Doombringer the 5th - ตอนที่ 39
Ch.39 – ป้อมปราการในยามอัสดง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 39
ป้อมปราการในยามอัสดง
Part 1
หลังจากได้ยินคำชวนของซาล แซนโดรก็ปิดหนังสือลงและเปลี่ยนอิริยาบถจากการเอนตัวนอนมาเป็นท่านั่งแทน
“…เธอกับฉันก็มีพันธสัญญาอัญเชิญอยู่แล้วนี่? …จะทำพันธสัญญาไปทำไมอีก?…”
“นั่นมันพันธสัญญาที่แซนโดรอัญเชิญผมได้ฝ่ายเดียวนี่นา ผมอยากทำพันธสัญญาที่อัญเชิญแซนโดรได้ด้วยน่ะ”
“…เธอในตอนนี้ยังมีพลังเวทไม่พอหรอก …ถึงมีพันธสัญญาอัญเชิญไปก็ไม่มีประโยชน์…”
“แล้วถ้าผมบอกว่าอัญเชิญได้ล่ะ? ถึงจะไม่ใช่ร่างจริงก็เถอะ แต่ถ้าแค่ร่างอัญเชิญเสมือนละก็ ทำได้แน่!”
คำพูดนั้นทำให้แซนโดรรู้สึกแปลกใจ เธอสงสัยว่าคราวนี้เจ้าหนูสมองเพชรจะคิดอะไรปฏิวัติวงการขึ้นมาอีก ส่วนลานาเทลที่อยู่ข้าง ๆ ก็เผยยิ้มออกมาและแสดงสีหน้าสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
“…เรื่องนั้นคงจะเกี่ยวกับสมุนอัญเชิญตัวเล็ก ๆ บนไหล่ของเธอสินะ?…”
“อื้ม! ผมน่ะเพิ่งจะพบวิธีที่ทำให้อัญเชิญโดยใช้พลังเวทเท่าไหร่ก็ได้ล่ะ!”
ลึก ๆ แล้วแซนโดรก็นึกสนใจการค้นพบของซาลอยู่ไม่น้อย แต่เพราะยังเคืองเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่ถูกฝืนใจคัดลอกจิตสังเคราะห์ไปอยู่ จึงไม่แสดงท่าทีออกมามากนัก ทั้งยังไม่ค่อยอยากจะให้ความร่วมมือด้วย
“…งั้นเหรอ …ยินดีด้วยนะ…”
“อื้ม ๆ เพราะงั้นก็ มาทำพันธสัญญากันเถอะ!”
“…อย่าดีกว่า …ร่างอัญเชิญของฉันน่ะไม่มีประโยชน์หรอก…”
“เอ๋~ ทำไมล่ะ?”
“…’ลิช’ ก็จัดเป็นคลาสสายซัมมอนเนอร์คลาสหนึ่งเหมือนกัน …แต่ร่างอัญเชิญเสมือนน่ะมีข้อจำกัดเรื่องการอัญเชิญสมุนอยู่ …ถึงตัวฉันจะมีสมุนมากมายเก็บไว้ในมาลาไคท์คีป แต่ร่างอัญเชิญเสมือนน่ะเรียกสมุนพวกนั้นออกมาไม่ได้หรอกนะ …ได้แต่สร้างร่างอัญเชิญใหม่เท่านั้น… ”
“ถึงงั้นก็เถอะ แซนโดรก็ยังมีความสามารถอื่น ๆ อยู่อีกเยอะแยะนี่นา ทั้งเวทโจมตี และการใช้เคียวด้วย”
“…ร่างเสมือนของฉันก็เป็นได้แค่นักเวทธรรมดาแหละ เพราะทั้งเกราะนี่ หรือเคียวที่ใช้ ต่างก็เป็นอาติแฟคเฉพาะ …ถึงร่างเสมือนจะสร้างของที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันขึ้นมาได้ แต่ประสิทธิภาพก็จะต่างกันมากและไม่มีคุณสมบัติเฉพาะด้วย …เช่นเกราะก็จะไม่ต้านทานเวทมนตร์ 100% ส่วนเคียวก็ไม่สามารถกระชากวิญญาณสิ่งมีชีวิตได้…”
“แค่ใช้เวทได้ก็พอแล้วน่า มาทำพันธสัญญากันเถอะ นะ”
“…เธอนี่ …ชอบกวนใจฉันเป็นงานอดิเรกรึยังไง?…”
แซนโดรเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดออกมา แต่เพราะว่าอยู่ในร่างลิชแถมยังสวมชุดเกราะหัวกะโหลกอยู่ด้วย จึงไม่มีใครสังเกตสีหน้าของเธอออก
“เห~ เปล่าซะหน่อย จริง ๆ ผมก็กะจะทำพันธสัญญากับทุกคนนั่นแหละ แค่อยากให้แซนโดรเป็นคนแรกน่ะ”
“ได้ยินมั้ยคะ? เขาบอกว่าอยากให้คุณแซนโดรเป็นคนแรกน่ะค่ะ.. อ๊อก!”
ลานาเทลเอนตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของแซนโดรด้วยน้ำเสียงขี้เล่น เลยโดนตีศอกเข้าสีข้างจนตัวงอ
ความจริงด้วยฝีมือของลานาเทล จะปัดป้องหรือโต้กลับก็ทำได้อยู่แล้ว แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นและรับการโจมตีจากแซนโดรแทน อาจเพราะเพื่อให้อีกฝ่ายระบายอารมณ์ออกมาจะได้ไม่รู้สึกโกรธเคืองสะสม หรืออาจถือว่านั่นเป็นการแสดงความสนิทสนมอย่างหนึ่งก็ได้
ซาลรู้สึกงุนงงกับท่าทีของทั้งสองคนนิดหน่อย แต่ปกติทั้งคู่ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เลยยืนรอคำตอบโดยไม่ได้ไต่ถามอะไร
“…เฮ้อ …ถึงพูดอะไรไปก็คงไม่ฟังสินะ …รีบ ๆ มาทำให้เสร็จ ๆไปละกัน…”
“ไม่ได้นะคะคุณแซนโดร ของแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไปสิคะ โดยเฉพาะครั้งแรกน่ะ.. อ๊าย!”
ลานาเทลที่แอบมากระซิบข้างหูแซนโดรอีกครั้งก็โดนจับทุ่มข้ามตัวไปนอนแผ่ที่พื้นด้านข้างเตียงแทน
หลังจากจัดการกับลานาเทลเรียบร้อยแล้ว แซนโดรก็ปลดชุดเกราะเฉพาะส่วนมือขวาออก แล้วสร้างวงเวทพันธสัญญาขึ้นมาบนอากาศ
แม้จะรู้สึกแปลกใจที่แซนโดรยอมทำตามง่าย ๆ แต่เพราะกลัวเธอจะเปลี่ยนใจอีก ซาลจึงรีบเดินเข้าไปแตะสัมผัสวงเวทเพื่อทำพันธสัญญาในทันที
ทันทีที่ทั้งสองคนสัมผัสวงเวทแต่ละด้าน วงเวทนั้นก็เปล่งแสงออกมา ก่อนจะหดตัวแล้วหายวับไป
“แจ๋วเลย! เอาล่ะ ทีนี้ก็”
ซาลารัสแสดงอาการดีใจจนเกือบจะกระโดดโลดเต้น ชั่วครู่หนึ่งเขายังเผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมาด้วย แต่ก็รีบเก็บอาการและเริ่มสร้างวงเวทสำหรับอัญเชิญร่างเสมือนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อืม… เอาขนาดเท่าตัวจริงก่อนละกันนะ ปรับให้ร่างอัญเชิญมีพลังสัก 5% ของแซนโดร ก็น่าจะพอได้แหละมั้ง.. เอ้า! ออกมาเลย แซนโดร!”
