Doombringer the 5th - ตอนที่ 5
Ch.5 – ผู้ช็อปปิ้งแห่งความมืด
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 5
ผู้ช็อปปิ้งจากความมืด
Part 1
ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลกลางแห่งจูริสไพร์ม เมืองหลวงของอานาจักรจูริส
มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่
ชายคนนี้อยู่ในอาการโคม่ามานาน เพราะการติดเชื้อและเกิดอาการแทรกซ้อนอีกมากมาย ทำให้ผ่านภาวะวิกฤติจนเฉียดตายมาหลายครั้ง หากไม่ได้การระดมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญทั้งวิทยาศาสตร์การแพทย์และเวทมนตร์รักษามาช่วยกัน ชายหนุ่มคนนี้อาจตายไปแล้วก็ได้
แม้จะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เพราะการบาดเจ็บที่ส่งผลทั้งภายนอกและภายใน ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มซูบผอมลงมาก ผิวหนังและริมฝีปากก็แห้งผากจนปริแตก แม้แต่เส้นผมก็ยังหงิกงอ สื่อให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาแค่ไหน
แต่ในที่สุด ชายหนุ่มก็ลืมตาตื่นขึ้นมา แม้มันจะเป็นเพียงการปรือตาขึ้นน้อย ๆ เพราะเขายังรู้สึกว่าหนังตาของเขาในตอนนี้ช่างหนักอึ้งจนแทบจะยกไม่ขึ้น แต่เขาก็รู้สึกตัวแล้ว
“…ที่นี่…”
“หืม? รู้สึกตัวแล้วงั้นรึ พาราเวน”
พาราเวนพยายามกลอกตามองไปยังต้นเสียงนั้น ในทีแรกภาพทุกอย่างยังคงขุ่นมัวจนไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ แต่เมื่อใช้เวลาปรับโฟกัสอยู่พักหนึ่ง เขาก็พบว่าเจ้าของเสียงผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเฝ้าไข้บริเวณมุมห้องก็คือแกริส ผู้อำนวยการของโรงเรียนอีจิส หรือที่เด็ก ๆ ในโรงเรียนมักเรียกกันว่าอาจารย์แกริสนั่นเอง
แกริสลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปหยิบเหยือกน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ ก่อนจะรินน้ำใส่แก้วและเดินเข้ามาพยุงตัวพาราเวนให้เอนตัวขึ้นดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย
หลังจากดื่มน้ำลงคอไปอย่างทุลักทุเลเล็กน้อยแล้ว พาราเวนก็กล่าวคำขอบคุณกับแกริสพลางเอ่ยถาม
“…คุณแกริส…คอยเฝ้าผมอยู่ตลอดเลยเหรอครับ…”
“อืม ก็ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างน่ะนะ เบื้องบนเขาต้องการคำอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ฉันก็เลยอาสาเป็นคนมารอถามข้อมูลเองน่ะ”
พาราเวนรู้นิสัยแกริสดี เขาเป็นหัวหน้าที่เอาใจใส่ลูกน้องเสมอ แม้จะบอกว่ามารอถามข้อมูล แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าไข้ก็ได้ แค่รอให้มีคนติดต่อไปเมื่อเขาฟื้นก็พอแล้ว
ด้วยนิสัยห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนี้ทำให้แกริสเป็นคนที่ได้รับความเคารพจากลูกน้องมาก
“…ผม…ขอโทษด้วยนะครับ…”
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก พวกเราหลงกลเจ้านั่นกันหมด มันแกล้งเปิดการโจมตีซึ่ง ๆ หน้าเพื่อดึงกำลังป้องกันส่วนใหญ่ไปรวมกัน ในขณะที่ตัวเองลอบเข้าไปในโรงเรียน จากนั้นก็เพิ่มการโจมตีกระหนาบเพื่อตรึงไม่ให้เรากลับเข้าไปช่วยในโรงเรียนได้ พวกเราเสียท่าขนานใหญ่เลย…”
พาราเวนมีสีหน้าหมองลงไปอีกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เขาคิดว่าทางโรงเรียนคงต้องพบกับความสูญเสียไม่น้อยเลยทีเดียว
“…มีคนตายไปเท่าไหร่ครับ…”
“พูดแล้วเธออาจไม่เชื่อนะ แต่ไม่มีเลยล่ะ คนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็มีแค่เธอเท่านั้น”
“…เอ๋?…”
“เจ้านั่นน่ะออมมืออย่างเห็นได้ชัดเลย ใช้แต่สมุนอัญเชิญระดับต่ำออกมาถ่วงเวลา แม้จำนวนจะดูไม่มากนัก แต่เมื่อฆ่าไปก็จะมีตัวใหม่มาเสริมแทบจะในทันที ประเมินจากจำนวนสมุนที่ถูกกำจัดไปแล้ว ความจริงเจ้านั่นน่าจะมีสมุนในสังกัดมากกว่า 400 ตัวด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้อัญเชิญอออกมาบดขยี้พวกเราในคราวเดียว แค่พยายามถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ เท่านั้น”
แกริสได้ยินเสียงกระแอมเล็ก ๆ จากพาราเวน จึงรินน้ำอีกแก้วหนึ่งให้เขาดื่ม ก่อนจะดำเนินการสนทนาต่อ
“โดนเจ้านั่นเล่นมาหนักขนาดนี้ แปลว่าเธอก็สร้างความลำบากให้กับมันไม่น้อยเลยล่ะสิ?”
“…ความจริงแล้ว…วิชาของผมทำอะไรมันไม่ได้เลยครับ…ไม้ตายของผมทั้งสองท่า ไม่มีผลกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว…”
พาราเวนเป็นนักผจญภัยระดับ A ในสังกัดของพีชคีปเปอร์ ฝีมือของเขาเป็นรองแค่เหล่า ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ซึ่งมีฝีมือเทียบเท่ากับนักผจญภัยระดับ S เท่านั้น เขาจึงมั่นใจในฝีมือของตนเองเป็นพิเศษ แต่ความมั่นใจนั้นก็ถูกทำลายลงไปอย่างไม่มีชิ้นดีในการต่อสู้กับนักเวทหัวกะโหลกที่โรงเรียนอีจิส
ในการประลอง พาราเคยประมือกับนักผจญภัยระดับ S มาหลายคนแล้ว ถึงจะยังไม่เคยชนะ แต่ก็ไม่เคยแพ้อย่างหมดรูปถึงเพียงนี้ แม้จะเจ็บใจ แต่พาราเวนก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของเขายังห่างชั้นจากนักเวทหัวกะโหลกผู้นั้นมาก
“อืม… นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบเหมือนกัน เจ้านั่นอาจใช้เวทคุ้มกันที่แข็งแกร่งมาก ๆ อยู่ หรือไม่ก็มีอาติแฟคบางอย่างช่วยป้องกันเอาไว้… จริงสิ ตัวเธอเองตอนนั้นมีอะไรป้องกันอยู่บ้าง?”
