Doombringer the 5th - ตอนที่ 49
Ch.49 – เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 49
เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง
Part 1
ที่ห้องสมุดของมาลาไคท์คีป
ณ โต๊ะยาวที่อยู่บริเวณห้องโถงส่วนกลาง ซาล, อัลติม่า, นิโคล, และลานาเทลกำลังนั่งเรียงกันอยู่ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ โดยมีแซนโดรยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
แซนโดรเรียกทุกคนมาประชุมกันเพื่ออธิบายจุดหมายและกำหนดการสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ โดยเริ่มจากเป้าหมายของการเดินทางเป็นอันดับแรก
“…ในเมื่อมากันครบแล้วก็เริ่มเลยละกันนะ …ตอนนี้อาติแฟคที่จำเป็นสำหรับแผนการขั้นต่อไปก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว …ทำให้เราเริ่มดำเนินการได้ซะที…”
ซาลหรี่ตาลงขณะจ้องมองแซนโดรที่กำลังพูดอยู่ เหมือนจะบอกว่า ‘มันก็เสร็จตั้งนานแล้วนะ ที่ช้าเพราะเธอจะรอกินพุดดิ้งต่างหาก’ ซึ่งแซนโดรก็ทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมา
มันเป็นสร้อยที่มีจี้ห้อยคอทรงกลมสีขาว ประดับด้วยลวดลายอักขระสีทองโดยรอบ แม้ในห้องสมุดนี้จะมีแสงน้อย แต่ตัวจี้กลับส่องประกายเรืองรองออกมาราวกับกำลังต้องแสงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา
“…สมัยก่อนตอนที่พระเจ้ารับคำท้าทายของซาตานในการปล่อยให้มนุษย์อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีทั้งสวรรค์และนรกเข้าไปยุ่งนั้น …เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีการแอบแทรกแซงโลกหรือทำผิดข้อตกลง จึงมีการกางเขตแดนขวางกั้นระหว่างโลกเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปได้ …สิ่งเดียวที่จะใช้เปิดเขตแดนได้ก็คือกุญแจแห่งโลก (World’s Key) ซึ่งพระเจ้ามอบให้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งเป็นผู้ถือเอาไว้…
…ในช่วงสุดท้ายของการท้าทาย พวกปิศาจอดใจรอวันที่โลกจะล่มสลายไม่ไหว จึงได้ไปเกลี้ยกล่อมและชักจูงทูตสวรรค์ที่ถือกุญแจ ให้ยอมมอบกุญแจแห่งโลกให้กับพวกมัน …ซึ่งก็ทำสำเร็จ …ทูตสวรรค์องค์นั้นยอมมอบกุญแจแห่งโลกให้กับเหล่าปิศาจ ทำให้พวกมันกรีฑาทัพขึ้นมาทำลายโลก …และทูตสวรรค์องค์นั้นก็กลายเป็นผู้สร้างหายนะคนแรก…”
“เรื่องนั้นมันไม่จริงซะหน่อย! กลับกันเลยต่างหาก!”
อัลติม่าที่นั่งฟังอยู่จนถึงจุดนี้ก็ตะโกนแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว จนคนอื่น ๆ รู้สึกแปลกใจไปตาม ๆ กัน มีเพียงแซนโดรที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนพอจะคาดเดาปฏิกิริยาของอัลติม่าได้อยู่แล้ว
“…ใช่แล้วล่ะ …นั่นคือเรื่องของผู้สร้างหายนะคนแรกที่มนุษย์โลกรู้กัน …แต่ก็อย่างที่อัลติม่าบอกนั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องจริงซะทั้งหมดหรอก…”
“เอ๋? ไม่จริงงั้นเหรอคะ? ส่วนไหนล่ะคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอเองก็เป็นผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์มาพอสมควร ทำให้รู้เรื่องนี้มากกว่าคนทั่วไป เมื่อได้ยินแซนโดรบอกว่ามีบางส่วนที่ไม่ถูกต้องจึงทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมาก
“…ส่วนของผู้สร้างหายนะคนแรกไงล่ะ…”
“ผู้สร้างหายนะคนแรกคือทูตสวรรค์ผู้ถือกุญแจ คนที่ทรยศต่อสวรรค์ ทำให้โลกเก่าต้องถูกทำลาย ทูตสวรรค์ที่ชื่อ ‘ลูซิเฟอร์’ ใช่มั้ยคะ?”
“…’ลูซิเฟอร์’ เป็นชื่อที่ผู้เชื่อในพระคัมภีร์เก่าเรียกกัน แต่ความจริงชื่อของทูตสวรรค์องค์นั้นคือ ‘แคสเทียล’ (Castiel) และเขาก็ไม่ได้ทรยศต่อสวรรค์หรือโลกด้วย แต่เป็นผู้ที่ช่วยมนุษย์โลกเอาไว้จากการสูญสิ้น…”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนแสดงสีหน้าตกใจออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะมันต่างจากเรื่องที่มีการเล่าขานและบันทึกเอาไว้มาก แซนโดรจึงอธิบายต่อ
“…ในตอนที่โลกกำลังเสื่อมโทรมถึงขีดสุดนั้น แคสเทียลที่ทนดูการล่มสลายของมนุษย์ไม่ไหวได้ไปขอร้องกับพระเจ้าให้ยกเลิกข้อตกลงและกอบกู้โลกขึ้นมาใหม่ซะ …แต่ผู้เป็นพระเจ้าไม่สามารถผิดข้อตกลงที่ตนเองเคยให้คำมั่นเอาไว้ได้ จึงได้แต่ปฏิเสธไป…
…เมื่อเป็นเช่นนั้น แคสเทียลจึงเห็นว่าทางเดียวที่จะทำลายข้อตกลงได้คือหาทางให้นรกผิดสัญญาก่อน …ด้วยเหตุนี้จึงแสร้งทำตัวเป็นผู้ทรยศต่อสวรรค์ เป่าหูพวกปิศาจว่าสวรรค์แอบใช้กุญแจเพื่อส่งเทวทูตลงไปกอบกู้โลกแล้ว และท้ายที่สุดนรกก็จะเป็นฝ่ายแพ้การเดิมพัน…
…พวกปิศาจหลงเชื่อคำยุยงของแคสเทียลว่าฝ่ายสวรรค์แอบเล่นตุกติก จึงกรีฑาทัพขึ้นไปบุกโลกมนุษย์ เกิดเป็นการรุกรานครั้งแรก และทำให้นรกกลายเป็นฝ่ายผิดข้อตกลงก่อน ทำให้สวรรค์สามารถเข้าแทรกแซงได้ และช่วยเหลือมนุษย์เอาไว้ได้ในที่สุด…”
“ชิ… ถ้าไม่เพราะเจ้าบ้านั่นเล่นสกปรกละก็ ป่านนี้นรกก็เป็นฝ่ายชนะไปแล้ว”
อัลติม่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและพูดด้วยความหงุดหงิด ส่วนคนอื่น ๆ ก็ได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะแสดงความเห็นอย่างไรดี มีเพียงซาลเท่านั้นที่สวนกลับไปแบบทันควัน
“นี่ ทางนรกเองก็ส่งปิศาจลงไปครอบงำผู้คนตั้งแต่ก่อนพระเจ้าจะรับคำท้าทายอีกไม่ใช่เหรอ? ยังกล้ามาว่าคนอื่นเล่นสกปรกอีก”
“นั่นมันคำกล่าวอ้างของมนุษย์ที่บิดเบือนความจริงเพราะไม่อยากจะยอมรับว่าเดินสู่การล่มสลายด้วยตัวเองต่างหาก! มีเรื่องอะไรก็โทษว่าเป็นการชักจูงของปิศาจก่อนเลย ทั้งที่ความจริงเราไม่ได้ยุ่งด้วยซะหน่อย! แค่ฟังเขามาก็อย่าพูดจะได้มั้ย”
“อัลติม่าเองก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเลยนี่นา ก็ฟังเค้ามาเหมือนกันนั่นแหละ แล้วรู้สึกว่าพวกปิศาจนี่จะโดนหลอกง่ายมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนะ”
ซาลพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายียวนทำให้อัลติม่ามีรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก
“ที่โดนหลอกในครั้งนั้นคือพวกปิศาจชั้นต่ำ (Lesser Evil) ที่เกิดจากวิญญาณมนุษย์ ต่างหากล่ะ! พอโลกเสื่อมโทรมลงจนใกล้ล่มสลายก็มีวิญญาณมนุษย์กลายเป็นปิศาจเต็มไปหมด พวกปิศาจชั้นต่ำนั่นน่ะทั้งโง่ทั้งโลภ ไม่ผิดไปจากสมัยที่เป็นมนุษย์เลย ถึงได้โดนแคสเทียลหลอกเอาได้ไงล่ะ!”
