Doombringer the 5th - ตอนที่ 46
Ch.46 – การเติบโต
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 46
การเติบโต
Part 1
เวลาผ่านไปเกือบสองสัปดาห์
แซนโดรใช้เวลาส่วนใหญ่หมกตัวอยู่ในห้องวิจัยเกือบทั้งวัน แต่ก็ยังออกมาเตรียมอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น พร้อมทั้งรับประทานอาหารร่วมกับทุกคนแทบไม่ขาด
ระหว่างนี้ซาลก็ใช้เวลาในการฝึกฝนการใช้เวทมนตร์กับนิโคลในช่วงเช้า และฝึกฝนการต่อสู้กับลานาเทลในช่วงบ่าย ตามที่แซนโดรจัดสรรตารางเวลาเอาไว้
ความสามารถในการใช้เวทของเขาพัฒนาไปมาก ทั้งร่ายเวทได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น ทั้งยังสามารถใช้งานเวทต่าง ๆ ที่มีได้อย่างคล่องแคล่ว จึงเริ่มมองหาเวทใหม่ ๆ มาฝึกฝน โดยเน้นไปที่เวทสไตล์ทริคส์เตอร์เป็นหลักเช่นเคย
เพี่อการนี้ เขาจึงหันมาฝึกเวทสายน้ำแข็งดูบ้าง และเพราะมันเป็นเวทสายถนัดของนิโคล ทำให้เธอสามารถมอบคำแนะนำในการฝึกได้เป็นอย่างดี การฝึกจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว แค่ไม่กี่วันเขาก็สามารถใช้เวทน้ำแข็งได้ถึงระดับสามแล้ว
ซาลยังต้องการเวทที่ช่วยในการอำพรางตัวจากสายตาของฝ่ายตรงข้ามด้วย เพราะคิดว่าน่าจะเป็นการประสานงานที่ดีกับเวทสายพันธนาการ (บวกกับคิดว่ามันน่าสนุกดีด้วย) จึงลองค้นหาและทดลองเวทที่เหมาะสมดู ในที่สุดก็มาลงตัวที่เวทสร้างหมอก
เพราะเพิ่งจะเรียนเวทสายน้ำแข็งไปพอดี ทำให้การใช้เวทสร้างหมอกทำได้ไม่ยากเย็นนัก เพียงแค่ควบคุมอุณหภูมิในอากาศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แล้วใช้เวทน้ำสร้างละอองน้ำขึ้นมา ก็สามารถทำให้เกิดหมอกได้แล้ว
การคงอยู่ของหมอกนั้นจะขึ้นกับพลังเวทที่ถ่ายเทลงไปเพื่อคงสภาพอุณหภูมิ ยิ่งใช้พลังเวทเยอะ หมอกก็จะอยู่ได้นาน ซึ่งการสร้างหมอกนั้นใช้พลังเวทน้อยกว่าที่เขาคิด แค่ใส่พลังเวทไปนิดหน่อยก็ทำให้กลุ่มหมอกในพื้นที่สิบตารางเมตรคงอยู่ได้นานนับนาทีแล้ว แต่ก็ขึ้นกับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิโดยรอบด้วย
นอกจากนี้เวทหมอกยังสามารถปรับคุณสมบัติการใช้งานได้อีกหลายอย่าง ทั้งการทำให้เป็นหมอกพิษ หรือหมอกกรด แต่สิ่งเหล่านั้นจัดเป็นการใช้เวทระดับสูงที่มีการใช้งานค่อนข้างซับซ้อน เขาจึงคิดจะเก็บเวทเหล่านั้นเอาไว้ฝึกในภายหลัง
