Doombringer the 5th - ตอนที่ 42
Ch.42 – ปิศาจที่ถูกทิ้ง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 42
ปิศาจที่ถูกทิ้ง
Part 1
ซาลจ้องมองดูโดมพลังงานสีส้มที่กำลังห่อหุ้มแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสอยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวาย
แม้จุดที่เขากับนิโคลอยู่จะห่างจากตัวป้อมปราการมากจนเห็นมันเป็นเพียงแค่สิ่งก่อสร้างที่อยู่เกือบปลายขอบฟ้า แต่ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมันก็ทำให้สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากนี้เขายังได้ยินเสียงกึกก้องของการระเบิดดังแว่วผ่านอากาศมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่! แบบนี้น่ะแปลว่าพวกแซนโดรถูกจับได้แล้วไม่ใช่เหรอ!?”
“พวกเขาอาจโดนพบตัวเข้า แต่คงยังไม่ถูกจับได้หรอกนะคะ ใจเย็น ๆ ไว้ก่อนค่ะ”
“แต่ถูกโดมนั่นปิดล้อมเอาไว้แบบนั้น จะออกมาได้ไงล่ะ!?”
“ดูดี ๆ สิคะ โดมนั่นน่ะปิดแค่ส่วนในของป้อมเท่านั้น ไม่ได้ครอบตัวป้อมทั้งหมด เหมือนกับว่าพวกเขากำลังสู้กับอะไรบางอย่างที่อยู่ในนั้นมากกว่า… บางทีคุณแซนโดรอาจใช้สมุนอย่างพวก ‘โบนดราก้อน’ (มังกรโครงกระดูก) เป็นเหยื่อล่อเพื่อดึงความสนใจ ในขณะที่ตัวเองแอบลอบไปขโมยอาติแฟคก็ได้ค่ะ”
คำพูดของนิโคลฟังดูมีเหตุผล ทำให้ซาลผ่อนคลายความกังวลลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“นี่ นิโคลน่ะเข้าไปช่วยพวกแซนโดรอีกแรงเถอะ เพื่อความแน่นอนไงล่ะ”
“ไม่ได้หรอกนะคะ ความปลอดภัยของคุณซาลารัสเองก็สำคัญเหมือนกัน.. ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งเลยค่ะ ดังนั้นฉันคงทิ้งคุณซาลารัสเอาไว้ไม่ได้หรอกนะคะ”
“งั้นถ้าผมไปด้วยล่ะ!”
“แบบนั้นมันก็ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่น่ะสิคะ ฉันยอมไม่ได้หรอกค่ะ”
“โธ่เอ๊ย! น่าหงุดหงิดที่สุดเลย!”
ตัวเขาเองนั้นไม่พอใจแต่แรกแล้วที่ได้แต่ยืนดูในขณะที่ทุกคนเข้าไปเสี่ยงอันตราย ตอนนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นนอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้วยังเป็นเหมือนตัวถ่วงที่ทำให้คนอื่นต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังอีก ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกอึดอัดกับความไม่ได้เรื่องของตนเองมากขึ้น นิโคลก็พอจะเข้าใจความคิดของเขาอยู่บ้าง จึงพยายามช่วยพูดปลอบโยนเท่าที่จะทำได้
“ใจเย็น ๆ ไว้ก่อนเถอะนะคะคุณซาลารัส ทั้งคุณแซนโดรและคุณลานาเทลน่ะต่างก็เป็นผู้ที่มีฝีมือสูงด้วยกันทั้งคู่ แล้วยังมีคุณอัลติม่ากับเหล่าสมุนของเธออีกแรงนึงด้วย ฉันเชื่อว่าพวกเขาต้องสามารถเอาตัวรอดได้แน่ค่ะ ดังนั้นเชื่อมั่นในตัวทุกคนแล้วรอพวกเขากลับมากันเถอะนะคะ”
แม้จะไม่อยากรอดูอยู่เฉย ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ในสถานการณ์นี้จริง มิหนำซ้ำการเข้าไปแทรกแซงโดยพลการอาจทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงด้วย ซาลจึงได้แต่พยายามข่มความหงุดหงิดนั้นเอาไว้ และโทษตัวเองที่ยังมีฝีมือไม่พอ
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันอยู่ แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
อักขระและโครงสร้างเวทมนตร์ขนาดมหึมาค่อย ๆ ก่อรูปร่างขึ้นบนท้องฟ้าเหนือตัวป้อม มันสอดประสานและซ้อนตัวกันจนกลายสภาพเป็นวงเวทขนาดยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งขนาดของมันน่าจะครอบคลุมตัวป้อมทั้งหมดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสี่กิโลเมตรได้พอดี
วงเวทขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้ทำให้ซาลารัสนึกถึงวงเวทเหนือท้องฟ้าของโรงเรียนอีจิสที่เขาเคยเห็น แต่วงเวทของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสมีขนาดใหญ่กว่ากันอย่างเทียบไม่ได้
วงเวทของโรงเรียนอีจิสใช้สำหรับเสริมพลังป้องกันให้กับเจ้าหน้าที่และนักเรียนทุกคนในโรงเรียน เพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมและการเรียนเวทมนตร์ แต่ตามที่แซนโดรบอก มันใช้ในการอัญเชิญร่างเสมือนของนักเรียนทั้งโรงเรียนออกมาด้วย
หากวงเวทของโรงเรียนอีจิสอัญเชิญนักเรียนนับพันคนออกมาได้ แล้ววงเวทขนาดยักษ์ของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนี้จะอัญเชิญร่างเสมือนออกมาได้กี่หมื่นคนกันล่ะ?
