Doombringer the 5th - ตอนที่ 51
Ch.51 – การอัญเชิญหนึ่งกระบวนท่า
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 51
การอัญเชิญหนึ่งกระบวนท่า
Part 1
ที่ด้านบนของเชิงเขาซึ่งอยู่หน้ามาลาไคท์คีป
ซาลกำลังทดสอบพลังโจมตีของร่างอัญเชิญ ด้วยการอัญเชิญร่างเสมือนของแซนโดรซึ่งมีพลัง 1% ออกมาโจมตีใส่เบไลอัส สมุนของอัลติม่า โดยมีอัลติม่ากับลานาเทลคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ ด้วย
“ท่าโจมตีที่แรงที่สุดของแซนโดรก็น่าจะเป็น ‘เดธเซนเทนซ์’ (Death Sentence) สินะ… เอ้า ยิงเลย!”
แม้จะได้รับคำสั่งจากซาล แต่ร่างเสมือนของแซนโดรก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ มันเพียงแต่ปรายตามองมายังเขาด้วยสายตาที่แสดงความรำคาญเท่านั้น
“เอ่อ… คุณแซนโดรครับ ขอรบกวนด้วยครับ…”
แม้จะเปลี่ยนมาใช้คำสุภาพขึ้น ร่างเสมือนของแซนโดรก็ยังคงทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายโดยไม่ตอบสนองต่อคำสั่ง ซาลต้องเปลี่ยนมาก้มหัวเพื่อขอร้องแทน
“ท่านแซนโดรคร้าบ! กรุณาใช้ ‘เดธเซนเทนซ์’ ด้วยเถอะคร้าบ!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมทำถึงขนาดนั้น ร่างเสมือนของแซนโดรก็เลยยอมร่ายเวทด้วยการโบกมือแบบขอไปทีเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ พลันลำแสงสีเขียวขนาดใหญ่ก็พุ่งจากฟากฟ้าลงมาอาบร่างของเบไลอัสทันที
“ใช้งานยากดีเหมือนกันนะคะเนี่ย ร่างเสมือนเนี่ย”
“เฉพาะพวกที่ร่างต้นนิสัยเสียเท่านั้นแหละ”
ระหว่างที่ลานาเทลกับอัลติม่ากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แสงสีเขียวอีกอันก็พุ่งลงมาอาบร่างของอัลติม่าทันที ด้วยฝีมือร่างเสมือนของแซนโดรนั่นเอง
“อ๊ากกก มันร้อนนะ ยัยบ้านี่!”
อัลติม่าที่โกรธเกรี้ยวเหวี่ยงปีกเข้าแทงร่างเสมือนของแซนโดรซึ่งยังคงจ้องมายังเธอด้วยแววตาอันเฉยชา แต่ก่อนที่ปลายปีกจะแทงโดน ร่างเสมือนของแซนโดรก็หายไปจากตรงนั้นซะก่อน
คนที่พาร่างเสมือนของแซนโดรหลบออกไปก็คือลานาเทลนั่นเอง ซึ่งหลังจากพาหลบออกไปแล้วเธอก็ยังคงกอดร่างเสมือนของแซนโดรเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“อย่าทำลายทรัพย์สินของคนอื่นตามใจชอบสิคะคุณอัลติม่า โดยเฉพาะคนเนี้ยน่ะ จริงสิคุณซาลารัสคะ ถ้าทดสอบเสร็จแล้วละก็ ดิฉันขอยืม… อ๊อย!”