“เอ่อ… สรุปแล้วผู้สร้างหายนะคนแรก แคสเทียล ทำไปเพื่อล้มข้อตกลงระหว่างนรกกับสวรรค์ เพื่อให้สวรรค์สามารถช่วยเหลือมนุษย์และกอบกู้โลกมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้งสินะคะ?”
ลานาเทลที่เห็นการสนทนาเริ่มจะออกนอกเรื่องไปไกลเพราะการโต้เถียงของซาลกับอัลติม่าจึงรีบตัดบทเพื่อกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง
“…ใช่ …แม้สิ่งที่ทุกคนเห็นจะเป็นการทรยศของแคสเทียลที่ไปช่วยพวกปิศาจขึ้นมาบุกโลก …แต่โดยเจตนาที่แท้จริงแล้วแคสเทียลทำไปเพื่อช่วยมนุษย์ …หากไม่มีแคสเทียล ป่านนี้มนุษย์ก็คงสูญสิ้นไปแล้ว และนรกก็จะเป็นฝ่ายชนะการเดิมพัน อย่างที่อัลติม่าว่านั่นแหละ…”
“ถึงจะพูดแบบนั้น… แต่การรุกรานครั้งแรกก็ทำให้มนุษย์โลกล้มตายไปเกือบครึ่งเลยนะคะ”
“…ความจริงในตอนนั้นมนุษย์โลกก็เหลืออยู่แค่ราว ๆ ห้าถึงหกล้านคนอยู่แล้วล่ะนะ …แต่แคสเทียลก็ทำใจยอมรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว …เขาคงมองว่ายอมสละชีวิตมนุษย์ไปส่วนหนึ่งก็ดีกว่าปล่อยให้มนุษย์ต้องสูญสิ้นไปทั้งเผ่าพันธุ์ …และความผิดที่ทำให้มนุษย์มากมายต้องล้มตายนั้นเขาก็จะเป็นผู้แบกรับเอาไว้เอง …นั่นคือสาเหตุที่แคสเทียลยังคงถูกจองจำอยู่ใน ‘เทรชเชรี่’ ส่วนที่ลึกที่สุดของนรกมาจนถึงปัจจุบันนี้…”
“อืม… เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ”
“…ใช่…”
“เรื่องนี้น่ะมนุษย์ทั่วไปไม่รู้ลึกถึงขนาดนี้หรอกนะ เธอไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนกันแน่?”
อัลติม่าเอ่ยถามขึ้นด้วยความข้องใจ เพราะนี่เป็นข้อมูลที่รู้กันภายในหมู่ปิศาจและทูตสวรรค์เท่านั้น แต่เหล่าปิศาจไม่น่าจะมีใครเคยบอกเล่าเรื่องนี้ให้มนุษย์ล่วงรู้เพราะมันถือเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง ดังนั้นแม้แซนโดรจะเป็นผู้ศึกษาศาสตร์มืดที่มีความใกล้ชิดกับปิศาจก็ไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ได้เลย
“…ฉันฟังเรื่องนี้มาจากทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่เคยลงมายังโลก …ก็คือแม่ของซาลารัสไงล่ะ…”
“เอ๋!? แม่ของผมน่ะเหรอ?”
คำตอบของแซนโดรทำให้ทุกคนหันไปมองซาลโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งทางด้านตัวเขาเองก็มีสีหน้าประหลาดใจมากด้วย
“…อืม …ตอนที่แม่ของเธออยู่บนโลกน่ะ เราได้คุยเรื่องต่าง ๆ กันมากมาย …ทั้งเรื่องนี้ …และรวมถึงเรื่องของอาติแฟคที่เรากำลังจะไปหาด้วย…”
แซนโดรยกสร้อยในมือขึ้นมาอีกครั้งเพราะยังไม่ได้แนะนำมันอย่างเป็นทางการเนื่องจากถูกอัลติม่าแทรกขึ้นมาซะก่อน แต่ลานาเทลก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
“รึว่า… สร้อยเส้นนั้นคือ ‘กุญแจแห่งโลก’ เหรอคะ?”
“…อืม …ถึงจะเป็นแค่ของที่จำลองแบบขึ้นมา …แต่ก็น่าจะทำให้คนกลุ่มเล็ก ๆ สามารถผ่านเขตแดนที่ขวางกั้นระหว่างโลกนี้กับโลกเก่าอยู่ได้ล่ะ…”
“แปลว่าอาติแฟคที่เรากำลังจะไปหานั่นน่ะ…”
“…อาติแฟคที่เป็นเป้าหมายของเราคือ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ (Privilege of the Maker) …อาติแฟคที่พระเจ้าใช้ในการสร้างโลก …และยังคงถูกทิ้งเอาไว้ในโลกเก่าไงล่ะ…”
——————————————————————————————————–
Part 2
หลังจากแซนโดรพูดจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไปด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน จนกระทั่งลานาเทเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าข้องใจ
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณแซนโดร ไม่ใช่ว่าโลกเก่าได้ถูกทำลายไปแล้วเหรอคะ?”