นิโคลไม่ค่อยชอบบรรยากาศอันเย็นเยียบและมืดทึบตลอดเวลาภายในเรล์มของมาลาไคท์คีปเท่าไหร่ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกง่วงนอน ดังนั้นในการฝึกเวทเธอจึงมักจะพาซาลออกมาข้างนอกเรล์ม โดยมีอัลติม่าตามออกมาด้วยทุกครั้ง
เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวก แซนโดรจึงเปิดการใช้งานวงเวทเคลื่อนย้ายอีกแห่งหนึ่งให้ โดยวงเวทนี้สามารถพาทุกคนเดินทางออกจากเรล์มมายังทุ่งกว้างแห่งหนึ่งภายในเขตเลนเทียนั่นเอง
ที่นั่นเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีเทือกเขาสูงตั้งตระหง่านอยู่ที่ปลายเส้นขอบฟ้า และในพื้นที่นี้ก็มีโขดหินขนาดใหญ่กระจายอยู่โดยรอบ
นิโคลกับอัลติม่าจับจองที่นั่งบนโขดหินแล้วเฝ้าดูการฝึกของซาลเหมือนเช่นปกติ ส่วนซาลก็เริ่มการฝึกประจำวันด้วยเวทสร้างหมอกที่เพิ่งจะเรียนมา
ในระหว่างที่ฝึกฝนเวทสร้างหมอกอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นมาได้
ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าที่เขามองเห็นนั้นเกิดความผิดเพี้ยนไป ราวกับมีกระจกเงาเกิดขึ้นในอากาศ และสะท้อนภาพทิวทัศน์จากจุดอื่นออกมาแทนที่จะเป็นภาพทิวทัศน์ตามปกติ จึงหันไปถามนิโคลด้วยความสงสัย เพราะนึกว่าเวทของตัวเองแสดงผลผิดเพี้ยนไป
“เอ๋? ตะกี้นี้มันอะไรน่ะ? เหมือนกับว่าภาพทิวทัศน์มันขาดช่วงไปงั้นแหละ”
“ออ นั่นคงเป็นปรากฏการณ์ ‘มิราจ’ (Mirage) น่ะค่ะ มันเกิดจากการที่แสงเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศที่มีความหนาแน่นไม่เท่ากันหรือมีอุณหภูมิแตกต่างกันมาก ๆ ในระยะประชิด ทำให้เกิดการหักเหของแสงในทิศทางที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมมาก เราจึงมองเห็นภาพทิวทัศน์ตรงนั้นผิดเพี้ยนไปด้วยน่ะค่ะ เป็นปรากฏการณ์ปกติที่มักเกิดขึ้นได้เวลาที่ฝึกฝนการใช้เวทเกี่ยวกับอุณหภูมิ ดังนั้นไม่ต้องห่วงนะคะ”
นิโคลพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย เลยกลัวว่าซาลจะไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจหลักการของมันได้ในทันทีที่ฟัง อาจเพราะนิโคลเลือกใช้คำมาอธิบายได้ดีด้วย
“อืม… การหักเหของแสงงั้นเหรอ? เป็นเพราะอุณหภูมิในอากาศต่างกันสินะ?”
“เพราะความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศด้วยค่ะ การฝึกเวทหมอกเป็นการใช้เวทควบคุมอุณหภูมิและสร้างละอองน้ำในอากาศขึ้นมา ทำให้ตรงเงื่อนไขทั้งสองอย่าง จึงเกิดปรากฏการณ์นี้ได้ง่ายตามไปด้วยน่ะค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง… ไอ้นี่ก็น่าจะใช้ได้นะเนี่ย”
ซาลทำท่าเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขายังลองร่ายเวทซ้ำไปซ้ำมาอยู่อีกพักใหญ่ แต่ตลอดเวลาที่เขาร่ายเวทกลับไม่มีหมอกเกิดขึ้นเลย ทำให้นิโคลกับอัลติม่าได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัย
อัลติม่าที่เห็นซาลทำท่าเหมือนร่ายเวทล้มเหลวอยู่เป็นนานและเริ่มรู้สึกเบื่อก็เลยพูดแซวขึ้นมา
“นี่ หมดน้ำยาแล้วรึไงน่ะหา? ไม่เห็นมีหมอกออกมาเลยนี่นา”
“ใช่ที่ไหนล่ะ ดูอยู่เงียบ ๆ เถอะน่า”
ซาลยังคงทดลองร่ายเวทต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่มีหมอกปรากฏออกมาให้เห็น มีเพียงห้วงอากาศเบื้องหน้าของเขาที่ดูจะเกิดการบิดเบี้ยวไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากทดลองไปอีกพักหนึ่ง เขาก็แสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจออกมา
“เอาล่ะ! น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ คอยดูนี่นะ”
ซาลหันมายังทิศที่นิโคลและอัลติม่านั่งอยู่ ก่อนจะเริ่มร่ายเวทอีกครั้ง
คราวนี้ก็ยังไม่มีหมอกออกมาเหมือนเดิม แต่ห้วงอากาศเบื้องหน้าของเขากลับเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
มันค่อย ๆ บิดเบี้ยวจนร่างเล็ก ๆ ของซาลที่นิโคลกับอัลติม่าจ้องมองอยู่เริ่มกลายเป็นภาพเบลอ ในที่สุดเขาก็หายไปจากสายตาของทั้งสองคน เหลือเพียงพื้นที่อันว่างเปล่าเท่านั้น
——————————————————————————————————–
Part 2
ทั้งนิโคลและอัลติม่ารู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก จนอัลติม่าต้องลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
“นี่มัน? เวทพรางตัวงั้นเหรอ? ไม่ใช่เวท ‘สเตลท์’ (Stealth) ของธาตุมืดซะด้วย ทำได้ยังไงกันน่ะ?”
อัลติม่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจพลางเดินเข้าไปยังจุดที่ซาลเคยอยู่ทีละน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกจุดหนึ่งในบริเวณที่ไม่ห่างออกไปนัก พลางกล่าวทัก
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนา ดูนี่ซะก่อน”
“เอ๋? ร่างเสมือนเหรอ? แต่ว่าเสียงยังอยู่ที่เดิมเลยนี่นา?”
“อ๊ะ เสียงยังอยู่ที่เดิมเหรอเนี่ย? จริงด้วยแฮะ ก็ต้องอยู่ที่เดิมนี่นา อันนี้คงต้องหาทางแก้ดูอีกทีล่ะมั้ง”
เสียงของซาลยังคงอยู่ ณ จุดเดิมที่เขาหายตัวไป ทำให้การหลอกล่อครั้งนี้ไม่ได้ผล แต่มันก็ยังสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งอัลติม่าและนิโคลอยู่ไม่น้อย
อัลติม่าลองมองดูร่างของซาลที่ปรากฏขึ้นมาในบริเวณใกล้ ๆ อีกครั้งก็พบว่าภาพร่างนั้นมีมิติที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น เหมือนเป็นการมองภาพที่ถูกฉายขึ้นบนหน้าจอแบน ๆ จากด้านข้าง ทำให้ภาพที่เห็นดูแบน ๆ ผิดมิติไปด้วย
“นั่นมันภาพสะท้อนงั้นเหรอ?”
“โอ้ มองออกด้วยเหรอเนี่ย?”
“ก็ต้องมองออกสิ ตัวมันแบนออกแบบนั้นนี่นา”
“เอ๋ ตัวแบนงั้นเหรอ? จริงสินะ มันเป็นเหมือนการฉายภาพขึ้นบนอากาศแบบนึงนี่นา อันนี้ก็คงต้องหาทางปรับแก้เหมือนกัน”
อัลติม่าพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ประกอบกันแล้วในที่สุดก็เข้าใจว่าซาลกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“นี่คือ… ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากปรากฏการณ์ ‘มิราจ’ สินะ?”
“อื้ม ตอนที่ค้นตำราหาเวทพรางตัวน่ะก็เคยเห็นเวท ‘สเตลท์’ ของพวกโร้คหรือนินจาเหมือนกัน แต่ว่านั่นเป็นเวทธาตุมืดระดับสูง ไม่ใช่ของที่จะใช้ได้ง่าย ๆ เลย พอเห็นปรากฏการณ์มิราจแล้วก็เลยคิดว่าถ้าปรับมุมที่ทำให้เกิดการหักเหของแสงดี ๆ ละก็น่าจะทำให้เกิดผลคล้าย ๆ กันได้”
“อืม เวท ‘สเตลท์’ น่ะเป็นเวทพรางตัวระดับสูงที่สร้างอาภรณ์เวทมนตร์ขึ้นมาคลุมร่างกายเพื่อดูดซับแสง เมื่อไม่มีแสงตกกระทบร่างกายก็เลยทำให้มองไม่เห็นผู้ที่ถูกอาภรณ์ปกคลุมอยู่ จึงเกิดผลเหมือนกับสามารถล่องหนได้ นี่ได้ความคิดมาจากเรื่องนี้งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ เพราะหลักการทำงานของมันก็คล้าย ๆ กันคือไม่ให้แสงตกกระทบตัว เลยคิดว่าใช้ปรากฏการณ์มิราจทำให้แสงไม่ตกกระทบตัวบ้างก็น่าจะทำให้หายตัวได้เหมือนกัน”
“แต่แบบนี้ก็ได้แต่หายตัวอยู่กับที่ไม่ใช่เหรอ? เทียบกับเวท ‘สเตลท์’ ที่หายตัวในขณะเคลื่อนที่ได้แล้วละก็…”
“ใครว่าไม่ได้ล่ะ?”
เสียงของซาลดังมาจากอีกทิศทางหนึ่งทำให้อัลติม่าต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะเธอเดินมาจนถึงจุดที่เขาเคยยืนอยู่แล้ว และตัวจริงของเขาน่าจะยังอยู่ตรงหน้าเธอแท้ ๆ
“เอ๋? ทำไมกัน?”
อัลติม่าลองเอามืดกวาดไปยังห้วงอากาศเบื้องหน้าดู ก็พบว่าซาลารัสไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ มีเพียงกลุ่มก้อนอากาศเย็น ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เท่านั้น
“ผมเดินมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ ระหว่างเดินก็สร้างม่านอากาศบังมาตลอดทางด้วย ถึงจะเคลื่อนไหวได้ไม่เร็วหรืออิสระเท่ากับเวท ‘สเตลท์’ แต่ก็เคลื่อนที่ได้เหมือนกันล่ะน่า และถ้าฝึกให้ชำนาญกว่านี้อีกหน่อยก็น่าจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นล่ะมั้ง”
เมื่อพูดจบซาลก็คลายม่านอากาศออก ทำให้ร่างของเขาปรากฏออกมาอีกครั้ง
นิโคลที่เฝ้าดูอยู่ตลอดก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่แสดงความประทับใจอยู่ไม่น้อย
“ร่างเสมือนเมื่อตะกี้ก็ใช้ผลของปรากฏการณ์มิราจเหมือนกันสินะคะ?”
“อื้ม พอคิดว่าการหักเหแสงทำให้ร่างจริงหายไปได้ ก็น่าจะใช้ทำให้อีกฝ่ายมองเห็นร่างเงาในจุดที่แตกต่างออกไปได้เหมือนกัน แต่ดูท่าคงต้องขัดเกลาอีกเยอะแหละนะกว่าจะใช้งานจริงได้”
“แค่นี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วล่ะค่ะ การใช้เวทธาตุอื่นที่ไม่ใช่ธาตุมืดในการพรางตัวนี่แทบไม่เคยมีปรากฏมาก่อนเลยนะคะ!”
“จริงเหรอ? ผมเห็นหมอกของแซนโดรก็ใช้พรางตัวได้เหมือนกันนี่นา นึกว่าเวทธาตุน้ำก็ทำได้ซะอีก”
“หมอกของคุณแซนโดรก็ใช้การพรางตัวด้วยธาตุมืดเหมือนกันค่ะ เหมือนเป็นการเคลือบเวท ‘สเตลท์’ ลงไปบนหมอกอีกที ไม่ใช่ความสามารถของธาตุน้ำหรอกนะคะ”
“อืม ปกติแล้วเวทที่ใช้สร้างภาพลวงตาขึ้นมาได้น่ะจะเป็นเวทธาตุแสงหรือธาตุมืด และเวทเกี่ยวกับมิติเวลาเท่านั้น อันที่จริงที่นายทำมันก็ไม่เชิงจะเป็นเวทรึเปล่านะ แต่เป็นการใช้เวทสร้างปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ให้ผลเหมือนกับเวทมนตร์ขึ้นมา…”
อัลติม่าพูดวิเคราะห์ตามความเห็นของตนเอง โดยที่ในใจก็ยังนึกชื่นชมอยู่ไม่หาย ส่วนนิโคลก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและพูดเสริมต่อ
“ถึงจะฟังดูเหมือนง่าย แต่การใช้เวทสร้างปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เวทมนตร์ทั่ว ๆ ไปน่ะจะถูกกำหนดรูปแบบและผลลัพธ์เอาไว้แล้วด้วยโครงสร้างทางเวทมนตร์ แต่การสร้างปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการน่ะต้องอาศัยการคำนวณองค์ประกอบที่แม่นยำอย่างมาก ถึงจะใช้งานจริงได้”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ผมเองก็ลองผิดลองถูกอยู่นานเหมือนกันกว่าจะหาอุณหภูมิและความหนาแน่นที่เหมาะสมได้น่ะ ถ้าให้ใช้เวทนี้อีกทีในสถานที่อื่นเวลาอื่นก็คงต้องมานั่งปรับรายละเอียดกันใหม่แหละนะ”
“แค่นั้นก็ถือว่าเยี่ยมแล้วค่ะ”
“นี่ เอาแต่ชมอยู่ได้ เดี๋ยวก็เหลิงกันพอดี ยังไงก็แค่เวทปาหี่แหละน่า หลอกเด็กยังไม่ได้เลย”
อัลติม่าพูดขัดขึ้นมาทั้งที่พยายามหลบสายตา เพราะความจริงเธอเองก็รู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ที่พูดไปแบบนั้นเพราะไม่อยากเอ่ยปากชมซาลตรง ๆ และก็ไม่อยากให้นิโคลชมตัดหน้าด้วย
“แต่ตะกี้อัลติม่าก็โดนหลอกนี่นา”
“ชะ.. ใช่ที่ไหนเล่า! ตะกี้เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจต่างหาก!”
“ถึงงั้นก็เถอะ แต่ของแบบนี้มันหลอกเด็กยังไม่ได้เลยนา~”
“หนอย! ตั้งหน้าฝึกต่อไปเถอะน่า! นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วนะ! จะได้กลับกันซะที!”
อัลติม่ารีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดกลับมานั่งประจำที่ของตัวเองตามเดิมโดยมีนิโคลกับซาลที่มองตามไปแอบอมยิ้มให้กับอาการนั้น
ซาลยังคงฝึกเวทมิราจและเวทสร้างหมอกไปอีกพักหนึ่ง เมื่อเขาพอใจแล้วจึงพาทุกคนกลับมายังมาลาไคท์คีป
——————————————————————————————————–
Part 3
ในช่วงเช้าที่ซาลารัสฝึกเวทอยู่ ลานาเทลก็มักจะนั่งหมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดชั้นล่างของมาลาไคท์คีป โดยเธอยังอาสาเป็นคนดูแลอัลดูอินกับวาเคียให้ด้วย และในเวลาที่ว่างเว้นจากการอ่านหนังสือ ลานาเทลก็จะพาอัลดูอินกับวาเคียออกไปฝึกการต่อสู้ที่ด้านนอกตัวคีป
ตอนนี้อัลดูอินกับวาเคียได้รับการแซคคริไฟซ์จนกลายเป็นสมุนระดับสี่ด้วยกันทั้งคู่แล้ว ทำให้ร่ายกายเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังดูเป็นเด็กอยู่ดี ความจริงซาลอยากจะเพิ่มระดับให้ทั้งสองคนโดยเร็วที่สุด แต่อัลติม่าก็ทักท้วงว่าควรจะค่อย ๆ เพิ่มระดับไปพร้อมๆกับการสั่งสอนเรื่องพื้นฐานมากกว่า
เพราะการที่จู่ ๆ ไปเพิ่มระดับให้ทั้งสองคนจนกลายเป็นสมุนระดับสูงในขณะที่ยังไม่ค่อยรู้ประสีประสานั้นก็เหมือนการยื่นอาวุธร้ายแรงให้กับเด็ก อาจเป็นอันตรายต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นได้ ซาลจึงรับฟังคำแนะนำและค่อย ๆ เพิ่มระดับให้ทั้งสองคนแค่ในระดับที่เหมาะสมแทน
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ แม้จะมีพลังเพิ่มขึ้นจากการแซคคริไฟซ์ และได้รับทักษะพื้นฐานในการต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเองเมื่อเลื่อนระดับ แต่ทั้งอัลดูอินและวาเคียก็ยังมีความสามารถในการต่อสู้ต่ำมาก จนในทีแรกนั้นไม่สามารถต่อกรกับพวกสมุนที่มีระดับต่ำกว่าอย่างนักรบโครงกระดูกได้ด้วยซ้ำ
ดูเหมือนสมุนที่มีจิตใจจะต้องทำการเรียนรู้เรื่องการต่อสู้และการใช้งานทักษะต่าง ๆ เอาเองด้วย ไม่ใช่ว่าสามารถทำทุกอย่างเป็นตั้งแต่แรกเหมือนสมุนอัญเชิญปกติ ทำให้แม้จะมีค่าพลังและทักษะในระดับสูง แต่ก็ยังไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถึงกระนั้น หลังจากที่ลานาเทลลองฝึกฝนให้กับทั้งสองคนดูก็พบว่า ทั้งสองสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อฝึกไปสักพักยังพบว่าความสามารถในการต่อสู้ของทั้งสองนั้นสามารถพัฒนาไปเกินระดับของตัวเองได้ด้วย
อย่างเช่นวาเคีย ตอนที่อยู่ระดับสาม ก็สามารถฝึกจนมีทักษะ [Spear Skill ระดับ 4] ซึ่งปกติเป็นทักษะของวาไครี่ระดับสี่ได้ ทำให้ลานาเทลรู้สึกสนใจขึ้นมา และอาสาเป็นคนฝึกฝนให้กับสมุนอัญเชิญทั้งสองด้วยตนเอง
อัลดูอินนั้นดูจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการต่อสู้ เพราะค่อนข้างก้าวร้าวและดุดันสมกับเป็นมังกร ในเวลาไม่นานก็พัฒนาจนสามารถต่อสู้ได้สมกับระดับของตนเอง
