Doombringer the 5th - ตอนที่ 41
Ch.41 – เพลงโหมโรงแห่งเคออสอารีน่า
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 41
เพลงโหมโรงแห่งเคออสอารีน่า
Part 1
แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสมีห้องควบคุมอยู่ทั้งหมดห้าห้องด้วยกัน โดยแต่ละห้องจะแบ่งพื้นที่เฝ้าระวังของตัวเองตามทิศ คือทิศเหนือ, ทิศใต้, ทิศตะวันออก, ทิศตะวันตก และห้องควบคุมส่วนกลาง
สำหรับห้องควบคุมส่วนกลางจะทำหน้าที่ประสานงานและรับการรายงานจากห้องควบคุมทิศต่าง ๆ และมีพื้นที่เฝ้าระวังของตัวเองคือส่วนของ ‘เคออสอารีน่า’ พื้นที่ซึ่งอยู่ใจกลางของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนั่นเอง
แม้ช่วงแรก ๆ ที่กำแพงยังมีไม่กี่ชั้น พวกปิศาจจะพยายามลักลอบเข้าไปเปิดประตูเพื่อส่งกองทัพขึ้นมาบนโลกบ้าง พวกมันไม่ได้คิดจะรุกรานโลกด้วยหนทางนี้ แต่ทำเพื่ออำพรางการส่งตัวปิศาจระดับสูงอย่างเพียวอีวิลขึ้นมายังโลก เพื่อใช้ในการดำเนินแผนการต่าง ๆ ในอนาคต แต่อัตราการรอดของปิศาจที่บุกมาทางนี้ก็ค่อนข้างต่ำมาก ยิ่งนานวันเข้า กำแพงของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสก็ถูกสร้างให้หนาขึ้น จนตีฝ่าออกไปยากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเมื่อมีกำแพงชั้นที่ห้า เหล่าปิศาจก็ถูกกำจัดจนราบคาบโดยไม่เพียวอีวิลตนใดหลุดจากการปิดล้อมออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว นรกจึงเลยเลิกใช้รอยแยกแห่งนี้เป็นช่องทางในการขึ้นมาบนโลก และหันไปหาวิธีอื่นในการส่งปิศาจขึ้นมาแทน
ด้วยเหตุนี้ แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสจึงแทบไม่ได้พบกับการรุกรานมาเป็นเวลาเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว
กลับกัน เมื่อฝั่งนรกไม่มีความเคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ทางพีชคีปเปอร์จึงคิดที่จะส่งกองกำลังลงไปโจมตีนรกแทน นี่เป็นปฏิบัติการลับสุดยอดที่มีชื่อว่าโปรเจกต์ ‘เฮลเรด’ (Hell Raid)
แต่ทว่าการเชื่อมต่อของรอยแยกนั้นมีลักษณะพิเศษอยู่ คือมันเป็นประตูที่เปิดจากฝั่งนรกขึ้นมายังโลก ทำให้การเดินทางเป็นไปแบบทางเดียว แปลว่าแม้เหล่าปิศาจจากฝั่งนรกจะบุกขึ้นมาบนโลกได้ แต่ทางฝั่งโลกจะไม่สามารถส่งคนผ่านประตูลงไปยังนรกได้ ทำให้โครงการนี้เป็นอันต้องล้มพับไป
อีกประเด็นคือ บริเวณรอยแยกจะมีความเข้มข้นของกระแสเวทมนตร์ค่อนข้างสูง จึงเป็นสิ่งดึงดูดให้เหล่าอสูรนรกมารวมตัวกันที่ประตูอีกฟากหนึ่ง ทันทีที่มีการเปิดประตูเกิดขึ้น พวกอสูรนรกชั้นต่ำก็จะไหลทะลักกันออกมาแบบมืดฟ้ามัวดิน สิ่งนี้ได้กลายเป็นระบบป้องกันของนรกแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำให้การจะฝ่าเหล่าอสูรผ่านประตูนรกลงไปได้เป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก กว่าจะจัดการกับพวกมันเพื่อเข้าไปพบว่าประตูนี้ไม่สามารถใช้เดินทางไปยังนรกได้ ทางพีชคีปเปอร์ก็ต้องสูญเสียกำลังคนไปเป็นจำนวนไม่น้อย สร้างความเจ็บใจให้กับเหล่าผู้บริหารอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ทางพีชคีปเปอร์ก็ยังเล็งเห็นประโยชน์ของรอยแยกนี้ จึงใช้มันเป็นเครื่องมือในการซ้อมรบหรือฝึกฝนเหล่านักผจญภัยขององค์กร โดยการเปิดประตูนรกขนาดเล็กขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อปล่อยอสูรนรกออกมาสู้กับกองกำลังที่องค์กรจัดเตรียมไว้ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ฝึกฝนคนขององค์กรได้แล้ว ยังทำให้ได้วัตถุดิบหายากหลายชนิดจากการแยกส่วนซากศพของเหล่าอสูรนรกได้อีก มันจึงกลายเป็นกิจกรรมที่ทำเป็นประจำทุก ๆ เดือนของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสไป
ด้วยเหตุนี้พื้นที่ใจกลางแพนเดโมเนี่ยมจึงถูกเรียกว่า ‘เคออสอารีน่า’ (ลานประลองแห่งความโกลาหล) เพราะมันเป็นสถานที่ ๆ พีชคีปเปอร์ใช้ในการซ้อมรบกับเหล่าอสูรนรกนั่นเอง แต่นอกเหนือจากช่วงเวลาซ้อมรบแล้ว พื้นที่ของเคออสอารีน่าก็เป็นเพียงแค่ทุ่งรกร้างว่างเปล่าอันเงียบสงบ เหมือนเป็นแค่ที่โล่งกว้างธรรมดา ๆ เท่านั้น
เหล่าเจ้าหน้าที่ประจำห้องควบคุมในปัจจุบันก็ไม่ใช่คนรุ่นที่เคยพบกับประสบการณ์จริงในการรุกราน สำหรับพวกเขาแล้วการเฝ้าดูหน้าจอมอนิเตอร์ในเวลาปกติจึงเป็นงานที่น่าเบื่อมาก เพราะมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย
“ฮ้าววว~ ง่วงชมัดเลย…”
“เฮ้ ๆ เพิ่งจะมาเข้ากะได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ง่วงแล้วเรอะ ตั้งใจทำงานหน่อยเซ่ พวกเราน่ะคือผู้เฝ้าระวังภัยคุกคามให้กับโลกเชียวนะ”
เจ้าหน้าที่รูปร่างท้วมคนหนึ่งในห้องควบคุมแสดงอาการเบื่ออย่างออกนอกหน้าจนโดนเจ้าหน้าที่อีกคนพูดเตือนเข้า แต่ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงแล้ว ผู้ที่เตือนก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า ‘เราคือผู้เฝ้าระวังภัยคุกคามให้กับโลกเชียวนะ’ นั้นกล่าวด้วยเสียงที่ออกแนวประชดประชันมากกว่า ทำให้พนักงานที่ถูกเอ็ดไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอะไร แถมยังยิ้มสบาย ๆ ตอบกลับมา
“งานนี้มันก็สบายดีอยู่หรอกนะ แถมรายได้ก็ดีด้วย แต่นายไม่รู้สึกเสียดายบ้างเหรอ? เราน่ะยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลยนา น่าจะไปหางานอะไรที่มันตื่นเต้นเร้าใจกว่านี้หน่อย ส่วนการนั่งเฝ้าจอมอนิเตอร์เนี่ย ให้พวกพนักงานวัยเกษียนเค้าทำกันเถอะ ทำไมทางองค์กรถึงคิดไม่ได้นะ”
“ถ้าอายุเยอะแล้วก็ต้องแปลว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงน่ะสิ เขาก็ไม่มาทำงานเบ๊แบบนี้หรอกน่า”
“เออเนอะ ฉันก็ลืมนึกไป…”
เจ้าหน้าที่หนุ่มยังคงเอนตัวและสอดส่องสายตาไปรอบ ๆ ห้องเพราะไม่รู้จะทำอะไรแก้เบื่อดี
ในห้องนั้นยังมีพนักงานคนอื่น ๆ อยู่อีกร่วมสิบคนด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนก็สรรหาอะไรทำฆ่าเวลาด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งการอ่านหนังสือ, เล่นแท็บเล็ท, หรือแม้แต่ถักไหมพรม ไม่ได้มีใครตั้งใจมองหน้าจอที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่เลยสักนิด
“นี่ แผงควบคุมตรงโน้นน่ะ เป็นแผงวงจรเวทมนตร์ที่ใช้เปิดหรือปิดประตูนรกได้สินะ?”
“อืม ใช่แล้วล่ะ ฉันเคยเห็นหัวหน้าฝ่ายใช้มันในการเปิดประตูเพื่อซ้อมรบมาหลายครั้งแล้ว”
“…นาย …เคยคิดจะลองกดเล่นดูบ้างรึเปล่า?”
“เฮ่ย พูดบ้าๆน่า…… ใครบ้างล่ะที่จะไม่คิดน่ะ? ฉันว่าทุกคนในห้องนี้ต่างก็อยากจะลองกดดูสักครั้งทั้งนั้นแหละ ฮ่า ๆ ๆ ”
เจ้าหน้าที่หนุ่มหัวเราะร่วนเพราะนั่นเป็นเรื่องที่รู้กันดี ไม่ว่าใครที่ทำตำแหน่งนี้ก็ต้องอยากลองกดปุ่มนั่นเพื่อเปิดประตูนรกดูสักครั้งกันทั้งนั้น จะได้เอาไปคุยโม้กับเพื่อน ๆ หรือครอบครัวได้ว่า ‘ฉันน่ะเคยเปิดประตูนรกมาแล้วเชียวนะ!’ ส่วนเจ้าหน้าที่ร่างท้วมเมื่อได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มขึ้นมา
“นี่ นายรู้รึเปล่าว่างานนี้มันก็เหมือนกับงานเฝ้ายามนั่นแหละ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราก็ไม่มีผลงานอะไรให้เขาใช้พิจารณาเลื่อนขั้นได้ มันต้องมีเหตุอะไรสักอย่างให้เราโชว์ฝีมือ แบบนั้นถึงจะมีโอกาสก้าวหน้า”
พอพูดจบ เจ้าหน้าที่ร่างท้วมก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังแผงควบคุมการเปิดประตูนรก โดยมีเพื่อนพนักงานอีกคนรีบลุกเดินตามไปติด ๆ
“เฮ้ ๆ จะล้อเล่นก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยนา ถ้าหัวหน้ารู้เข้าละก็ โดนย้ายไปเป็นยามหมู่บ้านแน่ ๆ ”
“เวลาประตูนรกเปิดขึ้นมาน่ะเขาจะรู้ได้ไงล่ะว่าใครเป็นคนเปิด? เราก็โมเมไปว่ามีคนแอบเข้าไปเปิดประตูซะก็หมดเรื่อง”
“มันจะง่ายขนาดนั้นได้ไงล่ะ.. เฮ้ย! เอามือออกจากแผงควบคุมนั่นซะ!”