ยิ่งเห็นภาพแบบนี้ของแล้ว ซาลก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น แต่เพราะไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เขาจึงได้แต่ภาวนาให้ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย ด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ
——————————————————————————————————–
Part 2
ภายในเคออสอารีน่า
อัลติม่าจ้องมองวงเวทที่ลอยอยู่เหนือแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“วงเวทเสริมพลังงั้นเหรอ… แบบนี้พวกทหารที่อยู่ในนี้ก็จะยิ่งได้เปรียบเข้าไปอีก… ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อคงไม่ดีแน่… แต่สำหรับเราแล้ว ขอแค่ได้กลับเข้าไปในป้อมอีกสักครั้งก็น่าจะพอหาทางหนีออกไปได้”
เพราะการจะเจาะม่านพลังงานที่คลุมท้องฟ้าอยู่เป็นเรื่องที่ไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้ และระหว่างพยายามสลายม่านป้องกันเธอก็จะเป็นเป้านิ่งให้กับการโจมตีจากบนกำแพง การพยายามจะหนีออกไปทางอากาศจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
ด้วยเหตุนี้อัลติม่าจึงตัดสินใจที่จะบุกฝ่าออกไปทางกำแพงแทน ขอแค่สามารถนำทัพอสูรเข้าไปถึงตัวป้อมได้ เธอก็จะอาศัยจังหวะชุลมุนแอบเข้าไปในป้อมและใช้เส้นทางที่ลอบเข้ามาในการหลบหนีออกไปอีกครั้ง
เมื่อตัดสินใจได้แล้วอัลติม่าจึงสั่งเคลื่อนพล โดยให้เหล่าอสูรระดมยิงโจมตีเพื่อบั่นทอนกำลังป้องกันของกำแพงทางทิศตะวันออกลง
ด้วยการระดมโจมตีอย่างพร้อมเพรียงทำให้การโจมตีระยะไกลของเหล่าอสูรสามารถทำลายทั้งปืนใหญ่และวงเวทโจมตีบนกำแพงไปได้ทีละน้อย แม้แต่ตัวกำแพงบางส่วนก็แตกออกจนอัลติม่าเห็นช่องทางที่จะใช้กลับเข้าไปในป้อมได้
กองกำลังจากส่วนอื่น ๆ ของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสเริ่มเคลื่อนพลและบีบตัวเข้ามาโอบล้อมทัพหลักของอัลติม่า แต่ด้วยทัพหนุนอีกสองทัพที่อัลติม่าส่งไปตรึงการรุกคืบจากด้านอื่น ๆ เอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกขนาบได้ก็ช่วยยื้อเวลาไปได้บ้าง
กองกำลังหลักของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสนั้นใช้เหล่าทหารอัญเชิญเป็นแนวหน้าในการปะทะ แล้วตามด้วยหน่วยทหารจริง ๆ ซึ่งมีฝีมือเหนือกว่าพวกทหารอัญเชิญมาก นอกจากนี้ยังนักผจญภัยอีกมากมายเป็นกำลังเสริม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ช่วยเสริมทั้งการป้องกันและการโจมตีให้กับเหล่าทหารที่เข้าปะทะอยู่ ทำให้ฝ่ายมนุษย์เป็นฝ่ายได้เปรียบ และค่อย ๆ รุกคืบ บีบพื้นที่เข้ามาทีละน้อย
อัลติม่าไม่สนใจการตรึงพื้นที่ไว้สักเท่าไหร่ เพราะขอแค่รุกคืบเข้าไปถึงตัวกำแพงได้ก็พอแล้ว ซึ่งทัพหลักที่ได้รับการสนับสนุนจากการโจมตีระยะไกลอย่างเต็มพิกัดก็สามารถรุกคืบเข้าไปได้เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อได้ระยะแล้ว อัลติม่าก็เตรียมสั่งให้เหล่าอสูรพุ่งเข้าชาร์จอย่างสุดกำลังเพื่อเป็นการอำพรางการหลบหนีของเธอด้วย แต่ทันใดนั้นส่วนล่างของกำแพงที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปก็เปิดออก
กองทัพทหารในชุดเกราะเดินเรียงแถวหน้ากระดานออกมาจากช่องกำแพงนั้น โดยมีเหล่านักผจญภัยเป็นกำลังหนุนอยู่ด้านหลัง และก็ยังมีการอัญเชิญกองทหารที่เป็นร่างอัญเชิญเสมือนออกมาเป็นแนวหน้าให้ด้วย
“หืม? คิดจะใช้พวกทหารในการยันการโจมตีกลับงั้นเหรอ? แต่เปิดทางเข้าซะโล่งแบบนี้ก็เข้าทางน่ะสิ เอาล่ะ! อสูรทั้งหมด! จงบุกเข้าไปที่ช่องกำแพงนั่นเลย!”