แม้จะประกาศด้วยเสียงอันดัง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
“เอ๋? อัญเชิญไม่ออก? พลังเวทไม่พอเหรอเนี่ย ทั้งที่ตั้งสัดส่วนพลังไว้แค่ 5% เนี่ยนะ.. จริงสิ ผมเองก็มีพลังเวทไม่เต็มด้วยนี่นา เอาใหม่ ๆ ”
ซาลควักเม็ดมานาโพชั่นออกมากินเพื่อเติมพลังเวทให้เต็ม จากนั้นจึงทำการอัญเชิญอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถอัญเชิญได้อยู่ดี
“ไม่จริงน่า… พลังเวททั้งหมดก็ยังอัญเชิญ 5% ของแซนโดรออกมาไม่ได้เลยเหรอเนี่ย…”
“…นี่มันไม่เหมือนกับการอัญเชิญพวกสมุนที่พัฒนาขึ้นใหม่ของเธอนะ แต่เป็นการอัญเชิญปกติ ไม่มีอะไรช่วยลดพลังเวทที่ต้องใช้ในการสร้างร่างอัญเชิญเลย เพราะงั้นมันก็ต้องใช้พลังเวทเยอะเป็นธรรมดา…”
“อืม… งั้นก็คงต้องลดระดับพลังลงไปอีกสินะ”
เขาปรับลดพลังของร่างอัญเชิญลงจาก 5% เหลือ 3% แต่ก็ยังอัญเชิญไม่ได้อีก ทำให้ต้องลดพลังลงจนเหลือ 1%
ในที่สุดร่างของแซนโดรซึ่งเป็นร่างมนุษย์ในชุดกระโปรงยาวตามปกติพร้อมกับผ้าคลุมไหล่สีเขียวแก่ก็ได้ปรากฏออกมา
“สำเร็จแล้ว! ถึงจะมีพลังแค่ 1% ก็เถอะ แต่ก็อัญเชิญร่างเสมือนออกมาได้ล่ะ! อืม~ ไหนดูซิว่า 1% ของแซนโดรน่ะมีพลังแค่ไหน”
——————————————————————————————————–
Part 2
ซาลเปิดดูหน้าจอคุณสมบัติของแซนโดร แต่พบว่าค่าพลังด้านต่าง ๆ ไม่ได้ถูกแสดงเอาไว้เลย ทั้งที่ถ้าเป็นสมุนทั่วไปจะมีตัวเลขแสดงไว้อย่างชัดเจน
“เอ๋? ไม่มีตัวเลขบอก? ทำไมกันล่ะ?”
“…คนจริง ๆ น่ะไม่เหมือนกับพวกสมุนอัญเชิญหรอกนะ …สมุนอัญเชิญเป็นของที่สร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ ค่าพลังต่าง ๆ ที่เป็นตัวเลขก็เกิดจากมาตรฐานที่เรากำหนดให้กับมัน …แต่สำหรับคนจริง ๆ น่ะไม่มีมาตรฐานอะไรที่สามารถวัดความสามารถออกมาเป็นตัวเลขได้ …ร่างอัญเชิญเสมือนถึงไม่สามารถแสดงค่าพลังเป็นตัวเลขได้ไงล่ะ…”
“เห~ แต่พวกค่าพลังง่าย ๆ อย่างพลังกายเนี่ยก็น่าจะตีค่าเป็นตัวเลขได้ไม่ใช่เหรอ? เช่นว่ามีพละกำลังแค่ไหน ยกน้ำหนักได้กี่กิโลฯอะไรเงี้ย”
“…พลังของมนุษย์น่ะมีปัจจัยอีกอย่างหนึ่งเป็นตัวกำหนด …สิ่งนั้นก็คือจิตใจ …ถึงเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง มีพละกำลังมหาศาล แต่ถ้าจิตใจอยู่ในสภาพท้อแท้หมดอาลัยก็ไม่สามารถแสดงพลังนั้นออกมาได้ …หรือให้เป็นคนฉลาดเฉลียวมีสติปัญญาปราดเปรื่อง แต่ถ้าจิตใจสับสนว้าวุ่น ก็ไม่สามารถใช้สติปัญญานั้นได้อย่างเต็มที่เช่นกัน …โครงสร้างเวทมนตร์ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถนำจิตใจมาเป็นตัวแปรร่วมในการประเมินค่าสถานะได้ จึงยังไม่สามารถประเมินความสามารถของมนุษย์ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก…”
“อืม… แบบนี้นี่เอง เอาเถอะ อัญเชิญร่างเสมือนออกมาได้ก็โอเคแล้วล่ะนะ”
ซาลอยากจะรู้ค่าสถานะคร่าว ๆ ของแซนโดรว่าร่าง 1% นั้นมีพลังในระดับไหน จะได้เอาไปคูณแล้วเทียบระดับดูเล่น ๆ แต่ในเมื่อไม่มีการแสดงค่าสถานะเป็นตัวเลขแบบนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้
เขายังคงสำรวจทักษะต่าง ๆ ของร่างเสมือนของแซนโดร พบว่ามีทักษะที่น่าสนใจอีกหลายอย่างทีเดียว ทั้งความสามารถในการอัญเชิญสมุน ความสามารถในการใช้เวทธาตุต่างๆ แม้แต่ความสามารถในการใช้อาวุธยาว แต่ที่สะดุดตาเขาที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เนเธอร์ลิ้ง’ (Nether Link)
“นี่แซนโดร ทักษะ ‘เนเธอร์ลิ้ง’ นี่มันคืออะไรน่ะ?”
