Doombringer the 5th - ตอนที่ 40
Ch.40 – คำโกหก
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 40
คำโกหก
Part 1
ในคืนนั้น แซนโดรเลือกตั้งแคมป์ค้างแรมกันกลางแจ้ง โดยไม่ได้เข้าไปพักในเมืองเหมือนเช่นทุกที
แม้จะบอกว่าเป็นการพักกลางแจ้ง แต่จริง ๆ มันก็คือการใช้คฤหาสน์ต่างมิติในการพักแรมนั่นเอง ซึ่งแม้ปกติจะมีการใช้งานคฤหาสน์เป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อใช้งานห้องน้ำ หรือห้องครัว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่แซนโดรนำมันออกมาเพื่อใช้ในการพักแรมในระหว่างเดินทาง
หลังจากตระเวนหาที่เหมาะ ๆ ในการวางประตูมิติสำหรับเชื่อมต่อกับคฤหาสน์อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดแซนโดรก็พบกับแนวไม้ ณ ชายป่าซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากจุดที่พวกเขาชมพระอาทิตย์ตกดินกันมากนัก เธอจึงลงจากรถและทำการสร้างทางเชื่อมมิติบริเวณช่องว่างของแนวไม้แห่งหนึ่ง ทันใดนั้นบรรยากาศภายในแนวไม้ที่ซ้อนตัวกันอยู่นั้นค่อย ๆ บิดเบี้ยว จนกลายเป็นทางเข้าดันเจียนในที่สุด
เมื่อสร้างประตูทางเข้าเสร็จแล้ว แซนโดรก็สร้างวงเวทสีแดงขึ้นมาบนพื้นหน้าทางเข้าดันเจียน ซึ่งมันก็ส่องแสงสว่างวาบออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะสลายหายไป
ซาลไม่เคยเห็นวงเวทที่มีอักขระแบบนี้มาก่อนเลย จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยอยากรู้อยากเห็น
“วงเวทตะกี้มันคืออะไรเหรอ?”
“…นั่นคือ ‘กริมวาร์ด’ (Grim Ward) …เป็นเวทสำหรับขับไล่มอนสเตอร์ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาในบริเวณนี้ …เพราะยังไงนี่ก็เป็นดันเจียนทำให้มันอาจดึงดูดมอนสเตอร์เข้ามาได้ …โดยเฉพาะที่ ๆ มอนสเตอร์ชุกชุมอย่างโครซิส ในเวลากลางคืนจะมีมอนสเตอร์เพ่นพ่านทั่วไปหมด …ชั้นเลยสร้าง ‘วาร์ด’ อันนี้ไว้เพื่อไม่ให้มอนสเตอร์เข้ามาใกล้ทางเข้าไงล่ะ…”
“โอ้ แบบนี้นี่เอง”
หลังจากอธิบายเสร็จ แซนโดรก็เดินเข้าไปในดันเจียน โดยมีทุกคนเดินตามเข้าไป
เมื่อผ่านประตูดันเจียนเข้ามา ซาลก็พบกับห้องโถงของคฤหาสน์ที่เขาคุ้นเคย
“จะว่าไปแล้ว ทำไมเราถึงไม่ใช้ที่นี่พักแรมกันตลอดเลยล่ะ? มันสะดวกดีออก”
“…ไม่สะดวกเท่าการพักในโรงแรมหรอก …การจะหาตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อวางทางเข้าน่ะเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องระวังทั้งมอนเสตอร์และระวังผู้คนที่อาจผ่านมาพบด้วย …อีกอย่างคือที่นี่น่ะมีสเบียงจำกัด ยังไงเราก็ต้องเข้าเมืองเพื่อเตรียมเสบียงสำหรับการเดินทางกันอยู่แล้ว เพราะงั้นในเวลาปกติก็พักแรมในเมืองไปเลยจะสะดวกกว่า ส่วนที่นี่เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นก็พอ…”
ระหว่างตอบคำถามของซาล แซนโดรก็ยังเดินนำทุกคนเข้าไปยังด้านในของคฤหาสน์ จนมาถึงห้องโถงอีกแห่งหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่มีชั้นหนังสือรายล้อมอยู่ทั่ว บริเวณใจกลางห้องเต็มไปด้วยชุดโซฟาอันฟูนุ่มเหมาะกับการเอนกาย รายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือที่เรียงรายกันไปตลอดฟากผนัง อาจพูดได้ว่ามันเป็นห้องสมุดขนาดเล็กที่มีการตกแต่งเหมือนกับห้องนั่งเล่นมากกว่า
เมื่อทุกคนนั่งลงบนโซฟากันครบแล้ว แซนโดรก็เริ่มอธิบายเป้าหมายให้ทุกคนฟัง
“…งั้นก็เข้าเรื่องเลยนะ …ถึงจะบอกว่าเป็นการบุกแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส แต่ความจริงแล้วเราจะลอบเข้าไปมากกว่า เพราะเป้าหมายของเราคือการชิงของอย่างหนึ่งออกมา …เมื่อได้ของสิ่งนั้นมาแล้วพวกเราก็จะรีบเผ่นกันในทันที…”
“เรื่องของที่ว่าน่ะ ดิฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?”
ลานาเทลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แซนโดรเอ่ยถามขึ้น เพราะเธอรู้สึกข้องใจกับเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ยินในทีแรกแล้ว ซึ่งแซนโดรก็เข้าใจดี
“…ว่ามาสิ…”
“คุณแซนโดรบอกว่ามันเป็น ‘อาติแฟคซึ่งสามารถเป็นชิ้นส่วนสำคัญกับแผนการของเรา’ ตรงนี้มันฟังดูกำกวมอยู่นะคะ พอจะอธิบายให้กระจ่างหน่อยได้รึเปล่า?”
“…ก็มันสามารถเป็นชิ้นส่วนสำคัญกับแผนการของเราได้ไงล่ะ…”
“ตอบแบบนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ”
คนอื่น ๆ แสดงสีหน้าว่าไม่ค่อยเข้าใจกับคำตอบของแซนโดรออกมาเช่นกัน ทำให้เธอต้องนึกคำอธิบายซะใหม่ เพื่อให้ทุกคนได้รับความกระจ่างมากกว่านี้
“…อืม ถ้าให้อธิบายคร่าว ๆ ละก็ …อาติแฟคชิ้นนี้เป็นส่วนประกอบที่สามารถนำไปสร้างอาติแฟคอีกชิ้นหนึ่งได้ …แล้วเราก็จะใช้อาติแฟคชิ้นนั้นในการเดินทางไปหาอาติแฟคอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งสามารถช่วยให้พวกเราบรรลุเป้าหมายสูงสุดก็คือการโค่นล้มพีชคีปเปอร์ได้ง่ายขึ้น…”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาเพราะคำอธิบายนั้นยังฟังดูค่อนข้างสับสนอยู่ ผิดกับลานาเทลที่แม้จะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแต่ก็สามารถจับความหมายของมันได้แล้ว
“โอเค… ขอทบทวนเรื่องอีกครั้งนะคะ เรากำลังจะไปชิงอาติแฟค A จากแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสเพื่อใช้มันสร้างอาติแฟค B จากนั้นเราก็จะใช้อาติแฟค B ในการเดินทางไปเอาอาติแฟค C ถูกต้องมั้ยคะ?”
“…อืม …ตามนั้นแหละ…”
“อาติแฟค C เนี่ย มันเป็นของที่คุ้มค่ากับการต้องทำเรื่องยุ่งยากทั้งหมดนั้นเลยเหรอคะ?”
“…คุ้มสิ…”
“พอจะบอกได้รึเปล่าคะว่ามันคืออะไร?”
แซนโดรนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะความลังเล เนื่องจากตรงนั้นมีอัลติม่านั่งอยู่ด้วยทำให้เธอไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจนก็คงเป็นการยากที่จะให้ทุกคนเห็นด้วยกับแผนการเสี่ยง ๆ อย่างการบุกแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสในครั้งนี้ เธอจึงต้องอธิบายโดยเลี่ยงข้อมูลสำคัญให้มากที่สุด
“…อาติแฟคชิ้นนั้นน่ะ หากอยู่ในมือของซาลารัสละก็ อาจทำให้เขามีพลังในระดับเดียวกับสิบนักปราชญ์หรือยิ่งกว่านั้นอีก …เราจะกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้โดยไม่ต้องสนพีชคีปเปอร์เลยด้วยซ้ำ …แผนการเดิมที่วางเอาไว้อาจต้องใช้เวลานับสิบปี แต่ถ้ามีของสิ่งนี้เราอาจบรรลุเป้าหมายในเวลาแค่ไม่กี่ปีก็ได้…”
หลังจากได้ฟังคำตอบของแซนโดรแล้ว ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
——————————————————————————————————–
Part 2
แม้จะขาดการให้รายละเอียดอยู่บ้าง แต่ลานาเทลก็พอเข้าใจเจตนาของแซนโดรที่ไม่อยากเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไปนักต่อหน้าคนของนรกอย่างอัลติม่า จึงไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก และเดิมทีเธอก็แค่ต้องการจะรู้ว่ามันเป็นของสำคัญแค่ไหนด้วย คำตอบที่แซนโดรให้มาจึงอยู่ในระดับที่เธอพอใจแล้ว
“ถ้าเป็นของที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น มันก็น่าเสี่ยงอยู่นะคะ”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ! นั่นมันแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนะคะ! ถึงบอกว่าจะลอบเร้นเข้าไปก็เถอะ แต่มันก็เป็นที่ ๆ อันตรายมากอยู่ดี จะให้คุณซาลารัสเข้าไปเสี่ยงในที่แบบนั้นน่ะ…”
นิโคลที่ไม่เห็นด้วยกับแผนการอันตรายนี้รีบพูดแทรกขึ้นมา แต่ก็ถูกแซนโดรยกมือปรามไว้ซะก่อน
“…คนที่จะเข้าไปในป้อมน่ะ มีแค่ฉัน, ลานาเทล, แล้วก็อัลติม่าเท่านั้นเอง …ส่วนเธอกับซาลารัสน่ะ รออยู่ข้างนอกก็พอแล้ว…”
“หา!? ฉะ.. ฉันด้วยเหรอ!?”