เจ้าหน้าที่อีกคนเริ่มมีท่าทีร้อนรนเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานร่างท้วมเปิดฝาครอบของแผงควบคุมออกแล้วเอามือสัมผัสลงไป แต่อีกฝ่ายก็ยังมีสีหน้าขี้เล่นไม่เปลี่ยน
“นายอยากจะเป็นแค่คนเฝ้ายามไปจนแก่รึไง? ถ้าแบบนี้เราอาจได้เป็นวีรบุรุษผู้แจ้งเตือนการรุกรานครั้งที่ห้าเลยก็ได้นะ ว่าแล้วก็ลุยโลด!”
“เฮ้ย! อย่า!”
โดยไม่ฟังเสียงเตือนของเพื่อนอีกคน ชายหนุ่มก็กดวงเวทบนแผงควบคุมเพื่อเปิดประตูนรก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่ะ ๆ ๆ นายน่ะคิดว่าคนทั่วไปจะใช้งานแผงควบคุมนี่ได้จริงๆน่ะเหรอ? ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าถ้าไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ในการใช้งานก็ไม่สามารถทำให้มันทำงานได้หรอก นายน่าจะเห็นหน้าตัวเองเมื่อตะกี้นะเนี่ย จี้ชมัดเลย”
“เฮ้อ… อย่าทำให้ตกใจจะได้มั้ย…”
พอหยอกเพื่อนเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ร่างท้วมก็เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง โดยมีเพื่อนผู้หงุดหงิดเดินตามไปติด ๆ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินไปถึงที่นั่งของตัวเอง แสงไฟในห้องก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม และมีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังไปทั่ว
เจ้าหน้าที่ทั้งสองเกิดอาการหน้าซีดและขนลุกไปทั้งตัว เพราะนี่คือเสียงสัญญาณเตือนภัยเมื่อมีการเปิดประตูนรกขึ้นมานั่นเอง
“ฮะ.. เฮ้ย!? ไหนบอกว่าคนนอกเปิดประตูไม่ได้ไงล่ะ!?”
“มะ.. มันก็ไม่ได้จริงๆนะ! หัวหน้าเป็นคนบอกกับฉันเองนี่นา!”
“พวกนาย! ดูที่มอนิเตอร์นั้นสิ!”
ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่ เจ้าหน้าที่อีกคนในห้องควบคุมก็เรียกให้พวกเขาดูภาพหน้าจอมอนิเตอร์ซึ่งใช้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวใน ‘เคออสอารีน่า’
ในภาพนั้นปรากฏร่างของหญิงสาวผมทองคนหนึ่งซึ่งมีปีกสีดำคู่เล็ก ๆ เหมือนกับปีกค้างคาวกำลังบินและถ่ายเทพลังเวทไปยังรอยแยกระหว่างโลกจนมันค่อย ๆ ก่อรูปร่างเป็นก้อนพลังงานขึ้นมา
“พวกปิศาจลอบเข้ามาเปิดประตูนรกงั้นเหรอ!? ทั้งที่เลิกใช้เส้นทางนี้ไปกว่าเจ็ดสิบปีแล้วเนี่ยนะ!?”
“นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องพวกนั้นนะ! รีบแจ้งเตือนไปยังทุกฝ่ายให้เร่งระดมพลเร็วเข้า! เปิดสัญญาณเตือนภัยระดับหนึ่งเลย!”
เมื่อพูดจบ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ขะมักเขม้นกับระบบสื่อสารที่ตัวเองรับผิดชอบเพื่อทำการแจ้งเตือนไปยังฝ่ายต่าง ๆ ให้รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
บรรยากาศเอื่อยเฉื่อยสบายๆที่เคยมีอยู่ในห้องถูกสัญญาณเตือนภัยอันบีบหัวใจนั้นปัดเป่าจนหายไปในชั่วพริบตา
——————————————————————————————————–
Part 2
อีกด้านหนึ่ง ที่ใจกลางของเคออสอารีน่า
อัลติม่าก็กำลังถ่ายเทพลังเวทอย่างเต็มที่เพื่อเปิดประตูนรก แม้ใบหน้าของเธอจะมีหน้ากากสีดำปกปิดบริเวณดวงตาเอาไว้เพื่ออำพรางโฉม แต่ความโกรธเกรี้ยวที่แสดงออกมาทางสีหน้านั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด
“หนอยยย ยัยแซนโดร! คอยดูนะ ถ้ารอดไปได้ละก็ ฉันจะป่นกระดูกให้เป็นผงแล้วเอาไปลอยอังคารให้ถึงดวงจันทร์เลย!”