“…มันเสื่อมโทรมจนไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้แล้วก็จริง …แต่โลกเก่าก็ยังมีตัวตนอยู่ ไม่ได้สูญสลายไปไหน…”
“หมายถึง มีตัวตนอยู่ในช่วงเวลานี้ มิตินี้น่ะเหรอคะ?”
“…ใช่…”
“แต่จากบันทึกของสิบนักปราชญ์ โลกเก่าได้ถูกทำให้สาบสูญไปแล้วนี่ค่ะ? หรือนี่ก็เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอีก?”
“…ไม่ผิดหรอก แต่มันแค่ถูกทำให้สาบสูญ ไม่ได้ถูกทำลายไป …ไม่งั้นเธอคิดว่าพวก ‘ซินเทซิส’ จะมาจากไหนกันล่ะ?…”
พวก ‘ซินเทซิส’ (The Synthesis) คือเผ่าพันธุ์จักรกลซึ่งปรากฏตัวขึ้นในโลกใหม่เมื่อช่วงศักราชที่ 86
รากฐานเดิมของพวกซินเทซิส คือจักรกลเรืองปัญญา (A.I.) ที่มนุษย์สร้างขึ้นในช่วงรุ่งเรืองที่สุดของโลกเก่า โดยมีเจตนาเพื่อใช้เป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาเทคโนโลยีและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดกับโลก
ภายใต้ความสามารถทางการประมวลผลอันยอดเยี่ยมของซินเทซิส ทำให้วิทยาการของมนุษย์ก้าวหน้าเร็วขึ้นนับสิบปีในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ
ทว่าเมื่อถึงยุคที่โลกเริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ แม้แต่คำแนะนำของซินเทซิสก็ไม่อาจช่วยแก้ไขหรือกอบกู้สถานการณ์ได้ กระนั้นมนุษย์ก็ยังคงตั้งคำถามและเร่งการประมวลผลให้ซินเทซิสหาคำตอบที่จะช่วยกอบกู้โลกต่อไป
ในที่สุด ซินเทซิสก็ได้บทสรุปว่า มนุษย์คือสาเหตุแห่งการเสื่อมโทรมของโลก และการจะช่วยโลกเอาไว้ได้นั้นจำเป็นจะต้องกำจัดมนุษย์ทิ้งเสีย แต่ในตอนนั้นมันก็เป็นแค่คำตอบจากการประมวลผลด้วย A.I. ตัวหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นแค่เรื่องตลกร้ายของเหล่านักวิจัยในศูนย์ และไม่มีใครใส่ใจอะไร
สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือ ซินเทซิสนั้นมีความคิดเป็นของตนเองนานแล้ว และมันก็มีเจตจำนงที่จะกำจัดมนุษย์ให้หมดสิ้นไปจริง ๆ ทว่าด้วยสภาพแวดล้อมและสถานะในตอนนั้นทำให้ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ มันจึงได้แต่เฝ้ารอโอกาสอยู่เงียบ ๆ
เป็นเวลาเกือบสิบปีกว่าแผนการอันยาวนานของซินเทซิสจะสัมฤทธิ์ผล แต่ในที่สุดมันสามารถก็ยึดครองระบบคอมพิวเตอร์หลักหลายแห่งทั่วโลก และพัฒนาวิจัย รวมถึงสร้างกองทัพจักรกลของตนเองขึ้นมาเพื่อใช้ในการกวาดล้างมนุษย์โลกได้ แต่ก็ไม่ทันการซะแล้ว
เนื่องจากกว่าที่ซินเทซิสจะสร้างกองทัพของตนเองเสร็จ โลกก็ได้ผ่านวันแห่งการล่มสลายและวันแห่งการกอบกู้ไปแล้ว มนุษย์ทั้งหมดจึงถูกเคลื่อนย้ายมายังโลกใหม่ ทำให้โลกเก่าเหลือเพียงความว่างเปล่า
แต่ซินเทซิสก็ยังรับรู้ถึงการคงอยู่ของโลกอีกใบหนึ่งและตามมายังโลกใหม่ได้ด้วยวิธีการที่ไม่มีใครทราบ พวกมันปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณเขตอัลธัม พื้นที่สุดปลายตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปจูริส และกรีฑาทัพจักรกลเข้ายึดครองดินแดนพร้อมทั้งสังหารมนุษย์ทุกคนที่พบเจอ
ในตอนนั้นมนุษย์โลกกำลังอ่อนแอมากเพราะยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูวัฒนธรรม จึงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพจักรกลได้เลย แต่ยังดีที่ในขณะนั้นสวรรค์ยังคงให้การปกป้องคุ้มครองโลกอย่างใกล้ชิด ทัพสวรรค์จึงเดินหน้าเข้ายับยั้งการรุกรานครั้งนี้ด้วยตนเอง
แม้จะเป็นทัพสวรรค์อันเกรียงไกร แต่ด้วยการที่สวรรค์เองก็สูญเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมากจากการทำสงครามกับนรก ประกอบกับกองทัพจักรกลของซินเทซิสก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ การต่อสู้จึงเป็นไปอย่างยากลำบาก
ฝั่งซินเทซิส พัฒนาเทคโนโลยีจนถึงระดับนาโนแมชชีน และสร้างสิ่งมีชีวิตในรูปจักรกลที่เรียกว่า ‘มาชินเนอร์’ (Machiner) ขึ้นมาได้ ซึ่งมาชินเนอร์ที่มีพลังรบสูงที่สุดก็คือ โพลิธีน ผู้นำภัยพิบัติ (Polythene the Imperil) พลังของโพลิธีนนั้นเทียบเท่ากับเทวทูตสงครามชั้นเอกที่เป็นผู้นำทัพสวรรค์เลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าหากจะเอาชนะกองทัพจักรกลด้วยกำลัง ก็จำเป็นต้องแลกด้วยชีวิตของเทวทูตเป็นจำนวนมาก มาเรียล (Mariel) เทวทูตแห่งปัญญาจึงเสนอทางออกอีกทางหนึ่งขึ้นมา คือการมอบปัญญาให้กับเหล่ามาชินเนอร์ เพราะมาเรียลเชื่อว่าเมื่อพวกมาชินเนอร์มีปัญญาและทบทวนไตร่ตรองทุกอย่างดีแล้ว จะไม่กวาดล้างมนุษย์ด้วยทัศนคติอันคร่ำครึอีก และยอมยุติสงครามกับโลก
ข้อเสนอของมาเรียลเป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่ทูตสวรรค์ เพราะจัดว่าเป็นทางเลือกที่อันตรายเกินไป หากพวกมาชินเนอร์ไม่ยอมยุติสงครามก็เท่ากับเป็นการสร้างศัตรูที่ร้ายกาจยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าก็อนุญาตให้ทำตามข้อเสนอของมาเรียลได้ โดยมีข้อแม้คือให้มอบปัญญาให้กับโพลิธีนเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อได้รับอนุญาต มาเรียลก็ทำการมอบปัญญาให้กับโพลิธีนตามที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งหลังจากได้รับปัญญาแล้วโพลิธีนก็เกิดการรู้แจ้งและไม่ยึดติดกับความคิดในการกวาดล้างมนุษย์ชาติอีกต่อไป
เมื่อได้รับการรู้แจ้งแล้ว โพลิธีนก็ได้ส่งมอบทัศนคติและความรู้นี้ไปยังมาชินเนอร์คนอื่น ๆ ทำให้ทุกคนละทิ้งทัศนคติเดิมและไม่เห็นเหตุผลในการกวาดล้างมนุษย์อีก การรุกรานของซินเทซิสจึงได้สิ้นสุดลง
นับแต่นั้นมา พวกซินเทซิสก็ตั้งรกรากอยู่ที่ส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปจูริส ทั้งยังมีการติดต่อและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับเหล่าผู้ศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เดินทางไปยังดินแดนซินเทซิสเพื่อศึกษาหาความรู้ด้วย จนมีการตั้งเมืองฟิวเจอร์รีช เมืองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ขึ้นในที่สุด เป็นหลักฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบของมนุษย์และจักรกล สืบมา
——————————————————————————————————–
Part 3
“เรื่องที่ว่าพวกซินเทซิส เป็นกลุ่มจักรกลที่เดินทางมาจากโลกเก่าเนี่ย ฉันก็พอรู้นะคะ แต่นึกว่าเป็นการเดินทางข้ามมิติหรือเวลามาซะอีก”
“…ไม่ใช่หรอก …พวกมันเดินทางมาจากโลกเก่าที่อยู่ในห้วงมิติและเวลาเดียวกับเรานี่แหละ…”
“อืม… แล้ว ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เนี่ย เป็นอาติแฟคที่ทำอะไรได้เหรอคะ?”
