Doombringer the 5th - ตอนที่ 48
Ch.48 – สาเหตุของความล่าช้า
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 48
สาเหตุของความล่าช้า
Part 1
เวลาผ่านไปอีกเกือบหนึ่งอาทิตย์ ซาลก็ยังคงฝึกฝนตามตารางเวลาเดิมเหมือนที่ผ่านมา
แซนโดรใช้เวลาส่วนใหญ่หมกตัวอยู่ในห้องวิจัยตามปกติ ส่วนลาลาเทลก็ใช้เวลาช่วงเช้าฝึกฝนให้กับวาเคียและอัลดูอิน กอ่นจะมาดูแลการฝึกให้กับซาลในช่วงบ่าย นอกเหนือจากนั้นเธอก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด
หลังจากฝึกเวทให้ซาลารัสในช่วงเช้าเสร็จแล้ว ในช่วงบ่ายนิโคลก็มักจะพาวาเคียกับอัลดูอินออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกเรล์ม เพราะเธอชอบบรรยากาศแจ่มใสและอบอุ่นที่ด้านนอกมากกว่า แต่วันนี้ลานาเทลขอตัววาเคียไว้ฝึกร่วมกับซาล โดยบอกว่าแค่จะลองทดสอบฝีมือนิดหน่อย คงใช้เวลาไม่นาน แต่เวลาผ่าไปนับชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นวาเคียกับอัลดูอินกลับมาซะที นิโคลจึงตามมาดูที่ลานฝึกด้วยตัวเอง
ที่ลานฝึก ซาลกับวาเคียกำลังประลองกันแบบตัวต่อตัวเพื่อฝึกฝนการต่อสู้ โดยมีลานาเทลกัลบอัลติม่าเฝ้าดูอยู่ ลานาเทลนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ โต๊ะน้ำชาตัวเล็ก ๆ ซึ่งจัดไว้สำหรับคนสี่คน เธอชมดูการต่อสู้พลางจิบชาไปด้วย ส่วนอัลติม่าก็ยังคงนอนเอกเขนกอยู่บนขอบระเบียงของอาคารที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเหมือนเช่นเคย
เมื่อนิโคลมาถึง อัลดูอินที่นั่งอยู่บนพื้นข้า งๆ ลานาเทลก็รีบวิ่งเข้ามาเคล้าแข้งเคล้าขาของเธอเหมือนกับเป็นสุนัขตัวใหญ่ เธอจึงยิ้มรับและลูบหัวของอัลดูอินเบา ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวซึ่งอยู่ข้าง ๆ ลานาเทล
“การฝึกเป็นไงบ้างคะ?”
นิโคลเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่ลานาเทลก็รินน้ำชาใส่ถ้วยให้กับเธอพลางตอบกลับมา
“ก็ เรื่อย ๆ น่ะค่ะ ขอโทษที่ใช้เวลานานกว่าที่คิดนะคะ พอดีมีเรื่องเหนือคาดนิดหน่อย”
“เรื่องเหนือคาดเหรอคะ?”
ยังไม่ทันที่ลานาเทลจะอธิบายอะไร ก็เกิดเสียงกระแทกดั่งสนั่นจนนิโคลต้องหันไปมอง แล้วเธอก็เห็นภาพของซาลที่ถูกผลักจนกระเด็นกลิ้งครูดพื้นไปเป็นทางยาว
วาเคียซึ่งเป็นผู้ลงมือก็มีสีหน้าตื่นตระหนกและรีบวิ่งเข้าไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะซาลลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและตวาดด้วยเสียงอันดัง
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเข้ามาดูน่ะ! กรอด… ลองใหม่อีกครั้ง!”
เมื่อพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามทันทีโดยไม่รีรอคำตอบใด ๆ ส่วนวาเคียที่ยังมีสีหน้าลำบากใจก็ได้แต่ตั้งท่ารับมือเท่านั้น
“นั่นมัน…?”
“ใช่แล้วค่ะ ตั้งแต่ประลองกันมา ซาลารัสยังไม่ชนะวาเคียเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
นิโคลแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย เพราะคิดว่าซาลารัสน่าจะเอาชนะวาเคียได้ แต่พอนึกดูดี ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจซะทีเดียว
“อันที่จริง… มันก็เป็นเรื่องปกติรึเปล่าคะ? คุณซาลารัสเองก็เพิ่งจะสิบขวบ ปกตินักผจญภัยวัยนี้แค่สู้กับมอนสเตอร์ระดับสามได้ก็เก่งแล้ว แต่นี่วาเคียตอนนี้น่าจะมีทั้งพลังและฝีมืออยู่ในระดับสี่แล้ว อีกอย่างคือโดยพื้นฐานแล้วคุณซาลารัสก็เป็นนักเวทด้วย ถ้าจะแพ้การต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่เป็นสายนักรบโดยตรงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“ใช่แล้ว เป็นเรื่องปกติ มันถึงได้แปลกไงล่ะคะ”
“เอ๋?”
“ในการประลองนี้ดิฉันตั้งกฎให้ใช้แต่ทักษะทางดาบเพียงอย่างเดียว ห้ามใช้เวทมนตร์เข้าช่วย เพื่อที่จะได้ทดสอบความสามารถทางกายภาพและขีดความสามารถในการต่อสู้ และผลก็เป็นอย่างที่เห็น ความสามารถพื้นฐานของเขาจัดอยู่ในระดับธรรมดาเท่านั้น”
“ธรรมดาแล้วมันแปลกยังไงเหรอคะ?”
