Doombringer the 5th - ตอนที่ 50
Ch.50 – ที่ๆควรอยู่
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 50
ที่ๆควรอยู่
Part 1
เวลาผ่านไปสามวัน
เหลืออีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงวันเดินทางที่แซนโดรกำหนดเอาไว้แล้ว
วันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของซาลพอดี แต่เขาก็เลือกที่จะพักผ่อนอยู่ในมาลาไคท์คีป แทนที่จะออกไปข้างนอก
แม้จะเป็นวันหยุด เขาก็ยังมาที่ลานฝึกแต่เช้า และอัญเชิญสมุนที่มีระดับสูงสุดทั้งหมดออกมายืนเรียงกัน ยกเว้นอัลดูอินกับวาเคียที่ให้มานั่งข้าง ๆ
สมุนระดับสูงสุดของซาลตอนนี้ มีมังกรระดับเจ็ด 4 ตัว วาลไครี่ระดับเจ็ด 3 ตัว และวาเคียกับอัลดูอิน ซึ่งเป็นระดับห้าทั้งคู่ ทั้งหมดนี้เลื่อนระดับจากการแซคคริไฟซ์พวกสมุนระดับห้าที่เลี้ยงเอาไว้ในดันเจียน
ถึงจะเป็นสมุนระดับห้าซึ่งปกติควรจะมีร่างโตเต็มวัยแล้ว แต่อัลดูอินกับวาเคียยังคงมีร่างเป็นวัยเด็กอยู่เช่นเคย ทั้งวาเคียที่ดูเหมือนเด็กสาวผมสั้นอายุไม่เกินสิบขวบ และอัลดูอินที่ยังเป็นแค่แฮชลิ่ง (ลูกมังกร) ที่เวลานั่งแล้วจะมีความสูงแค่ราว ๆ หนึ่งเมตร
อัลติม่าอธิบายว่าอาจเป็นเพราะจิตใจและวุฒิภาวะของทั้งสองคนยังเป็นเด็กอยู่ ร่างกายจึงมีรูปลักษณ์ตามนั้น แม้ซาลจะสร้างร่างเสมือนที่เป็นร่างโตเต็มวัยให้ทั้งสองคนได้ แต่ร่างจริงยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีถ้าวุฒิภาวะยังไม่พัฒนา
ถึงจะมีร่างเป็นเด็ก แต่สิ่งนั้นก็ไม่มีผลกระทบต่อคุณสมบัติหรือความสามารถของทั้งสองคนแต่อย่างใด เพราะนอกจากทั้งคู่จะมีทักษะทุกอย่างที่ร่างอัญเชิญระดับห้าควรจะมีแล้ว ความชำนาญในการต่อสู้ยังสูงเกินระดับของตัวเองอีกด้วย
ซาลเคยให้ทั้งสองคนทดสอบการต่อสู้แบบตัวต่อตัวดูแล้ว ปรากฏว่าสามารถเอาชนะสมุนระดับเจ็ดได้เลยทีเดียว (แม้จะทุลักทุเลนิดหน่อย) เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจที่แพ้วาเคียน้อยลงเล็กน้อย แต่พอเห็นการต่อสู้แล้วได้รู้ว่าความจริงวาเคียออมมือให้ก็รู้สึกหงุดหงิดด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่งแทน ซึ่งวาเคียที่รู้ตัวก็ได้แต่หลบหน้าไม่กล้าสบตากับซาลตรง ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ออกปากตำหนิอะไรในเรื่องนี้
ลานาเทลบอกว่านั่นเป็นผลจากการฝึกฝนเพิ่มเติม บวกกับความสามารถในการคิดทำให้ตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย ความสามารถในการต่อสู้จึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
นี่เป็นเหตุผลเดียวกับที่ร่างอัญเชิญเสมือนไม่มีทางต่อสู้ได้เต็มประสิทธิภาพเท่าตัวจริงแม้จะมีคุณสมบัติทุกอย่างเท่าเทียมกัน เพราะมีรูปแบบการต่อสู้ซ้ำ ๆ ทำให้ถูกอ่านทางได้ง่าย รวมไปถึงไม่มีจิตใจเป็นแรงผลักดันเพื่อเค้นความสามารถที่แท้จริงออกมาอีกด้วย
