Doombringer the 5th - ตอนที่ 45
Ch.45 – จุดเริ่มต้น
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 45
จุดเริ่มต้น
Part 1
เพื่อจะข้ามฝั่งกลับไปยังแผ่นดินใหญ่โดยเร็ว รถม้าของแซนโดรจึงมุ่งหน้าไปทางฮีโร่แสตนด์โดยไม่มีการหยุดพัก
ในการเดินทางรอบนี้ อัลติม่าถือวิสาสะขึ้นมานั่งในห้องโดยสารด้วย โดยเลือกที่นั่งข้าง ๆ กับซาล แต่แซนโดรก็ไม่ได้มีท่าทีคัดค้านอะไร
นิโคลรู้สึกโล่งอกที่แซนโดรไม่มีปัญหากับการที่อัลติม่าจะอยู่ที่นี่ แต่บรรยากาศในการเดินทางก็ยังไม่ค่อยดีนัก เพราะอัลติม่าจ้องมองแซนโดรด้วยสายตาเคียดแค้นเป็นระยะ ๆ ส่วนซาลก็ทำเป็นเมินแซนโดรด้วยท่าทางแง่งอนเหมือนกับเด็ก ๆ
ทางด้านแซนโดรยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยและนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ โดยไม่สนใจทั้งสองคน ทำให้อัลติม่ายิ่งมีท่าทีหงุดหงิดมากขึ้นอีก
เพราะแซนโดรก้มหน้าอ่านหนังสือที่วางอยู่บนตัก อัลติม่าเลยเอียงตัวลงมาจนเกือบจะเป็นการนอนตะแคงเพื่อให้สามารถส่งสายตาอาฆาตไปยังแซนโดรได้ ท่าทางชวนหาเรื่องเหมือนกับเด็ก ๆ อันน่าขันนี้ทำให้ลานาเทลถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยจนต้องหลบหน้าไปทางอื่น ส่วนแซนโดรก็เริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมานิด ๆ จึงเอ่ยถามอัลติม่าด้วยสายตาเบื่อหน่าย
“…มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?…”
“มีปัญหาอะไรน่ะเหรอ!? ปัญหาก็คือเธอไงล่ะ! พยายามล่อลวงคนอื่นไปฆ่าแล้วยังมานั่งลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกนะ!”
“…เธอเข้าใจผิดแล้ว…”
“เข้าใจผิดตรงไหนกันล่ะ!? ดูยังไงเธอก็จงใจส่งฉันไปตายชัด ๆ !”
“…ที่จริงฉันทำไปเพราะเชื่อมั่นในตัวเธอต่างหากล่ะ…”
“เอ๋? ชะ.. เชื่อมั่นเหรอ?…”
คำพูดที่ผิดคาดของแซนโดร ทำให้อัลติม่าเริ่มมีท่าทีลังเลขึ้นมา
“…ใช่แล้วล่ะ …เพราะคิดว่าด้วยฝีมือและความสามารถของเธอน่าจะทำงานนี้สำเร็จได้โดยไม่มีปัญหา ถึงได้ส่งเธอไป …ทั้งหมดเป็นเพราะฉันเชื่อมั่นในความเก่งกาจของเธอนะ…”
“แหม~ อะไรกัน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…… ซะเมื่อไหร่ล่ะ! เชื่อก็บ้าแล้ว! คิดว่าฉันโง่มากนักรึไงหา!?”
“…ก็ในระดับหนึ่งน่ะนะ…”
“ว่าไงน๊าาา!!”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจคู่สนทนาอีก ทำให้อัลติม่ายิ่งมีท่าทีโกรธเกรี้ยวมากขึ้น ในที่สุดซาลที่ทนไม่ไหวก็เลยหันมาร่วมวงด้วย
“แซนโดรน่ะทำไม่ถูกนะ! ถึงไม่อยากจะรับอัลติม่าไว้ แต่ก็ไม่ควรพาไปปล่อยทิ้งไว้ที่นั่นนี่นา!”
“นี่นาย… อย่าพูดเหมือนกับฉันเป็นหมารึแมวจะได้มั้ย?”