อัลติม่าทำหน้าเหวอเมื่อได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในกลุ่มด้วย สำหรับเหล่าปิศาจแล้ว แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสก็ไม่ต่างไปจากแดนประหาร มันถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดรอยยกระหว่างโลกกับนรกโดยเฉพาะ เป็นกรงมรณะที่มีไว้เพื่อบดขยี้เหล่าปิศาจที่กล้าเสนอหน้าออกมาจากประตูนรก ในประวัติศาสตร์แม้จะมีความพยายามส่งปิศาจขึ้นมายังโลกผ่านประตูนั้นหลายครั้ง แต่ก็แทบไม่มีปิศาจตนใดฝ่าการป้องกันอันแข็งแกร่งนั้นจนออกมานอกป้อมได้เลยสักครั้งเดียว มันจึงเป็นที่สุดท้ายในโลกที่เหล่าปิศาจอยากจะเฉียดเข้าไปใกล้
แม้ในใจจะรู้สึกหวาดหวั่น แต่อัลติม่าก็พยายามเก็บอาการไม่ให้ใครรู้ ในขณะที่แซนโดรยังคงอธิบายต่อ
“…อย่างที่บอกว่ามันเป็นภารกิจลอบเร้น …ไปกันแค่กลุ่มเล็ก ๆ จะสะดวกกว่า …อีกอย่างคือพาเจ้าหนูนี่ไปด้วยจะยิ่งยุ่งซะเปล่า ๆ เธอเองก็คอยดูแลเจ้านี่อยู่ด้านนอกนี่แหละ…”
“นั่นสินะคะ…”
พอมานึกดูดี ๆ แล้วปฏิบัติการครั้งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพาซาลารัสไปด้วยจริง ๆ นิโคลจึงรู้สึกตัวว่ากังวลเกินเหตุไปหน่อย
“นี่ ถ้าไงให้ฉันอยู่ดูแลเจ้าหนูนี่แทนก็ได้นะ ให้ยัยมังกร.. เอ๊ย! นิโคล ไปด้วยจะดีกว่าน่า แม่นี่น่ะเก่งไม่ใช่เหรอ?”
อัลติม่าพยายามพูดเกลี้ยกล่อมแซนโดรให้พานิโคลไปแทน เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อยากเฉียดเข้าไปใกล้สถานที่แห่งนั้นอยู่ดี แต่แซนโดรกลับยืนกรานให้เธอไป ด้วยเหตุผลที่คาดไม่ถึง
“…ไม่ได้หรอก …เธอน่ะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับแผนการครั้งนี้ …ถ้าไม่มีเธอไปด้วยละก็ ภารกิจนี้คงไม่ยากจะสำเร็จได้…”
“เอ๋? ฉะ.. ฉันน่ะเหรอ?”
พอได้ยินแซนโดรพูดเหมือนให้ความสำคัญขึ้นมา อัลติม่าก็มีท่าทางเป็นปลื้มนิดหน่อย อีกฝ่ายที่เห็นว่าวิธีนี้ได้ผลจึงรีบหยอดคำหวานเพิ่ม
“…ใช่แล้วล่ะ ภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว …ต้องขอฝากด้วยนะ…”
“แหม~ ถ้าพูดกันขนาดนั้นละก็ ฉันจะยอมช่วยสักครั้งก็ได้!”
อัลติม่ายืดอกพูดอย่างภูมิใจ เพราะนาน ๆ ทีจะได้สัมผัสกับความรู้สึกว่าถือไพ่เหนือกว่าแซนโดรบ้าง ท่าทีและคำพูดที่เหมือนกับขอร้องของแซนโดรนั้นจึงทำให้เธอตบปากรับคำอย่างง่ายดายโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ
ซาลแอบถอนหายใจให้กับความหัวอ่อนของอัลติม่า คราวที่แล้วเธอก็พลาดท่าเสียทีให้กับเขาง่าย ๆ เพราะคิดอะไรง่ายเกินไปแบบนี้แหละ เขาดูออกว่าแซนโดรคงจะคิดหลอกใช้อัลติม่าให้ทำอะไรสักอย่าง ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าเธอคงจะไม่ถูกใช้งานจนเกินไปนัก
หลังจากชักจูงอัลติม่าสำเร็จแล้ว แซนโดรร่ายเวทเพื่อเปิดแผนที่สามมิติของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสขึ้นมาบนอากาศ
รูปร่างของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสมีลักษณะเหมือนกับโคลอสเซียมขนาดใหญ่ เพราะมันประกอบไปด้วยกำแพงสูงถึงห้าชั้นที่ซ้อนกันโดยลดระดับต่ำลงมาเรื่อย ๆ จากด้านนอกเข้ามาด้านในราวกับเป็นอัฒจันทร์ และตรงใจกลางของแพนเดโมเดี่ยมฟอเทรสก็เป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดไพศาลไม่ต่างจากสนามกีฬา
เดิมทีแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นป้อมปราการ แต่เจตนาดั้งเดิมของมันคือการเป็นกำแพงขนาดยักษ์ที่ล้อมรอบรอยแยกระหว่างโลกเอาไว้ ไม่ให้มีใครเข้าหรือออกได้ โดยกำแพงชั้นแรกที่ถูกสร้างขึ้นนั้นมีความสูงถึง 100 เมตร (เทียบเท่าตึก 30 ชั้น) และมีความหนา 25 เมตร แต่ครั้งแรกที่มีคนลอบเข้าไปเปิดประตูได้ ฝูงปิศาจที่ทะลักออกมาจากประตูก็สามารถพังกำแพงบางส่วนและหลุดออกไปภายนอกได้ จึงมีการสร้างกำแพงอีกชั้นหนึ่งซ้อนเข้าไปด้านหลังกำแพงเดิม ให้มีความหนาและความสูงยิ่งกว่าเดิม คือสูงถึง 110 เมตร และหนา 27 เมตร ทางนรกจึงต้องทุ่มกำลังมากขึ้นเพื่อบุกฝ่าออกไป ซึ่งแม้จะทำสำเร็จ แต่ก็มีปิศาจระดับสูงหลุดรอดออกไปได้น้อยลง แถมยังสูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก
เมื่อการป้องกันยังมีช่องโหว่ ทางพีชคีปเปอร์จึงสร้างกำแพงซ้อนเพิ่มเข้าไปอีกเรื่อย ๆ เพื่อเสริมการป้องกัน จนในที่สุดก็สามารถสกัดกั้นการบุกของเหล่าปิศาจได้โดยสมบูรณ์ หลังจากสร้างกำแพงชั้นที่ห้าขึ้นมาเป็นกำแพงชั้นนอกสุด ซึ่งมีความสูงถึง 140 เมตร และหนา 33 เมตร แต่ ณ จุดนั้น ตัวกำแพงทั้งห้าชั้นรวมกันก็มีทั้งขนาดและความหนาเกินกว่าจะเรียกว่ากำแพงไปแล้ว มันจึงถูกเรียกว่าป้อมปราการแทน
“…แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสน่ะ ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานจากที่อาจเกิดขึ้นผ่านทางประตูนรก …ตัวป้อมถึงได้ถูกสร้างล้อมพื้นที่นี้เอาไว้ เพราะตรงใจกลางนั้นคือ ‘รอยแยก’ (Rift) ระหว่างโลก …เป็นจุดที่อาจถูกใช้เปิดประตูนรกออกมาอีกครั้งได้ …พูดง่าย ๆ ว่าการป้องกันของป้อมปราการทั้งหมดจะมุ่งไปยังพื้นที่นี้ ไม่ใช่การรุกรานจากภายนอก…”
แม้การเปิดประตูนรกครั้งแรกต้องทำโดยผู้สร้างหายนะ แต่เมื่อเปิดประตูสำเร็จสักครั้งหนึ่งแล้ว แม้ภายหลังประตูจะถูกปิดลง แต่ก็ยังคงมีรอยยแยกระหว่างโลกหลงเหลืออยู่ ซึ่งรอยแยกนี้สามารถถูกเปิดขึ้นได้อีกครั้งจากทางฝั่งโลก
ในช่วงแรกเคยมีการวางการป้องกันอันแน่นหนาเพื่อไม่ให้มีปิศาจ หรือผู้บูชาความมืดคนใดสามารถเข้าไปเปิดประตูนรกได้ แต่การป้องกันไม่ว่าจะแน่นหนาเพียงไรย่อมต้องมีช่องโหว่ โดยเฉพาะการเปิดประตูนรกนั้นสามารถทำได้ด้วยคนเพียงคนเดียว การจะสกัดกั้นการลอบเข้าไปเปิดประตูนรกจึงเป็นเรื่องยาก
ทางพีชคีปเปอร์จึงมองล่วงหน้าไปว่า การป้องกันไม่ให้คนเข้าไปเปิดประตู เป็นแค่การป้องกันขั้นแรก แต่เมื่อประตูถูกเปิดออกก็ควรมีการป้องกันขั้นที่สองรองรับไว้ จึงได้สร้างป้อมปราการขนาดยักษ์ขึ้นมาล้อมรอยแยกระหว่างโลกเอาไว้ เพื่อที่ว่าต่อให้มีคนเข้าไปเปิดประตูได้ เหล่าปิศาจก็จะไม่มีทางหลุดรอดไปจากแนวป้องกันนี้ได้ ซึ่งจากความพยายามเปิดประตูมาหลายครั้ง แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสก็สามารถพิสูจน์แล้วว่ามันคือปราการเหล็กที่ไม่มีทางถูกเจาะทะลวงออกไปได้จริง ๆ เหล่าปิศาจจึงละความพยายามที่จะขึ้นมาบนโลกผ่านรอยแยกนี้เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว
“แปลว่าการป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกจะหละหลวมสินะคะ?”
ลานาเทลที่พอจะรู้ประวัติศาสตร์ของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสอยู่บ้างได้เอ่ยขึ้นขณะกำลังจ้องมองแผนที่สามมิตินั้น
“…มันก็ไม่ถึงขั้นหละหลวมหรอก …แต่อย่างที่บอก ป้อมนี้มีไว้ป้องกันการรุกรานที่เกิดจากประตูนรก พื้นที่ตรงกลางแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนี่ถูกเรียกว่า ‘เคออสอารีน่า’ (Chaos Arena) …มันเป็นพื้นที่ซึ่งถูกเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แต่ภายในป้อมหรือด้านนอกของป้อมน่ะมีการป้องกันในระดับธรรมดาเท่านั้น บวกกับไม่ได้มีความพยายามลักลอบเข้าไปในป้อมมานานแล้วด้วย …การลอบเข้าไปในป้อมจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่…”
“แต่ว่าป้อมที่ใหญ่ขนาดนี้น่ะ น่าจะมีทหารประจำการอยู่เป็นพัน หรือเป็นหมื่นคนเลยไม่ใช่เหรอ? จะลอบเข้าไปค้นหาอาติแฟคโดยไม่มีใครเห็นเลยน่ะ มันจะเป็นไปได้เหรอ?”