อัลติม่าได้แต่สาปแช่งแซนโดรพลางเร่งการเปิดประตูนรกอย่างสุดกำลัง แต่ในใจของเธอนั้นยังมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ก็คือความกลัว
เคออสอารีน่าเป็นพื้นที่ซึ่งจะถูกปิดผนึกเมื่อมีการเปิดประตูนรกเกิดขึ้น เรียกว่าเป็นกับดักมรณะสำหรับเหล่าปิศาจโดยแท้ ความแข็งแกร่งของมันถึงขนาดที่ทำให้นรกเลิกใช้รอยแยกนี้เป็นช่องทางในการขึ้นมายังโลกไปแล้ว เพราะโอกาสรอดจากที่นี่ไปได้นั้นต่ำมาก ๆ
อัลติม่าพยายามทุ่มเทพลังเพื่อเร่งการเปิดประตูนรกให้เร็วที่สุด จะได้รีบหนีออกไปจากที่นี่ แต่ก็ดูจะไม่ทันการ
ท้องฟ้าของเคออสอารีน่าค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยม่านพลังงานสีส้ม ม่านพลังนั้นถูกแผ่ออกมาจากกำแพงแต่ละด้าน แล้วขึ้นไปบรรจบกันที่จุดศูนย์กลาง จนท้องฟ้าที่เคยมืดมิดในยามราตรีกลับสุกสว่างราวกับเป็นเวลากลางวันแทน
อัลติม่าได้แต่มองการก่อตัวของม่านพลังงานนั้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและสิ้นหวัง แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีแค่การเร่งมือเพื่อเปิดประตูนรกต่อไป ตามคำสั่งของแซนโดร
ในที่สุดม่านพลังทุกๆด้านก็มาบรรจบกันโดยสมบูรณ์ จนกลายเป็นโดมพลังงานขนาดใหญ่ที่ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสจนมิด เหมือนกับกรงสีทองที่ใช้ปิดกั้นไม่ให้ใครสามารถเข้าออกจากพื้นที่นี้ได้อย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่โดมพลังงานนั้นก่อตัวเสร็จสมบูรณ์ เสียงปืนใหญ่จากรอบทิศก็ดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วกระสุนปืนใหญ่เวทมนตร์จำนวนมหาศาลก็พุ่งฝ่าอากาศมายังจุดที่อัลติม่าอยู่ราวกับห่าฝน
——————————————————————————————————–
Part 3
ที่ห้องสังเกตการณ์ซึ่งลานาเทลกับแซนโดรกำลังรอจับสัญญาณการอัญเชิญอยู่
ลานาเทลเฝ้ามองสถานการณ์ในเคออสอารีน่าผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ของห้องด้วยสีหน้าเพลิดเพลิน เพราะตอนนี้ภายในใจกลางของเคออสอารีน่านั้นเต็มไปด้วยเปลวไฟและควันจากการระเบิด จนดูเหมือนกับเป็นสนามรบ เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง จนเธอรู้สึกชื่นชอบจนเกือบจะฮัมเพลงออกมา
“แบบนี้… อัลติม่าเขาจะรอดมาได้จริง ๆ เหรอคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามขึ้นโดยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เธอพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะได้ยินความคิดของแซนโดรมากกว่า
“…เรื่องนั้นก็ขึ้นกับตัวแม่นั่นเองด้วยล่ะนะ ว่ามีฝีมือแค่ไหน …แต่คิดว่าคงไม่รอดหรอกมั้ง…”
“หมายความว่าตั้งใจจะพาอัลติม่ามาฆ่าทิ้งที่นี่อยู่แล้วงั้นเหรอคะ?”
“…คนที่ฆ่าอัลติม่าคือพีชคีปเปอร์ต่างหาก ไม่ใช่ฉันซะหน่อย …และอย่าลืมว่า แม่นั่นเป็นคนของนรก เป็นสายของฝ่ายตรงข้าม การเก็บยัยนั่นไว้ใกล้ ๆ ตัวนอกจากจะอันตรายแล้วยังทำให้เราทำงานไม่สะดวกด้วย …ที่สำคัญคืออัลติม่าถือพันธสัญญาที่มีวิญญาณของซาลารัสเป็นข้อแลกเปลี่ยนอยู่ ยังไงก็ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ …ปฏิบัติการครั้งนี้นอกจากจะใช้แม่นั่นเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้เราชิงอาติแฟคที่ต้องการแล้วก็ยังเป็นการปลดพันธสัญญาให้กับซาลารัสด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไงล่ะ…”
“หุหุหุ ร้ายกาจจริง ๆ เลยนะคะเนี่ย แต่ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ?”
คำถามนั้นทำให้แซนโดรรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าลานาเทลจะใส่ใจความเป็นความตายของอัลติม่าด้วย
“…เธอเองก็เป็นห่วงแม่นั่นด้วยเหรอ?…”
ลานาเทลยิ้มและส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมา
“คนที่ฉันเป็นห่วงคือคุณแซนโดรต่างหากค่ะ เรื่องนี้น่ะถ้าซาลารัสรู้เข้าละก็ เขาต้องโกรธมากแน่ ๆ เลย”
“…ก็ช่างสิ …ความคิดสวยหรูของเจ้านั่นน่ะใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้หรอก …เอาแต่คิดอะไรง่าย ๆ อย่างการเกลี้ยกล่อมศัตรูมาเป็นพวกมีแต่จะทำให้ต้องพบกับความเจ็บปวดเท่านั้น …รอให้ถึงเวลาที่สูญเสียไปแล้วค่อยมาคิดได้มันก็สายเกินไปแล้ว…”