การใช้คำพูดกำกวมของซาลทำให้อัลติม่าข้องใจขึ้นมานิดหน่อย เธอจึงส่งสายตามองค้อนไปเล็กน้อย
แซนโดรเหลือบตาขึ้นมามองทั้งสองคนอีกครั้งด้วยสายตาที่เหนื่อยหน่าย ก่อนจะถามกลับไปยังอัลติม่าโดยไม่ได้สนใจคำพูดของซาลารัส
“…จะบอกว่าฉันทำเกินไปงั้นเหรอ?…”
“ก็แหงน่ะสิ! ฉันน่ะเกือบตายแล้วรู้มั้ย! ถึงจะไม่ชอบหน้ากันยังไงก็เถอะ แต่จู่ ๆ มาหลอกไปฆ่าทิ้งแบบนี้ มันเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าปิศาจซะอีก!”
“…มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้แหละ ปิศาจอย่างเธอน่าจะรู้ดีที่สุดนะ …อีกอย่างคือ เธอจะบอกว่าไม่เคยคิดร้ายต่อพวกเราเลยงั้นรึ? …คนที่ส่งสมุนมาโจมตีพวกเราแล้วจับตัวซาลารัสไปเพื่อพยายามหลอกทำพันธสัญญาน่ะคือใครกัน?…”
“อึก!… ระ.. เรื่องนั้นน่ะ…”
“…แล้วเดียโบลยังสั่งให้เธอมาเป็นสายลับคอยจับตาดูพวกเราด้วยใช่มั้ย? นอกจากนี้แล้วคงยังมีแผนการอื่น ๆ ที่เฝ้ารอโอกาสจะลงมือด้วยสินะ?…”
“พะ.. พูดอะไรของเธอน่ะ!? มีเรื่องแบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะ~”
อัลติม่าพยายามยิ้มกลบเกลื่อนพลางหลบสายตาไปทางอื่น แต่ดูยังไงก็เป็นท่าทางที่มีพิรุธอย่างโจ่งแจ้ง เป็นความพยายามหลบเลี่ยงของคนที่ปั้นสีหน้าไม่เป็น จนดูน่าเวทนา
พอพยายามหลบสายตาของแซนโดร อัลติม่าก็หันไปสบตากับซาลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เข้าพอดี เขามองเธอด้วยสายตาที่มีความเคลือบแคลงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของซาล อัลติม่าก็แสดงท่าทางสำนึกผิดออกมาและไม่กล้าเฉไฉอีก
“ระ.. เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่หรอก… แต่ฉันตัดสินใจว่าจะไม่สนใจคำสั่งของนรกอีกต่อไปแล้วล่ะ! ท่านเดียโบลน่ะ… เห็นฉันเป็นแค่ตัวหมากที่สละทิ้งได้ทุกเมื่อเท่านั้น… ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องทุ่มเทเสี่ยงชีวิตเพื่อท่านเดียโบลเหมือนกัน! ฉันขอตัดขาดกับนรกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
อัลติม่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและแววตาอันมุ่งมั่น สื่อให้เห็นว่าเธอได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของแซนโดรนัก แต่แซนโดรก็ยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง
“…แบบนั้นมันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย …ใช้สมองให้มากกว่านี้หน่อยได้มั้ย?…”
“หา!? ว่าไงนะ!!”
คำพูดของแซนโดรทำให้อัลติม่าโมโหขึ้นมาอีกครั้ง แต่แซนโดรก็ชิงอธิบายต่อก่อนที่เธอจะโวยวาย
“…ถ้าเธอตัดความสัมพันธ์กับนรก ก็จะกลายเป็นคนทรยศ …แบบนี้ทางนรกก็จะส่งคนมาตามล่าตัวเธอและหาทางส่งปิศาจตนใหม่มาชิงตัวหรือทำพันธสัญญากับซาลารัสด้วย …เท่ากับเป็นการทำให้เกิดปัญหาเพิ่มนั่นแหละ…”
“ทะ.. ถ้างั้นจะให้ทำยังไงล่ะ?”