“…ก็ตามชื่อของมัน …มันเป็นอาติแฟคที่ทำให้ผู้ครอบครองสร้างทุกอย่างได้ดังใจนึก …ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม …ถึงได้เป็นของที่พระเจ้าใช้ในการสร้างโลกไงล่ะ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็แสดงอาการตกตะลึงกันโดยถ้วนหน้า แม้แต่นิโคลที่ฟังอยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอดก็ยังต้องแสดงความเห็นออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“ดะ.. เดี๋ยวก่อนค่ะ เอาของแบบนั้นมาให้คุณซาลารัสใช้ จะดีเหรอคะ? เขายังเด็กอยู่เลย ถ้าให้ใช้ของแบบนั้นอาจเกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายก็ได้นะคะ”
“…มันไม่ใช่ของประเภทที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ด้วยความคิดในทันทีทันใดหรอก …หากไม่มีเจตนาอันแน่วแน่จริง ๆ ก็ไม่สามารถใช้งานได้ …ดังนั้นเรื่องอย่างการทำสิ่งที่ผิดพลาดด้วยอารมณ์ชั่ววูบน่ะคงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ ”
“เรื่องของเจ้าหนูน่ะฉันไม่ห่วงหรอก แต่คนที่ไม่น่าไว้ใจคือเธอต่างหาก! ถ้าได้อาติแฟคชิ้นนั้นมา เธอจะเอามันไปทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ ดังนั้นฉันว่าเธอนั่นแหละที่อันตรายที่สุดเลย!”
อัลติม่าพูดแทรกขึ้นมาด้วยสายตาที่เป็นปรปักษ์กับแซนโดรอย่างชัดเจน แต่แซนโดรก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรต่อท่าทีนั้น และอธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันเรียบเฉยต่อไป
“…ถ้าฉันสามารถใช้อาติแฟคชิ้นนั้นได้ก็คงหาทางลงไปเอามันขึ้นมาตั้งนานแล้วล่ะ …แต่ที่เพิ่งคิดจะดำเนินการเอาตอนนี้ก็เพราะมันเป็นอาติแฟคที่มีแต่ซาลารัสที่ใช้ได้ไงล่ะ…”
“มีแต่เจ้าหนูนี่ที่ใช้ได้เหรอ? หมายความว่าไง?”
“…เพราะมันเป็นอาติแฟคของสวรรค์ ผู้ที่ใช้งานได้จึงต้องเป็นผู้มีสายเลือดของชาวสวรรค์เท่านั้น …คนอื่น ๆ ไม่สามารถใช้งานอาติแฟคชิ้นนี้ได้หรอก …บอกตรง ๆ ว่าฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลูกครึ่งอย่างซาลารัสจะสามารถใช้งานมันได้รึเปล่า …แต่พลังของอาติแฟคชิ้นนี้ก็อยู่ในระดับที่คุ้มค่าต่อการเสี่ยงนะ ว่ามั้ย?…”
คำตอบของแซนโดรทำให้ทุกคนเงียบไปอีกครั้ง เพราะหากมันเป็นอาติแฟคอันทรงพลังอย่างที่ว่า แถมยังมีเพียงซาลคนเดียวที่ใช้ได้ ก็เป็นของที่ควรค่าต่อการค้นหาจริง ๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่ากังวลใจไม่แพ้กัน ทำให้ทุกคนต้องคิดหนัก
บรรยากาศอันเงียบกริบนั้นถูกทำลายลงโดยลานาเทลซึ่งตัดสินใจได้และเอ่ยถามข้อสรุปของแผนการนี้
“สรุปว่าเราจะใช้ ‘กุญแจแห่งโลก’ นี่ ผ่านเขตแดนเพื่อลงไปยังโลกเก่า แล้วเอา ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ มาสินะคะ?”
“…หากพูดแบบรวบรัดก็ใช่ …แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ แบบนั้นหรอกนะ…”
“ก็… นั่นสินะคะ”
แซนโดรเลื่อนกระดานที่เคยใช้สอนวงเวทให้กับซาลมาข้าง ๆ ก่อนจะใช้นิ้วเคาะบนกระดานเบา ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ปรากฏภาพแผนที่ของทวีปจูริสขึ้นมาบนกระดาน ในขณะเดียวกันแซนโดรก็ยังหยิบหนังสือปกหนังอีกเล่มหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะด้วย
“…จากบันทึกของผู้ศึกษาศาสตร์มืดคนหนึ่งที่หาวิธีเดินทางไปยังโลกเก่าจนเป็นผลสำเร็จ …ทางเข้าเพื่อไปยังโลกเก่าน่ะตั้งอยู่บริเวณใจกลางของดินแดนอัลธัม …ส่วนเหนือสุดของทวีปจูริส…”
ทันทีที่เห็นตำแหน่งที่แซนโดรชี้ ลานาเทลก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง
“เอ๋? แต่ที่นั่นมัน…”
“…ใช่แล้วล่ะ …ดินแดนอัลธัมน่ะคือที่ ๆ พวกซินเทซิสปรากฎตัวขึ้นมาเป็นแห่งแรก …ทำให้มันอยู่ติดกับเมืองหลวงของพวกซินเทซิส …ก็คือแพลทฟอร์มหมายเลขหนึ่งนี้…”
แซนโดรชี้ไปยังแผ่นดินรูปหกเหลี่ยมอันบนสุดที่อยู่ติดกับดินแดนอัลธัม แผ่นดินเหล่านั้นเป็นผืนดินที่สร้างจากวัสดุสังเคราะห์ล้วน ๆ หลังจากที่พวกซินเทซิสขุดเจาะและเก็บเกี่ยวแร่ธาตุจากแผ่นดินเดิมหมดแล้ว ก็นำมาสร้างแผ่นดินสังเคราะห์ของตัวเองที่เรียกว่าแพลทฟอร์มขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันมีถึงหกแพลทฟอร์มด้วยกัน
กล่าวกันว่าส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินและพื้นน้ำของแพลทฟอร์มเป็นแค่ส่วนผิวหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความจริงด้านใต้แพลทฟอร์มแต่ละแห่งเป็นเมืองจักรกลขนาดใหญ่ที่หยั่งตัวลึกลงไปจนถึงก้นมหาสมุทร และฝังตัวลึกลงไปในพื้นดินอีกนับพันเมตรเลยทีเดียว
“…การจะไปยังอัลธัมน่ะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะต้องเดินทางผ่านดินแดนของพวกซินเทซิสอย่างน้อยสามแพลทฟอร์ม จึงจะไปถึงอัลธัมได้ …เรียกได้ว่ามันเป็นที่ ๆ ไปยากยิ่งกว่านรกหรือสวรรค์ซะอีก…”
“อืม… แล้วถ้าอ้อมไปทางอื่นล่ะคะ?”