“…หืม? มีทักษะนี้ติดมาด้วยเหรอ? …ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้นะเนี่ย …แต่ก็ไม่เคยมีใครสร้างร่างเสมือนของลิชขึ้นมาได้ด้วยแหละนะ …นั่นคือคุณสมบัติเฉพาะของลิชที่ทำให้สามารถดึงพลังเวทจาก ‘เนเธอร์เรล์ม’ มาใช้งานได้ไงล่ะ…”
“เอ๋? จริงดิ? แบบนี้ร่างอัญเชิญนี้ก็มีพลังเวทไม่จำกัดด้วยรึเปล่า?”
“…ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ต่อให้เป็นร่างสมบูรณ์อย่างฉันก็ใช่ว่ามีพลังเวทไร้ขีดจำกัดหรอกนะ …อย่างที่บอกนั่นแหละว่าร่างของลิชในปัจจุบันนี้ถูกปรับลดความสามารถลงจากเมื่อก่อนมาก …เพราะร่างนี้เป็นเหมือนกับภาชนะที่สามารถดึงพลังเวทจากเนเธอร์เรล์มมาเก็บเอาไว้ใช้ได้ ส่วนจะบรรจุพลังเวทได้มากแค่ไหนและดึงพลังเวทมาเติมได้เร็วแค่ไหนก็ขึ้นกับคุณภาพของภาชนะ …สรุปง่าย ๆ ว่ามันเป็นความสามารถที่ทำให้ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็ว…”
“หืม? แค่นั้นเองเหรอ? ฟังดูไม่ค่อยเจ๋งเท่าไหร่เลย ของแบบนั้นกินมานาโพชั่นเอาก็ได้”
“…มานาโพชั่นก็มีขีดจำกัดการใช้งานอยู่ เช่นหากใช้ต่อเนื่องกันในระยะเวลาสั้น ๆ อัตราการฟื้นฟูจะยิ่งลดลงจนไม่เกิดการฟื้นฟูเลยในที่สุด …ส่วน ‘เนเธอร์ลิ้ง’ จะไม่มีข้อจำกัดแบบนั้น อัตราการฟื้นฟูพลังเวทก็ค่อนข้างสูงด้วย คือราว ๆ 4% ต่อวินาที แต่ก็มีผลข้างเคียงของการใช้งานที่เป็นข้อเสียอยู่…”
“4% ต่อวินาทีเหรอ? แล้ว.. เวทใหญ่อย่าง ‘เดธเซนเทนซ์’ ที่แซนโดรใช้ประจำเนี่ย ต้องใช้พลังเวทกี่ % กันล่ะ?”
“…ท่านั้นใช้พลังเวทราว ๆ 40% น่ะ เพราะร่างลิชที่มีสัมผัสครบถ้วนถือว่าเป็นภาชนะที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์ เลยมีความจุพลังเวทไม่เยอะเท่าไหร่…”
“ฟื้นฟูพลังเวทได้ 4% ต่อวินาที ก็เท่ากับร่ายเวทนั้นได้ทุก ๆ 10 วินาทีเลยไม่ใช่เหรอ!? ยอดไปเลย!”
“…ในการต่อสู้จริง แค่เวลาไม่กี่วินาทีก็ตัดสินเป็นตายได้แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่ความสามารถที่ไร้เทียมทานอะไรหรอก แถมยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่างด้วย เช่นขณะที่เปิด ‘เนเธอร์ลิ้ง’ จะใช้ได้แต่เวทธาตุมืดกับเวทไร้ธาตุเท่านั้น และได้รับความเสียหายทางเวทมนตร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วย…”
“ปกติลิชก็ใช้แต่เวทธาตุมืดอยู่แล้วนี่ แถมแซนโดรยังมีเกราะกันเวทด้วย แบบนี้ก็เท่ากับไร้เทียมทานเลยน่ะสิ?”