“…ผม…ตอนนั้นถึงจะใช้พลังไปกับการโจมตีเกือบหมด…แต่ก็ยังมี ‘จิตต่อสู้’ สำหรับป้องกันร่างกายอยู่ และชุดของผมก็มีพลังต้านทานเวทระดับสามครับ…”
‘จิตต่อสู้’ คือพลังงานอีกชนิดหนึ่งสำหรับพวกนักรบซึ่งจะแตกต่างจากพลังเวทของเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์
ในการโจมตี พวกนักรบจะใช้จิตต่อสู้เป็นพลังขับเคลื่อนหลักเพื่อสร้างการโจมตี เช่นการตวัดดาบสร้างคมมีดพลังงานเข้าจู่โจมศัตรูก็ทำได้โดยการบีบอัดจิตต่อสู้ให้เป็นรูปร่างและมีคุณสมบัติตามต้องการ
ส่วนในยามป้องกัน นักรบก็สามารถแปรจิตต่อสู้ให้เป็นม่านพลังบาง ๆ ปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันการโจมตีหรือลดความเสียหายได้ ยิ่งเป็นนักรบระดับสูงที่มีพลังมาก จิตต่อสู้ที่คุ้มกันร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งตามไปด้วย
แต่เพราะจิตต่อสู้เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติทางกายภาพเป็นหลัก ทำให้มันต้านทานความเสียหายทางเวทมนตร์ได้ไม่ดีนัก พวกนักรบจึงนิยมสวมใส่ชุดหรืออุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความต้านทานทางเวทมนตร์ให้ เช่นชุดนักผจญภัยของพาราเวนซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานเวทมนตร์ระดับสาม ช่วยลดผลของเวทมนตร์ที่ตกกระทบได้ถึง 30% แต่ก็ขึ้นกับชนิดของเวทที่โดน และความสามารถของผู้ใช้เวทด้วย
“อืม… ลำพังแค่ชุดของเธอก็น่าจะลดพลังทำลายไปได้เกือบหนึ่งในสามแล้ว แถมในเขตโรงเรียนยังมีเวทเสริมพลังป้องกันจากวงเวทของโรงเรียนให้อีกชั้นหนึ่งด้วย ทั้งสองอย่างนี้รวมกันน่าจะลดพลังโจมตีทางเวทมนตร์ได้มากกว่าครึ่ง แต่ก็ยังทำให้รับบาดเจ็บได้มากขนาดนี้…”
“…ลำแสงนั่น น่าจะเป็น ‘เดธเซนเทนซ์’ ของพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดน่ะครับ…”
“อืม… แต่ที่หน่วยวิทยาการเวทมนตร์ตรวจสอบได้จากพลังงานที่ตกค้างอยู่แล้ว พบว่ามันเป็นเวท ‘เอ็นฟีเบิล’ นี่สิ…”
“…เอ๋?…”
‘เอ็นฟีเบิล’ (Enfeeble) เป็นเวทลดพลังป้องกันทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ของเป้าหมายลง หากคนธรรมดาโดนเข้าไป แม้แต่ภูมิคุ้มกันร่างกายก็จะถูกลดลงจนเป็นศูนย์ ทำให้เกิดการติดเชื้อและมีอาการแทรกซ้อนได้ง่าย นั่นคือสิ่งที่พาราเวนเผชิญมาตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการรักษา
แต่ตัวเวทเอ็นฟีเบิลไม่ใช่เวทโจมตีที่สร้างความเสียหายใด ๆ ได้ ยิ่งถ้าเจอกับเวทป้องกันหรืออุปกรณ์สวมใส่ที่มีความต้านทานเวทสูงก็ทำได้แค่ลดความต้านทานเวทของเป้าหมายลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วน ‘เดธเซนเทนซ์’ (Death Sentence) ที่พาราเวนพูดถึงคือเวทโจมตีสูงสุดชนิดหนึ่งของธาตุมืด สามารถยิงพลังงานความมืดอันเข้มข้นออกไปได้ราวกับเป็นแสงเลเซอร์ เป็นเวทที่มีพลังทำลายและอำนาจการทะลุทะลวงสูง แต่ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ นอกจากการบาดเจ็บ
ดังนั้นผลการวิเคราะห์เวทที่แกริสบอกกับพาราเวนจึงทำให้เขาประหลาดใจมาก เพราะลำพังเวทเอ็นฟีเบิลไม่น่าจะเจาะทะลุการต้านทานเวทของเขาได้ แต่มาคิดดูแล้ว เดธเซนเทนซ์ก็ไม่น่าจะทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องจนเกิดอาการแทรกซ้อนขนาดที่เขาเป็นได้เช่นกัน
“…เป็นไปได้รึเปล่าครับว่า เจ้านักเวทหัวกะโหลกคนนั้นมันมีพลังเวทแข็งแกร่งมากจนทำให้เอ็นฟีเบิลมีพลังทำลายขนาดนี้ได้ หรือมันอาจใช้เวทสองอย่างพร้อมกันออกมา…”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก และผลการตรวจสอบก็พบละอองเวทมนตร์ตกค้างอยู่ที่บาดแผลแค่ชนิดเดียวด้วย”
แม้พาราเวนจะเป็นนักดาบเวทมนตร์ (Spellsword) แต่ก็ไม่มีความรู้เรื่องการทำงานของโครงสร้างเวทมนตร์ในเชิงลึก แกริสจึงอธิบายให้เขาฟัง
บางคนอาจคิดว่ายิ่งเป็นผู้ที่มีพลังเวทสูงมาก ๆ ก็จะยิ่งใช้เวทออกมาได้รุนแรง แต่ความจริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการถ่ายเทพลังเวทในการใช้เวทมนตร์ก็เหมือนกับการเติมเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ ต่อให้เติมน้ำมันจนล้นออกมานอกถัง แต่เครื่องยนต์ที่สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้แค่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไม่สามารถเร่งความเร็วเกินกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้
โครงสร้างของวงเวทก็มีลักษณะเดียวกัน ต่อให้อัดพลังเวทลงไปจนล้น แต่พลังทำลายของมันก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป เพราะโครงสร้างของวงเวทยังเหมือนเดิม ใช้พลังงานและปลดปล่อยพลังงานได้เท่าเดิม พลังงานส่วนเกินที่พยายามเพิ่มเข้าไปก็เป็นแค่สิ่งสูญเปล่าเท่านั้น
โครงสร้างเวทมนตร์เป็นตัวกำหนดว่าต้องใช้พลังเวทเท่าไหร่ ทำให้เกิดผลอย่างไร พุ่งไปในทิศทางไหน และในอัตราการปลดปล่อยพลังงานเท่าใดต่อวินาที หากทุกอย่างไม่สอดประสานกัน การทำงานของเวทมนตร์ก็จะผิดเพี้ยนไปจนล้มเหลวหรือเกิดผลย้อนกลับได้ เช่นถ้าฝืนแก้ให้อัดพลังเวทเข้าไปได้ไม่จำกัด อาจกำหนดทิศทางของเวทไม่ได้ หรือพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาอาจกระจัดกระจายจนประสิทธิภาพลดลง กรณีเลวร้ายที่สุดอาจระเบิดใส่หน้าตัวเองแทน
พูดง่าย ๆ ว่าโครงสร้างของเวทโจมตีก็เหมือนกับปืนใหญ่ หากอัดดินปืนเพิ่มเข้าไปอย่างเดียวโดยไม่เสริมโครงสร้างของปืนใหญ่ให้แข็งแรงในระดับเดียวกันจนรองรับพลังทำลายนั้นได้ เมื่อยิงออกไปมันก็อาจจะระเบิดคาที่จนทำให้คนยิงตายไปด้วย ดังนั้นการใช้งานเวทที่มีพลังรุนแรงจะมีเพียงพลังเวทอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีโครงสร้างทางเวทมนตร์ที่แข็งแรงพอจะควบคุมพลังนั้นไว้ ยิ่งเป็นเวทที่มีพลังทำลายล้างสูงก็ยิ่งต้องออกแบบโครงสร้างทางเวทมนตร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นมารองรับ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแกริสมาจนถึงตรงนี้ พาราเวนก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่แกริสพยายามบอก