“แม้บนโลกจะเคยมีผู้ที่มีสายเลือดของชาวสวรรค์อยู่ไม่กี่คน แต่จากที่มีการบันทึกไว้ ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดนักรบโดยกำเนิดทั้งสิ้น ทั้งมีพลังกายเป็นเลิศ ประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์ และมีพลังเวทมหาศาล มันเป็นผลจากการที่ร่างศักดิ์สิทธิ์ของทูตสวรรค์ให้กำเนิดทารกที่เป็นมนุษย์ออกมา
แต่ว่าซาลารัสกลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่เลย ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่ฝึกเวทแล้วว่าพลังเวทของเขาจัดอยู่ในระดับที่ธรรมดามาก เลยคิดว่าพรสวรรค์ส่วนนั้นอาจมาอยู่ที่การต่อสู้รึเปล่า แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ แม้แต่การต่อสู้ก็ไม่ใช่พรสวรรค์ของเขาเช่นกัน”
“ตะ.. แต่ว่าคุณซาลารัสก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากนะคะ”
“ใช่ค่ะ ถ้ามองในแง่ของไหวพริบและความฉลาดเฉลียวละก็ ซาลารัสจัดว่าอยู่ในระดับผู้มีพรสวรรค์ได้เลย แต่นั่นก็ยังไม่ใช่คุณสมบัติที่เขาควรจะมีจากการเป็นผู้สืบสายเลือดของทูตสวรรค์อยู่ดี หรือต่อให้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาจริง ๆ ทายาทของ ซารามอธ แฮลเซียน ก็ควรจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่านี้”
“ซารามอธ แฮลเซียน เหรอคะ?”
“อ้อ คุณไม่ค่อยรู้เรื่องราวของโลกภายนอกนี่นะคะ ซารามอธ แฮลเซียน พ่อของซาลารัสน่ะ คือผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งของพีชคีปเปอร์เมื่อช่วงสิบปีก่อน เขาเป็นนักสู้อัจฉริยะที่ได้รับฉายาว่า ‘เทพสงคราม’ (War God) ตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบ แม้แต่ ‘เทพสายฟ้า’ ออแลนด์ ในเวลานั้นก็ยังเป็นได้แค่หมายเลขสองรองจากเขาเท่านั้น”
“เห… เป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ก็ในระดับที่สยบกองทัพนับแสนได้ด้วยตัวคนเดียวน่ะค่ะ”
“เอ๋~ ขนาดนั้นเลยเหรอคะ!?”
“ใช่แล้วค่ะ เพราะแบบนั้นฉันก็เลยคาดหวังกับความสามารถในการต่อสู้ของซาลารัสเอาไว้พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ ซาลก็โดนวาเคียซัดจนกลิ้งออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและเข้าไปสู้ต่อทันที โดยมีวาเคียที่ทำสีหน้าลำบากใจสุด ๆ พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางลานาเทล เพราะไม่อยากสู้อีกต่อไปแล้ว แต่ลานาเทลก็แค่ยกนิ้วโป้งให้เหมือนจะบอกว่า ‘ทำได้ดีมาก’ วาเคียจึงได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บปวดและตั้งหน้าสู้ต่อไป
“อย่างน้อยเรื่องใจสู้นี่ก็น่าจะไม่ด้อยไปกว่าใครแหละนะคะ”
“อืม… หมายความว่าคุณซาลารัสไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนกับผู้สืบสายเลือดทั่ว ๆ ไปเหรอคะ?”
“ก็อาจเป็นแบบนั้น หรือบางทีเขาอาจไม่ใช่ผู้สืบสายเลือดจากชาวสวรรค์จริง ๆ ก็ได้”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก”
อัลติม่าที่ไม่รู้ว่ามานอนเหยียดอยู่บนเก้าอี้สองตัวที่เหลือตั้งแต่เมื่อไหร่พูดแทรกขึ้นมา พลางเอื้อมมือขึ้นไปหยิบคุกกี้ที่อยู่บนโต๊ะมากำหนึ่งด้วย
“ตอนทำพันธสัญญากันน่ะฉันสัมผัสถึงกลิ่นอายวิญญาณของหมอนั่นได้ หมอนั่นมีพลังวิญญาณของทูตสวรรค์ไหลเวียนอยู่ในกายด้วยไม่ผิดแน่นอน”
พูดจบ อัลติม่าก็ใส่คุกกี้เข้าปากไปทีละชิ้นจนเต็มกระพุ้งแก้ม ก่อนที่จะเริ่มเคี้ยวอย่างช้า ๆ
“งั้นก็แปลว่าซาลารัสไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษทางสายเลือดติดตัวมาด้วย… นับว่าแปลกทีเดียว แต่ที่แปลกกว่านั้นคือการที่คุณเข้ามาคุยกับพวกเรานี่แหละนะคะ”
ลานาเทลยิ้มให้กับอัลติม่าในขณะที่รินชาถ้วยใหม่ให้กับเธอไปด้วย แต่อัลติม่าก็หยิบเฉพาะคุกกี้มากินต่อโดยไม่ได้สนใจชาที่อีกฝ่ายรินให้
“ยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมฮาเร็มด้วยกันนี่นา ก็เลยคิดว่าควรจะสนิทกันไว้น่ะ”
“หืม~?”
“เอ๋?”
อัลติม่ายังคงตั้งหน้าตั้งตากินคุกกี้ต่อไป ในขณะที่ทั้งลานาเทลและนิโคลต่างก็มีสีหน้างุนงงด้วยกันทั้งคู่
——————————————————————————————————–
Part 2
“มะ.. เมื่อกี้ว่ายังไงนะคะ?”