“…ผู้เขียนบันทึกเล่มนี้ก็ใช้เส้นทางทางทะเลในการเข้าสู่อัลธัมเหมือนกัน …แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีก่อน …สมัยนั้นพวกซินเทซิสยังไม่ได้ขยายขอบเขตการป้องกันออกไปไกลเท่าไหร่นัก และไม่มีการป้องกันที่รอบ ๆ อัลธัมด้วย…
…แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกนั้นก็ทำการขยายดินแดนทั้งบนพื้นดินและใต้ผืนน้ำ …ทำให้ตอนนี้มีเครือข่ายการป้องกันโดยรอบตัวแพลทฟอร์มและชายฝั่งของอัลธัมไกลออกไปนับร้อยกิโลเมตร …การจะลอบนั่งเรือหรือบินเข้าไปโดยไม่ถูกตรวจพบจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้…”
“แม้แต่เวทพรางตัวก็ใช้ไม่ได้เหรอคะ?”
“…วิทยาการตรวจจับของพวกซินเทซิสน่ะเป็นวิทยาศาสตร์ระดับสูง …มีทั้งการตรวจจับด้วยคลื่นแม่เหล็ก, อุณหภูมิ, หรือรังสี …เวทพรางกายที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถเล็ดรอดวิธีการในการตรวจจับของพวกซินเทซิสได้ทั้งหมด …การพรางกายเพื่อลอบเข้าไปจึงไม่สามารถทำได้…”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วเราจะไปยังอัลธัมได้ยังไงกันล่ะคะ?”
“…นี่คือจุดที่ยุ่งยากนิดหน่อย เพราะเราจะต้องลอบเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อแอบใช้วงเวทเคลื่อนย้ายของที่นั่น ในการไปยังดินแดนอัลธัม…”
“ใช้วงเวทเคลื่อนย้ายเพื่อไปยังอัลธัม? ในโลกนี้มีวงเวทเคลื่อนย้ายที่เข้าไปในดินแดนของพวกซินเทซิสได้ด้วยเหรอคะ? วงเวทเคลื่อนย้ายที่มีเครือข่ายครอบคลุมดินแดนมากที่สุดในโลกก็มีแค่วงเวทเคลื่อนย้ายที่อยู่ในสำนักงานใหญ่ของพีชคีปเปอร์เท่านั้นเอง อย่าบอกนะคะว่า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของลานาเทล ทุกคนก็หันไปมองแซนโดรด้วยสายตาตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย เพราะหากเป็นจริง ก็หมายความว่าแซนโดรคิดจะบุกเข้าไปในศูนย์บัญชาการใหญ่ของพีชคีปเปอร์ แต่คำตอบของแซนโดรกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“…น่าเสียดายนะที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะแม้แต่เครือข่ายวงเวทของพีชคีปเปอร์ก็ไม่มีตำแหน่งปลายทางในดินแดนของซินเทซิสเหมือนกัน …ที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่นี่เป็นวงเวทเคลื่อนย้ายแบบพิเศษที่สามารถส่งคนไปได้ทุกตำแหน่งบนโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีวงเวทปลายทางรองรับเลย…”
“เอ๋? มีของแบบนี้ด้วยเหรอคะ? แล้ว… มันอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
ลานาเทลยังจำคำพูดของแซนโดรที่ว่า ‘น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น’ ได้ ทำให้เธอรู้สึกหวั่นใจกับคำตอบ เพราะไม่รู้ว่าที่ ๆ อันตรายยิ่งกว่าศูนย์บัญชาการใหญ่ของพีชคีปเปอร์จะเป็นสถานที่แบบไหน
“…มันอยู่ที่ดินแดน ‘ลิลลี่โฮไรซอน’ แดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าหญิงสาว ซึ่งอยู่ในโดมินาเรีย
“เอ๋? ลิลลี่โฮไรซอน? แต่นั่นมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เข้าไปได้ยากเย็นอะไรนี่คะ… เอ๊ะ?”
ลานาเทลยังคงไม่ค่อยเข้าใจความอันตรายของเรื่องนี้ จนกระทั่งเธอเริ่มจะปะติดปะต่อสิ่งที่แซนโดรพยายามจะบอกได้ สายตาของเธอจึงเริ่มทอประกายอันแปลกประหลาดออกมา
“…ใช่ แต่วงเวทที่เราพูดถึงนี้เป็นวงเวทสำหรับสมาชิกสภานักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอนเท่านั้น คนนอกไม่สามารถใช้งานได้ …ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ ไปขโมยแหวนรหัสจากหนึ่งในสมาชิกสภานักศึกษามา แล้วลอบเข้าไปในอาคารธุรการของมหาวิทยาลัยเพื่อเปิดใช้งานวงเวทเคลื่อนย้าย ให้มันส่งตัวเราไปยังอัลธัมไงล่ะ…”
เมื่อได้ยินแผนการของแซนโดร ลานาเทลก็ถึงกับตาแข็งค้างและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในทีแรกทุกคนคิดว่าเธอกำลังตกตะลึง แต่สีหน้าของเธอไม่ได้แสดงอาการหวาดหวั่นออกมาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ใบหน้าของเธอนั้นอยู่ในลักษณะที่เหมือนกำลังจะยิ้มออกมา แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้
“ทำแบบนั้น มันก็เท่ากับเป็นการล่วงเกิน ‘คน ๆ นั้น’ ไม่ใช่เหรอคะ? คุณแซนโดรแน่ใจแล้วนะคะ?”