ซาลที่ดูขนาดของป้อมแล้วก็พูดออกมาด้วยความกังวล เพราะตัวป้อมนี้น่าจะมีความยาวโดยรอบเกือบ ๆ สิบหกกิโลเมตร ถ้านับแค่จำนวนทหารที่ควรจะมีประจำแนวกำแพงก็น่าจะต้องใช้จำนวนหลายพันคนแล้ว
“…จำนวนทหารและเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่ในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสในเวลาปกติน่ะ มีอยู่ไม่กี่ร้อยคนหรอก อาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ…”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
“…เพื่อประหยัดงบประมาณไงล่ะ …การจะนำทหารมาประจำทิ้งไว้ในป้อมน่ะถือเป็นการสิ้นเปลืองกำลังพลโดยใช่เหตุ สู้เอาคนไปเคลียร์พื้นที่หรือป้องกันเมืองจะดีกว่า …ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งคนไว้ประจำการแค่ที่จำเป็น…”
“แล้วแบบนี้ถ้าเกิดการรุกรานขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไงล่ะ?”
“…การจะเปิดรอยแยกเพื่อเชื่อมสองโลกน่ะไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในทันที …มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพอสมควร …ระหว่างนั้นหน่วยตรวจสอบความเคลื่อนไหวก็จะรู้ตัวแล้วว่าประตูนรกกำลังจะเปิด ถึงตอนนั้นพวกเขาจึงจะอัญเชิญทหารและเหล่านักผจญภัยจากที่ต่าง ๆ เข้ามาประจำการ…”
“อัญเชิญเหรอ?”
“…ใช่แล้วล่ะ …ในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสน่ะมีวงเวทเคลื่อนย้ายอยู่มากมาย ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายกองทหารจากอาณาจักรต่าง ๆ ให้เข้ามาเสริมในป้อมได้ในเวลาไม่กี่อึดใจ …นอกจากนี้ก็ยังมีพวกนักอัญเชิญที่สามารถอัญเชิญนักผจญภัยระดับสูงมาเสริมกำลังได้ด้วย…”
“แบบนี้นี่เอง.. เพราะงี้เลยไม่จำเป็นต้องใช้ทหารในการประจำการมากนักสินะ พอถึงเวลาก็แค่ติดต่อไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อให้ส่งกำลังพลมาเสริมก็พอแล้ว”
“…ใช่แล้ว …ด้วยเหตุนี้ทหารที่ประจำการอยู่ในป้อมจึงค่อนข้างน้อยมาก …ขนาดที่ว่าต่อให้เดินเล่นอยู่ในนั้นสักครึ่งค่อนวันก็อาจไม่เจอทหารเลยสักคนด้วยซ้ำ …ถ้าไม่ไปแตะโดนระบบตรวจจับเข้าน่ะนะ…”
“อืม… แล้วตำแหน่งของอาติแฟคที่เราจะเข้าไปขโมยมาเนี่ย อยู่ตรงไหนเหรอคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามขึ้น เพราะแม้จะไม่มีปัญหาเรื่องเวรยาม แต่การจะหาของชิ้นหนึ่งจากสถานที่ซึ่งมีความกว้างขวางขนาดนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี
“…ตำแหน่งของอาติแฟคชิ้นนี้น่ะฉันยังไม่รู้แน่ชัด …แต่ถ้าเข้าไปได้แล้วก็มีวิธีที่จะใช้ตรวจหาตำแหน่งของมันอยู่ …เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“…เอาล่ะ เรื่องรายละเอียดของแผน ฉันจะอธิบายให้ฟังอีกทีในวันพรุ่งนี้ …ส่วนคืนนี้ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้…”
เมื่อแซนโดรกล่าวปิดการประชุมแล้ว เธอก็เดินนำทุกคนไปยังห้องพักแต่ละห้องที่จัดเตรียมไว้ เพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนเอาแรง
ซาลมีความคิดที่อยากจะคัดค้านแผนการนี้อยู่ในใจตลอดเวลานับแต่แซนโดรนำเสนอมันขึ้นมา เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
ไม่ว่าอาติแฟคชิ้นนั้นเป็นของสำคัญแค่ไหน แต่หากใครสักคนต้องเป็นอะไรไป เขาก็คิดว่ามันไม่คุ้มเลย
แต่เพราะแซนโดรบอกว่ามันเป็นแค่ภารกิจลอบขโมยของ ไม่ใช่การเข้าปะทะตรง ๆ ซาลจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง และได้แต่ภาวนาให้ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย
——————————————————————————————————–
Part 3