ทันทีที่อัลติม่าออกคำสั่ง เหล่าอสูรก็วิ่งกรูกันเข้าไปยังช่องกำแพงแบบไม่กลัวความตาย โดยตัวเธอเองก็บินเลียดพื้นแฝงตัวกับเหล่าอสูรตามเข้าไปด้วย
แม้จะถูกโจมตีสกัดอย่างหนักด้วยการโจมตีระยะไกลจนถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก แต่เหล่าอสูรที่ไม่รู้จักความกลัวก็ไม่มีท่าทีที่จะชะลอความเร็วลงเลย
อีกเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงช่องกำแพงแล้ว อัลติม่าจึงเตรียมยิงพลังเวทเพื่อเปิดทางก่อนที่จะฝ่ากลับเข้าไปในป้อม แต่ทันใดนั้นก็มีคลื่นพลังขนาดใหญ่พุ่งสวนออกมาซะก่อน
มันเป็นคลื่นพลังที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับใบมีด ปลายด้านล่างของมันกดจมลงไปกับพื้นทำให้ผิวดินแหวกเป็นทางยาวเหมือนถูกคมดาบขนาดยักษ์ลากผ่าน แต่ผิดกับลูกลักษณ์ดุจใบมีดของมัน คลื่นพลังนั้นไร้ซึ่งความคมกริบแต่กลับมีแรงปะทะมหาศาล มันบดขยี้เหล่าอสูรนรกที่อยู่ในเส้นทางจนร่างแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บ้างก็ถูกกระแทกจนปลิวกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ บ้างก็กลายเป็นเศษเนื้อ ไม่มีอสูรตัวไหนที่ทัดทานพลังอันรุนแรงนั้นได้เลย
คลื่นพลังยังคงพุ่งออกมาจากช่องกำแพงอย่างต่อเนื่องและกวาดเหล่าอสูรออกไปทีละแถบ ทำให้อัลติม่าต้องหยุดชะงักเพราะพวกอสูรที่วิ่งนำเป็นแนวหน้าโดนกวาดไปเกือบหมดแล้ว
“อะไรกัน!? พวกพีชเมคเกอร์งั้นเหรอ!? หนอย!”
อัลติม่ากางปีกอีกคู่หนึ่งออกจากบั้นเอวก่อนจะม้วนปีกแต่ละข้างจนกลายสภาพเป็นก้านกระดูกสีดำคล้ายกับขาของแมลง จากนั้นจึงใช้มือทั้งสองร่วมกับปลายปีกทั้งสี่ชาร์จพลังเวทเพื่อยิงสวนกลับไปยังต้นตอของพลังคลื่น พลังเวทสีขาวจึงพุ่งเป็นลำแสงออกจากปลายมือของอัลติม่าไปยังที่มาของการโจมตีนั้น
ก่อนที่ลำแสงของอัลติม่าจะพุ่งไปถึงช่องกำแพงนั้นเอง ก็มีพลังงานรูปร่างเหมือนกับใบดาบขนาดใหญ่พุ่งซ้อนกันออกมาแล้วเข้าปะทะกับลำแสงของอัลติม่า
ใบดาบพลังคลื่นแต่ละอันสามารถตัดผ่านลำแสงของอัลติม่าเข้ามาได้ถึงระดับหนึ่งก็สลายไป แต่เพราะมีใบดาบซ้อนกันอยู่ถึงสี่ชั้น ทำให้มันพุ่งสวนลำแสงลึกเข้ามาเรื่อย ๆ จนในที่สุดหลังจากใบดาบอันที่สามแตกสลายไป ใบดาบอันที่สี่ก็ฝ่าเข้ามาจนถึงระยะอันตราย ทำให้อัลติม่าต้องหยุดการร่ายเวทแล้วหลบออกมาให้พ้นคมดาบแทน
เมื่อตั้งหลักได้ เธอก็จ้องกลับไปยังต้นตอของการโจมตีนั้น แต่เพราะฝุ่นควันจากการที่คลื่นพลังงานพุ่งฝ่าพื้นดินยังคละคลุ้งอยู่ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นอีกฟากหนึ่งของกลุ่มควันนั้นได้ถนัด
ในขณะที่อัลติม่าเตรียมชาร์จพลังเพื่อโจมตีอีกครั้งนั้นเอง ก็มีเงาคนหลายคนพุ่งฝ่ากลุ่มควันออกมา
คนแรกที่เข้ามาถึงตัวอัลติม่าเป็นชายหนุ่มผมดำมีแววตาคมกริบ เขาเหวี่ยงดาบขนาดยักษ์ที่มีความยาวเกือบสองเมตรเข้าใส่อัลติม่า แต่เพราะขนาดของมันเลยดูเหมือนว่าตัวดาบนั้นถูกขว้างออกมาโดยมีตัวเขาติดอยู่ตรงด้ามจับมากกว่า