“…หมายความว่า…”
“ใช่… มันเป็นเวทชนิดใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เป็น ‘เอนฟีเบิล’ ที่มีพลังทำลายและทะลุทะลวงเทียบเท่า ‘เดธเซนเทนซ์’ ไงล่ะ…”
พาราเวนรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในทันที
การแก้ไขพัฒนาโครงสร้างของเวทให้มีระดับพลังสูงขึ้นได้เป็นสิ่งที่ต้องใช้การทุ่มเทพัฒนาและวิจัยเป็นเวลานานมากถึงจะสัมฤทธิ์ผล แม้แต่ในวงการนักเวทธาตุหลัก ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ที่จัดเป็นสายวิชาที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและก้าวหน้าที่สุด การจะพัฒนาเวทมนตร์สักชนิดให้เลื่อนระดับขึ้นสักหนึ่งขั้นก็อาจต้องใช้เวลานับสิบปีแล้ว
สิ่งนี้ทำให้มีความเป็นไปได้สองอย่าง คือเวทมนตร์ของพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดได้พัฒนาไปไกลขนาดนี้แล้วโดยที่คนนอกไม่รู้ หรือไม่ บุคคลที่เขาประมือด้วยก็จัดเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้ใช้ศาสตร์มืด ทำให้สามารถสร้างเวทมนตร์ระดับนี้ออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็เป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกทั้งนั้น
อีกเรื่องที่ยังรบกวนจิตใจของพาราเวนก็คือ เขายังไม่เคยเจอนักเวทคนไหนที่ร่ายเวทได้อย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยแบบนี้มาก่อนเลย
เพราะยิ่งเป็นเวทระดับสูงขึ้นก็จะมีโครงสร้างทางเวทมนตร์อันซับซ้อนและต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการร่ายตามไปด้วย ปกติแล้วหากไม่มีการสร้างวงเวทขึ้นมาหรือรวบรวมพลังงานก่อนก็จะไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ แต่นี่เขากลับถูกโจมตีในทันทีโดยไม่ทันสัมผัสได้ถึงการร่ายเวทหรือการรวบรวมพลังเวทมนตร์เลยแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้พาราเวนตระหนักว่า นักเวทหัวกะโหลกที่เขาประมือด้วยนั้นเป็นคนที่มีฝีมือสูงมาก ๆ อาจเหนือกว่าระดับของผู้สร้างสันติภาพเลยก็ได้
ความเงียบปกคลุมทั้งห้องไปพักหนึ่งเพราะทั้งสองคนต่างกำลังครุ่นคิดถึงระดับของภัยคุกคามที่พวกเขาได้เผชิญ จนกระทั่งแกริสเอ่ยคำพูดอีกครั้ง
“ส่วนเรื่องเป้าหมายของมัน… ก็คือซาลารัสสินะ มันพูดอะไรให้พอจับเบาะแสได้บ้างรึเปล่า?”
“…ไม่มีครับ เจ้านั่นแค่พูดบีบให้ซาลารัสตามไปด้วยเท่านั้น…”
“แล้วซาลารัสถูกพาตัวไปก่อนหรือหลังจากวงเวทของโรงเรียนถูกทำลายล่ะ?
“…หลังครับ…”
“งั้นรึ… แย่จริง ๆ เลยนะ…”
แกริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และหยุดครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พาราเวนซึ่งยังอยู่ในอาการอ่อนเพลียและไม่ค่อยมีอะไรจะพูดอยู่แล้วจึงได้แต่รออยู่เงียบ ๆ ซึ่งหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แกริสก็หันมาพูดกับเขาอีกครั้ง
“พาราเวน… ช่วยเขียนในรายงานว่าซาลารัสถูกพาตัวไปก่อนวงเวทจะถูกทำลายทีเถอะนะ และตอนเข้ารับการสอบสวนก็ช่วยบอกไปตามนั้นด้วย”
สิ่งที่แกริสขอ ทำให้พาราเวนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้วแกริสจะเป็นคนที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาคนหนึ่ง น้อยครั้งที่จะทำการบิดเบือนรายงานแบบนี้
“…เอ๋?…แต่ว่า…ทำไม?…”
“ถ้าทางเบื้องบนทราบเรื่องเข้าว่าซาลารัสรู้ความจริงแล้วละก็ พวกนั้นคงไม่ปล่อยเด็กคนนั้นเอาไว้แน่ คงถูกขึ้นทะเบียนว่าเป็นพวกนอกรีต แล้วไล่ล่าแบบจับตายเลยล่ะ”
“…คุณแกริสอาจไม่พอใจที่ผมพูดแบบนี้ แต่ว่า…ถ้าเด็กคนนั้นไปเข้ากับฝ่ายอื่นละก็ เขาก็เป็นภัยต่อโลกจริง ๆ นะครับ…ยิ่งคนที่พาเขาไปคือนักเวทคนนั้นด้วย…”
“ฉันไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะคิดร้ายต่อคนอื่นได้ง่าย ๆ หรอก เราต้องรีบหาตัวเขาให้พบก่อนที่เขาจะถูกชักจูงไปในทางที่ผิดจริง ๆ ที่สำคัญคือเราต้องเหลือที่ว่างให้เขากลับมาได้ ถือว่าฉันขอร้องเถอะนะ พาราเวน”
แกริสก้มหัวขอร้องพาราเวนแบบไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีหรือยศตำแหน่งใด ๆ อันที่จริงต่อให้ไม่ทำขนาดนี้ แค่เป็นคำขอร้องจากแกริส พาราเวนก็ยินดีทำให้แล้ว เพราะเขาเป็นคนที่พาราเวนเคารพและชื่นชมอยู่เสมอ ชายหนุ่มจึงรีบรับปากโดยไม่โต้แย้งใด ๆ อีก
“…เด็กคนนั้น…คงเป็นคนสำคัญสำหรับคุณสินะครับ…”
“ก็เป็นลูกของเพื่อนเก่าน่ะ… เพื่อน… และ ลูกศิษย์… ถ้าฉันเป็นคนที่ได้ความกว่านี้ ชะตากรรมของพวกเขาอาจไม่น่ารันทดแบบนี้ก็ได้…”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสิ่งที่แกริสพูด แต่พาราเวนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาหลับตาลงเพื่อพักผ่อนจากการสนทนา และหลับไปจริง ๆ ในเวลาไม่นาน
———————————————————————————————————-
Part 2
ที่เมืองเอสตัน เมืองขนาดกลางทางตะวันออกของเทือกเขาอีจิส หญิงสาวนางหนึ่งกับเด็กชายอีกคนกำลังเป็นจุดสนใจของผู้คนในตลาด โดยเฉพาะเหล่าหนุ่ม ๆ
นั่นก็เพราะหญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าอันงดงามจนชวนหลงใหล
แม้ทั้งสายตาและสีหน้าของเธอจะดูเย็นชา แต่มันก็ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์ในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ยังอดมองจนเหลียวหลังไม่ได้
“ฉันว่าเธอเอาผ้าคลุมมาคลุมหัวไว้เหมือนเดิมจะดีกว่านะ”
“…พยายามปกปิดหน้าตาในที่สาธารณะจะทำให้เป็นที่ผิดสังเกตได้ …เปิดไว้แบบนี้จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า…”
“แต่มันยิ่งเป็นเป้าสายตาน่ะสิ! คนมองกันหมดแล้ว ไม่เห็นเหรอ?”
