที่มีร่างเป็นเด็กแทน
“อ้าว.. ทำไมล่ะเนี่ย? …หืม? ค่าพลังต่าง ๆ ก็เท่ากับร่างสมบูรณ์แบบเลยแฮะ แปลว่ามีแค่รูปลักษณ์ที่ถูกย่อส่วนลง แต่พลังยังเท่าเดิมงั้นเหรอ?”
ดูเหมือนอักขระที่เขาแก้ไขไปจะทำให้สมดุลการสร้างร่างอัญเชิญมีความแปรปรวนพอสมควร แต่ซาลก็เริ่มจะจับทางได้แล้ว
คราวนี้เขาลองอัญเชิญร่างเสมือนออกมาอีกครั้งด้วยพลังเวท 50% แต่ตั้งสมาธิให้มันมีร่างเป็นวาลไครี่ที่สมบูรณ์ ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของวาลไครี่ตามปกติออกมา แต่เมื่อสำรวจค่าพลังของมันดูก็พบว่ามันมีพลังเพียง 50% ของวาลไครี่ปกติเท่านั้น
“แบบนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ”
ในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปว่า การปลดข้อจำกัดด้านความสมดุลออกจะทำให้สามารถอัญเชิญร่างเสมือนที่มีรูปลักษณ์หรือค่าสถานะใดออกมาก็ได้ตามใจชอบ เพียงแต่ต้องเพ่งสมาธิดี ๆ เท่านั้น และความสัมพันธ์ของพลังเวทกับค่าสถานะต้องเหมาะสมด้วย
เช่นหากใช้พลังเวทแค่ 50% ก็สามารถอัญเชิญร่างเสมือนที่มีขนาดลดลง 50% หรือขนาดปกติก็ได้ แต่ทั้งสองตัวจะมีค่าสถานะไม่เกิน 50% ของร่างจริงเช่นเดียวกัน
ในทางกลับกัน หากใช้พลังเวท 100% ก็สามารถอัญเชิญร่างเสมือนที่มีขนาดย่อส่วนหรือขนาดปกติก็ได้ โดยจะมีค่าสถานะเทียบเท่ากับตัวจริงด้วย ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์แบบใดก็ตาม
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะการปรับแต่งอักขระที่ใช้ควบคุมความสมดุลของร่างอัญเชิญ ให้ทำงานแบบอิสระและแปรผันตามพลังเวทกับจินตนาการของผู้ใช้นั่นเอง
ซาลนำร่างจริงของวาเคียออกมาจากวงเวทพันธสัญญานิรันดร์เพื่อทำการปรับแต่งใหม่อีกครั้ง และยังสร้างวงเวทแบบเดียวกันขึ้นมาอีกวงหนึ่งด้วย ก่อนที่จะบอกให้ทั้งสองคนเข้าไปในวงเวท แม้จะมีท่าทีลังเลอยู่นิดหน่อย แต่อัลดูอินก็ยอมทำตาม เมื่อทั้งคู่เข้าไปในวงเวทแล้ว เขาก็ทำการอัญเชิญร่างเสมือนของทั้งสองคนออกมา
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ ออกมาได้เลย มินิวาเคีย! กับ มินิอัลดูอิน!”
เมื่อแสงสว่างวาบจากวงเวทอัญเชิญทั้งสองจางลง ก็ปรากฏร่างของวาเคียและอัลดูอิน ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือยืนอยู่บนพื้นห้องแทน
พอร่างเสมือนถูกอัญเชิญออกมา ทั้งสองก็ใช้ทักษะ ‘โพสเซสชั่น’ อย่างรู้งาน ทำให้เข้ามาสวมร่างเสมือนได้ทันที และเริ่มออกวิ่งกันอย่างมีชีวิตชีวา ร่างเล็ก ๆ ของทั้งสองคนที่วิ่งวนกันไปมาบนพื้นห้องนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตยังไงยังงั้น
“เป็นไงบ้าง ไม่สะดวกอะไรตรงไหนรึเปล่า?”
“ไม่มีปัญหาครับ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ ไปบ้างกับสัดส่วนของสิ่งที่อยู่รอบตัว แต่สำหรับการควบคุมร่างกายทำได้สมบูรณ์ 100% ครับ”
วาเคียตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงใส ๆ ที่ฟังดูสดชื่น ส่วนอัลดูอินก็ส่งเสียงร้องเป็นการตอบรับเช่นกัน
“เห~ ยอดไปเลยนะคะเนี่ย ทำแบบนี้ได้ด้วย”
นิโคลที่เห็นรูปร่างอันน่ารักน่าชังของวาเคียกับอัลดูอินแล้วก็ต้องเข้ามาดูใกล้ ๆ พร้อมกับกล่าวคำชื่นชม
“แบบนี้จะพาไปไหนมาไหนก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ม้า ใครถามก็บอกว่าเป็น ‘แฟมิเลีย’ (สมุนรับใช้) ระดับต่ำก็ได้”
“ค่ะ แบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไร แถมยังน่ารักดีด้วยนะคะ ขะ.. ขออุ้มดูหน่อยได้มั้ยคะ?”