“…เธอควรจะแสร้งทำเป็นรับใช้นรกต่อไปดีกว่า … รับคำสั่งและคอยประสานงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น …แบบนี้นอกจากจะไม่ถูกหมายหัวให้น่ารำคาญใจแล้ว เรายังสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของทางนรกและหาวิธีรับมือได้ง่ายขึ้นด้วย…”
“แต่ว่า… ฉันไม่อยากจะทำงานรับใช้นรกอีกต่อไปแล้วนี่นา”
“…ถึงบอกว่าแค่แสร้งรับใช้ไง …ทำงานแค่หน้าฉากเพื่อกลบเกลื่อนไปเท่านั้น …ไม่จำเป็นต้องไปรับคำสั่งทุกอย่างมาทำจริง ๆ หรอก …เรียกว่าเป็นสายลับสองหน้าไงล่ะ …แบบนี้นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องคนที่จะมาตามล่าแล้ว ยังทำให้รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายนรกและควบคุมข้อมูลข่าวสารเพื่อให้นรกเคลื่อนไหวตามที่เราต้องการได้ด้วย …นี่แหละถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด…”
อัลติม่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อทบทวนดูแล้วคำพูดของแซนโดรก็มีเหตุผลจริง ๆ หากเธอติดสถานะผู้ทรยศในตอนนี้ก็จะทำให้ทั้งกลุ่มถูกไล่ล่า และซาลก็จะเป็นเป้าหมายของปิศาจตนอื่น ๆ ด้วย
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้น การทำตามแผนที่แซนโดรบอกก็ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“ฉัน… จะพยายามดูก็แล้วกัน…”
“…ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว…”
“แต่เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน! ถ้าเธอคิดจะหลอกให้ฉันไปตายอีกละก็ คราวหน้าฉันไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่!!”
“…ที่ฉันทำ เพราะตอนนั้นเธอเป็นคนของศัตรูต่างหากล่ะ …แต่ถ้าเธอตัดสินใจที่จะตัดขาดกับทางนรกแล้ว เราก็ไม่ใช่ศัตรูกันอีกต่อไป …สรุปก็คือมันเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับจุดยืนของเธอเอง ว่าเธอจะเลือกฝ่ายไหน…”
อัลติม่านิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบแซนโดรด้วยสายตาที่แน่วแน่
“ฉันจะไม่เป็นข้ารับใช้ใครอีกแล้ว… ต่อจากนี้ไปฉันจะอยู่เพื่อคนที่ให้ความสำคัญกับฉันเท่านั้น”
แม้อัลติม่าจะไม่พูดออกมา แต่แซนโดรก็รู้เจตนาของเธอชัดเจนดีอยู่แล้ว จึงหลับตาลงเหมือนเป็นการรับคำก่อนที่จะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
ทางด้านซาล เมื่อเห็นแซนโดรกับอัลติม่าตกลงกันได้ก็รู้สึกดีใจและไม่แสดงท่าทีไม่พอใจต่อแซนโดรอีก ส่วนคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น เพราะบรรยากาศของกลุ่มได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
——————————————————————————————————–
Part 2
รถม้าของแซนโดรใช้เวลาเพียงสองวันก็เดินทางมาถึงเมืองฮีโร่แสตน์ โดยตอนที่มาถึงก็เป็นช่วงเวลาเย็นแล้ว
แซนโดรใช้สมุนสอดแนมในการตรวจสอบตัวเมืองก่อนเพื่อความปลอดภัย เมื่อแน่ใจแล้วว่าในเมืองไม่มีการเพิ่มความเข้มงวดหรือการตรวจตรามากเป็นพิเศษ จึงตัดสินใจเดินทางเข้าเมือง
อัลติม่ามีท่าทีเป็นกังวลนิดหน่อยตอนเข้าเมืองเพราะเธอไม่เคยย่างเท้าเข้าเขตเมืองในโครซิสมาก่อนเลยแม้จะอยู่ที่นี่มานับสิบปีแล้วก็ตาม แต่เผื่อผ่านเข้าไปในเมืองได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เธอก็มีท่าทีผ่อนคลายลง
อัลติม่าเกาะขอบหน้าต่างมองซ้ายมองขวาเพื่อสำรวจตัวเมืองด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้เธอจะเคยภาพของเมืองผ่านจอภาพสอดแนมมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาเห็นด้วยตาตัวเองจึงเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ท่าทีร่าเริงของอัลติม่าก็ทำให้ซาลรู้สึกสบายใจไปด้วย