อัลติม่าใช้ปีกที่มีรูปร่างเหมือนกับขาแมลงนั้นปัดป้องคมดาบและดีดตัวหนีออกมาได้ ทำให้ใบดาบขนาดยักษ์นั่นฟาดกระทบพื้นทำให้เกิดการระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เธอหันกลับไปมองเพื่อเตรียมจะโจมตีสวนกลับ แต่ก็สัมผัสได้ถึงการโจมตีจากอีกด้านหนึ่งซะก่อน
นักดาบหญิงผมสีทองและผมสีเขียวโผล่ออกมาจากม่านควันที่อยู่ด้านหน้าและเหวี่ยงดาบเป็นแนวขนานกับพื้นเข้าใส่เธอโดยพร้อมเพรียงกัน
อัลติม่าที่ไหวตัวก่อนสามารถโฉบตัวหลบการโจมตีนั้นขึ้นไปบนฟ้าได้ทัน ทำให้คมดาบทั้งสองเฉียดปลายเท้าของอัลติม่าไปเพียงนิดเดียว แต่บนฟ้าก็มีนักดาบอีกคนหนึ่งรออยู่แล้ว
นักดาบคนที่สี่ซึ่งเป็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลได้โดดขึ้นมาดักรอเพื่อปิดทางหนีสุดท้ายของอัลติม่าเอาไว้แล้ว และฟาดดาบขนาดยักษ์เข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว
อัลติม่าพยายามสะบัดปีกเพื่อพุ่งตัวหนีออกมา แต่ด้วยระยะที่ใกล้เกินไปบวกกับความยาวของดาบทำให้เธอหลบการโจมตีนั้นไม่พ้น
คมดาบถากเข้าที่หัวไหล่ของเธอจากด้านหลังจนเกิดบาดแผลเป็นแนวยาว มันยังตัดโดนปีกข้างหนึ่งของอัลติม่าจนหลุดกระเด็นออกไปด้วย ทำให้เธอร่วงตกลงไปบนพื้นแทบจะในทันทีเพราะเสียการทรงตัว
——————————————————————————————————–
Part 3
อัลติม่าเอามือกุมบาดแผลที่หัวไหล่และรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วโดยยังคงจ้องมองไปยังกลุ่มนักดาบอย่างไม่วางตา
นักดาบกลุ่มนั้นเป็นเพียงหนุ่มสาวอายุน้อยในชุดนักผจญภัยซึ่งดูไม่มีท่าทีน่าเกรงขามอะไรเลย ยกเว้นแต่ดาบขนาดมหึมาที่พวกเขาใช้เท่านั้น ทุกคนใช้ดาบขนาดยักษ์เป็นอาวุธประจำกาย มันเป็นดาบที่มีความยาวเกือบ ๆ สองเมตร และใบดาบน่าจะมีความกว้างเกือบสามสิบเซนติเมตรได้
ความใหญ่โตของมันช่างดูขัดกับสรีระอันบอบบางของหญิงสาวทั้งสามคนจนไม่น่าเชื่อว่าพวกเธอจะเหวี่ยงมันได้จริง ๆ แม้แต่ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มก็มีรูปร่างผอมบางจนไม่น่าจะยกดาบนั่นไหวเช่นกัน แต่ทุกคนสามารถเหวี่ยงดาบขนาดใหญ่นั้นได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว ราวกับเป็นของที่ไม่มีน้ำหนักอะไรเลย
“เห~ ปิศาจที่นำการบุกมาเป็นสาวน้อยเหรอเนี่ย? ชักจะลำบากใจแล้วสิ ฉันไม่ค่อยชอบทำร้ายผู้หญิงซะด้วย โดยเฉพาะผู้หญิงน่ารัก ๆ น่ะนะ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ และท่าทีขี้เล่น พลางยกมือขึ้นมาลูบคลำปลายคางของตนเองเหมือนกำลังพิจารณารูปลักษณ์ของอัลติม่าอยู่
“แปลว่าถ้าไม่สวยไม่น่ารักก็จะลงมือได้สบายมากสินะ?”
หญิงสาวผมทองผู้ไว้ผมทรงทวินเทลเอ่ยถามขึ้นพลางมองชายหนุ่มด้วยสายตาเหยียด ๆ ทำให้สายตาที่ดูเหนื่อยหน่ายเป็นปกติของเธอยิ่งให้ความรู้สึกรังเกียจออกมามากเป็นเท่าตัว
“ถ้าแบบนั้นก็พอจะกลั้นใจทำได้อยู่ล่ะมั้ง นี่เขาเรียกว่า ‘การคัดสรรของธรรมชาติ’ ไงล่ะ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าหรืองดงามกว่าย่อมเป็นผู้ที่อยู่รอดอยู่แล้ว”
“นายนี่มันต่ำช้าจริง ๆ เลยนะ รีบ ๆ ไสหัวไปตายซะ”
“อะไรกันเล่า~ แค่พูดความจริงก็ต้องโกรธกันด้วย เธอชอบผู้ชายปลิ้นปล้อนที่พูดเป็นแต่คำหวานอย่างเดียวมากกว่าสินะ?”