เพราะอัลติม่าเป็นคนที่นรกส่งมาจริง ๆ การเก็บหอกข้างแคร่แบบนี้เอาไว้นับเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นต่อให้เป็นเธอเองก็คงทำไม่ต่างกันนัก ลานาเทลจึงไม่มีความรู้สึกคัดค้านการกระทำของแซนโดรเท่าไหร่ แม้เธอจะยังรู้สึกกังวลเพราะไม่อยากให้แซนโดรกับซาลต้องผิดใจกัน แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้วก็คงทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลย
ระหว่างที่คุยกันอยู่ พื้นที่ตรงกลางของเคออสอารีน่าก็ส่องแสงสว่างวาบราวกับดวงอาทิตย์ ตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนที่ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงการสั่นไหว มันไม่ใช่แรงสะเทือนทางกายภาพที่เกิดจากการสั่นไหวของพื้นดิน แต่เป็นเหมือนแรงกระชากของห้วงมิติที่แผ่ขยายจนเกิดแรงสะเทือนทางอณูวิญญาณไปทั่วบริเวณ
แสงสว่างและแรงสะเทือนนั้นทำให้การระดมยิงจากกำแพงต้องยุติลงชั่วคราวจนความเงียบปกคลุมไปทั่ว
หลังจากแสงสว่างจ้านั้นหายไปและฝุ่นควันจากการระเบิดเริ่มจางลง ก็ปรากฏประตูมิติสีแดงขนาดใหญ่ขึ้นตรงกลางของเคออสอารีน่า ภายในใจกลางประตูนั้นดูเป็นห้วงแห่งความมืดมิดอันไร้สิ้นสุดซึ่งยากจะหยั่งถึงปลายทางที่อยู่อีกฟากของประตูได้
มันเป็นภาพที่ทั้งงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน จนแม้แต่ลานาเทลยังถูกแรงดึงดูดของมันชักจูงให้เดินเข้าไปริมกระจกเพื่อดูให้ชัด ๆ
“นี่มัน…”
“…อืม …การเปิดประตูนรกสำเร็จแล้วไงล่ะ…”
——————————————————————————————————–
Part 4
หลังจากประตูนรกก่อตัวขึ้นเสร็จสมบูรณ์ เพียงครู่เดียวก็มีอสูรนรกจำนวนมหาศาลวิ่งกรูกันออกมาจากปากประตูนรก
อสูรกายเหล่านี้มีรูปลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัว มีฟันอันแหลมคมและกรงเล็บยาวใหญ่ แถมยังมีหนามแหลมโผล่ออกมาจากผิวสีแดงเข้มอันหยาบกร้านที่เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานของพวกมันเกือบทั่วทั้งตัว
พวกอสูรมีรูปลักษณ์อันหลากหลายแตกต่างกันออกไป บางตัวก็วิ่งเหมือนสัตว์สี่เท้า บางตัวก็มีร่างกายบึกบึนและวิ่งสองขาเหมือนมนุษย์ และบางตัวก็มีปีกบินบนท้องฟ้าได้
โดยปกติแล้วในเวลาซ้อมรบ ทางพีชคีปเปอร์จะเปิดประตูขนาดเล็กเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นเพื่อจำกัดจำนวนอสูรนรกที่จะออกมาได้ในแต่ละครั้ง แต่เพราะประตูที่เปิดขึ้นมาในครั้งนี้ถูกสร้างอย่างสุดกำลังโดยอัลติม่าทำให้มันมีขนาดใหญ่มาก แถมประตูยังถูกเปิดค้างเอาไว้ ทำให้มีอสูรนรกแห่ทะลักกันออกมาแบบมืดฟ้ามัวดิน
การได้เห็นอสูรนรกปริมาณมหาศาลขนาดนี้วิ่งกรูกันออกมาจากปากประตูเหมือนฝูงมดที่แตกรังเป็นภาพอันน่าสยดสยองซึ่งเหล่าเจ้าหน้าที่ของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน จนทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง แต่ก็มีเสียง ๆ หนึ่งจากอุปกรณ์สื่อสารเรียกสติของทุกคนกลับคืนมา
“มัวรีรออะไรอยู่! ทำการโจมตีต่อสิ! เปิดระบบป้องกันของกำแพงด้านในและเตรียมการอัญเชิญหน่วยทหารราบด้วย!”
เสียงนั้นเป็นของ ฮัมเมล แฟรงค์ (Hummel Frank) ผู้บัญชาการสูงสุดของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส
คำสั่งอันหนักแน่นและชัดเจนของเขาทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งสติได้และเริ่มปฏิบัติหน้าที่โดยพร้อมเพรียงกัน
เสียงปืนใหญ่จากบนกำแพงเริ่มดังขึ้นอีกครั้งทำให้เกิดห่ากระสุนกระจายตกไปทั่วเคออสอารีน่า
กระสุนทุกนัดเข้าเป้าและสังหารพวกอสูรนรกได้คราวละหลายตัว แต่นั่นก็เพราะทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยเหล่าอสูรจนไม่ว่ายิงไปตรงไหนก็ต้องโดนทั้งนั้น ซึ่งแม้การโจมตีจากปืนใหญ่จะทำให้พวกอสูรกระจายตัวไปบ้าง แต่จำนวนของพวกมันก็ดูจะไม่ลดลงเลย
ในขณะที่เหล่าอสูรกายวิ่งเข้ามาจนใกล้จะถึงแนวกำแพงนั้นเอง ก็ปรากฏวงเวทจำนวนมากขึ้นที่ผนังของกำแพง วงเวทเหล่านี้เรียงตัวกันจากขอบกำแพงด้านบนไล่ลงมาจนเกือบๆถึงส่วนกลางของกำแพงราวกับเป็นลวดลายอันวิจิตรที่ถูกวาดเอาไว้ตลอดแนวกำแพงด้านในของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส
เมื่อเหล่าอสูรวิ่งเข้ามาได้ระยะ วงเวททั้งหมดก็ระดมยิงกระสุนเวทมนตร์เข้าใส่พวกอสูรราวกับห่าฝน จนพวกมันล้มตายเป็นใบไม้ร่วง กระสุนเล็ก ๆ นี้แม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงเหมือนกับปืนใหญ่ แต่ด้วยความถี่ในการยิงก็ทำให้สามารถสกัดเหล่าอสูรระลอกแรกจากการเข้าถึงตัวกำแพงได้
หลังจากหยุดการบุกของอสูรระลอกแรกได้แล้ว พื้นด้านล่างของกำแพงขนาดมหึมานั้นก็ปรากฏวงเวทจำนวนมหาศาลหลายพันวงขึ้นมา