แซนโดรตรงไปยังโรงแรมเพื่อจองที่พักเป็นอันดับแรกเช่นเคย ก่อนที่จะให้ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อนตามปกติ
อัลติม่าอยากจะไปเดินดูในเมือง ซาลกับนิโคลจึงตามไปเป็นเพื่อน ส่วนแซนโดรเองแม้ปกติจะเก็บตัวอยู่ในห้อง แต่ครั้งนี้เธออยากตรวจสอบสถานการณ์โดยรวมมากกว่า จึงออกไปหาข่าวในเมือง โดยมีลานาเทลตามไปด้วย
อาจเพราะเหตุการณ์ที่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ทำให้การตรวจตราในเขตเมืองแทบจะไม่ต่างไปจากเวลาปกติเลย แม้ผู้คนจะยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นอย่างหนาหูก็ตาม
สมัยก่อน การที่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสจะถูกโจมตีจากการพยายามเปิดประตูนรกนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เพราะประตูนรกที่โครซิสนี้ไม่ได้ถูกโจมตีมาเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความสนใจให้กับผู้คนไม่น้อย
คำบอกเล่าจากผู้คนในเมืองยังค่อนข้างสับสนและคาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมากจนยากจะเชื่อถือได้ แซนโดรจึงลองติดต่อกลับไปยังเรลิก้า ประชาสัมพันธ์สาวของสมาคมนักผจญภัยในเลนเทีย เพื่อตรวจสอบข่าวสารกับทางสมาคม
เมื่อได้รับการติดต่อจากแซนโดร เรลิก้าก็มีน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก แถมยังชวนคุยเรื่องต่าง ๆนา ๆ ไม่หยุด จนแซนโดรต้องกำชับให้กลับเข้าเรื่อง
เรลิก้าบอกว่าความจริงแล้วตอนเกิดเหตุการณ์ก็มีการพยายามติดต่อกับแซนโดรเช่นกัน เพราะทุกพื้นที่ต่างก็มีการระดมนักผจญภัยระดับสูงไปสมทบยังแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส แต่เธอก็ไม่สามารถติดต่อกับแซนโดรได้ ทางเลนเทียจึงได้แต่ส่งนักผจญภัยระดับรอง ๆ ไป
นั่นเป็นเพราะแซนโดรเป็นคนตัดการทำงานของแหวนสื่อสารเพื่อไม่ให้ถูกเรียกเข้า เพราะสัญญาณการติดต่ออาจโดนตรวจจับและทำให้ถูกรู้ตำแหน่งได้ จึงจงใจปิดการทำงานของมันไว้
เรลิก้าเล่าว่าทางพีชคีปเปอร์ยังไม่ได้ให้ข้อสรุปที่แน่ชัดกับทางสมาคมนักผจญภัย บอกแค่เพียงว่าการโจมตีครั้งนี้เหมือนจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อแผนการบางอย่าง แต่จะเป็นแผนการอะไรนั้นทางพีชคีปเปอร์เองก็กำลังตรวจสอบอยู่ ทำให้ข้อมูลที่เปิดเผยกับสมาคมมีไม่มากนัก
เธอยังเล่าอีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส ก็มีการระดมพลออกไล่ล่าและค้นหากลุ่มปิศาจที่เป็นตัวต้นเหตุอยู่เกือบทั้งสัปดาห์ แต่ก็ไม่พบอะไร และนั่นก็คือข้อมูลทั้งหมดที่สมาคมนักผจญภัยมีอยู่ แซนโดรจึงกล่าวขอบคุณกับเรลิก้าและจบการสนทนาไว้แค่นั้น
แม้ดูเหมือนว่าพีชคีปเปอร์และสมาคมนักผจญภัยจะไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ แต่แซนโดรก็ยังคิดว่าควรรีบออกจากโครซิสให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัย หลังจากพักผ่อนในโรงแรมของฮีโร่แสตนด์อยู่หนึ่งคืนแล้ว เธอจึงพาทุกคนออกเดินทางต่อทันทีในตอนรุ่งเช้า เพื่อข้ามสะพานมอทัลเบาด์กลับไปยังแผ่นดินใหญ่ของจูริส
——————————————————————————————————–
Part 3
หลังจากใช้เวลาข้ามสะพานหนึ่งวัน และเดินทางผ่านดินแดนเอ็นซิสอีกสองวัน ในที่สุดรถม้าของแซนโดรก็กลับมาถึงเขตเลนเทียของอาณาจักรจูริส
รถม้าของแซนโดรเข้ามาหยุด ณ ป่าที่ดูแห้งแล้งแห่งหนึ่ง ก่อนจะให้ทุกคนลงจากรถเพื่อเดินต่อไป
เพราะมันไม่ใช่เส้นทางเดิมที่ซาลเคยจำได้ เขาจึงถามขึ้น
“นี่มัน… ไม่ใช่ทางที่เคยพาผมมานี่นา?”