“นี่ พวกเธอทั้งสองคน หยุดเล่นกันก่อนได้มั้ย? อีกฝ่ายยังแข็งแรงดีอยู่เลยนะ”
หญิงสาวผมสีน้ำตาลพูดปรามทั้งสองคนโดยที่ยังจ้องมองไปยังอัลติม่าแบบไม่ละสายตา ในขณะที่สาวแว่นผมเปียสีเขียวที่ยืนอยู่ด้านหลังได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ทางด้านอัลติม่าก็ค่อย ๆ งอกปีกอันใหม่ออกมาแทนปีกที่ถูกตัดไป นอกจากนี้ยังมีปีกคู่ใหม่อีกหนึ่งคู่โผล่ออกมาจากศีรษะของเธอด้วย เธอใช้เวลารวบรวมพลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ปีกตรงกลางหลังและบั้นเอวจะเปลี่ยนรูปร่างไปพร้อมทั้งค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้น
ความจริงปีกของเหล่าปิศาจระดับเพียวอีวิลนั้นไม่ใช่อวัยวะจริง ๆ แต่เป็นพลังงานความมืดซึ่งกลั่นตัวจนเป็นรูปลักษณ์ ทำให้มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ตามที่เจ้าของต้องการ ตอนนี้ปีกของอัลติม่ากลายสภาพเป็นเหมือนกับหนวดปลาหมึกขนาดใหญ่แต่มีเปลือกแข็ง ๆ คล้ายกับเปลือกแมลงห่อหุ้มเอาไว้ด้วย
“หืม? ชักจะดูไม่ค่อยน่ารักแล้วแฮะ…”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาเมื่อเห็นรูปร่างที่เปลี่ยนไปของอัลติม่า ทำให้หญิงสาวผมทองแสดงสายตารังเกียจออกมายิ่งกว่าเดิม
“มันก็แหงล่ะ แม่นั่นน่ะเป็นปิศาจนะ รูปลักษณ์ที่แท้จริงก็ต้องไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้ว”
“แต่ตอนที่ยังมีร่างมนุษย์อยู่นี่ยังไงก็ดูน่ารักนี่นา ถ้าไงพวกเธอเป็นคนนำละกันนะ ฉันขอสนับสนุนอยู่ห่าง ๆ ก็พอแล้ว”
เหล่าหญิงสาวต่างก็มีสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับคำพูดของชายหนุ่ม แต่ก่อนที่จะมีใครเอ่ยคำพูดใด ๆ ก็มีปิศาจร่ายกายกำยำสามตัวบินลงมายืนบังอัลติม่าเอาไว้
ตรงกลางคือปิศาจที่มีหัวเหมือนแกะ เบไลอัส ด้านขวาคือปิศาจที่มีหัวเหมือนราชสีห์ ฮาชมาล และด้านซ้ายคือปิศาจที่มีหัวเหมือนเลียงผา อัลดราเมลค์ ทั้งสามคือสมุนคู่ใจของอัลติม่านั่นเอง
แม้จะไม่ได้รับการเรียกตัว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มีต่อเจ้านาย เหล่าอสูรก็รีบกลับมาเพื่อปกป้องอัลติม่าทันที
“โอ้ ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ คงพอจะลงมือได้อยู่มั้ง”
ชายหนุ่มพูดพลางก้าวออกมาด้านหน้า ก่อนที่จะเปลี่ยนชุดเป็นชุดเกราะเหล็กกล้าที่ปกคลุมทั่วทั้งตัวอย่างมิดชิด ชุดเกราะนั้นเป็นชุดเกราะแบบฟูลอาเมอร์ซึ่งพวกอัศวินเกราะหนักใช้กัน ทำให้ชายหนุ่มดูตัวโตขึ้นพอสมควร
หญิงสาวอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดเกราะเช่นกัน ทั้งสี่คนสวมชุดเกราะที่มีดีไซน์แบบเดียวกันจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เมื่อยืนเรียงกันแล้วจึงดูราวกับเป็นกลุ่มชุดเกราะที่ใช้วางประดับตามปราสาทหรือพระราชวังก็ไม่ปาน
ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะมีกระสุนปืนใหญ่ลอยมาตกลงบนพื้นที่ใกล้ ๆ แต่ละฝ่ายจึงพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว ราวกับได้รับสัญญาณให้เริ่มการต่อสู้
——————————————————————————————————–
Part 4
อีกด้านหนึ่ง ภายในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส แซนโดรกับลานาเทลก็ได้ลอบเข้ามาจนใกล้จะถึงห้องผู้บัญชาการของป้อมแล้ว
ก่อนจะบุกเข้าไปในห้อง แซนโดรได้มอบจี้ห้อยคออันหนึ่งให้กับลานาเทล
“…เธอเอานี่ไปสวมไว้ซะ…”
ลานาเทลมองดูจี้ห้อยคอนั่นแล้วก็พอจะรู้ว่ามันคืออาติแฟคสำหรับใช้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของผู้สวมใส่เป็นการชั่วคราว เธอเข้าใจว่าแซนโดรต้องการให้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงไว้ในขณะเข้าไปชิงอาติแฟค จึงรับจี้นั้นมาสวมเอาไว้โดยไม่ได้เอ่ยถามอะไร
ทันทีที่ทั้งสองคนสวมจี้ห้อยคอแล้ว ก็เกิดแสงอ่อน ๆ ปกคลุมร่างของทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชุดและรูปลักษณ์บางส่วนของทั้งคู่จะเปลี่ยนแปลงไป
ชุดของทั้งสองคนกลายเป็นชุดหนังรัดรูปสีดำ สวมทับด้วยเสื้อโค้ทยาว เส้นผมของแซนโดรกลายเป็นสีทอง ส่วนผมของลานาเทลกลายเป็นสีแดง ที่หลังของพวกเธอมีปีกค้างคาวสีดำคู่เล็กๆประดับอยู่ ใบหน้าครึ่งบนของทั้งสองคนมีหน้ากากสีขาวซึ่งมีดวงตาเรียวเล็กสีแดงปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ นอกจากนี้บนหัวของพวกเธอยังมีเขาคู่เล็ก ๆ เหมือนกับเขาของพวกปิศาจติดอยู่ด้วย
“รูปลักษณ์แบบนี้… ปิศาจงั้นเหรอคะ?”
“…ใช่แล้วล่ะ เราจะทำให้เหมือนกับว่าพวกปิศาจเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดในครั้งนี้ …เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เดินนำลานาเทลตรงไปยังประตูห้องของผู้บัญชาการ ซึ่งไม่ได้มีการเฝ้ายามหรือมีคนคุ้มกันอะไรเลย
แซนโดรยิงพลังเวทพังประตูเข้าไปตรง ๆ สิ่งที่พบก็คือห้องโถงซึ่งมีวงเวทขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง และถัดไปก็คือ ฮัมเมล แฟรงค์ ผู้บัญชาการของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตนเองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พวกปิศาจ!? เข้ามาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน!?”
แซนโดรยิงลำแสงเวทสีเขียวใส่ฮัมเมลในทันที แต่เขาก็พุ่งตัวหลบไปได้พร้อมกับดำเนินการร่ายเวทอะไรบางอย่างจนวงเวทที่พื้นเริ่มเปล่งแสงออกมา
“คิดจะอัญเชิญคนมาช่วยงั้นเหรอ!?”
ลานาเทลตวัดดาบจนเกิดใบดาบสีดำพุ่งขึ้นจากพื้นเป็นแนวยาวแล้ววิ่งตรงเข้าหาฮัมเมลอย่างรวดเร็ว
ฮัมเมลนั้นพพยายามร่ายเวทจนถึงที่สุดทำให้โดนคมดาบที่พุ่งทะลุพื้นขึ้นมาแทงเข้าตามร่างกายจนตัวลอยกระเด็นออกไปถึงหน้าโต๊ะทำงาน แซนโดรจึงรีบวิ่งเข้าไปประชิดร่างของฮัมเมลที่ยังนอนกลิ้งอยู่บนพื้นแล้วคว้าข้อมือของเขาเอาไว้
“…นี่คือ ‘ไบฟรอส’ สินะ? …ฉันขอก็แล้วกัน…”
แซนโดรพูดพลางปลดกำไลเงินที่สะท้อนแสงเป็นสีรุ้งออกจากข้อมือของฮัมเมล มันคือ ‘ไบฟรอส’ อาติแฟคที่แซนโดรตั้งใจจะมาชิงนั่นเอง
ในระหว่างที่เธอกำลังตรวจสอบไบฟรอสอยู่นั้นเอง วงเวทบนพื้นก็ส่องแสงสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากวงเวทนั้น
“ระวังค่ะ!!”
ลานาเทลพุ่งเข้าปัดคมดาบอันรวดเร็วที่กำลังฟาดเข้าใส่แซนโดรได้ทันท่วงทีก่อนที่มันจะทำอันตรายเธอได้ แต่การเหวี่ยงดาบครั้งที่สองก็ตามมาติด ๆ จนลานาเทลต้องคว้าตัวแซนโดรแล้วกระโดดถอยหนีออกมาให้พ้นจากระยะของคมดาบนั้น
เมื่อถอยมาตั้งหลักได้และมองกลับไป ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของทั้งคู่ก็คือชายวัยกลางคนผู้สวมชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มทับด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาล ในมือของเขามีดาบที่มีรูปลักษณ์อันงดงามและน่าเกรงขามซึ่งเรืองแสงสีส้มดูโดดเด่นเป็นอาวุธ
แม้เค้าหน้าจะดูเหมือนชายวัยกลางคน แต่ใบหน้าของชายผู้นี้กลับเนียนใสไร้ซึ่งริ้วรอยใด ๆ ราวกับเป็นคนวัยหนุ่มเลยทีเดียว หรืออาจกล่าวได้ว่ามีผิวหน้าที่เนียนละเอียดยิ่งกว่าคนวัยหนุ่มจริง ๆ ซะอีก
“นานแล้วนะเนี่ย ที่ไม่ได้เกิดเรื่องตื่นเต้นขนาดนี้น่ะ.. ลุกไหวรึเปล่า? ฮัมเมล?”