นิโคลเอ่ยถามอัลติม่าด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ในขณะที่ลานาเทลอมยิ้มมองดูสีหน้าของเธอด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ ยิ่งพอเห็นท่าทางของนิโคลแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนใจขึ้นมานิด ๆ
อัลติม่าเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนกับไม่เข้าใจ จึงพูดต่อ
“หืม? ก็นี่คือฮาเร็มของผู้สร้างหายนะไม่ใช่เหรอ? ส่วนพวกเธอก็เป็นผู้หญิงในฮาเร็มของซาลารัส ผิดตรงไหนกันล่ะ?”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะคะ! เข้าใจผิดแล้วค่ะ!”
“เอ๋? ทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ? ก็รูปแบบนี้น่ะ เท่าที่ฉันศึกษาจากบันทึกของโลกเก่ามา ดูยังไงมันก็เป็นฮาเร็มชัด ๆ ”
“รูปแบบที่ว่ามันรูปแบบอะไรคะ!?”
“ก็เด็กหนุ่มที่ห้อมล้อมไปด้วยหญิงสาวมากมายซึ่งต่างก็หลงใหลในตัวเค้าไงล่ะ รูปแบบนี้นี่แหละที่โลกเก่าเรียกว่าฮาเร็มของเด็กหนุ่ม แต่จะว่าไปแล้วยังขาดสมาชิกอีกหลายตำแหน่งเลยนะเนี่ย…”
“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วค่ะ! แล้วไอ้ตำแหน่งที่ว่านั่นมันอะไรกันคะ!?”
“ก็ฮาเร็มน่ะต้องประกอบไปด้วย เพื่อนสมัยเด็ก, พี่น้องต่างสายเลือด, น้องสาว, พี่สาว, สาวแว่น, ประธานนักเรียน, คุณหนู, คุณครูพยาบาล, แม่ชี, ฯลฯ อะไรเทือกนี้น่ะ นี่แค่จำแนกตำแหน่งตามคลาส ยังไม่ได้แยกตามคาแรคเตอร์เลยนะ”
“แหม~ ไปอ่านมาจากบันทึกเล่มไหนคะเนี่ย?”
ลานาเทลเอ่ยถามแทรกด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังสนุกอยู่ ในขณะที่นิโคลได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“หุหุหุ~ ทางนรกเราน่ะได้ศึกษามนุษย์จากบันทึกแห่งโลกเก่าจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงบนโลกจะมีการปราบปราบและจำกัดการครอบครอง แต่ในนรกน่ะเราให้อิสระเหล่ากับเหล่าวิญญาณให้สามารถเขียนและเผยแพร่บันทึกได้อย่างเต็มที่ จึงมีบันทึกแห่งโลกเก่าให้เราได้ศึกษามากกว่าบนโลกหลายร้อยหลายพันเท่าเลยทีเดียว แค่ความฝันของชายหนุ่มน่ะ อัลติม่าผู้นี้ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว”
“อ่า… ฉันคิดว่าคุณอาจจะเข้าใจอะไรผิดอยู่นิดหน่อยนะคะ แต่ก็… ช่างมันละกัน ว่าแต่พูดเหมือนคุณไม่มีปัญหาถ้าซาลารัสจะมีฮาเร็มเลยนะคะ”
ลานาเทลเอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิงเหมือนแค่จะแกล้งหยอกอีกฝ่ายเล่น แต่อัลติม่าที่มัวมองไปทางอื่นไม่ได้เห็นสีหน้าขี้เล่นนั้นจึงตอบกลับมาด้วยสายตาหงุดหงิด
“จะมีปัญหาอะไรได้ล่ะ.. ก็ชั้นมาทีหลังเองนี่นา…”
นิโคลที่รู้สึกว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่จึงรีบแก้ความเข้าใจผิดนี้
“ก็บอกว่าเข้าใจผิดไงล่ะคะ! นี่ไม่ใช่ฮาเร็มซาลารัสนะคะ!”
“เห? พูดจริงเหรอ?”
“ก็จริงน่ะสิคะ!”
“แค่เห็นกลุ่มหญิงสาวห้อมล้อมชายหนุ่มก็เหมาว่าเป็นฮาเร็มแล้ว มันจะด่วนสรุปไปหน่อยนะคะ แต่ถ้าอ้างอิงตามวรรณกรรมของโลกเก่าแล้วมันก็คงจะดูเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง”
ลานาเทลพูดจบก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบพลางอมยิ้มเล็กน้อย ส่วนนิโคลก็ขมวดคิ้วและพองแก้มนิด ๆ เหมือนจะยังงอนอยู่นิดหน่อย ทำให้อัลติม่าเริ่มจะเชื่อขึ้นมา
‘แปลว่ายังไม่มีการตั้งฮาเร็มงั้นเหรอ!? หมายความว่าเรายังมีโอกาสเป็นหลวงสินะ!? มะ.. ไม่สิ ใจเย็น ๆ ก่อน… ยังไงก็ถามให้แน่ใจก่อนดีกว่า…’
“แล้ว.. พวกเธอน่ะ คิดยังไงกับซาลารัสกันแน่ล่ะ?”
อัลติม่าเงยหน้าขึ้นมาถามทั้งสองคนด้วยสายตาขึงขัง ทำให้นิโคลต้องอึ้งไปอีกครั้ง ส่วนลานาเทลที่อยากดูปฏิกิริยาของเธออยู่แล้วก็ยิ้มออกมา
“คะ.. คิดยังไงน่ะเหรอคะ? ฉะ.. ฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”
นิโคลตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักทำให้อัลติม่าทำตาเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เลยถามย้ำอีก
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าเป็นเธอละก็ ฉันไม่ขัดข้องที่จะรับเข้ามาร่วมกลุ่มหรอกนะ”
“เห~ ใจดีจังเลยนะคะ~ ยินดีด้วยนะคะคุณนิโคล”
“กะ.. ก็บอกว่าไม่ใช่ไงล่ะคะ! ชะ.. ฉันน่ะ!”