พูดไม่ทันจบ ลำแสงสีเขียวอีกเส้นหนึ่งก็พุ่งลงมาใส่ลานาเทลที่กอดร่างเสมือนของแซนโดรเอาไว้ ทำให้ร่างเสมือนนั้นสลายไป เหลือเพียงลานาเทลที่มีไอความร้อนกรุ่น ๆ ตามตัวยืนอยู่เพียงลำพัง
“รู้สึกเหมือนเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยนะคะเนี่ย…”
ซาลไม่ได้สนใจเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากการโจมตีครั้งแรกสักเท่าไหร่ เพราะกำลังใช้เวท ‘อนาไลซ์’ (Analyze) ตรวจสอบและประเมินความเสียหายที่ร่างอัญเชิญทำได้อยู่
เขาพบว่าพลังโจมตีของ ‘เดธเซนเทนซ์’ จากร่างเสมือนของแซนโดร สร้างความเสียหายได้มากกว่า ‘เฮเว่นไดฟ์’ ของวาลไครี่ระดับเจ็ดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เบไลอัสจึงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่พื้นดินที่โดน ‘เดธเซนเทนซ์’ เข้าไปก็ยังเกิดรอยไหม้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ยุบจนเป็นหลุมลึกเหมือนกับที่เขาเคยเห็น
“ถึงจะมีพลังแค่ 1% ของตัวจริง แต่พลังโจมตีก็ยังแรงเทียบเท่าท่าไม้ตายของสมุนระดับเจ็ดเลยรึเนี่ย… แต่ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดีน่ะนะ”
สำหรับซาลในตอนนี้ การจะอัญเชิญร่างเสมือนของแซนโดรที่มีพลัง 1% ออกมา จำเป็นต้องใช้พลังเวทของเขาถึง 95% เรียกว่าเกือบทั้งหมดทีเดียว การจะปรับระดับพลังของร่างเสมือนให้สูงขึ้นจึงเป็นไปได้ยาก
“จะว่าไปแล้ว… เวลาสู้กันจริง ๆ ก็ตัดสินที่การโจมตีไม่กี่ครั้งรึเปล่านะ… ถ้าอัญเชิญร่างเสมือนที่โจมตีด้วยพลังเต็มที่ได้สักครั้งละก็…”
ซาลฉุกคิดถึงเรื่องเวลาในการคงอยู่ของร่างเสมือนขึ้นมาได้ เพราะปกติจะอัญเชิญออกมาด้วยเจตนาที่จะใช้ในการต่อสู้อย่างยาวนาน พวกสมุนที่เขามีจึงถูกอัญเชิญออกมาแบบร่างอัญเชิญถาวรซึ่งไม่จำกัดเวลา ส่วนร่างเสมือนของแซนโดรและคนอื่น ๆ นั้นกินพลังเวทเยอะจนไม่สามารถสร้างเป็นร่างอัญเชิญถาวรได้ เลยต้องลดเวลาลงมาเหลือเพียงห้านาที
แต่ถ้าหากคิดจะใช้ร่างเสมือนเพื่อโจมตีแค่ครั้งเดียว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอัญเชิญออกมานานถึงห้านาทีเลย หากปรับลดเวลาในการคงอยู่ของร่างเสมือนลงก็น่าจะทำให้ใช้พลังเวทน้อยลงไปตามสัดส่วน และสามารถนำพลังเวทส่วนนั้นไปใช้เพิ่มระดับพลังของร่างเสมือนได้
“แบบนี้ อาจจะใช้ได้นะเนี่ย…”
เมื่อได้ไอเดียในการปรับรูปแบบการอัญเชิญแล้ว ซาลจึงกางวงเวทอัญเชิญออกมาอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของวงเวทให้ทำงานในแบบที่เขาต้องการ
——————————————————————————————————–
Part 2
หลังจากปรับแต่งโครงสร้างของวงเวทอยู่พักหนึ่ง ซาลก็ลองทดสอบการอัญเชิญแบบเต็มพลังดู
“เอาล่ะ… ออกมาเลย! แซนโดรร่าง 100%!!”
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเสมือนของแซนโดรขึ้นมาอีกครั้ง แม้ภายนอกจะไม่ต่างจากเดิมมาก แต่กระแสเวทมนตร์โดยรอบที่บิดเบี้ยวไปเพราะการปรากฏตัวของตัวตนที่มีแรงกดดันเวทมนตร์อันเข้มข้นก็ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความต่างของพลัง
“ดีล่ะ ทีนี้ก็…”
ยังพูดไม่ทันจบ ร่างเสมือนของแซนโดรก็สลายหายไปโดยที่ซาลยังไม่ทันได้สั่งอะไรสักคำ
“อะ.. อ้าว? หายไปแล้ว… นี่มัน… อยู่ได้แค่ไม่กี่วินาทีเองเหรอเนี่ย!?
ซาลรู้สึกผิดหวังในทันทีเพราะเวลาที่ร่างเสมือนคงสภาพอยู่ได้นั้นสั้นกว่าที่คิด แต่พอมาทบทวนดูดี ๆ การที่สามารถอัญเชิญร่างที่มีพลัง 100% ออกมาได้ก็นับเป็นความสำเร็จอยู่เหมือนกัน
เพราะครั้งแรกมัวพูดยืดเยื้อเกินไปทำให้สั่งการไม่ทัน ซาลจึงคิดที่จะลองดูอีกครั้งโดยพยายามสั่งการให้เร็วกว่าเดิม เขาหยิบมานาโพชั่นแบบเม็ดขึ้นมากินเพื่อเติมพลังเวทให้เต็มและเตรียมที่จะทำการอัญเชิญอีกครั้ง แต่ลานาเทลก็ทักขึ้นมาซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณซาลารัส จะใช้ร่างเสมือนนั่นยิง ‘เดธเซนเทนซ์’ ใส่สมุนของอัลติม่าเหรอคะ?”
“หืม? ก็ใช่น่ะสิ”
“แต่ถ้าร่างนั้นมีพลังเทียบเท่าตัวจริงละก็ สมุนของคุณอัลติม่าอาจกลายเป็นผงได้เลยนะคะ ท่านั้นน่ะแรงเอาเรื่องอยู่นะ”
ลานาเทลพูดจากประสบการณ์ตรงที่เคยโดนมากับตัว ทำให้ซาลเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ แต่อัลติม่ากลับแย้งขึ้นมา
“เฮ้ ไม่มีปัญหาหรอกน่า นี่น่ะเป็นสมุนที่แกร่งที่สุดของท่านอัลติม่าผู้นี้เชียวนะ แค่โดนท่าไฟฉายนั่นสักทีสองทีก็ไม่ทำให้ตายหรอก เนอะ? เบไลอัส?”
อัลติม่าพูดด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก่อนจะหันไปถามเบไลอัส แต่กลับพบว่าเบไลอัสกำลังยืนเหงื่อแตกอยู่ ด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
แม้ปกติใบหน้าที่เหมือนแกะของเบไลอัสจะดูดุดันและน่าเกรงขามราวกับรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ แต่ตอนนี้ความมืดหม่นและตึงเครียดกำลังปกคลุมใบหน้านั้นจนทุกคนสังเกตได้
“เฮ้ย เจ้าบ้านี่! จะเหงื่อแตกทำไมกันห๊า!? แสดงความมั่นใจให้มากกว่านี้หน่อยเซ่!”
อัลติม่าเตะไปที่ขาของเบไลอัสเพื่อกระตุ้นให้มีใจสู้ แต่กลับทำให้ร่างกายอันใหญ่โตกำยำนั้นเกิดอาการสั่นขึ้นมาแทน ดูเหมือนเบไลอัสก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดจากการโจมตีนี้เช่นกัน เพราะเขาสัมผัสแรงกดดันเวทมนตร์จากร่างนั้นได้ และรู้ว่าหากถูกผู้ที่มีพลังระดับนั้นโจมตีด้วยพลังเต็มที่เข้าละก็ถึงไม่ตายก็คงคางเหลือง แต่เบไลอัสก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของอัลติม่า จึงได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกเพื่อรับการทดสอบ
“เอาเถอะ ความจริงที่ใช้เบไลอัสเป็นเป้าซ้อมในทีแรกก็เพื่อจะวัดพลังโจมตีของร่างอัญเชิญพลัง 1% น่ะนะ แต่ตอนนี้ในเมื่ออัญเชิญร่าง 100% ได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องวัดพลังโจมตีแล้วล่ะ เดี๋ยวผมจะลองสั่งให้โจมตีพวกสมุนแถว ๆ นี้เอาก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินซาลพูดเช่นนั้น เบไลอัสก็แอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ส่วนอัลติม่าก็ขบฟันและมองไปสมุนของตนด้วยแววตาหงุดหงิดเพราะรู้สึกเสียหน้า ซึ่งเบไลอัสก็ได้แต่หลบสายตาด้วยท่าทางสำนึกผิด
“เอาล่ะ อีกทีละกัน!”
ซาลอัญเชิญร่างเสมือนของแซนโดรออกมาอีกครั้ง และทันทีที่การอัญเชิญเสร็จสมบูรณ์ เขาก็รีบออกคำสั่งทันที
“แซนโดร! ใช้ ‘เดธเซนเทนซ์’ เลย!”
ซาลชี้เป้าหมายไปยังเดรดไนท์ที่เดินแยกกลุ่มอยู่บริเวณที่ราบใต้เชิงเขา แต่ร่างเสมือนของแซนโดรก็ไม่ได้ตอบสนองใด ๆ มีเพียงการชายตามองมายังผู้ออกคำสั่งด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนที่จะสลายร่างไป
“บะ.. บ้าจริง… ถ้าไม่ก้มหัวขอร้องก็ไม่ยอมทำจริง ๆ รึเนี่ย…”
ซาลหยิบมานาโพชั่นขึ้นมากินอีกครั้งเพื่อเติมพลังเวทให้เต็ม ก่อนจะอัญเชิญร่างเสมือนออกมาใหม่ และรีบโค้งคำนับเพื่อสั่งให้ร่างเสมือนโจมตี
“ท่านแซนโดร! กรุณาใช้ ‘เดธเซนเทนซ์’ ยิงไปตรงโน้นทีครับ!”
เขาพยายามพูดอย่างรวดเร็วและกระชับที่สุดเพื่อให้ประหยัดเวลา ซึ่งร่างเสมือนของแซนโดรก็ดูจะตอบสนองต่อคำสั่งนั้นและยกมือขึ้นเพื่อเตรียมจะยิง ‘เดธเซนเทนซ์’ แต่ไม่ทันจะร่ายเวทเสร็จ ร่างนั้นก็สลายไปซะก่อนเพราะหมดเวลา
“บ้าจริง! ถึงไงก็ยังช้าไปอยู่ดี! แล้วถ้าต้องก้มหัวขอร้องทุกครั้งมันจะไปใช้ในการต่อสู้จริงได้ยังไงกันเนี่ย!?”
ซาลรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากเพราะขั้นตอนการสั่งมันช้าเกินไปจนไม่ทันเวลา ที่สำคัญคือถ้าต้องให้ก้มหัวขอร้องทุกครั้งเพื่อโจมตีก็คงเป็นท่าที่นำไปใช้ในการต่อสู้จริงไม่ได้อยู่ดี
“ที่เป็นแบบนี้ อาจเพราะเป็นแค่การซ้อมละมั้งคะ ถ้าเป็นการต่อสู้จริง ๆ ร่างเสมือนของคุณแซนโดรอาจไม่เล่นตัวขนาดที่ต้องก้มหัวขอร้องก็ได้”
“อืม ปกติร่างอัญเชิญจะถูกอัญเชิญออกมาโดยรับรู้สถานการณ์โดยรอบในระดับหนึ่งน่ะนะ เป็นการส่งถ่ายความคิดจากผู้อัญเชิญนั่นแหละ เพื่อให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ร่างเสมือนของยัยแซนโดก็แค่รู้ว่าเป็นการซ้อม เลยเล่นตัวเท่านั้นเอง”
ลานาเทลแสดงความเห็นออกมา โดยที่อัลติม่าก็ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วย ทำให้ซาลารัสคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อืม… แบบนั้นเองเหรอ…”
เมื่อเข้าใจเหตุผลแล้ว ซาลจึงเดินลงไปยังเชิงเขาด้านล่าง เขาเดินผ่านทั้งพวกสเกลตันและเดรดไนท์ไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะสมุนเหล่านี้จะตอบสนองต่อการโจมตีเท่านั้น หากไม่ไปโจมตีก่อน พวกมันก็จะไม่ทำอะไรใครเช่นกัน
ซาลเดินมาหยุดอยู่หน้ากองกระดูกขนาดใหญ่กองหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มรวบรวมพลังเวท
“เฮ้ เดี๋ยวสิ เจ้าหมอนั่นจะทำอะไรน่ะ?”
กว่าที่อัลติม่ากับลานาเทลจะเอะใจ ซาลก็ยิงเวทใส่กองกระดูกนั่นซะแล้ว ทันใดนั้นกองกระดูกก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นโกเล็มขนาดใหญ่ที่มีความสูงนับสิบเมตรอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนรู้สึกตกใจมากจึงรีบพุ่งตัวลงไปเพื่อช่วยซาลออกมา แต่ระยะห่างระหว่างพวกเธอกับจุดที่เขาอยู่ก็ยังไกลเกินไปอยู่ดี
ในเวลาเดียวกันนั้นซาลก็อัญเชิญร่างเสมือนของแซนโดรออกมาแล้วสั่งการทันที
“เดธเซนเทนซ์!”
ร่างเสมือนของแซนโดรมีสีหน้าตื่นตระหนกนิดหน่อยแต่เมื่อสัมผัสถึงภัยคุกคามได้ก็ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายโดยไม่รีรอ
ทว่า ‘เดธเซนเทนซ์’ เป็นเวทที่ต้องอาศัยการรวบรวมพลังครู่หนึ่งจึงจะยิงลงมาได้ ก่อนที่จะรวบรวมพลังเสร็จ โบนโกเล็มก็ทุบกำปั้นเข้าใส่เด็กน้อยที่ยืนอยู่ในระยะแขนของมันจนพื้นดินสั่นสะเทือนและเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
“คุณซาลารัส!!”
“ซาลารัส!!”
ทั้งลานาเทลและอัลติม่าต่างก็ตะโกนเรียกชื่อของซาลด้วยความตกใจเพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ในตอนนั้นเองลำแสงสีเขียวขนาดใหญ่ก็แผ่พุ่งลงมาอาบร่างของโบนโกเล็มจนแหลกสลายเป็นผุยผง
——————————————————————————————————–
Part 3
ลานาเทลกับอัลติม่าลงมาหยุดอยู่บริเวณใกล้ ๆ กับจุดที่ซาลเคยยืนอยู่ก่อนจะโดนโบนโกเลมทุบเข้าใส่
แขนข้างที่ใช้ทุบยังเหลืออยู่บางส่วนเพราะมันไม่ได้อยู่ในลำแสงที่พุ่งลงมา แต่เมื่อร่างกายสลายไปแล้วส่วนแขนที่เหลืออยู่ก็ค่อย ๆ สลายไปอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นพื้นอันว่างเปล่าใต้กำปั้นที่มันทุบลงไป
“ไม่ต้องห่วง ผมปลอดภัยดี”
เสียงของซาลดังมาจากด้านหลังของลานาเทลกับอัลติม่า เมื่อพวกเธอหันกลับไปมองก็พบซาลที่ค่อย ๆ ปรากฏกายขึ้นเพราะเพิ่งจะคลายเวทพรางตัวไปทีละส่วน
“เอ๋? เมื่อกี้นี้มัน?”
“นั่นเป็นร่างลวงตาที่สร้างขึ้นจากปรากฏการณ์มิราจ น่ะ ขอเรียกว่าเวทมิราจละกันนะ ตัวผมเองไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ขนาดนั้นหรอก แค่สร้างร่างลวงตาเพื่อดึงดูดความสนใจให้มันอยู่กับที่ไว้ เพราะคิดว่าถ้ามันเคลื่อนตัวออกมาอาจทำให้ออกมานอกจุดยิงของ ‘เดธเซนเทนซ์’ ได้ ระหว่างนั้นก็ใช้เวทมิราจพรางกายแล้ววิ่งย้อนกลับไปหาลานาเทลกับอัลติม่าด้วยเผื่อมีอะไรผิดพลาด ก็เลยสวนกันไงล่ะ”
เพราะว่าอยู่ค่อนข้างไกลทำให้อัลติม่ากับลานาเทลมองร่างลวงตาไม่ออก แถมระหว่างที่พุ่งเข้ามาก็มัวแต่ตกใจรวมถึงเป็นห่วงซาลจนไม่ได้มองรอบข้างอีก ทั้งสองคนเลยไม่ทันสังเกตลูกเล่นของเขาในครั้งนี้
“เจ้าบ้าเอ๊ย! อย่าทำให้ตกใจได้มั้ยเนี่ย!?”
“หุ… ฮุฮุฮุฮุ~”
อัลติม่ามีท่าทีหงุดหงิดเพราะถูกทำให้ตกใจ ตรงกันข้ามกับลานาเทลที่ดูเหมือนจะรู้สึกสนุกจนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ส่วนซาลก็หันไปมองร่างเสมือนของแซนโดรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับกล่าวชื่นชม
“พอถึงเวลาจริง ๆ ก็ทำตามคำสั่งได้นี่นา ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้… เอ๋? ทำไมถึงยังไม่หายไปอีกล่ะ?”
เพราะร่างเสมือนของแซนโดรไม่ยอมหายไปทั้งที่เวลาผ่านไปนานแล้ว ซาลจึงเอียงคอเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าแววตาของร่างเสมือนนั้นเต็มไปด้วยโทสะอันพุ่งพล่าน แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ ร่างเสมือนนั้นก็เอามือคว้าเข้าที่ขมับของเขาแล้วบีบอย่างแรง
“อ๊าก ๆ ๆ ๆ ”
“…เจ้าเด็กบ้านี่ …ทำอะไรลงไปรู้ตัวมั้ยหา?…”
“นี่มัน… ตัวจริงงั้นเหรอ!? มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!? แล้วรู้ได้ยังไงกันเนี่ย!?”
“…เกิดแรงสั่นทางเวทมนตร์ขนาดนั้นขึ้นในเรล์ม ถ้าไม่รู้ก็บ้าแล้ว …รู้รึเปล่าว่าโบนโกเล็มนั่นมันสร้างยากขนาดไหนน่ะ? …แถมยังเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายแบบโง่ ๆ อีก …ถ้าอยากตายมากละก็ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้เอง!…”
แซนโดรยังคงบีบขมับของซาลต่อไปเรื่อย ๆ จนเขาร้องเสียงหลงและดิ้นอย่างทุรนทุราย
ลานาเทลที่เห็นภาพนั้นก็ต้องพยายามกลั้นขำจนตัวงอ ส่วนอัลติม่าก็ยิ้มมุมปากและมองซาลารัสด้วยสายตาที่เหมือนกับจะสมน้ำหน้าอยู่นิด ๆ
เมื่อลงโทษจนพอใจแล้ว แซนโดรก็ปล่อยมือออกจากขมับของซาลารัส ทำให้เขาทรุดลงไปเอามือกุมหัวอยู่กับพื้นพร้อมครางโอดโอยไปอีกพักหนึ่ง
แซนโดรมองไปยังจุดที่ถูกยิงด้วย ‘เดธเซนเทนซ์’ แล้วพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเขาอีกครั้ง
“…พลังโจมตีใกล้เคียงกับร่างจริงเลยนะ …ทำได้ยังไงกัน?…”
“อูย… ก็ใช้การลดเวลาของร่างอัญเชิญเพื่อไปเสริมระดับพลังของร่างแทนน่ะนะ ถึงจะอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาที แต่ก็น่าจะโจมตีด้วยพลังเต็มที่ได้นี่นา นี่ยังไม่เท่าตัวจริงอีกเหรอ?”
“…แบบนี้นี่เอง …’เดธเซนเทนซ์’ น่ะเป็นท่าที่ต้องรวบรวมพลังงานพักหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยออกมา …ถ้ารวบรวมพลังงานแค่ระยะเวลาสั้น ๆ มันก็จะมีพลังทำลายลดลง …แต่เท่านี้ก็น่าจะราวๆ 70% แล้วล่ะมั้ง…”
“แค่ 70% งั้นเหรอ? แต่ก็โอเคอยู่ล่ะมั้ง”
แซนโดรหันไปดูหลุมลึกที่เกิดจากผลของ ‘เดธเซนเทนซ์’ อีกครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดต่อ
“…ซาลารัส …หากไม่จำเป็นหรือจวนตัวจริง ๆ ห้ามใช้การโจมตีแบบนี้เด็ดขาดเลยนะ…”
“เอ๋? หมายถึง ‘เดธเซนเทนซ์’ นี่น่ะเหรอ?”