“…เกราะนี่น่ะมีพลังป้องกันทางกายภาพต่ำ …ถ้าเจอกับนักสู้สายที่เน้นพลังกายมากกว่าพลังเวทมันก็เป็นแค่เกราะธรรมดาเท่านั้น …เพราะงั้นตอนสู้กับยัยนี่ฉันถึงไม่ได้เอาออกมาสวมแต่แรกไงล่ะ…”
แซนโดรเหลือบตาไปทางลานาเทลที่กำลังนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นข้าง ๆ เตียง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มละไมและทำหน้าเป็นตอบกลับมา
“อืม.. ได้คุณสมบัติเฉพาะมาด้วยก็ดีแล้วล่ะนะ ทีนี้ก็… มาถึงช่วงเวลาที่รอคอยแล้วล่ะ…”
ซาลแสยะยิ้มออกมา ทำให้ทั้งลานาเทลกับนิโคลรู้สึกสงสัยกับท่าทางแบบนั้น แต่แซนโดรยังคงสงบนิ่ง
“ร่างเสมือนของแซนโดร! จงตีลังกาเอาขาชี้ฟ้าเดี๋ยวนี้!”
นี่คือความตั้งใจแต่แรกของซาลที่มาทำพันธสัญญาอัญเชิญกับแซนโดร
เพราะเขาอยากสั่งร่างเสมือนของแซนโดรให้แสดงท่าทางน่าอับอายออกมาเพื่อแก้เผ็ดแซนโดรที่ชอบตวาดเขานั่นเอง
ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่าเมื่อกลางวันก็เพิ่งจะทำเรื่องที่เหมือนเป็นการแก้แค้นแซนโดรไปแล้ว จึงยังคิดจะมาก่อเรื่องเพิ่มอีก
นิโคลเอามือป้องปากด้วยอาการตกใจ ส่วนลานาเทลก็ตาโตขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินคำประกาศนั้น มีเพียงแซนโดรที่ยังคงท่าทีเยือกเย็นเอาไว้ตามปกติ
เพราะร่างอัญเชิญเสมือนของแซนโดรไม่มีท่าทีจะตอบสนองต่อคำสั่งนั้นเลย
สิ่งนี้ทำให้ซาลกลายเป็นฝ่ายที่ต้องแปลกใจแทน
“เอ๋? ทำไมกันล่ะ? ร่างเสมือนของแซนโดร! จงตีลังกาเอาขาชี้ฟ้าเดี๋ยวนี้!”
แทนที่จะทำตามคำสั่ง ร่างเสมือนของแซนโดรกลับจ้องมองซาลด้วยสายตาเหยียด ๆ แล้วเขกหัวเขาหนึ่งทีแทน
“โอ๊ย! ทะ.. ทำไมกันล่ะ!? หนอย.. ร่างเสมือนของแซนโดร! จงคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้เลยนะ! อะ.. โอ๊ย ๆ ๆ ๆ ”
นอกจากจะไม่ทำตามคำสั่งแล้ว ร่างเสมือนของแซนโดรยังเอามือหยิกแก้มทั้งสองข้างของเขาแล้วดึงยืดออก ทำให้ซาลต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
กว่าร่างเสมือนของแซนโดรจะยอมปล่อยมือ แก้มของซาลก็ทั้งแดงทั้งช้ำแถมยังบวมตุ่ยแล้ว
“อูย… ทะ.. ทำไมถึงไม่ทำตามคำสั่งล่ะ? ก็ผมเป็นคนอัญเชิญนี่นา…”
“…หึ …คิดว่าฉันดูเจตนาของเธอไม่ออกรึไง? …นึกอยู่แล้วว่าต้องหาเรื่องทำอะไรแผลง ๆ อีก เพราะงั้นก็เลยให้ร่างอัญเชิญแบบนี้ไปไงล่ะ…”
“หมายความว่ายังไงกัน? ระ.. รึว่า!? วงเวทพันธสัญญานั่น!?”
“…ใช่แล้วล่ะ …ฉันปรับแต่งวงเวทนั่นให้ร่างอัญเชิญเสมือนไม่ต้องทำตามคำสั่งของผู้อัญเชิญ แต่ทำตามสามัญสำนึกของร่างจริงเท่านั้น …เพราะงั้นถ้าคิดจะใช้มันทำอะไรพิเรนทร์ ๆ ละก็ เสียใจด้วยนะ…”
“บะ.. แบบนี้มันขี้โกงนี่นา! แซนโดรน่ะระแวงคนอื่นมากเกินไปแล้ว! หัดเชื่อใจในตัวเพื่อนมนุษย์บ้างเซ่!”
“…ยังจะกล้าพูดแบบนั้นอีกนะ…”
แม้แซนโดรจะสวมชุดเกราะอยู่ทำให้ดูสีหน้าไม่ออก แต่จากสายตาที่เหมือนกำลังมองสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำของร่างเสมือนก็ทำให้นิโคลกับลานาเทลพอจะคาดเดาสายตาของแซนโดรในตอนนี้ได้
“เชอะ.. ฝากไว้ก่อนเถอะ.. เอาล่ะ ทีนี้ก็ ขอทำพันธสัญญากับนิโคลและก็ลานาเทลด้วยละกันนะ”
ซาลสร้างวงเวทพันธสัญญาขึ้นมาเพื่อที่จะทำพันธสัญญากับนิโคลและลานาเทล แต่ทั้งสองคนกลับมีทีท่าลังเล
“เอ่อ… ถ้าไง ฉันขอใช้วงเวทแบบเดียวกับคุณแซนโดรได้มั้ยคะ?”
“ฉันก็ด้วยค่ะ”
“เอ๋!? ทะ.. ทำไมกันล่ะ?”
“ก็… เพื่อความปลอดภัยน่ะค่ะ”
“อื้ม ๆ ~”
ทั้งนิโคลและลานาเทลต่างก็เห็นพ้องกันในการใช้วงเวทของแซนโดรในการทำพันธสัญญา ทำให้ซาลออกอาการลุกลี้ลุกลน
“ผะ.. ผมไม่เอาไปทำอะไรไม่ดีหรอกน่า! ผมทำแบบนั้นกับแค่แซนโดรคนเดียวเท่านั้นแหละ!”
“ได้ยินมั้ยคะคุณแซนโดร? เขาบอกว่า…”
“…เธอก็พอซะทีเถอะ!…”
“แอ๊ก!”
ลานาเทลที่พยายามพูดจาหยอกเย้าแซนโดรอีกรอบก็โดนสับมือเข้าที่คอหอยจนต้องชะงักไป
ท้ายสุดแล้วซาลก็ต้องทำพันธสัญญากับนิโคลและลานาเทลด้วยวงเวทที่แซนโดรสร้างขึ้น
ในคืนนั้น หลังจากกลับมาที่ห้องแล้ว เขาก็ลองอัญเชิญร่างเสมือนของลานาเทลกับนิโคลออกมาดู
จากการทดลอง เขาพบว่า ไม่สามารถอัญเชิญร่างของลานาเทลออกมาได้จนกว่าจะลดพลังเหลือ 0.7% ส่วนร่างของนิโคลนั้นไม่สามารถอัญเชิญออกมาได้จนกว่าจะลดพลังเหลือ 0.1%
บางทีอาจมีเงื่อนไขหรือคุณสมบัติเฉพาะตัวบางอย่างที่ทำให้แต่ละคนต้องการพลังเวทไม่เท่ากัน ซึ่งซาลก็คิดว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้วิเคราะห์ในภายหลัง
——————————————————————————————————–
Part 3
เช้าวันต่อมา ทุกคนก็เดินทางออกจากเมืองตามปกติ โดยมีอัลติม่ามารอขึ้นรถม้าที่ด้านนอกเมืองเช่นเคย
หลังจากรถม้าเคลื่อนตัวมาได้สักพัก ซาลารัสก็ขอทำพันธสัญญาอัญเชิญกับอัลติม่าด้วยอีกคน ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
“หา? นายจะเอาพันธสัญญาอัญเชิญไปทำไมกันล่ะ? ตัวนายตอนนี้น่ะมีพลังเวทไม่พอที่จะอัญเชิญฉันได้หรอกน่า”
“ตอนนี้ไม่ได้แต่อนาคตก็น่าจะทำได้นี่นา~ นะ ๆ มาทำพันธสัญญาอัญเชิญกันเถอะ”
เพราะอยากจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ ทำให้ซาลยังไม่บอกอัลติม่าเกี่ยวกับเรื่องการอัญเชิญร่างเสมือน
อัลติม่ามีท่าทีไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ในที่สุดก็ยอมทำพันธสัญญาโดยดี
“นายน่ะอย่าทำอะไรเกินตัวล่ะ ถ้าฝืนอัญเชิญตัวตนที่มีพลังเกินขอบเขตพลังเวทของตัวเองละก็ อาจตายเพราะถูกดึงพลังชีวิตไปชดเชยพลังเวทได้เลยนะ”
“เข้าใจแล้วน่า ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ว่าแต่อัลติม่าเป็นห่วงผมด้วยเหรอ?”