“…หึงเหรอ?…”
“หา~~!?!?”
แซนโดรสังเกตปฏิกิริยาของซาลที่มีต่อคำพูดนั้นด้วยใบหน้าที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายที่กำลังขมวดคิ้วแสดงออกแต่ความรู้สึกหงุดหงิดแค่เพียงอย่างเดียวก็ละสายตาไป
“…ยังไม่ถึงวัยสินะ …รึแค่ไม่ใช่เสป็ค …แต่ก็ดีแล้วล่ะ…”
แซนโดรเดินต่อไปด้วยท่าทีที่เรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนซาลที่ได้ยินคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีก จึงเดินย่ำเท้าหนัก ๆ ตามไป เพื่อเป็นการระบายโทสะทางหนึ่ง
แซนโดรต้องการตุนเสบียงและของใช้จำเป็นไว้เป็นปริมาณมาก แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตจึงแบ่งปริมาณการซื้อออกเป็นร้านละนิดร้านละหน่อย ทำให้ต้องเดินตระเวนไปยังร้านต่าง ๆ เกือบทั่วทั้งตลาด
ของที่เธอเลือกซื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหาร ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อแกะ ปลา ข้าวสาร แป้ง และวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารทั้งคาวหวานอีกเป็นจำนวนมาก แม้จะบอกว่าพยายามแบ่งปริมาณการซื้อแค่ร้านละนิดร้านละหน่อย จำนวนที่ซื้อจริง ๆ ก็จัดว่ามากอยู่ดี แค่ของที่ซื้อจากร้านใดร้านหนึ่งก็น่าจะมีปริมาณพอเลี้ยงครอบครัวขนาดสี่คนได้เจ็ดแปดมื้อ หากรวมปริมาณทั้งหมด ซาลคิดว่าน่าจะพอเลี้ยงคนเป็นกองทัพได้แล้ว
“นี่ยังไม่พออีกเหรอ? จะเดินทางไกลแค่ไหนกัน?”
“…ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากเข้าเมืองให้น้อยที่สุด …ทั้งเหตุผลเรื่องเวลา และเรื่องความปลอดภัยด้วย …อ๊ะ…”
ระหว่างที่พูดแซนโดรก็เดินไปชนป้ายร้านค้าเข้า นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอเดินไปชนป้ายร้านค้าที่แขวนอยู่ในระดับสายตาระหว่างที่เดินจับจ่ายอยู่นี้
“เฮ้ ๆ ไหวรึเปล่าเนี่ย? ทำไมถึงเดินชนโน่นชนนี่ตลอดเลยล่ะ?”
“…ความจริงแล้วฉัน …สายตาไม่ค่อยดีน่ะ…”
“หา??”
ซาลรู้สึกแปลกใจมาก จึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ แซนโดร เพื่อกระซิบถาม
“ไอ้ร่างแบบนี้น่ะมันสายตาไม่ดีได้ด้วยเหรอ? ไม่ใช่ร่างมนุษย์ไม่ใช่เหรอ?”
“…ตัวฉันเองจริง ๆ ก็สายตาปกติดีนะ …แต่ไม่รู้ทำไมตั้งแต่ได้ร่างนี้มา สายตากลับแย่ลงน่ะ …ถึงจะไม่ได้เป็นตลอดเวลาก็เถอะ…”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย… จริง ๆ ร่างเวทมนตร์แบบนี้ไม่ควรจะมีข้อบกพร่องทางกายภาพนี่นา”
“…ศาสตร์มืดก็แบบนี้แหละ …บางอย่างก็เป็นวิชาที่ไม่สมบูรณ์ …บางอย่างก็มีผลข้างเคียง …ก็ต้องค่อย ๆ หาทางแก้ไป…”
“งั้นทำไมไม่ใส่แว่นดูล่ะ น่าจะช่วยได้นะ”
“…มันไม่ค่อยเข้ากันน่ะสิ …ลองนึกภาพดูนะ …โครงกระดูกใส่แว่นน่ะ …มันน่าตลกจะตายใช่มั้ยล่ะ …ใครเห็นก็จะหัวเราะเยาะเอาได้…”
คำพูดและตรรกะที่ฟังดูแปร่ง ๆ นั้นทำให้ซาลต้องขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าเจอโครงกระดูกเดินได้ พูดได้ ใคร ๆ ก็เผ่นกันทั้งนั้นแหละ… เขาไม่มาสนใจว่ามันใส่แว่นหรือไม่ใส่หรอก… แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นโครงกระดูกนี่นา ร่างมนุษย์น่ะใส่แว่นก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“…ผิดแล้ว …เพราะเป็นร่างมนุษย์เลยยิ่งไม่ควรใส่ต่างหาก…”
“หา? ทำไมล่ะ?”
“…สมัยนี้น่ะปัญหาด้านสายตาสามารถแก้ไขได้ด้วยหลายวิธี …ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดด้วยวิทยาศาสตร์ …หรือใช้เวทมนตร์ในการรักษา …แถมราคาก็ถูกมาก ๆ ด้วย …คนที่ยังใส่แว่นอยู่น่ะ จะถูกมองว่าเป็นพวกใส่เพื่ออ่อยเหยื่อ สนองความปรารถนาของพวกคลั่งสาวแว่นได้…”
“ดะ.. เดี๋ยวก่อนซิ พูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย?”
เรื่องที่แซนโดรพูดนั้นเธออ่านมาจาก ‘บันทึกของโลกเก่า’ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ในโลกเก่านั้นมียุคหนึ่งสมัยหนึ่งที่การแพทย์รุ่งเรืองจนไม่มีความจำเป็นต้องสวมแว่นอีกต่อไป
แต่ด้วยความกระหายของเหล่าผู้นิยมสาวแว่น จึงเกิดลัทธิรณรงค์ ‘คืนสาวแว่นให้กับประชาชน’ ขึ้นมา เพื่อให้สาว ๆ กลับมาสวมแว่นอีกครั้ง สาว ๆ ในโลกเก่าก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีทั้งกลุ่มที่รังเกียจ และกลุ่มที่พยายามตอบสนองความต้องการนั้น แต่ปรากฏว่ากลุ่มที่พยายามตอบสนองจะถูกมองไม่ดีเท่าไหร่
สำหรับโลกใหม่นี้ แม้การสวมแว่นเพื่อบรรเทาอาการทางสายตาจะไม่จำเป็น แต่ก็ยังมีคนใช้งานแว่นในด้านอื่น ๆ อยู่ เพราะวิทยาศาสตร์อันก้าวหน้า ทำให้มีการพัฒนา ‘แว่นอัจฉริยะ’ (Smart Glasses) ขึ้นมา มันเป็นแว่นที่มีความสามารถหลายอย่าง ทั้งใช้เป็นกล้องส่องทางไกล, กล้องถ่ายรูป, โทรศัพท์, ค้นหาข้อมูล, และอื่น ๆ อีกมากมายแล้วแต่รุ่นของแว่น เรียกว่ากลายเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างหนึ่งไปแล้ว
“เดี๋ยวนี้น่ะคนที่ใส่แว่นเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์เสริมก็มีอยู่เยอะแยะออก มันไม่ใช่ของที่ใช้สวมเพื่อปรับสายตาอย่างเดียวแล้วนะ ไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย?”