วันต่อมา หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว แซนโดรก็อธิบายรายละเอียดของแผนการให้ทุกคนได้ฟัง
การปฏิบัติการจะเริ่มขึ้นหลังจากตะวันตกดินในเย็นวันนี้ โดยแซนโดร, ลานาเทล, และอัลติม่า จะลอบเข้าไปในป้อมโดยใช้ทางระบายน้ำซึ่งอยู่ใต้ดิน และมีส่วนที่เชื่อมต่อกับชั้นใต้ดินของป้อมได้
แซนโดรมอบสร้อย ‘ม่านแห่งความมืดมิด’ ซึ่งสามารถกลบเกลื่อนตัวตนทุกชนิดได้ให้กับอัลติม่า เพื่อให้เธอไม่ถูกพบโดยอุปกรณ์ตรวจจับปิศาจ ทำให้อัลติม่าบ่นขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมไม่ทำของแบบนี้มาให้แต่แรก แต่แซนโดรก็กลบเกลื่อนไปว่ามันเป็นของหายากที่ต้องใช้เวลาสร้างนาน จึงเพิ่งนำมาให้เธอได้
ความจริงฝั่งนรกเองก็มี ‘ม่านแห่งความมืดมิด’ อยู่เช่นกัน แต่เพราะมันเป็นของที่มีจำนวนจำกัด จึงถูกมอบให้เฉพาะกับเหล่าปิศาจที่ต้องเดินทางเข้าออกอาณาจักรต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ ส่วนปิศาจที่อยู่เฝ้าประจำถิ่นอย่างอัลติม่านั้นไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานสร้อยนี้สักเท่าไหร่ จึงไม่เคยมีไว้ใช้งานเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงคิดว่าหากเสร็จภารกิจและได้สร้อยนี้ไว้ในครอบครอง มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนัก เธอจึงไม่ได้โต้แย้งหรือขัดคอแผนการของแซนโดรอีก
เพราะตัวป้อมมีทหารประจำการอยู่น้อยจึงพึ่งพาระบบเวทมนตร์ในการรักษาความปลอดภัยเป็นหลัก แซนโดรจึงมั่นใจว่าจะสามารถปลดหรือหลีกเลี่ยงระบบพวกนั้นได้อย่างสบาย การลอบเข้าไปในป้อมจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร
หลังจากเข้าไปในป้อมแล้ว เธอจะดำเนินการเพื่อตรวจสอบหาตำแหน่งของอาติแฟคที่ต้องการ เมื่อตรวจพบแล้วพวกเธอก็จะรีบไปชิงมันมา แล้วก็รีบเผ่นหนีออกจากแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสทันที
สำหรับซาลกับนิโคลจะรออยู่ด้านนอกป้อมเพื่อรอภารกิจเสร็จสิ้น เมื่อทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดีและทุกคนกลับมารวมตัวอีกครั้ง พวกเขาก็จะรีบเดินทางออกจากโครซิสในทันที
แผนการทุกอย่างฟังดูเรียบง่ายและไม่น่ามีอันตรายอะไร แต่ซาลก็ยังอดกังวลไม่ได้ เขาจึงได้แต่เฝ้ารอให้ถึงเวลาด้วยความกระวนกระวาย
ในที่สุด เวลาพลบค่ำก็มาถึง
บนเนินเขาซึ่งอยู่เกือบสุดขอบเขตแดนของ ‘ที่ราบแห่งความหวัง’ แซนโดรได้กำหนดให้ที่นี่เป็นจุดรวมพล ซึ่งซาลกับนิโคลต้องรอพวกเธออยู่ที่นี่
ก่อนที่จะแยกตัวไป แซนโดรก็ได้เรียกซาลกับอัลติม่ามาคุยกันเป็นการส่วนตัว
“…ซาลารัส …ฉันอยากให้เธอมอบสิทธิ์ในการสั่งการอัลติม่าให้กับฉันซะ …อย่างน้อยแค่ในคืนนี้ก็พอแล้ว…”
“เอ๋?”
“หา!? เรื่องอะไรล่ะ! ฉันน่ะไม่รับคำสั่งจากเธอหรอก!”
ซาลมองแซนโดรด้วยสีหน้าประหลาดใจ ส่วนอัลติม่าก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“…เพราะแบบนี้ไงล่ะมันถึงจะเกิดปัญหา …ถ้าเธอไม่ฟังฉันและเข้าไปทำอะไรตามใจตัวเองละก็ แผนการอาจล้มเหลวและพวกเราก็จะเกิดอันตรายได้ …ฉันต้องการให้เธอทำตามแผนที่ชั้นวางเอาไว้ทุกขั้นตอน …ดังนั้น ซาลารัส มอบอำนาจในการสั่งการให้กับฉันซะ…”
“กรอดดด…”
อัลติม่าแสดงท่าทีไม่พอใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ซาลก็พอจะเข้าใจเหตุผลของแซนโดรว่าทำไมถึงต้องการสิทธิ์ในการออกคำสั่ง เพราะอัลติม่าคงไม่ยอมทำตามคำสั่งของแซนโดรง่าย ๆ อยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการดำเนินงาน ดังนั้นแม้จะเป็นการฝืนใจเธอไปสักหน่อย แต่วิธีนี้คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
“เข้าใจล่ะ… อัลติม่า คืนนี้จงทำตามคำสั่งของแซนโดรทุกอย่างเลยนะ นี่เป็นคำสั่ง”
“อึก.. ฮึ่ม….”