แม้จะมีสมุนอัญเชิญระดับเจ็ดถึง 7 ตัว และมีวาเคียกับอัลดูอินที่ชนะได้แม้แต่สมุนระดับเจ็ด แต่ซาลก็ยังไม่ค่อยพอใจ
เขาเปิดแผนที่สามมิติของดันเจียนหลาย ๆ แห่งขึ้นมาดูเพื่อสำรวจเหล่าสมุนที่ปล่อยเอาไว้ ในตอนนี้ซาลมีสมุนที่สามารถเลี้ยงได้พร้อมกันถึงสามสิบตัวแล้ว แต่ถ้าหักพวกสมุนระดับสูงเก้าตัวที่อยู่ตรงนี้ไปก็จะเหลือเพียงยี่สิบเอ็ดตัวในดันเจียนเท่านั้น
ซาลขมักเขม้นตรวจสอบเหล่าสมุนอย่างตั้งอกตั้งใจจนไม่รู้สึกตัวเลยว่านิโคลเดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ
“เคร่งเครียดอะไรอยู่คะเนี่ย? วันหยุดแท้ ๆ น่าจะพักผ่อนให้เต็มที่นะคะ”
“โอ้ นิโคล มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? นี่ก็… แค่ตรวจสอบอะไรนิดหน่อยน่ะนะ ใกล้จะถึงเวลาเดินทางแล้วก็เลยอยากเตรียมตัวให้พร้อมน่ะ”
“อืม.. แล้วอัลติม่าล่ะคะ? ปกติจะเห็นอยู่ด้วยกันตลอดนี่นา?”
“วันนี้ลานาเทลบอกว่าจะเข้าไปในเมือง อัลติม่าก็เลยขอตามไปด้วยน่ะ รู้สึกว่าเขาจะชอบเที่ยวในเมืองมากเลยนะ”
“เอ๋!? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลยล่ะคะ!? โธ่~ คุณลานาเทลนี่ละก็”
นิโคลพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียดายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ซาลนึกขึ้นได้ว่านิโคลก็ชอบเข้าไปเดินเล่นในเมืองไม่แพ้กัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกและตั้งหน้าตั้งตาสำรวจพวกสมุนต่อไป
นิโคลที่สังเกตเห็นท่าทางเคร่งเครียดของซาล จึงนั่งลงข้าง ๆ เขาแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ? เห็นทำท่าทางเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“อืม… จริง ๆ มันก็… ไม่เชิงเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจหรอกนะ…”
“หืม? ขนาดนี้แล้วยังว่าไม่เชิงอีกเหรอคะ? บอกมาเถอะค่ะ?”
ซาลนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเหมือนยังลังเลที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมพูดออกมา
“ผม… อยากจะเก่งขึ้นกว่านี้… หรือมีอะไรที่ช่วยคนอื่น ๆ ได้มากกว่านี้น่ะ”
“เห? แต่ฉันว่าคุณซาลารัสก็เก่งพอตัวอยู่แล้วนะคะ”
“แค่นั้นยังไม่พอหรอก! ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย เวลาที่ต่อสู้กันนอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้วยังเป็นตัวถ่วงอีกต่างหาก ผมน่ะ อยากเป็นกำลังให้กับทุกคนได้มากกว่านี้…”
ซาลพูดด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความรู้สึกคับแค้นใจออกมาไม่น้อย อาจเพราะในช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้และฝึกฝนการต่อสู้หลาย ๆ อย่าง ทำให้รู้ถึงความต่างชั้นทางฝีมือของตัวเองกับคนอื่น ๆ มากขึ้น ความกังวลและคับแค้นที่มีจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่นิโคลที่ได้ยินคำพูดของซาลกลับรู้สึกเอ็นดูความคิดที่อยากเป็นกำลังให้กับทุกคนของเขามากกว่า จึงลูบหัวของซาลเบา ๆ เพื่อให้เขาผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวปลอบใจ
“เรื่องนั้นไม่จริงหรอกนะคะ คุณซาลารัสเองก็เอาตัวรอดได้นี่นา ทั้งเคยชนะสาวใช้ของคุณลานาเทลได้ แล้วยังเกือบฆ่าคุณลานาเทลได้ครั้งนึงด้วยนะคะ ไม่ใช่ตัวถ่วงเลยสักนิด”
“นั่นมันก็แค่ฟลุคเท่านั้นแหละ ส่วนใหญ่แล้วผมก็ได้แต่ยืนดูทั้งนั้น ทั้งตอนที่สมุนของอัลติม่ามาโจมตี แล้วก็ตอนที่ทุกคนเข้าไปบุกแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสด้วย… ผมน่ะไม่อยากเป็นแค่คนที่เฝ้ารอการกลับมา… รอให้ทุกคนชนะ… ให้ทุกคนปกป้อง… แต่ผมอยากปกป้องทุกคนต่างหาก”
แม้จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด แต่แววตาของเขาก็สื่อถึงความมุ่งมั่น ทำให้นิโคลยิ่งรู้สึกชื่นชมเข้าไปอีก แต่เธอคิดว่าหากไม่พูดทำความเข้าใจให้ชัดไปเจนอาจยิ่งทำให้ซาลพาตัวเองเข้าไปสู่อันตรายได้ จึงตัดสินใจพูดในเรื่องที่อาจฟังดูใจร้ายกับเขานิดหน่อย
——————————————————————————————————–
Part 2
“คุณซาลารัส… ดูถูกพวกเราอยู่รึเปล่าคะ?”
“เอ๋? มะ.. ไม่นะ… ทำไมล่ะ?”
“ถ้างั้นก็คงกำลังดูถูกโลกใบนี้อยู่ ซึ่งก็ไม่ต่างกับการดูถูกพวกเราหรอกนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ! ผมไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้นซะหน่อย”
ซาลมีท่าทีสับสนระคนตื่นตระหนกออกมา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้พูดอะไรที่ทำให้นิโคลไม่สบายใจไปซะแล้ว จึงเริ่มรู้สึกผิด
นิโคลที่เห็นท่าทีแบบนั้นจึงลูบหัวของเขาเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนจะอธิบายให้เขาเข้าใจ
“ความจริงแล้ว คุณไม่ใช่คนที่สมควรจะมาอยู่ที่นี่ หรือต้องมาเจอเรื่องเหล่านี้เลย… แต่ควรจะอยู่ที่อื่น และใช้เวลาช่วงนี้ของชีวิตในการทำอย่างอื่นที่สมกับวัยมากกว่า… คนที่ลากคุณเข้ามาพัวพันกับวังวนนี้คือพวกผู้ใหญ่อย่างเราต่างหาก”
“เรื่องเหตุผลน่ะไม่สำคัญหรอกน่า เพราะผมก็อยู่ที่นี่แล้ว ผมอยากจะเป็นกำลังให้กับทุกคน ร่วมสู้ไปกับทุกคนมากกว่า…”
“เพราะแบบนั้นถึงบอกว่านั่นเป็นการดูถูกไงล่ะคะ คิดว่าพวกเราอ่อนแอจนต้องให้เด็กสิบขวบมาปกป้องงั้นเหรอคะ?”
“มะ.. ไม่ใช่นะ แต่ผมน่ะ… ผมอยากจะทำอะไรได้มากกว่ายืนดูเฉย ๆ นี่นา…”
“ทุกคนย่อมมีช่วงเวลาของตัวเองนะคะ คิดว่าอย่างฉัน, คุณแซนโดร, หรือคุณลานาเทล ตอนสิบขวบสามารถทำอะไรได้เหรอคะ? ทุกคนก็ต้องเริ่มจากจุดล่างสุดแล้วค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมากันทั้งนั้น การคิดว่าจะสามารถเทียบชั้นกับพวกเราได้ตั้งแต่สิบขวบก็ไม่ต่างจากการดูถูกนั่นแหละค่ะ ถ้าเป็นคุณซาลารัสเอง จะยอมให้เด็กห้าขวบมาปกป้องรึเปล่าคะ?”
ซาลรู้สึกอยากจะโต้แย้งคำพูดนั้น แต่ก็นึกคำพูดมาตอบโต้ไม่ออกจริง ๆ จึงได้แต่นิ่งเงียบไป
“ถ้านับแค่ช่วงอายุอย่างเดียวละก็ ถือว่าคุณซาลารัสทำได้เกินอายุตัวเองมากแล้วนะคะ แม้จะยังไม่ถึงระดับที่เข้าร่วมการต่อสู้ของพวกเราได้ แต่ในอนาคตคุณซาลารัสต้องเป็นกำลังสำคัญให้กับพวกเราได้แน่ ๆ ค่ะ ดังนั้นอดทนรอแล้วค่อย ๆ ฝึกฝนไปดีกว่านะคะ”
“แต่ผม… ไม่อยากรอนี่นา”
ซาลพองแก้มนิด ๆ แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็เป็นการสื่อว่าเขาพอจะเข้าใจเหตุผลแล้ว นิโคลจึงยิ้มละไมให้กับเขาอีกครั้ง เพราะท่าทางเอาแต่ใจที่สมเป็นเด็กนี้คือการแสดงออกของซาลที่นิโคลชอบดูที่สุดเลย
“ใจร้อนจริง ๆ เลยน้า~ แต่อย่างที่บอกแหละค่ะ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีช่วงเวลาของตัวเอง ถึงตอนนี้คุณซาลารัสอาจรู้สึกเหมือนยังช่วยอะไรพวกเราไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าวันที่พวกเราทุกคนต้องพึ่งพาคุณซาลารัสจะต้องมาถึงแน่นอนค่ะ ดังนั้นต้องพยายามอดทนและรักษาตัวเอาไว้ให้ถึงวันนั้นนะคะ”
ซาลขมวดคิ้วแล้วพองแก้มมากขึ้นอีกเพราะไม่อยากจะรับปาก แต่ท่าทางอันน่ารักน่าชังนั้นก็ทำให้นิโคลรู้สึกเอ็นดูจนต่อว่าไม่ลง
“หุหุหุ ก็ไม่ได้บอกว่าให้รอเวลาอยู่เฉย ๆ หรอกนะคะ แค่จะบอกว่าอย่าฝืนตัวเองเกินไปเท่านั้นเอง ทั้งตอนต่อสู้ก็ควรนึกถึงความปลอดภัยเอาไว้ก่อน ส่วนเวลาฝึกฝนก็ไม่ควรเครียดจนเกินไป เพราะพรสวรรค์ของคุณซาลารัสน่ะคือสติปัญญา ถ้ามัวเครียดจนเกินไปอาจทำให้คิดอะไรไม่ออกนะคะ”
ซาลคิดว่าคำพูดของนิโคลก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เขารีบร้อนเกินไปจนคิดอะไรไม่ออก พอคิดไม่ออกก็ยิ่งพยายามคิดจนตีบตันเข้าไปอีก กลายเป็นวงจรที่ทำให้ความเครียดสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ผม… เข้าใจแล้วล่ะ ต่อจากนี้จะพยายามรีบร้อนให้น้อยลงก็แล้วกันนะ”
“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้วค่ะ”
เมื่อคุยกันจบ ซาลก็ตั้งหน้าตรวจสอบดันเจียนและเหล่าสมุนต่อไป แต่สีหน้าของเขาไม่ได้ดูเคร่งเครียดเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้นิโคลรู้สึกเบาใจลง
แต่การที่ได้เห็นซาลอยู่ในภาวะเคร่งเครียดอย่างก่อนหน้านี้ก็ทำให้นิโคลอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
เธอคิดว่าเด็กอย่างซาลไม่ควรจะต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้จริง ๆ แต่ควรจะได้ใช้ชีวิตอันสงบสุขเหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไปมากกว่า
นิโคลมองดูซาลแล้วก็ครุ่นคิดว่ามีทางไหนที่พอจะทำให้เขากลับไปใช้ชีวิตอย่างเด็กธรรมดา ๆ ได้บ้าง
สำหรับเธอแล้ว แม้จะอยากช่วยคาน่อน ผู้สร้างหายนะคนที่สามให้หลุดพ้นจากการถูกจองจำ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดที่คิดจะแลกด้วยความสุขของซาล ดังนั้นเหตุผลที่เธอติดตามทุกคนมานี้โดยหลักแล้วก็เพื่อทำความปรารถนาของเขาให้เป็นความจริงเท่านั้น
ความปรารถนาของซาลก็คือการนำครอบครัวกลับมาอยู่ร่วมกัน แม้จะหนทางที่ยากลำบากและไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ แต่นิโคลก็ยังคิดว่าอาจมีวิธีอื่น ๆ ที่ทำให้บรรลุเป้าหมายโดยที่ซาลไม่ต้องไปเสี่ยงกับการเป็นผู้สร้างหายนะ
ยิ่งได้เห็นพรสวรรค์และสติปัญญาของเขาแล้ว นิโคลก็ยิ่งอยากให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตปกติ เพราะเชื่อว่าซาลจะต้องประสบความสำเร็จและกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงได้แน่ ๆ จึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องหาทางอื่นในการช่วยพ่อและแม่ของเขาให้ได้ เพื่อให้เขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง
นิโคลเฝ้าดูซาล พลางครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจเงียบ ๆ ในขณะที่เวลาล่วงเลยไป
——————————————————————————————————–
Part 3
ช่วงบ่ายวันนั้น ซาลเปลี่ยนสถานที่มายังเชิงเขาด้านหน้ามาลาไคท์คีปแทน เพื่อใช้เหล่าสมุนของแซนโดรในการทดสอบเรื่องต่าง ๆ ส่วนนิโคลก็พาอัลดูอินกับวาเคียออกไปเดินเล่นด้านนอกเรล์มตามปกติ
เพราะการได้พูดคุยกับนิโคล ทำให้เขารู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งขึ้นมาก จึงค่อย ๆ เรียบเรียงและทบทวนเรื่องต่าง ๆ เพื่อหาทางพัฒนาตัวเองอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแทน
ซาลเคยแอบมาใช้สมุนของแซนโดรในการฝึกฝีมือบ้างแล้ว ครั้งหนึ่งเคยแอบมาสู้กับเดรดไนท์ซึ่งเป็นสมุนระดับหกด้วย ซึ่งด้วยเวทพันธนาการมากมายที่มีก็สามารถทำให้สกัดเดรดไนท์ไม่ให้เข้าถึงตัวและโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างสบาย
แต่เพราะพลังยังต่างกันมากทำให้เขาใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง แถมยังต้องกินมานาโพชั่นเติมพลังเวทไปหลายเม็ด กว่าจะโค่นเดรดไนท์ลงได้ เป็นการต่อสู้ที่เหนื่อยสุด ๆ ทีเดียว
ต่อให้รวบรวมพลังเวททั้งหมดยิงออกไปในทีเดียว เขาก็สามารถทำความเสียหายให้กับเดรดไนท์ได้แค่ราว ๆ 20% ของพลังชีวิตเท่านั้น แต่การใช้พลังเวททั้งหมดยิงไปในทีเดียวก็จะเสียความสามารถในการป้องกันตัวเพราะไม่มีพลังเวทไว้ใช้สกัดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ มันจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“ยังไงปัญหาคงอยู่ที่พลังโจมตีนี่แหละนะ…”
เพราะความสามารถในการเคลื่อนไหวร่วมกับเวทพันธนาการทำให้สามารถทิ้งระยะและเอาตัวรอดจากการโจมตีได้สบาย ปัญหาของซาลจึงเหลือแค่ทำอย่างไรให้โค่นเป้าหมายลงได้เท่านั้น ซึ่งด้วยพลังเวทของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับมอนสเตอร์ระดับห้าในครั้งเดียวได้ด้วยซ้ำ
ที่สำคัญคือเขาไม่ได้มองแค่จะจัดการกับสมุนระดับหกหรือเจ็ดเท่านั้น แต่ต้องการการโจมตีที่สร้างการบาดเจ็บหรือโค่นมอนสเตอร์ระดับ S ได้เลยทีเดียว เหล่าสมุนระดับเจ็ดที่เขามีจึงยังไม่ใช่คำตอบในสิ่งที่เขาค้นหา
“ขอโทษทีนะนิโคล… แต่ยังไงผมก็อดตั้งเป้าหมายสูง ๆ ไว้ก่อนไม่ได้อยู่ดี…”
แม้จะตั้งเป้าเอาไว้สูงตามความเคยชิน แต่ซาลก็ไม่ได้ซีเรียสหรือรีบเร่งในการทำให้มันเป็นจริง เพราะเข้าใจในสิ่งที่นิโคลพูดแล้ว จึงค่อย ๆ คิดไปทีละขั้นทีละตอนเท่านั้น
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ลานาเทลกับอัลติม่าก็กลับมาจากการเที่ยวในเมืองและผ่านทางมาพอดี
“โอ้ อัลติม่า กลับมาก็ดีแล้วล่ะ”
อัลติม่าที่เห็นซาลทักก่อนก็มีท่าทางตื่นเต้นนิด ๆ แล้วกระซิบกระซาบกับลานาเทลแบบพยายามเก็บอาการ
“นะ.. นี่มัน!? รึว่าซาลารัสมารอรับฉันงั้นเหรอ!? นี่เป็นสัญญาณใช่มั้ยเนี่ย!? เป็นสัญญาณสินะ!?”
“ใจเย็น ๆ ก่อนสิคะคุณอัลติม่า รอฟังดี ๆ ก่อน แล้วก็เลิกกระพือปีกกับแกว่งหางด้วยค่ะ เก็บอาการไม่อยู่แล้วนะคะ”
อัลติม่าที่ดีใจเกินไปหน่อยจนเผลอเผยปีกและหางของปิศาจออกมา พอถูกลานาเทลทักก็เลยต้องรีบเก็บปีกกับหางแล้ววางมาดเยือกเย็นก่อนจะถามซาลารัสกลับไป
“อะแฮ่ม.. แล้ว… นายมีธุระอะไรงั้นเหรอ?”
“อื้ม อยากจะขอยืมสมุนเป็นเป้าซ้อมหน่อยน่ะ ได้รึเปล่า? ขอคนที่อึดที่สุดและฟื้นตัวเร็วสุดด้วยนะ”
“หืม? เรื่องนั้นเองเหรอ…”
อัลติม่าแสดงสีหน้าผิดหวังปนหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะมองย้อนไปทางลานาเทล ซึ่งลานาเทลก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับมา
“สมุนที่อึดที่สุดก็คงเป็นเบไลอัสล่ะมั้ง เอ้า”
อัลติม่าเปิดประตูมิติสีแดงขึ้นบนห้วงอากาศใกล้ ๆ ทันใดนั้นก็มีอสูรร่างกายกำยำที่มีหัวเหมือนแกะเดินออกมาจากประตูมิติ ก่อนมันจะเอ่ยถามอัลติม่าด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำและก้องกังวาน
“ท่านอัลติม่า มีอะไรให้รับใช้รึ?”
“เอ้อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ช่วยเป็นกระสอบทรายให้เจ้าหมอนี่ทีนะ”
เบไลอัสหันมองไปยังซาล เมื่อเห็นเขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งก็หรี่ตามองพลางพ่นลมหายใจออกมานิดหนึ่ง เหมือนแสดงอาการดูถูก
“กล้าดียังไงถึงใช้สายตาแบบนั้นห๊า!?”
อัลติม่าที่เห็นเบไลอัสจ้องมองซาลด้วยสายตาดูถูกก็เกิดอาการหงุดหงิดจึงกระโดดเตะเข้าที่ปลายคางของเบไลอัสจนมันหงายท้องล้มตึงไป
ลานาเทลแอบอมยิ้มเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ในขณะที่ซาลไม่เข้าใจในสถานการณ์โดยสิ้นเชิง
“ทะ.. ทำอะไรน่ะ?”