“…งั้นเหรอ …อยากให้ใส่แว่นขนาดนั้นเชียวเหรอ? …นิยมสาวแว่นสินะ …อืม…”
“หา!?”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ซาลก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความหมายที่ดีเท่าไหร่ และเพราะแซนโดรมักจะพูดจาเข้าใจยากหรือจงใจกวนประสาทเขาแบบนี้ระยะ ๆ จึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเวลาคุยด้วยเสมอ ๆ
เมื่อเรื่องนี้รวมกับการพบเจอที่ไม่ค่อยจะน่าประทับใจเท่าไหร่ของทั้งสองคน ทำให้ซาลไม่ค่อยรู้สึกอยากจะให้ความเคารพกับแซนโดรนัก เพราะเขาคิดว่าแซนโดรทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย แต่ก็ด้วยท่าทางแบบนี้ ทำให้คนภายนอกมองว่าทั้งสองเป็นเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกันมากกว่า
ทั้งสองคนยังคงเดินเวียนซื้อของตามร้านค้าต่าง ๆ จนเกือบครบทุกร้าน ของที่แซนโดรซื้อมานั้นเป็นเสบียงที่ทำให้คนสองคนอยู่ได้หลายเดือนเลยทีเดียว แต่เพราะเมื่อซื้อของเสร็จก็เก็บลงห้องมิติ ทำให้ทั้งคู่เดินจับจ่ายในตลาดได้อย่างสบายเพราะไม่ต้องหอบหิ้วอะไร
หลังจากได้ของจำเป็นต่าง ๆ ในปริมาณที่พอใจแล้ว แซนโดรก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายรถม้า
แม้มองจากภายนอกจะดูเป็นห้องแถวเล็ก ๆ จนคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นท่าโดยสารสำหรับให้บริการรถม้า แต่เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะพบว่าภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีรถม้านับสิบคันจัดแสดงอยู่ให้ลูกค้าได้เลือกสรร
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะร้านขายรถม้าแห่งนี้ใช้เทคโนโลยีดันเจียนในการสร้าง เจ้าของร้านแค่เช่าตัวตึกเล็ก ๆ ไว้เป็นหน้าร้านและทำการเชื่อมต่อทางเข้ากับตัวร้านที่สร้างขึ้นด้วยวิธีเดียวกับดันเจียนมิติ ภายในร้านจึงดูโอ่โถงกว้างขวางผิดกับที่เห็นภายนอกมาก
แซนโดรเดินพิจารณารถม้าไปทีละคัน ในขณะที่พนักงานร้านยืนดูอยู่ห่าง ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พนักงานของร้านแบบนี้จะไม่เข้ามารบกวนการดูสินค้า จนกว่าฝ่ายลูกค้าจะเรียกหา พวกเขาถึงจะเดินเข้ามาบอกข้อมูลที่ลูกค้าต้องการทราบ หรือดำเนินการเจรจาซื้อขาย
หลังจากที่เดินเลือกอยู่พักหนึ่ง แซนโดรก็มาหยุดอยู่ที่รถม้าสีดำคันใหญ่และพิจารณาดูอย่างละเอียดอยู่เป็นเวลานาน
รถม้าคันนั้นจัดเป็นรถม้าขนาดใหญ่ มีห้องโดยสารขนาดกว้างสองเมตร ยาวสามเมตร ต้องใช้ม้าถึงสี่ตัวในการลาก ที่นั่งบุด้วยเบาะกำมะหยี่สีเลือดหมู สามารถพับใต้เบาะขึ้นมาต่อกันเพื่อขยายความกว้างของเบาะให้เป็นเตียงสำหรับนอนได้ ตัวห้องเป็นแบบปิดสนิทมิดชิดและมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเหล็ก ผนังที่เป็นไม้ก็ถูกขัดมันเป็นเงางาม ทำให้ยิ่งดูทนทานแข็งแรง
“…อืม …เอาคันนี้ก็แล้วกัน…”
แม้แซนโดรจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาโดยไม่ได้หันไปทางพนักงาน แต่พนักงานของร้านที่ยืนห่างออกไปค่อนข้างไกลกลับรีบเดินเข้ามาเจรจาการขายในทันทีราวกับมีหูทิพย์ นี่อาจเป็นสัญชาติญาณของพ่อค้าก็ว่าได้
“จะเลือกม้าไปด้วยเลยมั้ยครับ ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นซื้อสามตัวแถมหนึ่งตัวเลยนะครับ!”
“…ไม่ล่ะ …เรามีม้าแล้วน่ะ…”
แซนโดรปฏิเสธข้อเสนอของพนักงานก่อนจะจ่ายเงินไป
ซาลแอบชะโงกหน้ามองและเห็นว่ารถม้าคันนี้มีราคาถึงร้อยห้าสิบโกลด์ (เหรียญทอง) ซึ่งนับว่าแพงมาก ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ เขาไม่คิดว่าแซนโดรจะเป็นคนที่ล่ำซำขนาดนี้ และยิ่งเกิดความรู้สึกสงสัยว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ไปเอาเงินมาจากไหนมากมายกันนะ
เมื่อได้รับใบเสร็จแล้ว แซนโดรก็เก็บรถม้าเข้าช่องมิติ และพาซาลเดินออกจากร้านเพื่อเดินทางต่อ
เมื่อเดินออกจากเมืองมาได้ระยะหนึ่งจนถึงที่ลับตาคนแล้วแซนโดรก็นำรถม้าออกมาอีกครั้ง
“หืม? แล้วม้าล่ะ?”
โดยไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แซนโดรก็หันไปยังพื้นดินอันว่างเปล่าด้านหน้าของรถม้าและวาดมือออกไป ทันใดนั้นก็ปรากฏวงเวทสี่วงขึ้นบนพื้น ก่อนจะมีม้าสีดำสี่ตัวโผล่ขึ้นมาจากวงเวท
พวกมันเป็นม้าที่มีดวงตาสีเขียวเรืองแสง มีขนสีดำขลับเกือบตลอดทั้งตัว แต่ขนที่แผงคอและหางกลับเป็นสีเขียวปลิวไสวตลอดเวลาคล้ายกับเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ซาลตะลึงจนตาค้างไป
“นะ.. นี่มัน!?”