“เอาสิ ไม่มีปัญหาหรอก เจ้าตัวก็คงไม่ว่าเหมือนกันนะ”
นิโคลยื่นมือลงไปรองให้อีกฝ่ายเดินขึ้นมา ซึ่งอัลดูอินก็กระโดดขึ้นมาบนมือของเธออย่างกระฉับกระเฉง และยังส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วด้วย
“แหม~ น่ารักจริง ๆ เลยค่ะ! มังกรขนาดฝ่ามือนี่ ยอดเยี่ยมไปเลยนะคะ!”
นิโคลใช้นิ้วลูบหัวของอัลดูอินที่อยู่บนฝ่ามือพลางพูดชมซาลารัสไม่ขาดปาก ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเขินนิดหน่อย
ส่วนซาลารัสนั้นเมื่อเห็นผลลัพธ์ของวงเวทที่ปรับแต่งใหม่นี้แล้วก็ทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้
“ถ้าเป็นวงเวทแบบนี้ละก็ อาจจะใช้ได้ก็ได้นะเนี่ย… อืม… ขอตัวสักเดี๋ยวนะ.. ไม่สิ นิโคลก็ตามมาด้วยดีกว่า”
“เอ๋? จะไปไหนกันเหรอคะ?”
“ก็ไปหาแซนโดรไงล่ะ”
——————————————————————————————————–
Part 4
ห้องของแซนโดรกับลานาเทลก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของซาลกับนิโคลเท่านั้นเอง ซาลจึงเดินตรงไปเคาะประตูห้องเพื่อขออนุญาตเข้าไปข้างใน
“นี่ แซนโดร ยังไม่นอนใช่รึเปล่า? ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย?”
“…อืม …เข้ามาสิ…”
เมื่อได้รับอนุญาต ซาลที่มีวาเคียเกาะอยู่บนไหล่ก็เปิดประตูเข้าไปโดยมีนิโคลที่ถืออัลดูอินไว้บนมือเดินตามเข้าไปด้วย
หลังจากเข้าไปแล้ว ซาลก็เตรียมจะพูดในเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักเพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าซะก่อน
ห้องนั้นเป็นห้องสวีทที่มีเตียงขนาดควีนไซส์อยู่เพียงเตียงเดียว แซนโดรกับลานาเทลจึงต้องนอนร่วมเตียงกัน ความจริงนี่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ลานาเทลดีใจ แต่เธอกลับกอดอกทำหน้าบูดบึ้งอยู่บนเตียงฝั่งซ้าย นั่นก็เพราะที่ฝั่งขวานั้นมีแซนโดรซึ่งสวมชุดเกราะหัวกระโหลก ‘เรธเชล’ แบบเต็มยศ กำลังนอนเอนกายอ่านหนังสืออยู่ เป็นภาพที่ดูพิลึกพิลั่นอย่างบอกไม่ถูก จนซาลต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เอ่อ… ทำไมต้องใส่เกราะด้วยล่ะ?”
“นั่นสิคะ นี่มันเวลานอนแล้วนะคะ จะใส่เกราะไปทำไมคะ?”
ลานาเทลพูดเสริมด้วยน้ำเสียงและสายตาจิกกัดที่ทิ่มแทงไปทางแซนโดร ส่วนแซนโดรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งและทุ้มต่ำภายใต้หน้ากากเหล็ก โดยยังทำท่าอ่านหนังสืออยู่
“…ชุดเกราะก็มีไว้สวมใส่เพื่อป้องกันอันตราย …เวลาแบบนี้ต้องสวมชุดเกราะก็ถูกแล้ว…”
“จะไปมีอันตรายอะไรกันล่ะคะ? ตรงนี้ก็มีฉันอยู่ทั้งคน”
“…เธอนั่นแหละ อันตรายที่สุด…”
“หืมมม~”
ลานาเทลส่งเสียงครางในลำคอพลางทำหน้าตาบูดบึ้งแสดงความไม่พอใจ แต่แซนโดรก็ไม่ได้หันไปมองเลยสักนิด และให้ความสนใจไปยังซาลที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องแทน
“…เอ้า แล้วเธอน่ะ มีธุระอะไรล่ะ? …หืม? นั่นมัน…”
แม้แซนโดรจะสังเกตเห็นวาเคียขนาดจิ๋วบนไหล่ของซาลแล้วแต่เขาก็ยังไม่ได้อธิบายอะไร เพราะเหตุผลที่เขามาหาแซนโดรนั้นเป็นเรื่องอื่น
“นี่ แซนโดร มาทำพันธสัญญาอัญเชิญกันเถอะ”
ซาลกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาเป็นประกาย แต่ดวงตาของแซนโดรที่เป็นเปลวไฟสีเขียวภายใต้ความมืดมิดของชุดเกราะนั้นกลับหรี่ลงเหมือนยังข้องใจในคำพูดของฝ่ายตรงข้าม
เธอโดรได้แต่ครุ่นคิดว่าคราวนี้ซาลจะมีเรื่องอะไรมาให้ปวดหัวอีกกันแน่