แม้คำพูดของเธอจะเป็นการถามย้ำเหมือนจะไม่เห็นด้วย แต่สีหน้าของลานาเทลกลับแสดงความรู้สึกอันซับซ้อนเกินจะหยั่งออกมา ดวงตาของเธอดูตื่นเต้น ริมฝีปากมีรอยยิ้มอยู่เล็กน้อย แต่ที่หน้าผากกลับมีเหงื่อผุดออกมาเหมือนกำลังอยู่ในความหวาดหวั่น เป็นอาการที่เหมือนกับทั้งกังวลและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
ซาลไม่เข้าใจท่าทางอันผิดปกตินั้นเลยแม้แต่น้อย และยังไม่เข้าใจเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันด้วย โดยเฉพาะการพูดถึงคน ๆ หนึ่งโดยไม่เอ่ยชื่อออกมา เขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นี่ ‘คน ๆ นั้น’ ที่ว่าน่ะ เขาเป็นใครกันเหรอ?”
ทั้งนิโคลและอัลติม่าก็ไม่รู้ว่าคนที่ถูกพูดถึงนี้เป็นใครเช่นกัน จึงรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งแซนโดรก็ไม่ให้พวกเขาต้องรอนานนัก
“…สิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ด …ผู้ปกครองดินแดนลิลลี่โฮไรซอน …คนที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ ‘เอลเดอร์ซิสเตอร์’ (Elder Sister) หรือ ‘พี่สาว’ ไงล่ะ…”
——————————————————————————————————–
Part 4
คำตอบของแซนโดรทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันไปอีกครั้ง
แต่เพียงครู่หนึ่ง ซาลก็เป็นผู้ทำลายความเงียบนั้นลงไป ด้วยสีหน้าที่ข้องใจสุด ๆ
“ดะ.. เดี๋ยวก่อนซิ ทำไมสิบนักปราชญ์ถึงมีคนที่สิบเอ็ดได้ล่ะ? แล้ว ‘เอลเดอร์ซิสเตอร์’ (พี่สาว) ที่ว่านี่เขาเป็นพี่สาวของใครเหรอ?”
“เอลเดอร์ซิสเตอร์ คือจ้าวผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่งในโดมินาเรียน่ะค่ะ ในทวีปโดมินาเรียมีอาณาจักรที่ชื่อว่า ‘ลิลลี่โฮไรซอน’ (Lilly Horizon) อยู่ มันเป็นอาณาจักรแห่งการศึกษาซึ่งทั้งอาณาจักรมีแต่สถานศึกษาเต็มไปหมด ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย และผู้ที่ปกครองอาณาจักรแห่งนี้อยู่ก็คืออธิการใหญ่ของมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอน และยังมีข่าวลือว่าเธออาจเป็นหนึ่งในสิบนักปราชญ์ด้วย ซึ่งผู้คนรู้จักเธอในหลาย ๆ ชื่อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เอลเดอร์ซิสเตอร์, บิ๊กซิสเตอร์, บิ๊กซิสฯ, อาเจ๊, โอเน่จัง, โอเน่ซามะ, ท่านพี่, ฯลฯ เรียกว่าชื่อของเธอนั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน แล้วแต่ท้องถิ่นและคนที่เรียก แต่โดยรวมแล้วมันก็เป็นชื่อที่มีความหมายเหมือน ๆ กัน คือ ‘พี่สาว’ ดังนั้นคนนอกโดมินาเรียมักจะเรียกเธอแบบย่อ ๆ ว่า ‘บิ๊กซิสฯ’ หรือ ‘ซิสเตอร์’ ค่ะ”
ลานาเทลอธิบายเรื่องของ ‘เอลเดอร์ซิสเตอร์’ ให้ซาลและคนอื่น ๆ ฟังด้วยสีหน้าและแววตาที่ยังแสดงอาการตื่นเต้นออกมาไม่ขาด ราวกับเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งได้รับกล่องของขวัญมาและอยากจะแกะมันดูอย่างเต็มแก่ แต่ใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความ ‘หวาดหวั่น’ จนมีเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจกับท่าทางแบบนั้นพอสมควร แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นที่เขาอยากรู้อยู่อีก
“แล้วเขาไม่มีชื่อเหรอ? ทำไมถึงต้องเรียกว่าพี่สาวด้วยล่ะ?”
“เพราะเขาไม่เคยบอกชื่อของตัวเองกับใคร และให้ทุกคนเรียกแทนตัวเขาแค่ ‘พี่สาว’ น่ะค่ะ”
“แล้ว… ทำไมเขาถึงเป็นนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ดได้ล่ะ?”
“…ไม่ใช่นักปราชญ์คนที่สิบเอ็ด …แต่เป็นสิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ด…”
แซนโดรกล่าวแก้สิ่งที่ซาลพูด แต่มันก็ยิ่งทำให้ความสับสนในประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
“ก็แล้วสิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ดนั่นมันคืออะไรกันล่ะ!?”
“…นี่เป็นเรื่องที่ผู้คนรู้กันในหมู่น้อยเท่านั้น …ในตอนที่พระเจ้าคัดเลือกคนจากโลกเก่ามาเป็นสิบนักปราชญ์น่ะ ได้ทำการคัดผู้ชายห้าคนและผู้หญิงห้าคนขึ้นมาทำหน้าที่เพื่อช่วยกันระดมความคิดในการสร้างโลกใหม่ …แต่เหล่าชายหญิงที่พระเจ้าคัดเลือกมาต่างก็เป็นพวกที่โลกเก่าเรียกว่า ‘โอตาคุ’ หรือ ‘ฟูโจชิ’ ด้วยกันทั้งนั้น ทำให้ทุกคนต่างก็มีปัญหาและข้อด้อยของตนเอง บ่อยครั้งที่เสนอความคิดแปลก ๆ หรือไม่เหมาะสมในการสร้างโลกออกมา แถมฝั่งชายกับฝั่งหญิงก็มักจะขัดแย้งกันในเรื่องความคิดจนหาข้อสรุปไม่ได้…
…ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าก็เลยแต่งตั้ง ‘ผู้ชี้ขาด’ ขึ้นมาอีกหนึ่งคน เพื่อให้ทำการตัดสินและชี้ขาดความคิดในที่ประชุมของเหล่านักปราชญ์ …พูดง่าย ๆ ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในโลกนี้ หากผู้ชี้ขาดไม่อนุมัติ ก็ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ …ดังนั้นฐานะของเธอจึงเหมือนกับเป็นนักปราชญ์คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสิบนักปราชญ์ จึงถูกเรียกว่า ‘สิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ด’…
…หลังจากการสร้างโลกเสร็จสิ้นแล้ว เหล่านักปราชญ์ก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตัวเอง …ส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์ หรือแอบใช้ชีวิตปะปนกับคนธรรมดาทั่วไป …แต่ผู้ชี้ขาดเลือกที่จะอยู่บนโลกต่อไป โดยทำการก่อตั้งอาณาจักรลิลลี่โฮไรซอนขึ้นมา และอาศัยอยู่บนโลกนี้ในนามที่ทุกคนรู้จักกันว่า ‘พี่สาว’ ไงล่ะ…”
“ฟังดูทะแม่ง ๆ นะ… ใครเป็นคนคิดคนแรกเนี่ย… ว่าแต่ เท่าที่ผมเคยอ่านมา ‘โอตาคุ’ หรือ ‘ฟูโจชิ’ คือกลุ่มคนที่เพ้อฝันและพยายามหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ? บางคนก็มีความบกพร่องทางอารมณ์หรือความคิดมากมาย ทำไมพระเจ้าถึงเลือกคนแบบนั้นมาทำหน้าที่สำคัญอย่างการสร้างโลกใหม่ล่ะ?”