“…ไนท์แมร์ไงล่ะ …เจ๋งใช่มั้ยล่ะ…”
แซนโดรหันมาชูสองนิ้วให้กับซาลด้วยท่าทางภูมิใจ เธอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแม้ดวงตาจะยังคงดูเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม มันเลยกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายซะมากกว่า
ไนท์แมร์ (Nightmare) คือสัตว์อัญเชิญระดับสูงชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเป็นม้าสีดำ วิ่งได้ทั้งบนพื้นและบนอากาศ มีการโจมตีด้วยการพุ่งชนอันรุนแรง และสามารถพ่นลมหายใจธาตุต่าง ๆ ออกมาโจมตีศัตรูได้ ธาตุของไนท์แมร์จะขึ้นกับสีขนตรงแผงคอและหางซึ่งมีลักษณะเป็นเปลวไฟ สำหรับกลุ่มที่แซนโดรอัญเชิญมานี้คือธาตุพิษ ขนเลยมีสีเขียว
“เจ๋งกะผีน่ะสิ! จะใช้ไอ้นี่ลากรถไปเนี่ยนะ!? นี่มันโคตรเตะตาเลยไม่ใช่เหรอ! ดวงตาที่ส่องแสงสีเขียวนั่นมันอะไรกันน่ะ!? ไหนจะแผงคอที่เป็นเปลวไฟนี่อีก! แล้วนี่พื้นที่มันเดินไปก็มีไฟลุกด้วยไม่ใช่เหรอ!?”
ซาลชี้ไปยังพื้นที่พวกม้าเดินย่ำ มันกลายเป็นรอยไหม้รูปเกือกม้าที่มีเปลวไฟสีเขียวลุกโชนอยู่ทุกจุดที่เท้าม้าย่ำลงไป
แซนโดรจ้องมองพื้นที่ม้าเดินย่ำสลับกับพวกม้าอยู่พักหนึ่งจึงเริ่มทำหน้าเหมือนจะพูดว่า อ๊ะ
“ไม่ต้องมา ‘อ๊ะ’ เลยนะ! ของมันชัดเจนอยู่ขนาดนี้น่ะ! นี่เธอรอดสายตาของพวกพีชคีปเปอร์มานานขนาดนี้ได้ไงกันเนี่ย!?”
“…ก็ปกติไม่ค่อยต้องเดินทางเวลากลางวันนี่นา …แสงแดดมันไม่ดีต่อผิวน่ะ …แถมยังร้อนด้วย …ตอนกลางคืนก็อาศัยการบินเอา…”
“เป็นกระดูกจะกลัวผิวเสียไปทำไมเล่า!?”
“…กระดูกน่ะถ้าโดนแดดมาก ๆ ก็จะเหลืองได้นะ …พอเหลืองมันก็ดูสกปรกน่ะ …จริง ๆ ที่ร้านขายเครื่องสำอางบำรุงกระดูกก็มีผงทรายละเอียดสำหรับขัดกระดูกให้ขาวอยู่ …แต่เขาว่าถ้าใช้มาก ๆ จะทำให้กระดูกบางลง …ฉันเลยไม่ค่อยอยากใช้น่ะ…”
ซาลได้แต่ทำหน้าเหยเกเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เนื่องจากคำพูดของแซนโดรมีสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่เยอะจนลำดับความแทบไม่ถูก ซาลจึงได้แต่กล้ำกลืนความหงุดหงิดลงไปอย่างเงียบ ๆ
ระหว่างที่เขากำลังสงบสติอารมณ์ แซนโดรก็เก็บม้าทั้งสี่ตัวกลับมาและทำการปรับแต่งวงเวทเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกมัน ไม่นานนักเธอก็อัญเชิญพวกมันทั้งสี่ออกมาใหม่อีกครั้ง
ตอนนี้พวกมันกลายเป็นม้าที่ดูธรรมดามากขึ้นแล้ว แม้จะยังมีดวงตาสีเขียวอยู่ แต่ก็ไม่ได้ส่องแสงอะไรออกมา ขนหางและแผงคอก็กลายเป็นสีดำสนิท พื้นที่มันย่ำก็ไม่เกิดเปลวไฟแล้วด้วย
“…เอาล่ะ …ไปกันเถอะ…”
เมื่อพูดจบ เธอก็เปิดประตูรถม้าและเตรียมก้าวขึ้นไป
“…ถ้าไม่มีคนขับ มันจะไม่ดูแปลกไปหน่อยเหรอ?”
“…โอ้…”
แซนโดรถอยกลับลงมาอัญเชิญผู้ชายสวมหมวกปีกกว้างในชุดคลุมขึ้นมาเป็นสารถีประจำรถ จากนั้นก็ก้าวกลับขึ้นไปนั่งในรถม้าตามเดิม
ซาลได้แต่เก็บความหงุดหงิดเอาไว้และก้าวตามขึ้นไป
เขาแอบคิดในใจว่า แซนโดรคนนี้เมื่อตอนกลางวันที่คุยกันเรื่องพีชคีปเปอร์ก็ดูฉลาดล้ำลึกดี แต่ไหงตอนนี้ถึงดูเอ๋อขนาดนี้ไปซะได้
มีคำร่ำลือว่าผู้เป็นลิชต้องเสียสละอะไรต่าง ๆ ไปมากมายเพื่อให้ผ่านการทดสอบและได้ร่างอมตะนี้มา หรือว่าแซนโดรจะเสียสละสามัญสำนึกจนกลายเป็นคนติงต๊องไปแล้วกันนะ
การร่วมมือกับคนแบบนี้ในการพยายามยึดครองโลกเป็นความคิดที่ดีแล้วรึเนี่ย?
ซาลแอบครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ พลางเหลือบตามองแซนโดรเป็นระยะ ๆ ในระหว่างที่รถม้าออกเล่นไป
———————————————————————————————————-
Part 3
เมื่อรถม้าแล่นห่างออกจากเมืองมาได้อีกสักพัก แซนโดรก็เริ่มการสนทนากับซาลอีกครั้ง
“…อาจต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะถึงที่หมาย …ระหว่างนี้ก็มาคุยเรื่องของเธอกันดีกว่า…”
“เรื่องของผมงั้นเหรอ?”
“…ใช่ …หลัก ๆ ก็เรื่องคลาสที่เธอมีความสนใจและอยากจะเป็นน่ะ …เธอสนใจจะทุ่มเทเรียนให้กับคลาสไหน ฉันจะได้ช่วยชี้แนะได้ถูก …เราต้องฝึกฝนเธอให้มีความสามารถในระดับหนึ่งก่อน ถึงจะดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของซาลก็เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง เขาบอกความประสงค์ของตนเองออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ผมน่ะอยากจะเป็นซัมมอนเนอร์ที่แข็งแกร่งที่สุด! ช่วยบอกหน่อยสิ! ทำยังไงถึงจะเป็นนักอัญเชิญระดับสุดยอดได้ล่ะ!?”
“…อืม …ขั้นแรกก็คงต้อง …เปลี่ยนไปเรียนคลาสอื่นก่อนน่ะนะ…”
“หา!? นี่ตั้งใจจะหาเรื่องกันรึไง!?”
ความตื่นเต้นของเขาพลิกเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดอีกครั้งเพราะคำพูดที่เหมือนกับการประชดของอีกฝ่าย แต่แซนโดรก็ยังคงอธิบายต่ออย่างใจเย็น
“…ไม่ใช่อย่างนั้น …แต่ซัมมอนเนอร์เป็นคลาสที่มีจุดอ่อนมากมาย …ไม่เหมาะที่จะเรียนเป็นคลาสหลักเท่าไหร่หรอก…”
“กรอด… ทำไมใคร ๆ ก็พูดแบบนี้กันนะ ไม่มีความฝันเอาซะเลย ทุกอย่างมันต้องมีการเริ่มต้นเซ่ ผมก็รู้หรอกนะว่าการจะสร้างสมุนอัญเชิญที่เก่ง ๆ ขึ้นมามันเป็นเรื่องยากน่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“…ถึงมีร่างอัญเชิญที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้วยังไง? …ตัวผู้อัญเชิญก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่ดี …เวลาสู้กับนักอัญเชิญน่ะเขาถึงได้เล็งจัดการกับตัวผู้อัญเชิญก่อน …ถ้าเก็บผู้อัญเชิญได้ สมุนก็จะหายไปเอง …เพราะฉะนั้นถึงอัญเชิญสมุนระดับเทพได้ แต่ถ้าตัวผู้อัญเชิญเอาตัวรอดในการต่อสู้ไม่ได้ มันก็เปล่าประโยชน์…”
“อึก…”
“…ยิ่งกว่านั้น การจะสร้างร่างอัญเชิญที่เก่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย …ต้องใช้วงเวทที่มีโครงสร้างซับซ้อนยิ่งกว่าเวทมนตร์ประเภทร่ายครั้งเดียวหลายเท่านัก …นั่นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เทคนิคและความรู้ที่สั่งสมมาเป็นปี ๆ ถึงจะทำได้…”
“ตะ.. แต่ว่า…”
“…และต่อให้ทำสำเร็จ ร่างอัญเชิญนั่นก็อาจกินพลังเวทมหาศาลจนอัญเชิญออกมาไม่ได้ …ยิ่งเด็กอย่างเธอนี่ ให้ทุ่มพลังเวทหมดตัวก็คงอัญเชิญได้แค่สมุนระดับสองหรือสามเท่านั้นแหละ …เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลาเปล่าจะดีกว่า…”
ซาลนึกคำพูดที่จะโต้งแย้งกลับไปไม่ออกเพราะสิ่งที่แซนโดรพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง แต่ยังไงนักเวทอัญเชิญก็เป็นคลาสที่เขาชอบ และการพลิกฟื้นคลาสนี้ให้เป็นที่ยอมรับคือหนึ่งในความฝันของเขา เมื่อถูกดูหมิ่นถึงขั้นบอกว่ามันเป็นเรื่องไร้ประโยชน์แบบนี้จึงทำให้ซาลรู้สึกโมโหขึ้นมา
“ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นนักอัญเชิญระดับเทพในวันนี้พรุ่งนี้ซะหน่อย! แค่เริ่มต้นจากวันนี้เท่านั้น! ถึงมันจะเป็นคลาสที่มีแต่อุปสรรค แต่ถ้าพยายามอย่างต่อเนื่องทุกวัน ก็ต้องประสบความสำเร็จได้แน่! ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วยังจะมีหน้าไปโค่นล้มพีชคีปเปอร์ หาทางยึดครองโลกได้อีกรึไง!?”
แซนโดรดูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นอีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ออกมา เธอนั่งนิ่งและจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง ซาลเองก็จ้องมองแซนโดรกลับไปด้วยสายตาอันมุ่งมั่นไม่หวั่นไหวเช่นกัน แต่มันเป็นแววตาที่ส่อถึงเจตนาอันแน่วแน่ ไม่ใช่แววตาที่เต็มไปด้วยโทสะเหมือนในทีแรก
“…เข้าใจล่ะ …ถ้าเธอมีความมุ่งมั่นขนาดนั้นละก็ …ฉันจะช่วยสนับสนุนเท่าที่ทำได้…”
คำตอบของแซนโดรในครั้งนี้ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของซาล ทำให้เขาโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“จริงดิ!? ชะ… ไชโย!”
“…แต่ที่บอกว่าให้เรียนคลาสอื่นน่ะเป็นเรื่องจริงนะ …ยังไงผู้อัญเชิญก็ต้องมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับที่เอาตัวรอดได้ …ดังนั้นเธอต้องฝึกคลาสอื่นควบคู่ไปด้วย …อาจจะหนักหน่อย แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด…”
“อืม… ถ้างั้นควรจะเป็นคลาสอะไรดีล่ะ ผมน่ะไม่เคยนึกถึงการเรียนคลาสอื่นมาก่อนเลย… จริงสิ แซนโดรมีคลาสรองเป็นอะไรเหรอ?”
“…คลาสรองของฉันจริง ๆ ก็มีอยู่หลายคลาส …แต่ที่ฝึกฝนจนถึงระดับมาสเตอร์ก็คือ แลนเซอร์ กับ วิซาร์ด…”
แลนเซอร์ (Lancer) คือคลาสนักรบที่ใช้อาวุธยาวจำพวกหอกหรือทวนเป็นอาวุธ ส่วนวิซาร์ด (Wizard) เป็นคลาสนักเวทระดับสูงที่พัฒนาต่อยอดมาจากเมจ (Mage) ทั้งแลนเซอร์และวิซาร์ดต่างก็เป็นคลาสระดับสามทั้งคู่
“หวาว นอกจากลิชที่เป็นคลาสระดับสี่แล้ว ก็ยังมีคลาสรองเป็นคลาสระดับสามอีกตั้งสองคลาสเลยเหรอเนี่ย! นี่แซนโดรอายุเท่าไหร่กันแน่เนี่ย?”
“…ถึงฉันจะเป็นมาสเตอร์แค่สองคลาสนี้ …แต่ถ้าเธอสนใจคลาสอื่น ๆ ฉันก็พอจะช่วยสอนได้เหมือนกัน …โดยเฉพาะคลาสสายนักเวทน่ะ…”
เพราะแซนโดรจงใจเมินคำถามนั้นไป ทำให้ซาลที่รู้สึกหมั่นใส้แซนโดรนิด ๆ มานานแล้วยิ่งอยากจะขัดใจเธอมากขึ้น เลยลองเดาตัวเลขสุ่ม ๆ ออกมา
“หนึ่งร้อยปี?”
“…คลาสสายนักรบฉันก็พอจะช่วยสอนให้ได้ถึงสักระดับสองเหมือนกันนะ…”
“สามร้อยปี? (อายุเท่ากับโลกเลยนะเนี่ย)”
ทันใดนั้นแซนโดรก็กลับคืนสู่ร่างลิช หมอกอันหนาทึบแผ่ขยายบดบังช่องหน้าต่างจนภายในรถมืดมิดไปหมด แถมเธอยังลุกพรวดเข้าไปจ้องซาลารัสด้วยใบหน้าที่เป็นหัวกะโหลกในระยะประชิด ทำให้ซาลสะดุ้งโหยงและพยายามหลีกหนีภาพอันน่ากลัวนั้นด้วยความลนลาน
“รู้แล้ว ๆ ไม่ถามแล้ว! ผมขอโทษ~ ช่วยกลับเป็นมนุษย์ทีเถอะนะ!”