เพียงชั่วอึดใจ เหล่านักรบในชุดเกราะเต็มยศก็ปรากฏตัวออกมาจากวงเวทเหล่านั้น พวกมันคือร่างอัญเชิญเสมือนของหน่วยทหารสำหรับต่อต้านการรุกรานซึ่งถูกอัญเชิญออกมาใช้เพื่อถ่วงเวลาก่อนที่หน่วยรบจริง ๆ จะเดินทางมาถึงนั่นเอง
กองทัพนักรบซึ่งเป็นร่างอัญเชิญเสมือน กรีฑาทัพเข้าประจันหน้ากับเหล่าอสูรนรกด้วยจังหวะการเดินอันพร้อมเพรียงราวกับเครื่องจักร แนวหน้าของพวกเขาคือเหล่าทหารที่ถือหอกและโล่ซึ่งสวมชุดเกราะหนัก แถวสองเป็นนักดาบและพลหอกซึ่งคอยหนุนการโจมตีอีกแรง นอกจากนี้ยังมีนักเวทและนักธนูคอยเสริมอยู่ในแนวหลังอีกด้วย
เหล่าอสูรนรกที่ไร้สติปัญญากรูกันวิ่งเข้ามาชนแนวกำแพงที่ประกอบไปด้วยโล่และหอกนั้นอย่างไม่กลัวเกรง แต่การโจมตีอันไร้ระเบียบนั้นไม่ได้สร้างความสะทกสะเทือนให้กับกำแพงมนุษย์อันแข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการยิงสนับสนุนจากบนกำแพงยังทำให้อสูรที่เล็ดรอดมาจนถึงแนวป้องกันได้มีน้อยลงมาก การกำจัดอสูรที่เหลือรอดมาได้จึงเป็นงานอันง่ายดายแม้สำหรับเหล่าทหารซึ่งเป็นแค่ร่างอัญเชิญเสมือนก็ตาม
กลุ่มเจ้าหน้าที่ในห้องบังคับการของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสเริ่มแสดงอาการโล่งใจที่การโจมตีของเหล่าอสูรนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ยังไม่ทันจะได้พักหายใจก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสนามรบซะก่อน
อสูรขนาดกลางและขนาดใหญ่เริ่มปรากฏตัวออกมาจากประตูนรก พวกอสูรขนาดกลางมีความสูงกว่าห้าเมตร ส่วนพวกอสูรขนาดใหญ่บางตัวก็มีความสูงนับสิบเมตรทีเดียว
นอกจากพวกนี้แล้วก็ยังมีอสูรที่มีรูปร่างแตกต่างไปจากสมุนชุดแรกอีกมากมาย ทั้งพวกที่มีเกล็ดแข็งอันแวววับปกคลุมทั่วตัวราวกับชุดเกราะ หรืออสูรที่ลอยตัวกลางอากาศด้วยพลังเวทมนตร์ราวกับเป็นนักเวท
เหล่าอสูรชุดใหม่หลาย ๆ ตัวมีความสามารถในการโจมตีระยะไกลด้วย ทั้งการโจมตีด้วยเวทมนตร์ หรือการยิงหนามแหลมจากร่างกายของมันออกมา แนวป้องกันของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสจึงเริ่มถูกโจมตีกลับเป็นครั้งแรก
เพราะทางพีชคีปเปอร์ไม่เคยเปิดประตูที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ทำให้ไม่เคยมีบันทึกเรื่องอสูรนรกระดับนี้เอาไว้เลย เจ้าหน้าที่ของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสหลายคนจึงเริ่มตื่นตระหนกอีกครั้ง หัวหน้าฝ่ายของแต่ละห้องจึงต้องสั่งการเพื่อเรียกสติของทุกคนกลับมา
“ไม่ต้องห่วงน่า พวกมันแค่ยิงสะเปะสะปะเท่านั้นแหละ! สั่งการให้พวกนักเวทร่ายมนตร์ป้องกัน แล้วเปิดม่านป้องกันของกำแพงซะ!”
หลังได้ยินคำสั่งของหัวหน้า เจ้าหน้าที่ของห้องควบคุมก็ดำเนินการตามคำสั่งในทันที
เหล่านักเวทซึ่งอยู่ในแนวหลังของทัพร่างอัญเชิญเสมือนได้ทำการร่ายเวทสร้างเกราะป้องกันการโจมตีระยะไกล ทำให้เกิดม่านพลังงานใส ๆ ปกคลุมกองพลทั้งหมดเหมือนกับร่มซึ่งสร้างจากแก้วผลึก และป้องกันการโจมตีระยะไกลเหล่านั้นไว้ได้เกือบทั้งหมด
เหล่าเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมเริ่มมีสีหน้าผ่อนคลายอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ การโจมตีระยะไกลอันไร้แก่นสารของพวกอสูรก็เริ่มจับเป้าหมายเดียวกันขึ้นมา
ด้วยการมุ่งเน้นโจมตีในจุดเดียวกัน ทำให้ม่านพลังของเหล่านักเวทต้านทานไม่อยู่จนในที่สุดก็แตกออก ส่งผลให้เหล่านักรบเบื้องล่างเริ่มตกเป็นเหยื่อของห่ากระสุนจากฝ่ายอสูร
แม้แต่การโจมตีอันรุนแรงราวกับปืนใหญ่ของอสูรร่างยักษ์ที่เคยยิงอย่างมั่วซั่วก็กลายเป็นการโจมตีอันแม่นยำลงกลางกลุ่มทหารอัญเชิญ แนวป้องกันด้านหน้าของกำแพงจึงเริ่มระส่ำระสาย
“อะไรกันน่ะ!? ทำไมพวกมันถึงเริ่มโจมตีอย่างมีแบบแผนได้ล่ะ!?”
“ดูนั่นสิครับหัวหน้า!”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งนำภาพขึ้นหน้าจอหลักเพื่อให้หัวหน้าฝ่ายได้ดูสถานการณ์ที่เขาพูดถึงแบบชัด ๆ
มันคือภาพระยะไกลของหญิงสาวผมทองซึ่งห้อมล้อมไปด้วยอสูรกายร่างกำยำที่มีหัวเป็นสัตว์อีกสามตน จากท่าทางของเธอนั้น ดูเหมือนว่าเธอกำลังเป็นคนสั่งการเหล่าอสูรอยู่
“ชิ.. มีพวกอสูรระดับสูงผ่านประตูมาบ้างแล้วก็ดีหรอก แต่ถ้าไม่มีคนควบคุมสั่งการมันก็อาละวาดแบบสะเปะสะปะอยู่ดี… เบไลอัส! ฮาชมัล! อัลดราเมลค์! ไปรวบรวมพวกอสูรนรกจากทิศอื่น ๆ มาซะ! เราจะรวมกำลังบุกฝ่ากำแพงทางทิศตะวันออกกัน!”