พอถูกแหย่เข้าเธอก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังนึกขึ้นได้ว่าท่าทีแบบนั้นจะทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่ จึงพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะตอบคำถามไปอีกครั้ง
“ฉันน่ะ รู้สึกชอบและเอ็นดูคุณซาลารัสมากก็จริง แต่ก็ไม่ใช่แบบที่คุณคิดหรอกนะคะ… ฉันแค่อยากจะเห็นเขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้นเองค่ะ …อีกอย่างคือเขายังเด็กอยู่เลย …แถมยังไม่ใช่เผ่ามังกรด้วย… ยังไงฉันก็คงไม่คิดเกินเลยกับเขาหรอกค่ะ”
“หืม… แปลว่าถ้าเป็นเผ่ามังกรก็จะคิดเกินเลยได้สินะ?”
“เรื่องนั้นจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะคะ?”
อัลติม่าเอ่ยถามด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ แต่นิโคลก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่ ไม่สั่นไหว แม้เธอจะหลับตาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถอ่านความจริงจากแววตานั้นได้ แต่น้ำเสียงของเธอก็บ่งบอกว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง
“อืม… แล้วเธอล่ะ ลานาเทล?”
“หืม~? ฉันเหรอคะ? นั่นสินะคะ… ถ้าให้พูดตามตรงละก็ ตอนนี้ฉันยังสนใจคุณแซนโดรมากกว่าล่ะมั้งคะ”
“หา? ‘ตอนนี้’ งั้นเหรอ?”
อัลติม่าขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แต่ลานาเทลก็ยังคงพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ก็ซาลารัสเขาเพิ่งจะสิบขวบเองนี่คะ ยังเป็นเด็กอยู่เลย จะให้มองเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไงกันล่ะคะ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ คนที่ประกาศตัวจะกินเด็กอย่างชัดแจ้งอย่างคุณต่างหากล่ะคะที่ผิดปกติ”
“เฮ่ย เรื่องอายุน่ะมันไม่เกี่ยวหรอกน่า ที่สำคัญ เด็กหนุ่มนี่แหละน่าเคี้ยวที่สุดเลย”
“พูดจาได้สมกับเป็นปิศาจมากเลยค่ะ แบบนี้น่ะสมัยโลกเก่าเค้าเรียกว่าพวก ‘โชตะค่อน’ สินะคะ?”
“ดะ.. เดี๋ยวก่อนค่ะ! พูดเรื่องอะไรกันคะเนี่ย!?”
อัลติม่าพูดพลางเหลือบมองไปทางซาลด้วยสายตาที่ดูชั่วร้ายและรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ ส่วนลานาเทลก็ตอบกลับด้วยสีหน้าสบาย ๆ เหมือนเป็นการสนทนาปกติ ผิดกับนิโคลที่เริ่มรู้สึกข้องใจกับหัวข้อสนทนามากขึ้นเรื่อย ๆ และชักจะรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
“ว่าแต่ว่าเมื่อกี้เธอบอกว่าแค่ ‘ตอนนี้’ สินะ? หมายความว่าในอนาคตอาจหมายตาซาลารัสก็ได้งั้นเหรอ?”
“อืม~ ไม่รู้สินะคะ เด็กคนนั้นน่ะเป็นคนที่น่าสนใจมากทีเดียว ถ้าโตขึ้นกว่านี้สักหน่อยฉันอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้ เว้นซะแต่ว่า…”
“เว้นแต่ว่า?”
“ถ้าดิฉันได้ลงเอยกับคุณแซนโดรเป็นที่เรียบร้อยแล้วละก็ ตอนนั้นคงไม่หมายตาซาลารัสอีกต่อไปแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอัลติม่าช่วยสนับสนุนให้ดิฉันได้ครองรักกับคุณแซนโดรเป็นผลสำเร็จก็เท่ากับเป็นการตัดคู่แข่งออกไปได้ถึงสองคนเลยนะคะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไงล่ะคะ”
“โอ้! แบบนี้นี่เอง! เข้าใจล่ะ ถ้างั้นฉันจะพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่เลย!”