“…นี่เป็นทางสำหรับไปยังทางเข้าด้านทิศใต้น่ะ …เพราะสมัยก่อนฉันยังไม่ได้วางวงเวทเคลื่อนย้ายเอาไว้ตามที่ต่าง ๆ ก็เลยทำทางเข้าเอาไว้หลายแห่งเพื่อให้สะดวกกับการเดินทาง …ถ้ามาจากทางทิศใต้ละก็ ทางเข้าจุดนี้จะใกล้ที่สุด…”
“หืม~ เรากำลังจะไปบ้านของคุณแซนโดรกันสินะคะ รู้สึกตื่นเต้นจังเลย”
ลานาเทลที่เดินตามแซนโดรไปไม่ห่างเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่นตามเคย ในขณะที่แซนโดรยังคงเดินนำทุกคนต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไร ทำให้ลานาเทลพองแก้มด้วยความไม่พอใจนิดหน่อย
เมื่อเดินผ่านแนวป่ามาได้พักหนึ่ง ก็มาถึงบึงขนาดใหญ่ที่มีแต่โคลนตมเป็นบริเวณกว้าง
แซนโดรโบกมือไปบนอากาศเพื่อร่ายเวท ทันใดนั้นบึงโคลนก็แยกตัวออกจนเห็นก้นบึงด้านล่างซึ่งเป็นทางเดินอันแห้งสนิทที่ปูด้วยก้อนหินเป็นทางยาว ทางเดินนี้ทอดตรงไปยังโคนต้นไม้ตายซากขนาดใหญ่ที่อยู่กลางบึงนั้น ซึ่งเพราะบึงโคลนได้แยกตัวออกไปอยู่สองฟากข้าง จึงเผยให้เห็นรากของมันซึ่งมีลักษณะคล้ายกับโพรงหรือปากทางเข้าถ้ำอยู่ด้านล่าง
เมื่อเดินไปถึงบริเวณรากไม้ ก็ปรากฏอักขระสีเขียวเรืองแสงขึ้นตามรากที่แตกแขนงของมัน ก่อนจะมีประตูมิติสีเขียวใสปรากฏขึ้นบริเวณโพรงที่เกิดขึ้นจากรากไม้นั้นเอง
“…ทุกคนจับมือกันเอาไว้นะ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็จับมือของลานาเทลที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด แม้จะไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษแต่ลานาเทลก็อมยิ้มและมองแซนโดรด้วยแววตาเป็นประกาย ทำให้แซนโดรแสดงสายตาเหนื่อยหน่ายออกมา
ซาลจับมือของลานาเทลเป็นทอดที่สอง อัลติม่าจึงชิงจับมือของซาลารัสเป็นทอดที่สามก่อนที่เขาจะเอื้อมไปจับมือของนิโคล ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ส่วนนิโคลก็ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะจับมือของอัลติม่าแทน
เมื่อเห็นว่าทุกคนจับมือเชื่อมถึงกันหมดแล้ว แซนโดรจึงพาทุกคนเดินเข้าประตูไป
หลังจากก้าวผ่านประตูมิติมาได้ ทุกคนก็มาโผล่ในถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซาลจำที่แห่งนี้ได้เพราะมันถ้ำเดียวกันกับตอนที่เขามายังมาลาไคท์คีปเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าไม่ว่าจะเข้าจุดเชื่อมต่อด้านนอกจากทางไหนก็จะมาโผล่ที่จุดนี้เหมือนกันทั้งสิ้น