“รับบัญชา…”
หลังจากรับคำสั่งของอัลติม่าแล้ว อสูรทั้งสามก็กางปีกออกและบินแยกย้ายกันไปยังทิศต่าง ๆ เพื่อรวบรวมไพร่พลในทันที
ภายใต้การนำของอัลติม่าและเหล่าสมุน พวกอสูรนรกที่เคยวิ่งกระจัดกระจายกันไปทั่วก็เริ่มรวมตัวกันและมุ่งหน้ามายังกำแพงทิศตะวันออกเป็นทางเดียว
สถานการณ์ที่เริ่มเลวร้ายลงนี้ทำให้ห้องควบคุมหลักของแพนเดโมเนี่ยมตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง
“มีพวกปิศาจระดับสูงเป็นคนนำทัพมาด้วยรึเนี่ย!? แถมด้วยจำนวนอสูรขนาดนี้ แค่ระบบป้องกันพื้นฐานคงต้านไม่อยู่แน่ ๆ ”
“ใจเย็นๆก่อน อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป”
“ตะ.. แต่ว่า หัวหน้าครับ!?”
“หน้าที่ของพวกเราน่ะมีแค่การถ่วงเวลาพวกอสูรจนกว่าทางอาณาจักรต่าง ๆ จะจัดเตรียมไพร่พลเสร็จสิ้นเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าบรรลุแล้วล่ะ”
เมื่อเขาพูดจบ กำแพงส่วนล่างสุดของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสก็เริ่มเปิดออกทีละจุด เผยให้เห็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีวงเวทเคลื่อนย้ายที่กินบริเวณกว้างเกือบทั้งห้องออกมา
เพียงไม่นานวงเวทนั้นก็ส่องแสงสว่างไสว และปรากฏร่างของผู้คนจำนวนมากออกมาแทนที่เมื่อลำแสงนั้นจางหายไป
พวกเขาคือกลุ่มทหารฝีมือดีจากอาณาจักรต่าง ๆ รวมไปถึงเหล่านักผจญภัยระดับสูงที่ถูกระดมพลมาเพื่อยับยั้งการรุกรานโดยเฉพาะ โดยแต่ละอาณาจักรจะส่งกำลังพลผ่านทางวงเวทเคลื่อนย้ายมายังส่วนล่างของกำแพงโดยตรง
กลุ่มทหารในชุดเกราะเคลื่อนพลออกมาจากห้องโถงในกำแพงโดยพร้อมเพรียงและเป็นระเบียบ ส่วนเหล่านักผจญภัยสารพัดอาชีพก็รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ และวิ่งตามออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
“กำลังเสริมมาถึงแล้วเหรอเนี่ย ไม่สิ ต้องบอกว่านี่คือกำลังหลักที่แท้จริงของเราสินะครับ”
“แล้วปิศาจตัวหัวหน้าที่เป็นคนสั่งการนั่นล่ะครับ?”
“เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของท่าน ผบ. ฮัมเมล เถอะนะ”
——————————————————————————————————–
Part 5
ที่ห้องโถงของผู้บัญชาการสูงสุด
ฮัมเมล แฟรงค์ ผู้บัญชาการสูงสุดของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสกำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อและหายใจเหนื่อยหอบ ท่าทางของเขาเหมือนกับคนที่เพิ่งออกกำลังกายมาจนเกือบหมดแรง
แม้จะเป็นชายสูงวัยที่ทั้งเส้นผมและเครากลายเป็นสีเทาไปหมดแล้ว แต่ฮัมเมลก็มีร่างกายที่กำยำล่ำสัน เมื่อบวกกับผมที่ตัดสั้นจนเกือบเกรียนก็ยิ่งทำให้ดูอ่อนกว่าวัยมาก
“ฟู่ว… ถึงจะมี ‘ไบฟรอส’ ช่วยด้วยก็เถอะ แต่การอัญเชิญนักผจญภัยระดับ SS มาทีเดียวสี่คนนี่มันก็กินแรงใช่ย่อยอยู่นะ”
“เห~ เรื่องนั้นไม่ใช่เพราะว่าลุงแก่แล้วหรอกเหรอ?”