แม้จะรู้สึกผิดต่ออัลติม่านิดหน่อย แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคนรวมถึงตัวอัลติม่าเองแล้ว นี่คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ซาลจึงได้แต่คิดว่าจะหาวิธีชดเชยให้กับอัลติม่าในภายหลัง
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว กลุ่มปฏิบัติการของแซนโดรก็แยกตัวออกไป และมุ่งหน้าสู่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสในทันที
ซาลได้แต่เฝ้ามองพวกเธอด้วยความเป็นห่วง นิโคลซึ่งเห็นสีหน้าเป็นกังวลนั้นจึงเอามือโอบไหล่ของเขาเอาไว้เพื่อให้เขาผ่อนคลายลง
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ทุกคนต้องปลอดภัยกลับมาแน่ค่ะ”
“อื้ม”
แม้จะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ซาลก็ยังคงมองตามหลังพวกแซนโดรไปด้วยความรู้สึกเจ็บใจที่ตนเองไม่สามารถเป็นกำลังให้กับทุกคนได้มากกว่านี้ เขาได้แต่คิดว่าควรจะต้องรีบเก่งให้ได้ไว ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นเพียงคนดูอยู่ข้างสนาม ในขณะที่คนอื่นต้องออกไปเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีก
——————————————————————————————————–
Part 4
แซนโดรเลือกลงทางระบายน้ำในจุดที่ไม่ห่างจากเนินเขาที่พวกซาลารัสอยู่เท่าไหร่นัก
ดูภายนอกแล้วแทบมองไม่ออกเลยว่ามันเป็นทางลงไปยังทางระบายน้ำ เพราะมีต้นไม้และพุ่มไม้บดบังอยู่เยอะมาก แต่แซนโดรก็หามันจนพบ ที่บานประตูสำหรับลงไปยังทางระบายน้ำนั้นถูกผนึกเอาไว้ด้วยวงเวทตรวจจับการบุกรุกซึ่งพรางตัวไว้อย่างแนบเนียน แต่เธอก็ยังรู้ก่อนและสามารถปลดมันออกได้อย่างง่ายดาย ทำให้ลานาเทลคิดว่านี่คงเป็นแผนการที่แซนโดรได้เตรียมการเอาไว้นานแล้ว แค่ยังไม่ได้ลงมือทำเท่านั้นเอง
เมื่อลงมาถึงทางระบายน้ำ ลานาเทลกับอัลติม่าก็ต้องแปลกใจกับความกว้างของมัน พวกเธอคิดว่ามันจะเป็นทางระบายน้ำที่แคบและสกปรก แต่ด้านล่างนี้กลับสะอาดโอ่โถงราวกับเป็นถนนใต้ดินในเมืองใหญ่ โดยมีทางน้ำไหลอยู่ตรงกึ่งกลาง เป็นโครงสร้างท่อระบายน้ำสุดอลังการที่แม้แต่เมืองหลวงของหลาย ๆ อาณาจักรก็ยังไม่มีใช้เลยด้วยซ้ำ
พวกแซนโดรใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะมาถึงจุดที่น่าจะเป็นทางเข้าแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสส่วนล่าง ความจริงการเดินทางนั้นใช้เวลาไม่มากนัก แต่ที่ทำให้เสียเวลาจริง ๆ คือการต้องคอยปลดวงเวทตรวจจับเป็นระยะ ๆ มากกว่า
จากจุดที่ลงมายังทางระบายน้ำจนกระทั่งถึงทางเข้าแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนี้ แซนโดรต้องปลดวงเวทตรวจจับไปมากกว่าสิบครั้งแล้ว ทำให้ลานาเทลคิดว่าอันที่จริงการเฝ้าระวังด้านนอกของป้อมนั้นห่างไกลจากคำว่าหละหลวมมาก
แซนโดรใช้หมอกปกคลุมร่างของทุกคนก่อนจะปลดวงเวทบนประตูบานสุดท้าย ก่อนจะเปิดมันเพื่อเข้าไปยังด้านใน ทำให้ทุกคนมาโผล่ยังชั้นใต้ดินล่างสุดของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสแล้ว
ด้านในของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสเป็นโถงทางเดินที่มีพื้นและผนังเป็นลายหินอ่อนสีขาว ตัดกับขอบมุมสีเทาของหินอัคนี ให้ความรู้สึกแข็งแรง ทนทาน และงดงามไปในเวลาเดียวกัน
แซนโดรนำทุกคนเดินขึ้นมายังชั้นบนของป้อมอย่างระมัดระวัง แม้จะต้องคอยปลดวงเวทตรวจจับและปิดการทำงานของกล้องสอดแนมเป็นระยะ ๆ แต่ตลอดเส้นทางก็ยังไม่พบกับทหารยามเลยแม้แต่คนเดียว แม้ทุกอย่างจะดูง่ายดาย แต่ลานาเทลรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่เห็น เพราะระบบเฝ้าระวังและตรวจจับผู้บุกรุกของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนี้ค่อนข้างหนาแน่นมาก แถมหลาย ๆ จุดยังมีการพรางตัวอย่างแนบเนียน หากไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์จริง ๆ คงยากที่จะหามันพบ ยิ่งการจะปลดวงเวทป้องกันเหล่านั้นจากการทำงานก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก เพราะวงเวทตรวจจับแต่ละแห่งมีการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย หากจุดใดจุดหนึ่งมีการทำงานผิดปกติหรือหยุดการทำงานไปเฉย ๆ ก็จะส่งผลให้วงเวทอื่น ๆ ทำงานอยู่ดี แต่แซนโดรก็สามารถแทรกแซงและปลดการทำงานของเครือข่ายป้องกันทั้งระบบได้พร้อมกัน เป็นสิ่งที่ลานาเทลรู้สึกทึ่งมาก