เมื่อผ่านประตูเข้ามาหมดแล้ว ทุกคนก็ปล่อยมือออกจากกัน มีเพียงลานาเทลที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ แซนโดรใช้สายตาอันหงุดหงิดบอกเป็นนัยว่าให้ปล่อยมือได้แล้ว แต่ลานาเทลก็เอาแต่ยิ้มและส่ายหน้าอย่างเดียว แซนโดรจึงได้แต่ถอนใจแล้วเดินนำทุกคนต่อไปทั้งอย่างนั้น
พอเห็นแบบนั้น อัลติม่าก็นึกเสียดายที่ปล่อยมือซาลเร็วไปหน่อย แต่จะให้คว้ามือของเขามาจับต่อตอนนี้ก็กะไรอยู่ จึงได้แต่เดินตามไปด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เมื่อออกจากถ้ำมา ทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับภาพทิวทัศน์ที่ได้พบ เพราะมันเหมือนกับเป็นโลกต่างมิติอีกแห่งหนึ่ง ไม่ใช่แค่ดันเจียนอย่างที่เคยคาดเอาไว้ แถมความใหญ่โตราวกับปราสาทของมาลาไคท์คีปก็ยังเป็นสิ่งที่ตระการตามาก
“นี่มัน… เรล์ม งั้นเหรอคะ? แถมยังมีปราสาทขนาดใหญ่แบบนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ นะคะ”
คำชมของลานาเทลทำให้แซนโดรมีสีหน้าเหมือนจะปลื้มใจนิดหน่อย แต่ก็ยังพยายามเก็บอาการไว้และเดินต่อไป
เมื่อมาถึงเส้นทางบนสันเขาที่ทอดยาวไปยังมาลาไคท์คัป ทุกคนก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งกับเหล่าสมุนจำนวนมหาศาลที่อยู่ใต้หุบเขา สีหน้าที่แสดงความทึ่งและประหลาดใจของทุกคนทำให้แซนโดรแอบยิ้มด้วยความพึงพอใจมากขึ้นอีก
ลานาเทลที่สังเกตเห็นอาการนั้นจึงพยายามชะโงกตัวไปดูสีหน้าของแซนโดรให้ชัด ๆ แต่เธอก็หันหน้าหลบไปทางอื่นซะก่อน กระนั้นลานาเทลก็พอจะเดาออกว่าแซนโดรกำลังรู้สึกอย่างไร จึงยิ้มอย่างอารมณ์ดีออกมาเช่นกัน
นิโคลมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น ส่วนอัลดูอินที่เกาะไหล่ซ้ายของซาลอยู่ก็ส่งเสียงร้องด้วยอาการตื่นเต้นเช่นกัน แต่วาเคียที่เกาะอยู่ที่ไหล่ด้านขวานั้นกลับจับไหล่ของเขาแน่นพลางตัวสั่นและน้ำตาคลอด้วยความกลัว ดูเหมือนว่าวาเคียจะไม่ค่อยถูกโรคกับเหล่าสมุนโครงกระดูกสักเท่าไหร่
อัลติม่ามองดูพวกสมุนที่อยู่ทั้งสองข้างทางด้วยสีหน้าอันซับซ้อน เธอยังสัมผัสได้ถึงสมุนประเภทอื่น ๆ ที่เร้นกายอยู่ตามภูเขารวมไปถึงในมาลาไคท์คีปอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้เธอแอบรู้สึกหวาดหวั่นจนมือที่กำอยู่เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
‘ไพร่พลขนาดนี้… แทบจะเป็นผู้สร้างหายนะด้วยตัวเองได้เลยนะเนี่ย… ยัยแซนโดรนี่เป็นใครกันแน่นะ?’