“หา? จะบ้ารึไง ใครเป็นห่วงนายกันล่ะ? ฉันแค่ขี้เกียจยุ่งยากเพราะต้องไปหาผู้สร้างหายนะคนใหม่ต่างหาก”
อัลติม่าตอบกลับไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด มันไม่ใช่คำตอบที่พูดเพื่อกลบเกลื่อนแต่อย่างใด
แต่ในใจลึก ๆ แล้วอัลติม่าก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดเตือนซาล ทั้งที่ถ้าปล่อยให้เขาตายไปเธอก็จะเป็นอิสระได้แท้ ๆ ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาครุ่นคิดอย่างจริงจังนัก
“ว่าแต่วันนี้เจ้าตัวเล็กสองตัวนั่นไปไหนล่ะ? ไม่ได้เอาออกมาข้างนอกเหรอ?”
“สองคนนั้นอยู่กับนิโคลน่ะ ผมคิดว่าให้นิโคลเป็นคนสั่งสอนเรื่องต่าง ๆ น่าจะเป็นการดีกว่า ช่วงกลางวันก็เลยฝากให้นิโคลเป็นคนดูแล และเห็นว่าแซนโดรกับลานาเทลก็จะช่วยด้วยนะ”
“ยัยมังกรกับยัยแวมไพร์นั่นน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าให้ยัยลิชนั่นเป็นคนเลี้ยงด้วย ฉันว่าจะเสียอนาคตเปล่า ๆ นะ”
“นี่ อย่าเรียกคนอื่นว่ายัยโน่น ยัยนี่ จะได้มั้ย พวกเขามีชื่อนะ”
“เฮอะ! ก็ฉันอยากจะเรียกแบบนี้นี่นา ชื่อของยัยพวกนั้นน่ะ ฉันไม่อยากจะจำหรอก”
“อัลติม่า ถ้าผมออกคำสั่งละก็ ยังไงก็ต้องทำไม่ใช่เหรอ? อยากให้ผมใช้คำสั่งจริง ๆ เหรอ?”
ซาลแค่พูดขู่เฉย ๆ ความจริงเขาก็ไม่คิดจะใช้คำสั่งบังคับอัลติม่ากับเรื่องแค่นี้อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ เพราะการถูกบังคับด้วยพันธสัญญานั้นมันน่าอึดอัดมาก
“อึก.. กะ.. ก็ได้.. ฉันจะเรียกตามชื่อก็ได้”
“อื้ม ดีมากเลย ผมน่ะไม่อยากจะฝืนใจอัลติม่าหรอกนะ”
“ก็ฝืนใจแล้วนี่ไงเล่า!”
“ผิดแล้ว ผมให้โอกาสอัลติม่าฝืนใจตัวเองก่อนที่จะถูกฝืนใจโดยพันธสัญญาต่างหาก”
“มันก็ฝืนใจอยู่ดีนั่นแหละ!”
ซาลพูดทุกอย่างด้วยสีหน้าสดใสไร้เดียงสา ทำให้อัลติม่ายิ่งรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนที่ชั่วร้ายกว่าที่คิด แถมยังทำเรื่องชั่วร้ายได้อย่างหน้าตาเฉยโดยที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย เป็นเด็กที่น่ากลัวเกินไปแล้ว
“ถึงไงก็เถอะ มันก็ไม่แย่เท่ากับถูกฝืนใจจริง ๆ หรอกใช่ม้า?”