“ตกลงตามนี้นะคะ”
อัลติม่าจับมือทำข้อตกลงกับลานาเทลอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยท่าทางดีใจ ในขณะที่นิโคลรู้สึกเหมือนอัลติม่ากำลังถูกหลอกอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการสนทนาอยู่นั้นเอง วาเคียก็วิ่งเข้ามาเรียกทุกคนด้วยท่าทางกระหืดกระหอบและมีสีหน้าสำนึกผิด
“อะ.. เอ่อ… คือว่า…”
เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบว่า ที่ด้านหลังของวาเคียมีซาลที่กำลังนอนแอ้งแม้งเพราะหมดสภาพอยู่ที่กลางลานฝึกนั้นเอง
——————————————————————————————————–
Part 3
เช้าวันต่อมา
เพราะซาลฝืนสู้จนเกินขีดจำกัดของตัวเองทำให้ร่างกายบอบช้ำ นิโคลกับลานาเทลจึงตัดสินใจให้วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนเพื่อให้เขาได้พักฟื้นร่างกาย
ด้วยเวทรักษาทำให้เขาไม่หลงเหลือบาดแผลหรืออาการฟกช้ำตามร่างกายอีก แต่ทุกคนก็ยังอยากให้เขาได้พักอยู่ดี ซาลจึงเลือกที่จะออกไปเที่ยวในเมืองแทน โดยมีนิโคลกับอัลติม่าตามไปด้วย
หลังจากเคลื่อนย้ายผ่านวงเวทมาที่ซากปรักหักพังแห่งหนึ่งแล้ว ซาลก็นำรถม้าที่ยืมจากแซนโดรออกมา เพื่อพาทุกคนโดยสารไปยังเมืองลินซ์ เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตเลนเทีย
ทั้งนิโคลและอัลติม่าดูจะตื่นเต้นกับการได้เข้าไปเที่ยวในเมือง เพราะทั้งสองคนไม่ค่อยได้เข้าเมืองเท่าไหร่ และนั่นก็เป็นความตั้งใจของซาลที่อยากให้ทั้งสองคนได้ออกมาเที่ยวด้วย
ระหว่างที่นั่งรถอยู่ นิโคลสังเกตเห็นซาลารัสยังมีท่าทางเซื่องซึมและครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จึงเข้าไปสัมผัสตัวเขาเพื่อดูว่ายังมีอาการบาดเจ็บตกค้างอีกรึเปล่า
“ยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกรึเปล่าคะ? เมื่อวานนี้ก็ไม่น่าฝืนตัวเองเกินไปเลยนี่นา”
“ก็ยังไม่ชนะเลยนี่นา จะให้หยุดได้ยังไงเล่า”
ที่แท้เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดที่แพ้อยู่นี่เอง นิโคลจึงพยายามหาทางปลอบไม่ให้ซาลคิดมาก
“อย่ารีบร้อนเกินไปสิคะ ปกติแล้วนักผจญภัยรุ่นเยาว์น่ะสู้กับมอนสเตอร์ระดับสามก็แย่แล้วค่ะ นี่วาเคียเป็นสมุนระดับสี่ แถมยังให้สู้ด้วยวิชาดาบที่ไม่ถนัด ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
“แต่ผมคิดว่าน่าจะชนะได้นี่นา อีกแค่นิดเดียวแท้ ๆ !”
“เฮ้อ… วาเคียเองก็เหมือนกัน น่าจะออมมือซะหน่อยนะคะ”
“ผะ.. ผมคิดว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของนักรบ ก็เลย…”
วาเคียที่อยู่ในร่างมินิขนาดเท่าฝ่ามือยืนอยู่บนไหล่ของนิโคลพูดพลางพยายามดึงเส้นผมของนิโคลมาบังตัวไว้ด้วยท่าทีสำนึกผิด
“ใช่แล้วล่ะ! การประลองก็ต้องต่อสู้กันอย่างสุดกำลังสิ! ถ้ารู้ว่าชนะเพราะนายออมมือให้ละก็ ฉันไม่อภัยให้แน่!”
“คะ.. ครับ!”
ความจริงวาเคียเองก็ออมมือให้กับซาลารัสในระดับหนึ่งแล้ว เพราะผลจากการฝึกของลานาเทลทำให้วาเคียมีทักษะการต่อสู้ใกล้เคียงกับมอนสเตอร์ระดับห้าเลยด้วยซ้ำ แม้จะมีค่าพลังอยู่ในระดับสี่ก็ตาม
และเพราะการพยายามออมมือนี้เองที่ทำให้ซาลรู้สึกว่าอีกแค่นิดเดียวก็จะชนะได้แล้ว ทั้งที่ความจริงไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด การทำให้เขาเข้าใจผิดแล้วฝืนสู้ต่อไปเรื่อย ๆ จนหมดแรงแบบนี้ทำให้วาเคียยิ่งรู้สึกผิด
แม้จะมีท่าทีหงุดหงิด แต่ซาลก็ไม่ได้แสดงความโกรธเคืองเป็นการส่วนตัวต่อวาเคียแต่อย่างใด เขาเจ็บใจตัวเองมากกว่าที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ซึ่งวาเคียก็สัมผัสได้ถึงเรื่องนั้น จึงเบาใจลงบ้าง
รถม้าใช้เวลาไม่นานก็เข้ามาใกล้เขตเมือง เพราะไม่มีแซนโดรมาด้วยซาลจึงเลือกที่จะลงจากรถแล้วเดินเท้าเข้าเมืองไปแทน เพราะแบบนี้จะสะดุดตาน้อยกว่า และไม่โดนเรียกตรวจด้วย
เมืองลินซ์ยังคงเป็นเมืองที่คึกคักเช่นเคย โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาถึงย่านการค้าซึ่งอยู่ใจกลางเมืองจะพบว่าที่นั่นมีผู้คนพลุกพล่านจนแทบจะต้องเดินชนไหล่กันเลยทีเดียว
“เฮ้! ไอ้นั่นน่าสนใจดีนี่นา ไปดูทางนั้นกันเถอะ!”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ! ตรงโน้นก็น่าสนใจนะคะ! ไปดูทางโน้นกันก่อนเถอะค่ะ!”
ทั้งอัลติม่าและนิโคลต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับข้าวของและสินค้าที่จัดวางเอาไว้ตามแผงร้านค้าต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ทั้งคู่วิ่งไปดูทางโน้นทีทางนี้ทีจนเหมือนจะลืมซาลไปซะสนิท แต่เขากลับรู้สึกดีใจมากกว่าที่ได้เห็นท่าทางสดชื่นมีชีวิตชีวาของทั้งสองคน
ระหว่างที่เดินตามสองสาวที่กำลังตื่นเต้นกับการเดินดูของอยู่นั้นเอง ซาลก็สังเกตเห็นหญิงสาวผมสีเทาซึ่งสวมผ้าคลุมไหล่สีเขียวแก่เดินอยู่อีกฟากหนึ่งของฝูงชนในตลาด
“เอ๋? นั่นมัน… แซนโดร?”