แต่ทางด้านวาเคียนั้นดูจะมีปัญหานิดหน่อย เพราะเหมือนจะไม่ค่อยมีจิตใจของนักสู้เท่าไหร่ ขนาดวันแรกของการฝึกก็ยังกลัวพวกนักรบโครงกระดูกจนร้องไห้ แถมพอให้สู้ก็เอาแต่วิ่งหนีอีกต่างหาก ลานาเทลจึงดัดนิสัยด้วยการให้พวกนักรบโครงกระดูกเป็นฝูงวิ่งไล่จนกว่าจะยอมสู้
หลังจากร้องไห้วิ่งหนีอยู่หลายชั่วโมง วาเคียก็หกล้มหน้าฟาดพื้นและสลบไป ลานาเทลก็เลยอุ้มเธอไปปล่อยไว้กลางดงนักรบโครงกระดูกนับหมื่นตัวที่อยู่ใต้หน้าผา แล้วกลับขึ้นมานั่งอ่านหนังสือจิบน้ำชาตามเดิม ไม่นานนักก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังแว่วขึ้นมาจากใต้หน้าผานั้น เป็นเสียงของคนที่เกิดความกลัวอย่างสุดชีวิต
วันต่อมา แม้จะยังมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ในที่สุดวาเคียก็ยอมกลั้นใจปักหลักสู้กับนักรบโครงกระดูกที่ลานาเทลจับคู่ให้ ไม่รู้ว่าเพราะมีความกล้ามากขึ้น หรือกลัวว่าจะถูกลงโทษแบบเมื่อวานกันแน่
เมื่อได้สู้อย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้ว ก็ดูเหมือนว่าวาเคียจะสามารถสะสมความมั่นใจไปทีละน้อย ยิ่งเวลาผ่านไปฝีมือก็ยิ่งเข้าที่เข้าทาง และไม่ค่อยแสดงอาการกลัวพวกนักรบโครงกระดูอีกแล้ว แม้จะออกอาการสะดุ้งอยู่บ้างหากได้เจอพวกมันแบบไม่ทันตั้งตัว
เมื่อเห็นว่าทั้งอัลดูอินกับวาเคียเริ่มจะดูแลตัวเองได้แล้ว ลานาเทลจึงมอบเมนูการฝึกให้ทั้งสองคนไปปฏิบัติแทน ตัวเธอเองจะได้สามารถอ่านหนังสือตามใจชอบได้มากขึ้น
เพราะนิโคลมักจะพาซาลารัสออกไปฝึกที่นอกเรล์ม บางครั้งก็กลับมาเป็นเวลาที่ไม่แน่ไม่นอน มื้อกลางวันจึงเป็นมื้อเดียวที่ทุกคนไม่ได้ทานอาหารกันพร้อมหน้า แต่ว่าจะแยกกันรับประทานตามสะดวกแทน ซึ่งลานาเทลก็มักจะจัดเตรียมอาหารสำหรับสองคนและยกขึ้นไปกินกับแซนโดรบนห้องวิจัยที่เธอทำงานอยู่
ในวันนี้หลังจากทั้งสองคนทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จแล้ว กลุ่มของซาลก็กลับมาพอดี
เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ ซาลก็ตรงมาหาลานาเทลเพื่อรับการฝึกช่วงบ่าย บริเวณลานกว้างที่อยู่ปลายฝั่งตะวันออกของมาลาไคท์คีป โดยมีอัลติม่าติดสอยห้อยตามมาด้วย ส่วนนิโคลนั้นแยกออกไปเพื่อดูวาเคียกับอัลดูอิน
ในช่วงที่ผ่านมา ลานาเทลให้ซาลฝึกฝนพื้นฐานการต่อสู้และบ่มเพาะร่างกายเป็นหลัก ซึ่งเขาก็มีพัฒนาการในระดับที่นับว่าใช้ได้
ในที่สุด ขณะที่ซาลกำลังฝึกเหวี่ยงดาบตามปกติอยู่ ลานาเทลก็เห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงปิดหนังสือใช้อ่านพลางดูการฝึกของเขาลงและลุกขึ้นเดินไปหาเขา
“ดิฉันคิดว่าเท่านี้ก็คงจะพอแล้วล่ะนะคะ”
“เอ๋? แต่นี่ยังไม่ถึงจำนวนที่กำหนดในรอบแรกเลยนะ”
“ฉันหมายถึงเรื่องพื้นฐานร่างกายน่ะค่ะ ตอนนี้คุณซาลารัสน่าจะพร้อมสำหรับการฝึกขั้นต่อไปแล้วล่ะ”
“ขั้นต่อไปเหรอ?”
“การฝึกกระบวนท่าโจมตีของนักดาบ หรือการปล่อยพลังด้วยดาบไงล่ะคะ”