“คุณแซนโดรเนี่ยเก่งทุกอย่างเลยนะคะ ชักจะรู้สึกหลงรักมากขึ้นแล้วสิ”
ลานาเทลพูดพลางโปรยยิ้มหวาน ทำให้อัลติม่าทำหน้าเหยเกเพราะรู้สึกเลี่ยน ส่วนแซนโดรก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปโดยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้น
ในที่สุดทุกคนเดินขึ้นมาถึงห้อง ๆ หนึ่งซึ่งเป็นห้องโถงที่มีกำแพงด้านหนึ่งเป็นกระจกใส จนสามารถมองออกไปเห็น ‘เคออสอารีน่า’ ได้เกือบทั้งหมดทีเดียว
อัลติม่าเดินไปเกาะขอบกระจกแล้วจ้องมองไปยังผืนดินอันว่างเปล่านั้น โดยมีสีหน้าเหมือนกำลังรำลึกถึงอะไรบางอย่าง ความจริงเธอไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่กลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากพื้นที่นั้น เพราะเคยมีปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสังเวยชีวิตลงที่นี่ กลิ่นอายนั้นทั้งทำให้เธอรู้สึกเย็นเยียบและเศร้าโศก
“…ห้องสำหรับสังเกตการณ์งั้นเหรอ …ที่นี่น่าจะใช้ได้นะ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็สร้างวงเวทมากมายขึ้นทั้งบนพื้นและบนกำแพง จนมันดูเหมือนกับเป็นแผงวงจรอันซับซ้อนที่ปกคลุมไปทั่ว
“…อาติแฟคที่เราต้องการจะชิงมาน่ะมีชื่อว่า ‘ไบฟรอส’ (Bifrost) …มันเป็นอาติแฟคที่ทำให้สามารถอัญเชิญนักผจญภัยที่มีความแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ได้ออกมา โดยไม่ต้องสนเรื่องกฎการสร้างทางเชื่อมระหว่างมิติ ที่ต้องการพลังเวทมากขึ้นตามความแข็งแกร่งของผู้ถูกอัญเชิญ…”
“เห~ มีของแบบนี้ด้วย จะว่าไปแล้วแค่อันนี้ก็น่าจะทำให้ซาลารัสกลายเป็นนักอัญเชิญระดับสุดยอดอย่างที่เขาใฝ่ฝันได้แล้วนะคะ”
“…แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้นสักเท่าไหร่หรอก …และของแบบนี้มีแต่จะไปหยุดยั้งการพัฒนาการของเขาเท่านั้น …ฉันแค่ต้องการมันมาสร้างอาติแฟคอีกชิ้นหนึ่งน่ะ…”
“อืม~ วงเวทมากมายที่คุณแซนโดรเอาออกมานี่ก็เพื่อจะหาพิกัดของเจ้า ‘ไบฟรอส’ นี่ใช่มั้ยคะ?”
“…ใช่แล้วล่ะ …หนึ่งในนักเวทอัญเชิญของที่นี่จะต้องมีคนที่ได้รับมอบหมายให้ถือครอง ‘ไบฟรอส’ อยู่แน่ เพื่อให้คน ๆ นั้นสามารถอัญเชิญผู้สร้างสันติภาพระดับ SS มาเสริมกำลังให้กับป้อมในยามที่ถูกโจมตี …วงเวทพวกนี้มีขึ้นเพื่อตรวจหาพิกัดของการอัญเชิญ หากมีการอัญเชิญระดับสูงขนาดนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ฉันก็จะรู้พิกัดได้ทันที…”
“เอ๋? แต่การอัญเชิญที่ว่าน่ะจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการรุกราน หรือประตูนรกถูกเปิดเท่านั้นไม่ใช่เหรอคะ?”
“…ใช่แล้วล่ะ …เพราะงั้นอัลติม่าถึงเป็นหัวใจสำคัญของปฏิบัติการครั้งนี้ไงล่ะ…”
“เห?”
“เอ๋?”
อัลติม่าที่ได้ยินคำพูดของแซนโดรก็หันขวับมาด้วยสีหน้างุนงง
“…ที่บอกว่าเราจะลอบเร้นกันน่ะ ฉันโกหก …จริง ๆ เราก็จะมาบุกนั่นแหละ …อัลติม่า จงไปเปิดประตูนรกเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั้งอัลติม่าและลานาเทลต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน แต่สำหรับอัลติม่า แววตาของเธอยังถูกฉาบย้อมไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอีกด้วย
เพราะคำสั่งนี้ก็เหมือนกับการสั่งให้เธอไปพบกับความตายนั่นเอง