——————————————————————————————————–
Part 4
เพราะเห็นคนที่ลักษณะคล้ายแซนโดรอยู่ในตลาด ทั้งที่ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ในห้องวิจัยของมาลาไคท์คีป ทำให้ซาลรู้สึกสงสัยขึ้นมา
แม้จะลังเลนิดหน่อยในการแยกกลุ่มกับนิโคลและอัลติม่า แต่ทุกคนก็มีแหวนสื่อสารติดตัวอยู่ ทำให้สามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา บวกกับทั้งสองคนดูท่าจะยังหมกมุ่นกับการจับจ่ายอยู่ ซาลจึงตัดสินใจแยกตัวออกมาเพื่อตามไปดูคนที่ท่าทางคล้ายแซนโดร
หลังจากวิ่งตามมายังทิศที่เขาเห็นได้สักพัก ซาลก็คลาดสายตาไปจากคน ๆ นั้นอีกครั้ง เพราะผู้คนที่นี่ค่อนข้างจะพลุกพล่าน แถมส่วนสูงของเขายังไม่พ้นไหล่ของพวกผู้ใหญ่เลยด้วยซ้ำ ทำให้ยิ่งมองอะไรไม่เห็นเลย เขาจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปบนลังไม้ที่วางกองอยู่แถวนั้นเพื่อให้มองเห็นได้กว้างขึ้น
แม้จะพยายามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อยู่เป็นเวลานาน ซาลก็ยังหาคนที่ท่าทางคล้ายแซนโดรไม่เจออยู่ดี แต่เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างที่อีกฟากหนึ่งของตลาด เพราะผู้คนแถวนั้นมีท่าทางแปลก ๆ แหละพยายามหลีกเลี่ยงออกจากบริเวณนั้น ทำให้เขาคิดว่าน่าจะลองไปทางนั้นดู
เมื่อลงจากลังไม้และวิ่งซอกแซกฝูงชนไปได้สักพัก ซาลก็มาถึงจุดเกิดเหตุที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นี้
เบื้องหน้าของเขาคือร้านขายขนมหวานซึ่งยังไม่ถึงเวลาเปิดบริการ แต่มีคนมาเรียงแถวต่อคิวกันยาวเหยียดที่ช่องสั่งของด้านข้างประตูเข้าร้านเพื่อรอซื้อสินค้า
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนแถวนั้นรู้สึกขยาดและไม่กล้าเข้าใกล้คือ กลุ่มคนที่มาต่อแถวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอัศวินในชุดเกราะเต็มยศท่าทางน่าเกรงขาม แถมบางคนยังขี่ม้ามาต่อแถวด้วย
ที่หัวแถวมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนนำขบวนอยู่ ซึ่งดูจากเส้นผมสีเทายาวสลวย และดวงตาสีเขียวมรกตบนใบหน้าอันงดงามซึ่งทอประกายเย็นชานั้น เธอคือแซนโดรไม่ผิดตัวแน่
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นดูผิดปกติซะจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็ต้องหันมามองและซุบซิบกันไม่หยุด เพราะแม้เมืองลินซ์จะเป็นเมืองที่มีนักผจญภัยเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่เวลาเดินตลาดคนส่วนใหญ่จะเก็บอุปกรณ์ไว้ในช่องมิติเก็บของ ไม่ได้มาเดินตลาดในชุดเกราะเต็มยศแบบนี้ แถมสาวน้อยที่อยู่ตรงหัวแถวก็ยิ่งดูขัดกับกลุ่มคนที่มาต่อแถวทั้งหมดเข้าไปอีก
ซาลขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแซนโดรและกระซิบถาม
“นี่… ทำอะไรอยู่น่ะ?”
“…หืม? …อ๊ะ …เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ?…”
“ก็มาเที่ยวในเมืองกับนิโคลแล้วก็อัลติม่าน่ะสิ ว่าแต่แซนโดรเถอะ ทำอะไรอยู่น่ะ? แล้วเจ้าพวกนี้มัน?”
“…ออ …เจ้าพวกนี้น่ะเหรอ? …สมุนที่ฉันเรียกออกมาเพื่อช่วยต่อคิวน่ะ…”
“ต่อคิวเหรอ!?”
“…ก็รอยัลคัสตาร์ดพุดดิ้งของร้านนี้น่ะเขาจำกัดการขายแค่วันละสิบห้าชิ้น โดยขายให้แค่คนละชิ้น …และร้านนี้ยังเปิดแค่เดือนละสองครั้งด้วย …เพราะงั้นก็เลยต้องให้พวกสมุนมาช่วยต่อคิวซื้อไงล่ะ…”
“เอาพวกสเกลตันชุดเกราะมาต่อคิวซื้อพุดดิ้งเนี่ยนะ!?”
“…ก็ปรับแต่งสีของชุดเกราะให้เหมือนกับนักผจญภัยแล้วนะ (คิดว่า)…”
“แล้วที่ขี่ม้าอยู่นั่นมัน ‘เดรดไนท์’ ไม่ใช่เหรอ!? ขี่ม้ามาต่อแถวเนี่ยนะ!?”