อัลติม่าเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วเดินตามทุกคนไปอย่างเงียบ ๆ โดยพยายามไม่แสดงอาการผิดสังเกตออกมาให้ใครเห็น
ประตูของมาลาไคท์คีปเปิดออกเพื่อต้อนรับทุกคนเข้าไปยังด้านใน คราวนี้ไม่มีใครออกมาต้อนรับแซนโดรเหมือนกับครั้งที่แล้ว แต่ซาลก็ยังสังเกตเห็นว่ามีบุคคลสวมหน้ากากหัวกะโหลกแอบมองดูการมาของพวกเขาอยู่จากที่ไกล ๆ เช่นตามหน้าต่างของหอคอย หรือตามระเบียง คนเหล่านั้นแอบมองทุกคนอยู่เพียงแวบหนึ่งก่อนจะเร้นกายหลบหายไปทำให้ซาลรู้สึกสงสัยและอยากรู้เกี่ยวกับคนเหล่านี้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้าถามแซนโดรอยู่ดี
เมื่อเข้ามาถึงมาลาไคท์คีปแล้ว แซนโดรก็พาทุกคนไปดูห้องพักที่จัดสรรเอาไว้ให้แต่ละคน
ทุกคนได้ห้องเดี่ยวของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันหมด เป็นชั้นที่อยู่สูงกว่าห้องของซาลารัสขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น หลังจากนั้นแซนโดรก็พาทุกคนลงมายังห้องสมุดซึ่งอยู่ชั้นล่างเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำต่อจากนี้
ทันทีที่ลงมาถึงห้องสมุด แววตาของลานาเทลก็ทอประกายออกมาวูบหนึ่งเพราะเห็นหนังสือจำนวนมากราวกับห้องสมุดประจำเมือง แต่พอกวาดสายตาไปได้พักหนึ่งแววตาของเธอก็กลับเป็นปกติ เพราะเธอมองออกว่าหนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหนังสือธรรมดาที่หาได้ทั่วไป แต่ก็ยังเชื่อว่าแซนโดรต้องเก็บหนังสือหายากเอาไว้ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ จึงส่งสายตาและโปรยยิ้มหวานเชิงจะเป็นการออดอ้อนให้แซนโดรพาไปดูเร็ว ๆ
แซนโดรแกล้งทำเป็นเมินลานาเทลตามเคย แต่เพื่อไม่ให้ต้องอยู่ในสภาวะน่ารำคาญแบบนี้นานจนเกินไป เธอจึงรีบเข้าเรื่อง
“…หลังจากนี้ฉันจะทำการสร้างอาติแฟคที่ต้องใช้สำหรับแผนการขั้นต่อไป …ขั้นตอนมันค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนหน่อย คงต้องใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน …ในระหว่างนั้นฉันขอมอบหมายการฝึกฝนซาลารัสให้เป็นหน้าที่ของพวกเธอก็แล้วกัน …นิโคลสอนการใช้เวทในช่วงเช้า …ส่วนลานาเทลสอนการต่อสู้ในช่วงบ่าย …อัลติม่าก็ …พยายามอย่าไปรบกวนการเรียนของซาลารัสก็แล้วกันนะ…”
“พูดแบบนี้หมายความว่าไงกันน่ะ ห๊า!?”
อัลติม่าแสดงอาการไม่พอใจออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนกับการดูหมิ่นนั้น
“…ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ …อืม …ไว้ฉันจะเอาแหวนสำหรับใช้สื่อสารภายในเรล์มนี้มาให้ทีหลังก็แล้วกัน ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้ติดต่อกันได้ …แล้วก็ สำหรับวันนี้ยังไม่ต้องเริ่มการฝึกก็ได้ พักผ่อนกันตามสบายให้หายเหนื่อยจากการเดินทางก่อนดีกว่า …ถ้ามีอะไรก็ให้ซาลารัสติดต่อฉันมาก็แล้วกันนะ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เทเลพอร์ทออกจากห้องสมุดไป แต่ในพริบตาก่อนจะเทเลพอร์ท ลานาเทลก็คว้าชายเสื้อของเธอไว้ได้ ทำให้ทั้งสองคนเทเลพอร์ทหายไปด้วยกัน ทุกคนมองภาพนั้นด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมาแซนโดรกับลานาเทลจะเทเลพอร์ทกลับมาที่เดิม
แซนโดรหันไปจ้องมองมือของลานาเทลที่คว้าชายเสื้ออยู่ด้วยสายตาหงุดหงิดจนเกือบจะเป็นการแสดงความรังเกียจออกมา ก่อนจะกล่าวพูด
“…ทำอะไรของเธอ?…”
“พาฉันไปดู ‘ห้องสมุดลับ’ ของคุณแซนโดรหน่อยสิคะ ฉันอยากเห็นคอลแลคชั่นของคุณแซนโดรน่ะ”
“…ฉันไม่มีของแบบนั้นหรอก…”
“แหม~ จะไม่มีได้ยังไงกันล่ะคะ พวกหนังสือหายากน่ะคงไม่ได้เก็บรวมเอาไว้กับหนังสือทั่ว ๆ ไปอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ?”
แซนโดรแสดงสายตาเหนื่อยหน่ายออกมา แต่เธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกคลั่งหนังสือด้วยกันอยู่บ้าง บวกกับไม่ได้คิดจะปกปิดอะไรอยู่แล้วด้วย จึงบอกกับลานาเทลไปโดยดี
“…ฉันไม่มีห้องสมุดลับอยู่จริง ๆ …แต่ก็มีพื้นที่สำหรับหนังสือหายากอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้แหละ ทางด้านโน้นไง …ลองเดินไปดูเองก็แล้วกันนะ…”
เมื่อพูดจบ เธอก็เทเลพอร์ทหายไปอีกครั้ง ส่วนลานาเทลที่ได้ของที่ต้องการแล้วก็ลุกขึ้นและเดินตรงไปยังส่วนเก็บหนังสือหายากของแซนโดรทันที มันก็คือห้องที่อยู่ก่อนหน้าส่วนเก็บบันทึกของโลกเก่านั่นเอง
พอเห็นแซนโดรกับลานาเทลไปแล้ว ซาลก็เสนอตัวพานิโคลกับอัลติม่าเดินเที่ยวชมส่วนต่าง ๆ ของมาลาไคท์คีป เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ ซึ่งทั้งสองคนก็รู้สึกสนอกสนใจสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว จึงตอบตกลงในทันที
ทางด้านแซนโดร
เธอได้เทเลพอร์ทมายังห้องแห่งหนึ่ง รอบ ๆ ห้องนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์และอาติแฟคต่าง ๆ วางเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน ราวกับเป็นห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์
แซนโดรนำกำไล ‘ไบฟรอส’ ออกมาวางลงบนโต๊ะ และหันไปมองหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ กัน ก่อนจะแตะสัมผัสหนังสือเล่มนั้นและถ่ายเทพลังเวทลงไป
ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวอักษรแสงที่มีลักษณะเหมือนกับข้อความ, สูตร, และสมการมากมาย ล่องลอยออกมาจนปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
แซนโดรเดินไปหยิบอุปกรณ์และรวบรวมวัตถุดิบต่าง ๆ ที่อยู่ในห้อง ก่อนจะทยอยนำมาวางลงบนโต๊ะตัวเดียวกันเพื่อเตรียมการสร้างอาติแฟคตามสูตรที่หนังสือเล่มนั้นบันทึกเอาไว้
หนังสือเล่มนั้นเป็นตำราที่ดูเก่าแก่ มีปกหนาสีดำสนิทซึ่งดูเหมือนจะทำมาจากหนังของสัตว์เลื้อยคลาน ส่วนขอบปกจนไปถึงสันหนังสือยังหุ้มด้วยโลหะสีเงิน แต่เพราะความเก่าของมันทำให้ส่วนที่เป็นโลหะนี้ดูด้านดำ ไม่แวววับอย่างที่ควรจะเป็น
บนหน้าปกของหนังสือไม่มีข้อความใด ๆ เขียนเอาไว้เลย เป็นเพียงปกอันว่างเปล่า แต่ตรงส่วนสันของหนังสือมีข้อความเพียงข้อความเดียวที่ระบุถึงเนื้อหาภายในหนังสือเอาไว้
ข้อความบนสันหนังสือนั้นก็คือ ‘การเดินทางสู่โลกเก่า’