“อ๊ะ.. เนี่ยเหรอ? ก็… ทดสอบความทนทานไง! ฉันทดสอบความทนทานให้ดูว่านี่เป็นสมุนที่แข็งแกร่งที่สุดของฉันจริง ๆ นะ! เฮ้! นายเองก็ลุกขึ้นมาซะทีเซ่!”
อัลติม่าใช้เท้าเตะเขี่ยเบไลอัสให้รีบ ๆ ลุกขึ้นมา เบไลอัสจึงรีบลุกกลับขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง
“นี่ อัลติม่า บอกแล้วไงว่าให้ปฏิบัติกับสมุนดี ๆ หน่อยน่ะ ทำแบบนี้ผมไม่ชอบเลยนะ”
“หา!? วะ.. ว่าไงนะ!?”
พอได้ยินซาลบอกว่าไม่ชอบ อัลติม่าก็รู้สึกช็อคจนคอตก ก่อนที่จะหันไปมองเบไลอัสด้วยสายตาพยาบาทเหมือนจะบอกว่า ‘เป็นเพราะแกแท้ๆ’ ทำให้เบไลอัสแสดงอาการงุนงงออกมายิ่งกว่าเดิม แถมยังมีเหงื่อหยดลงมาตามหน้าผากด้วย
“เอาเถอะ รีบ ๆ มาเริ่มกันดีกว่า… ชื่อเบไลอัสสินะ? ขอรบกวนหน่อยนะ”
เบไลอัสไม่ได้ตอบอะไรและยืนยืดอกเพื่อเตรียมรับการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม ส่วนซาลก็เริ่มเตรียมการโจมตีด้วยการอัญเชิญวาลไครี่ระดับเจ็ดออกมา
“ท่าโจมตีที่แรงที่สุดของวาลไครี่ระดับเจ็ดคือ ‘เฮเว่นไดฟ์’ (Heaven Dive) สินะ.. เอ้า ลงมือได้!”
เมื่อสิ้นคำประกาศ วาลไครี่ของเขาก็กระโจนขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะทิ้งตัวพุ่งลงมาแทงใส่เบไลอัสด้วยออร่าแสงสีขาวบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มตั้งแต่ปลายหอกไปจนถึงร่างกาย จนดูคล้ายกับลูกศรแสงสีขาวที่กำลังพุ่งลงมาจากฟากฟ้า
การโจมตีโดนเบไลอัสเข้าที่ไหล่ซ้าย แรงปะทะทำให้พื้นที่เบไลอัสยืนเหยียบอยู่เกิดการยุบตัวและแตกออกจนข้อเท้าของเขาจมลงไปเล็กน้อย เมื่อโจมตีเสร็จ วาลไครี่ของซาลารัสก็ดีดตัวกลับออกมา แต่เบไลอัสยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แม้แต่หัวไหล่ที่ถูกโจมตีก็มีรอยขีดข่วนเกิดขึ้นเพียงรอยเล็ก ๆ เท่านั้น ก่อนที่มันจะจางหายไปในเวลาไม่กี่วินาที
“อืม… นี่คือความต่างของพลังถึงหกขั้นสินะ”
“การแบ่งลำดับขั้นนั่นน่ะมันใช้อ้างอิงอะไรมากไม่ได้หรอก มอนสเตอร์แต่ละชนิดแต่ละประเภทก็มีขอบเขตระดับพลังแตกต่างกันออกไปอีก สำหรับเบไลอัสที่เป็นเผ่าปิศาจน่ะมีคุณสมบัติพื้นฐานสูงกว่าพวกมอนสเตอร์เผ่าอื่น ๆ เยอะอยู่นะ”
อัลติม่าที่นั่งอยู่บนโขดหินใกล้ ๆ กล่าวอธิบายให้ฟัง ซาลจึงพยักหน้ารับในเชิงเข้าใจ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอัญเชิญสมุนตัวต่อไปออกมา
สมุนตัวนั้นก็คือร่างเสมือนของแซนโดรนั่นเอง