“…ก็ถ้ามีแต่นักผจญภัยแบบเดียวกันหมดมาต่อแถวมันจะผิดสังเกตใช่มั้ยล่ะ? …เลยให้มีนักผจญภัยคลาสอื่น ๆ มาต่อคิวด้วยไงล่ะ …ทำทีว่าเป็นกลุ่มนักผจญภัยที่เหน็ดเหนื่อยจากการตะลุยดันเจียนมาทั้งคืนแล้วมาแวะซื้อพุดดิ้งกินเพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อย …ไม่มีการจัดฉากไหนจะสมบูรณ์แบบไปกว่านี้อีกแล้ว…”
แม้จะพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาของแซนโดรก็ดูมั่นใจสุด ๆ แถมยังโพสท่าชูสองนิ้วมาทางซาลารัสเพื่อตอกย้ำความมั่นใจอีกต่างหาก
“สมบูรณ์แบบตรงไหนกันล่ะ!? แบบนี้ยิ่งดูน่าสงสัยมากกว่าเดิมอีก!”
“…ไม่หรอกมั้ง …ฉันก็ทำแบบนี้เป็นปกติ ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรนะ…”
“ทำเป็นปกติเลยงั้นเหรอ!? ไม่ใช่ไม่มีปัญหา แต่คนเค้าไม่กล้าเข้ามายุ่งมากกว่ามั้ง! ดูเหมือนมีกองทหารมายืนเรียงแถวกันแบบนี้น่ะ!”
แซนโดรกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นสายตาของชาวเมืองที่มองมาทางนี้ด้วยแววตาเคลือบแคลง
“…เธอจะบอกว่า …แบบนี้มันดูแปลกงั้นเหรอ?…”
“ก็ใช่น่ะสิ! ไม่เคยสังเกตสายตาของชาวบ้านมั่งเลยเหรอ?”
“…ปกติฉันจะใจจดใจจ่ออยู่กับเวลาเปิดร้านน่ะ ก็เลย…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ หน้าต่างของร้านก็เปิดออก เผยให้เห็นสุภาพสตรีวัยกลางคนรูปร่างท้วมในชุดเชฟสีขาวสะอาดยืนอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ เธอสวมเว่นตาอันกลมขนาดเล็ก ให้ความรู้สึกของคุณป้าผู้ใจดีและอบอุ่น ทันทีที่เห็นแซนโดร เธอก็ส่งยิ้มละไมมาให้
“แหม~ หายไปนานเลยนะจ๊ะแซนดร้า รับเหมือนเดิมใช่มั้ยจ๊ะ?”
“…ใช่แล้วค่ะ …ขอพุดดิ้งสำหรับสิบที่ เหมือนเคยค่ะ…”
“ป้าน่ะชื่นใจจริง ๆ ไปผจญภัยกลับมาทีไรก็ต้องตรงมาซื้อพุดดิ้งที่ร้านป้าก่อนแทบทุกครั้ง ขอให้กลับมากันอย่างปลอดภัยแบบนี้ทุกครั้งนะจ๊ะ”
“…ขอบคุณมากค่ะ…”
คุณป้าร้านของหวานยื่นกล่องขนาดกลางที่บรรจุพุดดิ้งสิบถ้วยให้กับแซนโดร ก่อนที่แซนโดรจะจ่ายเงินแล้วนำมันเก็บเข้าช่องมิติเก็บของและเดินจากออกมาพร้อมกับกลุ่มนักรบทั้งหมด
ดูเหมือนว่าคุณป้าร้านขนมหวานจะเชื่อเรื่องที่แซนโดรแต่งขึ้นโดยไม่นึกสงสัยหรือตะขิดตะขวงใจอะไรเลยสักนิด เธอโบกมือส่งแซนโดรและกลุ่มนักผจญภัย (ปลอม) ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น ซาลจึงได้แต่เดินตามแซนโดรมาเงียบ ๆ
เมื่อเดินห่างออกมาได้ระยะหนึ่ง เหล่าสมุนของแซนโดรก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันออกไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ นั่นเป็นคำสั่งของแซนโดรที่ให้แต่ละคนค่อย ๆ แยกตัวกันไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“…อืม …คราวหน้าจะลองเปลี่ยนสีชุดเกราะให้หลากหลายขึ้นดูก็แล้วกัน…”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าสีอะไรซะหน่อย!”
แซนโดรไม่ได้ตอบโต้คำพูดของซาลและเดินนำเขามาจนถึงกำแพงอีกฟากหนึ่งของเมือง เมื่อลอดประตูเล็ก ๆ ของกำแพงนั้นออกมาแล้วซาลก็พบว่าตนและแซนโดรมาโผล่ในสถานที่ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับสวนสาธารระขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างเอาไว้บริเวณด้านนอกของกำแพงเมือง
แซนโดรยังเดินต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะมาหยุดที่เนินแห่งหนึ่ง เมื่อมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้วว่าบริเวณนี้เป็นที่สงบ ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา เธอก็นั่งลงกับพื้นหญ้า ก่อนจะนำกล่องใส่พุดดิ้งออกมาจากช่องเก็บของ
“…จะแบ่งให้เธอด้วยก็ได้ …แต่แค่ถ้วยเดียวเท่านั้นนะ…”
“ของแบบนั้นผมไม่ต้องการหรอกน่า! ว่าแต่แซนโดรเถอะ จะเข้ามาในเมืองทำไมถึงไม่บอกใครเลยล่ะ?”