นักดาบในชุดเกราะสีเข้มเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองฮัมเมลเลยสักนิด สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ผู้บุกรุกทั้งสองอย่างไม่วางตา
“ขอโทษทีนะออแลนด์ แค่อัญเชิญตัวนายมาก็แย่แล้ว นี่ยังโดนเล่นงานเข้าไปอีก ฉันคงขยับไม่ได้ไปอีกพักนึงล่ะ…”
“เฮ้อ… นายนี่แก่ลงไปเยอะเลยนะ นั่งกินนอนกินเคยตัวก็แบบนี้ หัดไปออกภาคสนามซะมั่งสิ”
“ฉันรู้แล้วว่าเจ้าคอนคอร์ทมันได้นิสัยปากเสียมาจากใครน่ะ…”
นักดาบในชุดเกราะสีเข้มแสยะยิ้มให้กับคำตอกกลับของฮัมเมล ก่อนจะเหลือบตากลับมามองผู้บุกรุกทั้งสองอีกครั้ง
“…ชุดเกราะสีน้ำเงินเข้ม …ผ้าคลุมสีน้ำตาล …ชายวัยกลางคนที่ใบหน้าไร้ริ้วรอยราวกับเป็นคนหนุ่ม …แถมยังดาบที่เรืองแสงสีส้มนั่น …ดาบ ‘เอ็กซ์คาลิเบอร์’ (Excalibur) งั้นเหรอ…”
“คุณแซนโดรคะ… คน ๆ นี้น่ะ…”
“…อืม ไม่ผิดแน่ …หมอนี่คือ ‘นักดาบศักดิ์สิทธิ์ ออแลนด์’ (Sword Saint Orland) ผู้ที่ได้รับฉายาว่า ‘เทพสายฟ้า’ (Thunder God) …ผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งของพีชคีปเปอร์ตอนนี้ไงล่ะ…”
——————————————————————————————————–
Part 5
ที่เคออสอารีน่า สี่นักดาบก็ยังคงต่อสู้กับอัลติม่าและเหล่าสมุนอย่างดุเดือด
แม้จะสวมชุดเกราะที่ดูหนักและเทอะทะ แต่ทั้งสี่คนกลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เช่นเดียวกับการแกว่งดาบขนาดใหญ่ในมือ ซึ่งแม้จะต้องใช้สองมือในการจับ แต่ทุกคนก็ยังสามารถเหวี่ยงมันได้ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
อัลติม่าเป็นผู้นำในการบุก โดยใช้หนวดทั้งสี่ในการโจมตีจากระยะกลาง แต่ก็ถูกทั้งสี่คนผลัดกันปัดป้องจนไม่สามารถโจมตีให้เข้าเป้าได้สักครั้ง
เบไลอัสกับฮาชมัลพยายามเข้าไปโจมตีกระหนาบจากด้านข้าง แต่กลุ่มนักดาบก็มีการประสานงานกันอย่างดี ระหว่างที่คนหนึ่งปัดป้อง อีกคนหนึ่งก็จะเข้ามาโจมตี เมื่อคนหนึ่งหลบหลีกจนเสียตำแหน่ง อีกคนก็จะแทรกตัวเข้ามาแทน สี่คนเคลื่อนไหวสอดประสานกันราวกับเป็นคน ๆ เดียว เป็นทีมเวิร์คอันสมบูรณ์แบบและไร้ช่องโหว่
แม้แต่อัลดราเมลค์ที่พยายามโจมตีด้วยเวทมนตร์จากวงนอก ก็ยังถูกคนใช้เวทมนตร์ป้องกันสกัดการโจมตีเอาไว้ได้ ดูเหมือนว่าหนึ่งในสี่นักดาบจะมีคลาสรองเป็นนักบวชระดับสูง ทำให้สามารถใช้เวทป้องกันในการสกัดการโจมตีด้วยเวทมนตร์จากระยะไกลได้
ช่วงที่เผลอก็ยังมีการยิงเวทออกมาจากกลุ่มนักดาบ จนทำให้สมุนของอัลติม่าต้องเสียหลักไปบ้างเหมือนกัน แปลว่าในกลุ่มนั้นน่าจะมีคนที่มีคลาสรองเป็นนักเวทรวมอยู่ด้วย แต่เพราะทั้งสี่คนสวมชุดเกราะแบบเดียวกันหมดและสลับตำแหน่งกันไปมาตลอดเวลา ทำให้มองออกยากมากว่าใครเป็นใคร การจะเลือกโจมตีเฉพาะเป้าหมายจึงเป็นเรื่องยาก และคาดเดาการโจมตีสวนกลับของอีกฝ่ายได้ยากด้วย
ทางฝั่งอัลติม่านั้นแทบจะไม่สามารถทำกลุ่มนักดาบเสียกระบวนได้เลย แต่เวลาที่พลาดจนเกิดช่องโหว่กลับถูกโจมตีด้วยคลื่นพลังอันรุนแรงที่ซัดจนแม้แต่ร่างอันใหญ่โตของเหล่าสมุนยังต้องไถลถอยไปกับพื้น หรือถูกฟาดด้วยคมดาบจนเป็นแผลเหวอะ ทำให้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
ระหว่างที่อัลติม่ากำลังร้อนใจและคิดหาทางแก้สถานการณ์อยู่นั้นเอง เธอก็สัมผัสได้ถึงคลื่นสัญญาณซึ่งเป็นการติดต่อจากทางนรก ทำให้รู้สึกมีความหวังวูบขึ้นมา
“ทะ.. ท่านเดียโบลงั้นเหรอ!? พวกนาย! พยายามตรึงไปก่อนนะ!”
อัลติม่าสั่งการให้เหล่าสมุนพยายามต้านทานกลุ่มนักดาบเอาไว้แล้วปลีกตัวถอยออกมาเพื่อตอบรับการติอต่อ ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงของเดียโบลแว่วขึ้นมาในหัว
“อัลติม่า เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมถึงเปิดประตูนรกล่ะ?”
“ท่านเดียโบลคะ! คือว่า.. ยัยแซนโดรมันบังคับให้ฉันเปิดประตูนรกเพื่อเป็นเหยื่อล่อน่ะค่ะ! แต่เรื่องอื่นช่างมันก่อนเถอะค่ะ! ส่งคนมาช่วยทางนี้หน่อยได้มั้ยคะ!? ไม่งั้นดิฉันไม่รอดแน่ ๆ เลยค่าาาาา”
อัลติม่าบอกเล่าเรื่องราวอย่างรวบรัดด้วยน้ำเสียงอันร้อนรนและสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบไป จนเธอรู้สึกผิดสังเกต
“………………”
“ท่านเดียโบลคะ?”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้ความสำคัญกับเธอหรอกนะ แต่ว่า… การจะฝ่าแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสออกไปน่ะ มันต้องใช้ไพร่พลรวมถึงปิศาจระดับสูงเยอะอยู่นา ถ้าเราเสียกำลังพลไปกับเรื่องไร้สาระอีกละก็ อาจส่งผลต่อแผนการรุกรานที่เราวางเอาไว้แล้วได้”
“ระ.. เรื่องไร้สาระงั้นเหรอคะ!?”
อัลติม่าแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน เธอนิ่งไปด้วยความรู้สึกอึ้ง ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงกล่าวต่อ
“เอาเป็นว่า พยายามเข้าก็แล้วกันนะอัลติม่า เธอเองก็เป็นปิศาจที่มีพลังเป็นรองแค่พวกเราเหล่าไพร์มอีวิลนี่นา ถ้าฮึดสู้สักหน่อยละก็อาจจะฝ่าออกไปด้วยตัวเองได้นะ หรือถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ยังไงเธอก็เป็นปิศาจที่อยู่ลำดับต้น ๆ ของการจุติใหม่อยู่แล้วนี่ เอาไว้เจอกันใหม่ในการจุติครั้งหน้าก็แล้วกัน”
“ท่านเดียโบลคะ!? ทะ..”
อัลติม่าพยายามเรียกหาเดียโบลอีกครั้ง แต่การติดต่อก็ได้ถูกตัดขาดไปซะแล้ว
ด้วยความรู้สึกช็อค ทำให้อัลติม่าได้แต่ยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก
ในระหว่างนั้นเอง เบไลอัสที่มีแผลจากการถูกคมดาบฟันเกือบทั่วทั้งตัวก็กระเดินลอยมาตกข้าง ๆ จุดที่เธอยืนอยู่ โดยมีฮาชมัลกับอัลดราเมลค์ที่มีบาดแผลสาหัสไม่แพ้กันบินกลับมายืนข้าง ๆ อีกคน
สี่นักดาบค่อย ๆ เดินเข้ามาหาอัลติม่าและเหล่าสมุนอย่างช้า ๆ เป็นท่วงท่าที่องอาจและเยือกเย็น ราวกับผู้ชนะที่กำลังเดินเข้ามารับรางวัลของตน
“บ้าที่สุด…”
อัลติม่าพึมพัมกับตัวเองเบา ๆ จนเหล่าสมุนต้องหันมามองเพราะไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดอะไร
“ไม่ว่าหน้าไหนก็เห็นเราเป็นแค่เครื่องมือทั้งนั้น…”
สี่นักดาบหยุดชะงักเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับปิศาจสาวซึ่งอยู่ตรงหน้า
ตอนนี้หนวดทั้งสี่ของอัลติม่าคลายตัวออกเป็นปีกอีกครั้ง ก่อนจะคลี่ตัวออกเป็นแผ่นบางราวกับแพรไหมแล้วม้วนลงมาพันห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ มันค่อย ๆ แผ่ขยายออกจนปกคลุมไปทั้งร่าง ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าและศีรษะ จนตอนนี้อัลติม่ามีสภาพเหมือนกับเป็นมัมมี่ที่ถูกพันด้วยผืนผ้าสีดำสนิท
ผืนผ้าไหมสีดำที่ห่อหุ้มร่างของอัลติม่าอยู่นั้นยังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องราวกับสิ่งมีชีวิต มันเลื้อยพันไปตามร่างของอย่างดุดันและเกรี้ยวกราด ราวกับกำลังตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้เป็นนาย
“บ้าที่สุดเลยยยยยยย!!!”
อัลติม่าร้องคำรามออกมาพร้อม ๆ ปลดปล่อยพลังออกมา ทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าพร้อมแผ่ออกมาพร้อมกับคลื่นอากาศซัดสาดออกไปรอบทิศ กระแสลมกรรโชกนั้นทำให้ฝุ่นควันในบริเวณโดยรอบสลายไปสิ้น
หลังจากแสงสว่างวาบนั้นจางหายไป ร่างของอัลติม่าในรูปลักษณ์ปิศาจก็ปรากฏต่อทุกคน