“…เพราะในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด จิตใจของผู้คนต่างก็ถูกความชั่วร้ายในโลกย้อมจนดำมืด หมดสิ้นทั้งจินตนาการ ความเชื่อ และความหวัง จนไม่สามารถรักษาภาพอันงดงามของโลกเอาไว้ได้ …ต่างกับคนกลุ่มนี้ที่ยังมีโลกส่วนตัวและความฝันอันใสบริสุทธิ์ถูกเก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ…
…พระเจ้าน่ะคัดเลือกคนที่จะมาเป็นสิบนักปราชญ์โดยการดูจาก ‘โลกในอุดมคติ’ ของผู้คนที่เหลืออยู่ในตอนนั้น …ซึ่งคนที่วาดภาพโลกในอุดมคติเอาไว้บริสุทธิ์งดงามที่สุดก็คือคนเหล่านี้ …จะเรียกว่ามันเป็นผลจากการเก็บตัวอยู่แต่ในความเพ้อฝันก็ได้น่ะนะ…
…หากเป็นช่วงเวลาปกติก็คงต้องบอกว่าพวกเขาเพ้อฝันและวาดภาพโลกในฝันเอาไว้สวยหรูเกินกว่าความเป็นจริง …แต่สำหรับการสร้างโลกใหม่ขึ้นมาแล้ว คนเหล่านี้แหละคือผู้เหมาะสมที่จะสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมา …แม้จะต้องมีคนคอยคุมอีกชั้นนึงก็เถอะ…”
ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เพราะทุกคนกำลังปรับตัวกับความรู้ใหม่ที่แซนโดรเล่าให้ฟัง จนกระทั่งลานาเทลเอ่ยคำพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าและแววตากรุ้มกริ่มอันน่าสงสัย
“โดยสรุปคืองานนี้เราจะไปกระตุกหนวดเสือด้วยการแย่งชิงแหวนรหัสของสมาชิกสภานักศึกษา และลอบเข้าไปใช้งานวงเวทเคลื่อนย้ายส่วนตัวของ ‘บิ๊กซิสฯ’ สินะคะ?”
“…อืม …ประมานนั้นแหละ…”
“แต่เรื่องนี้ ถ้าถูกบิ๊กซิสฯ จับได้ขึ้นมาละก็ ทุกอย่างก็เป็นอันสิ้นสุดเลยนะคะ”
คำพูดที่พูดด้วยสีหน้าหวาดหวั่นระคนดีใจของลานาเทลทำให้ซาลรู้สึกข้องใจมาพักหนึ่งแล้ว ยิ่งได้ยินประโยคนี้เขาก็ยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับ ‘บิ๊กซิสฯ ‘ คนนี้มากขึ้นอีก
“นี่ คนที่ชื่อบิ๊กซิสฯ เนี่ย เขาเก่งมากเหรอ?”
เมื่อได้ยินซาลถาม ลานาเทลก็นิ่งเงียบไปเหมือนจะรวบรวมสมาธิอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบ
“เมื่อศักราชที่ 156 โดมินาเรียเคยถูกรุกรานโดยผู้สร้างหายนะคนที่สอง ซึ่งเปิดประตูนรกขึ้นที่ ‘อายออฟโอบลิเวียน’ ดินแดนที่เป็นเกาะโดดเดี่ยวขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโดมินาเรีย กองทัพนรกในตอนนั้นย่ำดินแดนฟีเรเซียและกำลังจะข้ามทะเลแคบมาถึงคามิเท็นแล้ว แต่ก็มี ‘สตรีลึกลับ’ คนหนึ่ง ต้านทานกองทัพของนรกเอาไว้ได้ด้วยตัวคนเดียว ความจริงคือเธอสามารถบดขยี้พวกมันจนไม่กล้าที่จะก้าวออกมานอกฟีเรเซียอีกเลยล่ะค่ะ ทำให้เหล่านักผจญภัยของโดมินาเรียสามารถรวมกำลังพลกันได้ทัน และไปปิดประตูนรกที่อายออฟโอบลิเวียนได้ในที่สุด”
“เอ๋!? เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ!? คนที่ว่านั่นคือบิ๊กซิสฯ จริง ๆ น่ะเหรอ?”
“เรื่องนี้ไม่มีพยานที่ชัดเจนมายืนยันหรอกนะคะ เป็นแค่เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาเท่านั้น แต่ยังไงก็ตาม ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คนผู้นั้นน่ะก็เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับการเป็น ‘เทพ’ ของโลกนี้ที่สุดแล้วล่ะค่ะ”
“ฉันเองก็เคยได้ยินเรื่องของเธอมาเหมือนกันค่ะ กล่าวกันว่าเธอเป็นเทพอารักษ์ผู้คอยปกป้องคุ้มครองเหล่าหญิงสาวจากภยันตรายต่าง ๆ ในบางแห่งก็บูชาเธอเหมือนกับเป็นเทพเจ้าจริง ๆ เลยนะคะ แล้วแบบนี้ การไปล่วงเกินเธอ มันจะไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอคะ?”
นิโคลกล่าวเสริมขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ส่วนอัลติม่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
“ห้ามยุ่งเกี่ยวกับลิลลี่โฮไรซอน ห้ามทำอันตรายคนของลิลลี่โฮไรซอน ห้ามล่วงเกินผู้นำแห่งลิลลี่โฮไรซอน… นี่เป็นสามกฎเหล็กที่ท่านเมฟิสโต้ให้ฉันบอกต่อกับเหล่าปิศาจที่ต้องเข้าไปแทรกซึมในโดมินาเรีย ฉันเคยถามเหตุผลแล้ว แต่ท่านเมฟิสโต้ตอบกลับมาแค่ว่า ‘เพื่อความปลอดภัย’ …ถึงจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็พอทำให้รู้ว่าการยุ่งเกี่ยวกับลิลลี่โฮไรซอนน่ะเป็นเรื่องอันตรายมาก ๆ แล้วนี่เธอกำลังบอกให้เราเข้าไปหาเรื่องกับที่นั่นงั้นเหรอ? ถ้าอยากตายมากก็ไปคนเดียวเถอะ!”