ชายหนุ่มผมสีดำหน้าตาหล่อเหล่าในชุดนักผจญภัยก้าวออกมาจากวงเวทอัญเชิญพร้อมพูดแซวฮัมเมลที่ยังอยู่ในอาการเหนื่อยหอบด้วยสีหน้ายียวน
“หึ ถ้าคิดว่าเจ๋งจะลองดูบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะให้ยืมไบฟรอสก็ได้ แล้วดูซิว่าเธอจะอัญเชิญมาได้คราวละกี่คน”
“แหม~ คุณฮัมเมลอย่าเพิ่งโกรธสิคะ คอนน่ะเค้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
หญิงสาวอีกคนก้าวออกมาจากวงเวทและกล่าวขอโทษแทนคำพูดที่เสียมารยาทของชายหนุ่ม
เธอเป็นหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลอ่อนผู้มีดวงตาสีแดงและใบหน้าอันงดงาม ดูท่าทางเป็นมิตรและอัธยาศัยดี เธออยู่ในชุดกระโปรงที่มีรูปแบบเหมือนนักผจญภัยเช่นกัน
“ไม่ได้ล้อเล่นหรอก หมอนั่นมันก็ปากหมาแบบนี้แหละ แต่คุณฮัมเมลก็แก่ไปเยอะจริง ๆ นะ”
หญิงสาวอีกคนก้าวออกมาจากด้านหลังของหญิงสาวคนแรก เธอเป็นหญิงสาวที่ไว้ผมทรงทวินเทลสีทองฟูฟ่อง มีดวงตาสีฟ้าอ่อนและสีหน้าที่เหมือนกับเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา
“อย่างเธอเองไม่มีสิทธิ์ไปว่าคนอื่นหรอกนะ เลนิตี้”
คนสุดท้ายที่ก้าวออกมาจากวงเวทก็เป็นหญิงสาวเช่นกัน เธอไว้ผมเปียคู่สีเขียวและสวมแว่นตากรอบดำขนาดใหญ่เหมือนกับพวกหนอนหนังสือ บดบังดวงตาสีเขียวอ่อนอันงดงามนั้นไว้
ทั้งสี่คนคือ คอนคอร์ท (Concord), พีช (Peace), เลนิตี้ (Lenity), และ ไลฟ์ (Life) เหล่าผู้สร้างสันติภาพระดับต้น ๆ ของพีชคีปเปอร์ในขณะนี้
แม้ว่าดูภายนอกแล้วพวกเขาจะเหมือนเป็นแค่นักผจญภัยวัยหนุ่มสาวซึ่งน่าจะมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบกลาง ๆ เท่านั้น แต่ฝีมือของพวกเขาก็เป็นที่ยอมรับจากคนทั้งในและนอกองค์กร แถมยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลทั้งสามทวีป ในฐานะของกลุ่มผู้สร้างสันติภาพ (พีชเมคเกอร์) คลื่นลูกใหม่
“เฮ้อ… เรื่องอื่น ๆ น่ะเอาไว้ก่อน พวกเธอรีบไปสมทบกับกลุ่มนักผจญภัยและทหารของเราเพื่อทำการปิดประตูนรกเถอะนะ ส่วนฉันขอเวลาพักเอาแรงอีกสักเดี๋ยวแล้วจะอัญเชิญอาจารย์ของพวกเธอมาช่วยด้วยอีกคน”
“เห? เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องไปรบกวนอาจารย์ออแลนด์เลยนี่นา แค่พวกเราสี่คนก็จัดการได้สบายมากอยู่แล้ว”
คอนคอร์ทพูดขัดขึ้นมาด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ ทำให้ฮัมเมลต้องถอนหายใจอีกครั้ง
“ไม่รู้สถานการณ์ก็อย่าประมาทให้มันมากนัก ประตูนรกที่ถูกเปิดขึ้นมาในครั้งนี้น่ะไม่เหมือนกับตอนซ้อมรบหรอกนะ ขนาดของมันใหญ่กว่ากันหลายเท่า แถมยังมีพวกปิศาจระดับสูงเป็นคนนำทัพด้วย เราต้องรีบปิดประตูนรกให้เร็วที่สุดก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามไปมากกว่านี้”
เมื่อเห็นฮัมเมลมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา คอนคอร์ทก็หุบยิ้มและเลิกทำสีหน้าขี้เล่น
“สรุปว่าเป้าหมายของเราคือการจัดการกับผู้นำทัพของฝ่ายนรกสินะคะ?”
พีชเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยืนตัวตรงและจ้องมองมายังฮัมเมลโดยไม่มีท่าทีตามสบายอีกต่อไป
“ฉันแค่อยากให้พวกเธอตรึงกำลังหลักของฝ่ายโน้นให้ห่างจากประตูไว้เพื่อให้เราคุ้มกันนักเวทเข้าไปปิดประตูนรกได้ แค่อย่าให้มันหนีออกไปจากที่นี่ได้ก็พอแล้ว ที่เหลือก็รอการสมทบจากออแลนด์อีกที”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อรับทราบคำสั่งแล้ว หนุ่มสาวทั้งสี่คนก็เดินออกจากห้องโถงของผู้บัญชาการไป
อีกฟากหนึ่ง ที่ห้องสังเกตการณ์
แซนโดรก็สามารถจับสัญญาณการอัญเชิญและรู้ตำแหน่งที่อยู่ของไบฟรอสได้แล้ว
“…อืม …สัญญาณแบบนี้ …ไม่ได้อัญเชิญมาแค่คนเดียวหรือทีละคน …แต่เป็นการอัญเชิญถึงสี่คนพร้อมกันงั้นเหรอ …รึว่าจะเป็น ‘สี่นักดาบแห่งวันพิพากษา’ กันนะ…”
“หืม? สี่นักดาบเหรอคะ? กลุ่มนักดาบอัจฉริยะสี่คนที่เลื่อนระดับเป็นแรงค์ SS ได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเศษ ๆ นั่นน่ะเหรอคะ?”
“…ถ้าอัญเชิญมาสี่คนพร้อมกันก็น่าจะเป็นผู้สร้างสันติภาพกลุ่มนี้แหละนะ …แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาของเราหรอก …ตอนนี้ฉันรู้ที่อยู่ของ ‘ไบฟรอส’ แล้ว รีบไปกันเถอะ…”
แซนโดรทำการเก็บวงเวททั้งหมดทำให้มันกลายเป็นห้องอันว่างเปล่าอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่มีท่าทีลังเล
ลานาเทลเดินตามแซนโดรไป แต่ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องเธอก็หันกลับไปมองเคออสอารีน่าที่มีสภาพเหมือนกับเป็นสนามรบนั่นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่แววตาของเธอกลับมีความเศร้าเจือปนอยู่เล็กน้อย
“ความจริงก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ นิสัยซื่อ ๆ นั่นก็น่ารักดีทีเดียว น่าเสียดายจริง ๆ …”
เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งและเดินออกจากประตูไป