“…ฉันหมายถึงการอัญเชิญร่างเสมือนที่มีพลัง 100% ออกมาโจมตีน่ะ …หากไม่คับขันหรือถึงจุดคอขาดบาดตายจริง ๆ ก็อย่าใช้การอัญเชิญแบบนี้เด็ดขาด…”
“อ้าว? ทำไมล่ะ?”
“…ในเวลาต่อสู้กัน โดยปกติแล้วคนทั่วไปจะปล่อยเป้าหมายที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยเอาไว้หลังสุด เพื่อจัดการกับศัตรูที่อันตรายก่อน …ดังนั้นไม่น่าจะมีคนที่มุ่งเน้นการโจมตีมาที่เด็กอย่างเธอเป็นอันดับแรกหรอกนะ
…แต่หากเธอแสดงตัวให้เห็นว่าเป็นภัยคุกคาม พวกเขาก็จะมุ่งเป้ามาที่เธอก่อนแทน …เพราะเป็นตัวอันตรายที่น่าจะกำจัดทิ้งได้ง่ายที่สุดไงล่ะ …ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าเผยเขี้ยวเล็บอันนี้ให้ใครเห็นเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย?…”
“อืม… เข้าใจล่ะ จะพยายามก็แล้วกันนะ”
แซนโดรหรี่ตามองซาลารัสเพราะดูเหมือนจะยังไม่เชื่อใจเท่าไหร่ จึงต้องพูดขู่อีกที
“…ถ้าไม่ทำตามที่รับปากแล้วเอาไปใช้จนเกิดอันตรายเข้าละก็ ฉันจะเพิกถอนพันธสัญญาอัญเชิญซะ …และบอกให้คนอื่น ๆ เพิกถอนพันธสัญญาด้วย …ถ้าตอนนั้นเธอยังไม่ตายน่ะนะ…”
“ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไงเล่า! ไม่ต้องย้ำก็ได้น่า!”
เขาพูดรับปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันดัง แต่ยังออกอาการงอนนิดหน่อย แซนโดรจึงยอมรับคำเอาไว้ ก่อนจะเทเลพอร์ทกลับไปยังมาลาไคท์คีป ลานาเทลก็เลยบินตามกลับเข้าไปด้วย
ซาลยังคงทดสอบอะไรต่ออีกนิดหน่อยโดยมีอัลติม่าเป็นผู้เฝ้าดู ซึ่งการทดสอบของเขายังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเวลาเย็น ทั้งสองคนจึงกลับเข้าไปในคีปก่อนช่วงเวลาอาหารเย็นนั้นเอง
เย็นวันนั้น เมื่อนิโคลกลับมาและรู้เรื่องเข้าก็โกรธซาลเป็นการใหญ่ เพราะเธอเพิ่งจะพูดเตือนเรื่องให้อยู่ห่างอันตรายไปเมื่อตอนเช้านี้เอง ทำให้เขาต้องขอโทษขอโพยอยู่นานกว่านิโคลจะหายโกรธ
ในวันต่อมา ซาลก็ตระเวนถามท่าโจมตีเฉพาะตัวของแซนโดร, นิโคล, ลานาเทล, และอัลติม่า เพื่อให้รู้ว่าแต่ละคนมีท่าอะไรบ้างที่น่าจะเอามาใช้งานกับ ‘การอัญเชิญหนึ่งกระบวนท่า’ ได้ (One Hit Summon – ชื่อชั่วคราวโดยซาลารัส)
เพราะได้ของเล่นใหม่มาให้ทดลองปรับแต่งและฝึกฝนเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงวันออกเดินทางเพื่อไปบีสเทียแล้ว