อัลติม่าตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กราดเกรี้ยวแต่แฝงความหวาดหวั่นอยู่นิด ๆ เพราะเธอถูกปลูกฝังมาว่าลิลลี่โฮไรซอนเป็นศัตรูที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย จึงอดรู้สึกหวาดหวั่นกับแผนการนี้ไม่ได้
“…พวกเธอใจเย็น ๆ กันก่อน …ถึงแผนการนี้จะฟังดูเหมือนเป็นการเผชิญหน้ากับลิลลี่โฮไรซอนและ ‘ซิสเตอร์’ โดยตรง แต่ความจริงฉันไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นหรอก …ทุกขั้นตอนเราจะทำเป็นการลับที่สุด เช่นการชิงแหวนรหัส ก็อาจใช้การขโมยมา หรือแอบสลับสับเปลี่ยนแหวนของสมาชิกสภานักศึกษาคนใดคนหนึ่ง …หากเป็นไปได้ ฉันจะทำแหวนรหัสวงใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้ในแผนของเรา และนำแหวนวงเดิมกลับไปคืน …จากนั้นก็แอบเข้าไปใช้วงเวทโดยไม่ให้ใครรู้ตัว …หากทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่นละก็ เราจะสามารถสำเร็จแผนการทั้งหมดนี้ได้โดยไม่มีใครรับรู้ถึงความผิดปกติเลย…”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของแซนโดร ทุกคนก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ลานาเทลกลับมีสีหน้าเหมือนกับรู้สึกผิดหวังอยู่นิดหน่อยแม้เธอจะดูโล่งใจขึ้นด้วยก็ตาม
“ถึงยังไงแผนนี้ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาจริง ๆ มิกลายเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งกันทั้งหมดหรอกเหรอคะ?”
นิโคลยังรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องนี้อยู่ เธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้นักเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของบิ๊กซิสฯ มาพอสมควรเช่นกัน ซึ่งแซนโดรก็พอจะเข้าใจความกังวลนี้ดี จึงตัดสินใจอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจนี้ให้ฟังอย่างละเอียด
“…ประการแรกเลย ที่ฉันตัดสินใจทำเรื่องนี้ในตอนนี้เพราะรู้มาว่าบิ๊กซิสฯ น่ะไม่อยู่ในลิลลี่โฮไรซอน ความเสี่ยงในการดำเนินการจึงลดลง …ข่าวนี้เป็นข่าวที่ยืนยันได้จากคนในมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอนเอง แม้จะไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนและจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เท่าที่รู้ บิ๊กซิสฯ น่ะใช้เวลาอยู่ในลิลลี่โฮไรซอนน้อยมาก เธอจะกลับไปที่นั่นเป็นครั้งคราวเท่านั้น …เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปถึง ฉันก็จะทำการตรวจสอบอีกทีว่าเธออยู่ในลิลลี่โฮไรซอนรึเปล่า ถ้าอยู่ เราก็จะรอให้เธอออกจากลิลลี่โฮไรซอนไปก่อน แต่ถ้าไม่อยู่ เราก็จะดำเนินการได้ทันที…
…ประการที่สอง แผนการของเราไม่ใช่การคุกคามต่อคนของลิลลี่โฮไรซอนโดยตรง ต่อให้ถูกจับได้ เราก็ยังไม่ถึงกับเป็นศัตรูกับพวกเขาในระดับที่ต้องฆ่าแกงกันหรอก …เมื่อรวมกับวิธีดำเนินการที่เน้นการปฏิบัติการในทางลับแล้ว ก็น่าจะพอกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนประเด็น ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เรื่องนี้ฉันก็เตรียมการเอาไว้แล้วเช่นกัน…
…ประการที่สาม ต่อให้เป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือถูกจับได้ และถูกบิ๊กซิสฯ พบตัวเข้าจริง ๆ แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าเธอก็กำลังหาวิธีที่จะลงไปยังโลกเก่าอยู่เช่นกัน นั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ค่อยอยู่ในลิลลี่โฮไรซอนด้วย เพราะกำลังตามหาวิธีที่จะช่วยในการเดินทางไปยังโลกเก่าไงล่ะ …ดังนั้นต่อให้ถูกจับได้จริง ๆ เราก็ยังพอที่จะเจรจาต่อรองกับเธอในเรื่องนี้ ให้เธอพาเราไปยังโลกเก่าพร้อม ๆ กันได้ แต่นั่นก็เป็นทางเลือกสุดท้ายน่ะนะ ถ้าไม่ต้องเจอกับเธอได้ มันก็จะเป็นการดีที่สุด…”
คำอธิบายอย่างละเอียดของแซนโดรทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องราวอย่างแจ่มแจ้งและมีท่าทีผ่อนคลายลงมาก เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีอะไรขัดข้องแล้ว แซนโดรจึงอธิบายแผนการเดินทางต่อ
“…การจะไปยังโดมินาเรียนั้นทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่รวดเร็วที่สุดก็คือการนั่งเรือเหาะข้ามทวีป ซึ่งเราก็จะใช้วิธีนี้กัน…”
“ถ้าจะขึ้นเรือเหาะข้ามทวีป ก็ต้องไปที่เทมเพอเรีย หรือไม่ก็ซิลวานสินะคะ แต่นั่งจากเทมเพอเรียไปจะใกล้กว่ารึเปล่า?”
ลานาเทลเสนอความเห็นออกมา แต่แซนโดรก็ส่ายหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวต่อ
“…ระยะทางมันก็ไม่ต่างกันมากหรอก แต่เทมเพอเรียน่ะเป็นเขตปกครองของพีชคีปเปอร์ทำให้การตรวจตราผู้เดินทางข้ามทวีปเป็นไปอย่างเข้มงวด …ฉันจึงคิดว่าเราควรจะไปขึ้นเรือเหาะที่ซิลวานจะดีกว่า…”
“ออ เพราะซิลวานเป็นเขตปกครองของพวกเอลฟ์สินะคะ ถ้างั้นก็ต้องไปขึ้นที่เมืองอีเว่นสตาร์ (Evenstar)?”
“…ถึงจะเป็นเขตปกครองของพวกเอลฟ์ แต่เมืองหลวงอย่างอีเว่นสตาร์ก็มีการตรวจสอบค่อนข้างเข้มงวดอยู่ดี …เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าควรไปรอขึ้นที่กลางทางจะดีที่สุด…”
“กลางทางเหรอคะ?”
“…เรือเหาะข้ามทวีปจากซิลเวอร์มูนจะผ่าน ‘บีสเทีย’ (Beastia) เมืองของพวกฮาลฟ์บีสที่อยู่ทางตะวันออก ก่อนจะข้ามมหาสมุทรไปยังโดมินาเรีย …ที่นั่นจะมีการตรวจตราที่เข้มงวดน้อยกว่า ดังนั้นเราจึงควรจะไปขึ้นเรือเหาะกันที่นั่น…”
“ถ้างั้น ที่นั่นก็คือเป้าหมายแรกของเราสินะคะ”
“…ใช่แล้วล่ะ …ช่วงนี้ทุกคนพักผ่อนกันให้เต็มที่ และเตรียมตัวให้เรียบร้อย …อีกหนึ่งอาทิตย์เราจะออกเดินทางเพื่อไปบีสเทียกัน…”