“มะ.. มันก็ใช่อะนะ”
“ผมอยากให้ทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ”
“เฮอะ! ฝันไปเถอะ”
อัลติม่ากระแทกเสียงก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น
ซาลอยากจะเกลี้ยกล่อมเธอให้มากกว่านี้ แต่เขาคิดว่าของแบบนี้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า จึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อไป
ทุกคนยังคงเดินทางไปทางตะวันตกพลางแวะวางดันเจียนตามรายทางไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รีบร้อนอะไร
ระหว่างเดินทาง ซาลจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพูดคุยกับอัลติม่าบนรถม้า เมื่อหยุดพักบางช่วงก็จะฝึกการต่อสู้กับลานาเทล หรือฝึกการใช้เวทกับนิโคลและแซนโดร
ในระหว่างนี้เขาก็เริ่มเลี้ยงสมุนชุดใหม่ทั้งในอคาทอชและโครซิส เป้าหมายก็เพื่อเลี้ยงพวกมันจนเป็นสมุนระดับห้า แล้วนำมา ‘แซคคริไฟซ์’ เพื่อสร้างสมุนระดับสูงในภายหลัง
เพียงไม่กี่วันหลังรับการสั่งสอนจากนิโคล, แซนโดร, และลานาเทล อัลดูอินกับวาเคียก็แสดงถึงพัฒนาการในทางที่ดีออกมาให้เห็น
อัลดูอินพูดจารู้เรื่องมากขึ้น ส่วนวาเคียก็ดูมีความมุ่งมั่นมากขึ้น (แม้จะขี้แยเหมือนเดิม) ทำให้ซาลคิดว่าจิตสังเคราะห์นี่ก็มีพัฒนาการที่เร็วไม่น้อยทีเดียว
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นแบบนี้ตลอดช่วงห้าวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึง ‘ที่ราบแห่งความหวัง’ (Plains of Hope) ซึ่งเป็นที่ตั้งของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส
ทันทีที่เข้ามาถึงเขตนี้ ทุกคนก็สามารถมองเห็นแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสได้จากเส้นขอบฟ้า
มันมีลักษณะเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ที่มีความยาวหลายกิโลเมตร จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์
เพราะพื้นที่โดยรอบเป็นที่ราบซึ่งไม่มีเนินเขาหรือเทือกเขาใด ๆ อยู่เลย ยิ่งทำให้ป้อมปราการนี้ดูโดดเด่นขึ้นไปอีก และเพราะทุกคนมาถึงในยามโพล้เพล้แล้ว ดวงตะวันสีแดงซึ่งกำลังจะลับขอบฟ้าไปทางด้านหลังของป้อมปราการนั้นจึงยิ่งทำให้มันดูงดงามอย่างน่าประหลาด
ทุกคนทยอยกันลงจากรถม้าเพื่อลงมามองดูภาพอันวิจิตรตระการตาที่อยู่ตรงหน้า
“สวยจริงๆเลย แค่มองไกลๆก็ให้ความรู้สึกสั่นสะท้านแล้ว สมกับเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเลยนะคะ”
ลานาเทลมองดูทิวทัศน์นั้นด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ นิโคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็แสดงอาการประทับใจไม่แพ้กัน
“เรา.. เข้าไปใกล้กว่านี้อีกนิดไม่ได้เหรอคะ? หรือว่าจะหาที่พักก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาอีกรอบดี?”
ความจริงนิโคลอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ กว่านี้ แต่เธอก็เข้าใจความเสี่ยงดีจึงไม่กล้าจะเรียกร้องอะไรมาก
แซนโดรจ้องมองดูป้อมปราการที่อยู่ปลายขอบฟ้านั้นแล้วก็มีสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นี่ ๆ แซนโดร พรุ่งนี้เข้าไปดูใกล้ ๆ กันเถอะนะ แถวโน้นก็เหมือนจะมีที่ให้ซ่อนอยู่นี่นา ผมอยากจะลองใช้สมุนแอบเข้าไปดูข้างในป้อมดูน่ะ”
“คุณซาลารัสคะ อย่าพูดอะไรให้คุณแซนโดรลำบากใจสิคะ”
นิโคลที่กลัวซาลจะโดนดุจึงรีบปรามเขาไว้ซะก่อน แต่คำตอบของแซนโดรกลับเป็นสิ่งที่ผิดคาด
“…เอาสิ …บางทีเราอาจต้องเข้าไปใกล้กว่าที่คิดอยู่แล้วล่ะนะ…”
“เอ๋?”
“เอ๋?”
ทุกคนต่างก็หันหน้ามามองแซนโดรด้วยความประหลาดใจ เพราะปกติเธอน่าจะเป็นคนที่เห็นความปลอดภัยมาก่อนเป็นอันดับแรกแท้ ๆ นิโคลจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หมายความว่ายังไงเหรอคะคุณแซนโดร?
“…ฉันคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว …ในป้อมปราการนั่นน่ะ มีอาติแฟคซึ่งสามารถเป็นชิ้นส่วนสำคัญกับแผนการของเราถูกเก็บรักษาอยู่ …ถ้าได้ของสิ่งนั้นมาละก็ จะทำให้แผนการของเราก้าวหน้าไปอีกหลายขั้นเลยทีเดียว…”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนจ้องมองแซนโดรด้วยสายตาที่ประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะหากเธอพูดแบบนี้ สิ่งที่เธอคิดจะทำก็คงจะมีอยู่เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่มีใครเคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วย
“เอ๋? พูดแบบนี้ แปลว่า?”
ซาลเอ่ยถามเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจที่แซนโดรจะสื่อ ซึ่งเธอก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ
“…ใช่แล้วล่ะ …เราจะบุกแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสกัน…”