แซนโดรช้อนดวงตาที่เป็นเปลวเพลิงสีเขียวจ้องมองอีกฝ่ายในระยะประชิดอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะถอยกลับมานั่งยังที่ของตัวเอง
กลุ่มหมอกหดกลับเข้ามาห่อหุ้มตัวเธออีกครั้งจากนั้นก็สลายหายไป ทำให้เหลือเพียงแซนโดรในร่างหญิงสาวนั่งอยู่ตรงนั้นตามเดิม
“แฮ่ก.. แฮ่ก… คือ… ผมคิดว่าเป็นนักเวทก็น่าจะเหมาะกว่านะ…”
“…อืม …ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน …ทักษะเสริมต่าง ๆ ของนักเวทก็มีผลเกื้อหนุนให้กับการเป็นนักเวทอัญเชิญด้วย…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรเปิดแบบจำลองของห้องมิติขึ้นมาเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง เธอสลับห้องมิติดูไปเรื่อย ๆ พร้อมกับหยิบของออกมาทีละชิ้น เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้ว แซนโดรก็ปิดแบบจำลองห้องมิติลงไป ส่วนบนตักของเธอก็มีหนังสือสองเล่มกับสายรัดข้อมือหนึ่งเส้นวางอยู่
“…นี่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการฝึกทักษะพื้นฐานของการเป็นนักเวท …มีแบบฝึกหัดสำหรับการฝึกฝนการใช้เวทมนตร์เพื่อเพิ่มความสามารถพื้นฐานในการเป็นนักเวท …ส่วนสายรัดข้อมือนี่ใช้ตรวจสอบพลังเวทที่เหลืออยู่ …ฝึกจนกว่าพลังเวทจะหมด แล้วฉันจะให้อ่านหนังสืออีกเล่ม…”
“อ๋อ สายรัดข้อมือนี่ แบบเดียวกะที่โรงเรียน… เคยให้ใช้สินะ…”
เมื่อพูดถึงโรงเรียน คำพูดของซาลก็ชะงักไปเล็กน้อย แม้แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งแซนโดรก็สังเกตเห็น แต่ก็ดำเนินการสนทนาต่อไป
“…ใช่แล้ว …วิธีใช้ก็ไม่ต่างกันมาก …ถ้าไปถึงที่หมายแล้วฉันจะมีของที่ดีกว่านี้ให้ …แต่ตอนนี้ใช้อันนี้ไปก่อนละกัน…”
“แล้วหนังสืออีกเล่มล่ะ?”
“…เล่มนี้เป็นพื้นฐานการออกแบบโครงสร้างวงเวทที่ผู้ศึกษาศาสตร์มืดใช้กัน …ถ้าเธอฝึกเล่มนั้นจนพลังเวทหมดแล้ว เดี๋ยวฉันจะช่วยสอนเล่มนี้ให้…”
“จริง ๆ นะ! งั้นก็ลุยกันเลย!”
ซาลฝึกฝนพื้นฐานการใช้เวทอย่างกระตือรือร้นเพราะจะได้เรียนการออกแบบโครงสร้างวงเวทที่ใฝ่ฝันมานานซะที แค่ชั่วโมงเศษ ๆ เขาก็ใช้พลังเวทจนหมดเกลี้ยง
ทั้งสองคนพักทานอาหารเย็นกันในรถ เป็นข้าวหน้าเนื้อและข้าวหน้าหมูทอดแบบกล่องที่แซนโดรซื้อมาเมื่อตอนกลางวัน ซาลแปลกใจที่แซนโดรเองก็กินอาหาร แถมยังกินจุซะด้วย
ข้าวกล่องที่แซนโดรซื้อมาล้วนแล้วแต่มีขนาดจัมโบ้ ซาลกินไปได้แค่ครึ่งเดียวก็รู้สึกอิ่มแล้ว แต่แซนโดรกินคนเดียวสามกล่องแถมยังเติมหมูทอดที่ซื้อแยกมาต่างหากลงไปเพิ่มด้วย แซนโดรไม่ได้กินอย่างมูมมามหรือมีท่าทีเร่งรีบอะไร แต่แค่แป๊บเดียวเธอก็จัดการกับข้าวทั้งสามกล่องนั้นจนหมดเกลี้ยงราวกับเล่นกล
พอทานอาหารเสร็จ ซาลก็ลุยอ่านหนังสือเล่มที่สองต่อทันที เมื่อมีแซนโดรช่วยชี้แนะให้ก็ทำให้เขาเข้าใจหลักการในการออกแบบวงเวทได้ดีขึ้นมาก
ไม่ทันไรพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าจนบริเวณรอบข้างถูกปกคลุมไปด้วยความมืด แต่รถม้าก็ยังคงวิ่งต่อไป
ซาลฝึกฝนเวทมนตร์เพื่อเผาพลาญพลังเวทให้หมดก่อนนอนตามคำแนะนำของแซนโดร จากนั้นจึงเอนตัวลงนอนบนเบาะของรถม้าที่ปรับความกว้างให้เป็นเตียงแล้ว ส่วนแซนโดรแม้จะไม่ได้ขยายเบาะเป็นที่นอน แต่ก็เอนตัวพิงพนักของรถม้าเพื่อพักผ่อนเช่นกัน
———————————————————————————————————-
Part 4
ในคืนนั้นระหว่างที่ยังนอนหลับไม่สนิทดี แซนโดรก็ได้ยินเสียงสะอื้นแว่วมา เธอจึงลืมตาขึ้น
เมื่อมองไปยังอีกฝั่ง เธอก็เห็นซาลซึ่งกำลังหลับอยู่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท จนเบาะของรถม้าเปียกแฉะ สีหน้าของเขาก็ดูทรมานด้วย
แซนโดรลุกขึ้นไปนั่งยังฝั่งของซาลและยกหัวของเขาขึ้นมาหนุนบนตักของเธอ
เธอพยายามเอามือลูบหน้าผากของเขาให้เขาสงบลง แต่ซาลกลับมีอาการหนาวสั่นแทน
นั่นเป็นเพราะร่างกายของแซนโดรเย็นเกินไป ทั้งขาและมือต่างก็เป็นร่างจำแลงที่ไม่ได้มีเลือดไหลเวียนอยู่จริง ๆ อุณหภูมิร่างกายจึงต่ำไปด้วย
แซนโดรหลับตาลงเพื่อรวบรวมพลังเวทอยู่พักหนึ่ง ทำให้ร่างกายของเธอก็เรืองแสงอ่อน ๆ ออกมา
เมื่อแสงนั้นหายไป ผิวกายของแซนโดรที่เคยขาวซีดก็กลายเป็นสีขาวอมชมพูที่มีเลือดฝาดแทน
เธอลองเอามือทั้งสองสัมผัสกับแก้มของตัวเองดู พอแน่ใจว่าร่างนี้มีอุณหภูมิพอเหมาะแล้วจึงเอามือลูบหน้าผากของซาลดูอีกครั้ง ทำให้สีหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลายลง
“…เด็กก็คือเด็กแหละนะ…”
แซนโดรพึมพำออกมา ก่อนจะแอนตัวพิงพนักและหลับไปทั้งอย่างนั้น