“…ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกนี่…”
แซนโดรพูดตอบ พลางใช้ช้อนตักพุดดิ้งเข้าปากไปหนึ่งคำ ทันทีที่กินพุดดิ้งเข้าไป สีหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดของเธอก็เริ่มอมยิ้มด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข จนซาลชักรู้สึกสงสัยว่าพุดดิ้งนั่นมันอร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ
“…ถ้าบอกกันก่อนก็จะได้เข้าเมืองมาด้วยกันไงล่ะ”
“…คนเยอะมันวุ่นวายน่ะ …ฉันชอบอยู่คนเดียวมากกว่า…”
“จริงเร้อ… ถึงจะเป็นคนรักสันโดษแค่ไหน แต่ผมคิดว่าไม่มีใครอยากจะอยู่คนเดียวไปตลอดเวลาหรอกนะ”
คำพูดนั้นทำให้แซนโดรนิ่งไปพักหนึ่ง โดยที่สายตายังคงจับจ้องพุดดิ้งในถ้วยที่ตนเองถืออยู่
“…ใช่ …ไม่ว่าใครก็อยากจะอยู่กับคนที่ต้องการจะอยู่ด้วยทั้งนั้น…”
แซนโดรพูดพลางทอดสายตามองออกไปยังขอบฟ้าอันห่างไกล มันเป็นสายตาที่ปนความเศร้าและความโดดเดี่ยวอยู่ในที แต่พอตักพุดดิ้งเข้าปากไปอีกคำสีหน้าของเธอก็กลับมาสดชื่นจนเหมือนจะยิ้มได้อีกครั้ง ทำให้ซาลยิ่งไม่เข้าใจความหมายที่เธอพูด และรู้สึกอยากลองชิมพุดดิ้งนั่นมากกว่าเดิม
“…แล้ว เรื่องอาติแฟคที่สร้างอยู่ ไปถึงไหนแล้วล่ะ? ใกล้จะเสร็จรึยัง?”
“…ความจริงก็เสร็จตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะ…”
“หา!? เสร็จแล้ว? แล้วทำไมถึงไม่บอกใครเลยล่ะ? มันผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ”
“…ก็เพราะตอนทำเสร็จฉันเห็นว่าอีกแค่อาทิตย์เดียวร้านนี้ก็จะเปิดขายพุดดิ้งรอบที่สองของเดือนแล้ว …ฉันเลยรอให้ถึงวันนี้ก่อนไงล่ะ…”
“สรุปว่าเพื่อจะรอซื้อพุดดิ้งเนี่ยนะ!?”
“…มันก็หลาย ๆ อย่างน่ะ …การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างไกลมาก …และน่าจะอันตรายมากด้วย …ฉันอยากให้ทุกคนใช้เวลาพักผ่อนกันให้เต็มที่…”
คำพูดนั้นเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าและแววตาอันจริงจัง ทำให้ซาลไม่กล้าโวยวายอีก เพราะหากเธอพูดแบบนี้มันคงเป็นการเดินทางที่ยากลำบากจริง ๆ การให้ทุกคนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่และเตรียมตัวให้พร้อมก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว
แต่ตอนนี้เขากำลังมีความสงสัยอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อันที่จริงมันเป็นความสงสัยที่เกิดมาพักหนึ่งแล้ว
“อืม… นี่ แซนโดร”
“…หืม?…”
“ขอลองชิมพุดดิ้งนั่นบ้างสิ”
“…ไม่…”
“หา!? ไหนตะกี้บอกว่าจะให้ถ้วยนึงไง!?”
“…ก็ไหนเมื่อกี้บอกว่าไม่เอาแล้วไง…”
“เมื่อกี้ก็ส่วนเมื่อกี้สิ! ตอนนี้อยากลองกินแล้วอะ!”
“…ผู้ชายใจโลเลน่ะ ผู้หญิงเขาไม่ชอบหรอกนะ…”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย! ขอลองชิมบ้างเซ่~!”
ซาลพยายามจะเอื้อมมือไปแย่งพุดดิ้งจากแซนโดร แต่แซนโดรก็ยกพุดดิ้งหลบจากระยะเอื้อมของเขาได้อย่างรวดเร็ว พลางตักกินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากกินพุดดิ้งไปสี่ถ้วยแล้ว ในที่สุดแซนโดรก็ยอมแบ่งถ้วยที่ห้าซึ่งถูกตักกินไปเล็กน้อยแล้วให้กับซาล เพราะเห็นแก่สายตาวิงวอนของเขา ก่อนที่เธอจะแยกตัวกลับไปที่มาลาไคท์คีป
ไม่รู้ว่าเพราะความยากลำบากในการได้มา หรือเพราะได้แต่นั่งดูอีกฝ่ายกินอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ทำให้ซาลรู้สึกว่าพุดดิ้งถ้วยนี้เป็นพุดดิ้งที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา
เมื่อแยกกับแซนโดรแล้ว ซาลก็ใช้แหวนสื่อสารติดต่อกับนิโคลเพื่อนัดพบกันอีกครั้ง ดูเหมือนว่านิโคลกับอัลติม่ายังดูของกันไม่จุใจเลย จึงขอเดินชมเมืองต่ออีกสักพัก
ทั้งสามคนยังเดินเที่ยวในตลาดอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะรับประทานอาหารกลางวันกันในร้านอาหารที่อัลติม่าเป็นคนเลือก และเดินทางกลับไปยังมาลาไคท์คีปในช่วงเย็น
ทันทีที่ทั้งสามกลับมาถึง แซนโดรก็ใช้แหวนสื่อสารเรียกให้ทุกคนมาประชุมกันที่ห้องสมุด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องที่ประดิษฐ์อาติแฟคสำเร็จแล้ว และบอกแผนการเดินทางสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป