Doombringer the 5th - ตอนที่ 53
Ch.53 – ทางที่ถูกปิด
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 53
ทางที่ถูกปิด
Part 1
เสียงระฆังเตือนภัยของเมืองปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
นิโคลรีบลุกขึ้นมาและเดินไปที่เตียงของซาลซึ่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนเป็นอันดับแรก
สำหรับซาลที่เพิ่งจะหลับไปได้ไม่นานก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย แต่ก็ยังพยายามขยี้ตาเพื่อให้หายง่วง เช่นเดียวกับอัลดูอินและวาเคียในร่างมินิซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ หมอนของเขา ก็ลุกขึ้นมาด้วยอาการเดียวกัน
ในห้องนั้นมีเพียงอัลติม่าที่ยังพยายามนอนต่อไปโดยเอาหมอนขึ้นมาปิดหัวเพื่อไม่ให้ถูกรบกวนโดยเสียงระฆัง
ลานาเทลซึ่งเอนตัวอ่านหนังสืออยู่เพราะนอนไม่หลับได้ปิดหนังสือลงก่อนจะหันไปมองแซนโดรที่อยู่บนเตียงข้าง ๆ แล้วพบว่า แทนที่แซนโดรจะมีสีหน้าตื่นตระหนกหรือจริงจังเธอกลับแสดงสีหน้าอันเหนื่อยหน่ายออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นลานาเทลจึงลุกขึ้นจากเตียงของตัวเองแล้วไปนั่งเบียดแซนโดรบนเตียงนั้นด้วยอีกคน ทำให้แซนโดรมีสายตาที่แสดงความหงุดหงิดเพิ่มขึ้น
“เป็นอะไรไปคะคุณแซนโดร? ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”
“…ไม่มีอะไร …ฉันแค่คิดถึงวันเก่า ๆ ตอนที่การเดินทางมันเป็นไปโดยเรียบง่ายกว่านี้น่ะ …สมัยก่อน ช่วงที่อยู่คนเดียว ถึงการเดินทางจะมีอุปสรรคหรือเจอปัญหาบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น แทบไม่เคยต้องเจอเรื่องหนักหนาสาหัสอะไรเลย …แต่พอรับเจ้าเด็กนั่นมา ไม่ว่าจะไปไหนก็มีแต่เรื่องทั้งนั้น …แถมส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องคอขาดบาดตายด้วย …ไม่รู้ว่าเจ้านั่นมันเกิดฤกษ์ยามอะไร ถึงดึงดูดความซวยได้มากขนาดนี้…”
แซนโดรพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายพลางถอนหายใจเบา ๆ แต่ลานาเทลที่ฟังอยู่กลับอมยิ้มเพราะรู้อีกฝ่ายไม่ได้หมายความแบบนั้นจริง ๆ หรอก
“โธ่~ อย่าพูดจาใจร้ายแบบนั้นสิคะ เรื่องแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้น่า บางทีเราก็แค่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาพอดีเท่านั้นเอง ไม่ใช่ความผิดของใครหรอกนะคะ”
“…เหมือนตอนที่เราไปติดต่อกับเธอแล้วก็โดนใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกรน่ะเหรอ?…”
“แหม~ อันนั้นมันเป็นบุพเพสันนิวาสของฉันกับคุณแซนโดรต่างหากล่ะคะ หรือจะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตก็ได้ค่ะ”
ลานาเทลพูดพลางดึงเอวของแซนโดรเข้ามากอด ทำให้แซนโดรเริ่มจะมีท่าทีหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น
ระหว่างนั้นเอง นิโคลก็เดินมาที่เตียงของทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจอยู่นิดหน่อย ก่อนจะพูดต่อว่าแซนโดรด้วยเสียงที่เหมือนจะเป็นการกระซิบ
“พูดแบบนี้ไม่ยุติธรรมนะคะ คนที่ก่อเรื่องที่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสคือคุณแซนโดรเองไม่ใช่เหรอคะ?”
“…สิ่งที่เกิดโดยเจตนาไม่นับเป็นความซวยหรอก …ความซวยคือเรื่องที่เข้ามาเองแบบตอนนี้ต่างหาก…”
“มันก็ยังไม่ใช่ความผิดของคุณซาลารัสอยู่ดีนั่นแหละค่ะ!”
นิโคลขมวดคิ้วพร้อมทั้งขบริมฝีปากแน่นเพื่อแสดงอาการไม่พอใจ แต่ดูยังไงมันก็ออกไปทางน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว
“…โอเค …เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่ตัวซวยหรอก …แค่ความซวยมักจะเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเจ้านั่นเท่านั้นเอง…”
“ไม่เห็นจะต่างกันเลยนี่คะ!”
“เอ่อ… นี่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องนี้กันเหรอคะ? เราควรเป็นห่วงสถานการณ์ด้านนอกมากกว่ารึเปล่า?”
ลานาเทลที่เห็นว่าการโต้เถียงคงไม่จบลงง่าย ๆ จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง แซนโดรที่แค่อยากจะแหย่นิโคลเล่นเฉย ๆ จึงกลับเข้าสู่เรื่องสถานการณ์อีกครั้ง
“…อืม …เรื่องนั้นฉันให้พวกสมุนสอดแนมที่เฝ้าอยู่รอบ ๆ โรงแรมที่พักนี่กระจายกันออกไปเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะ …อีกเดี๋ยวก็น่าจะรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในเมืองกันแน่…”
“อาจเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นอีกแล้วกระมังคะ?”
“…นั่นก็เป็นไปได้ …แต่ถึงเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่น่ามีการแจ้งเตือนในระดับเมืองแบบนี้เลย …สัญญาณเตือนภัยในระดับนี้น่ะมันต้องเป็นภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อคนหมู่มาก ไม่น่าใช่การฆาตกรรมคน ๆ เดียวหรอก…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ อุปกรณ์สื่อสารประจำห้องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น มันเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำหรับใช้ติดต่อกับทางโรงแรมโดยเฉพาะ แซนโดรจึงกดปุ่มตอบรับการสื่อสารเพื่อเปิดการสนทนากับผู้ที่ติดต่อเข้ามา
“ขอโทษที่รบกวนนะคะคุณลูกค้า ทุกคนในกลุ่มยังอยู่กันครบใช่มั้ยคะ?”
แซนโดรจำเสียงของผู้ที่อยู่ปลายสายนี้ได้ มันเป็นเสียงของสาวน้อยผมสีน้ำตาลซึ่งมีใบหูของสุนัขป่าอยู่บนศีรษะ เธอเป็นพนักงานประจำเคาเตอร์ของโรงแรมซึ่งแซนโดรเคยพบตอนที่ติดต่อจองห้องพัก
“…อื้ม ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?…”
“ทางเราเองก็ยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำเมืองได้ติดต่อมาให้ทุกคนอยู่แต่ในที่พัก ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด เราจึงต้องแจ้งให้ผู้เข้าพักทุกคนรับทราบไว้น่ะค่ะ ถ้าทุกคนปลอดภัยดีก็ดีแล้วค่ะ ฉันขอตัวไปแจ้งผู้เข้าพักรายอื่น ๆ ก่อนนะคะ”
เมื่อพูดจบ พนักงานสาวก็ตัดการติดต่อไป แซนโดรจึงทำการร่ายเวทเรียกหน้าจอสอดแนมขึ้นมาเพื่อดูสถานการณ์ภายในเมืองผ่านสายตาของเหล่าสมุนที่ส่งออกไป
หน้าจอสอดแนมที่แซนโดรเรียกขึ้นมามีทั้งหมดแปดหน้าจอด้วยกัน จอหนึ่งกำลังฉายภาพมุมกว้างของพื้นที่โดยรอบที่พัก อีกจอหนึ่งฉายภาพมุมกว้างของโรงแรม ส่วนหน้าจอที่เหลือเป็นภาพภายในเมืองจากเหล่าสมุนที่กำลังเคลื่อนที่ไปตามถนนสายหลักของเมือง
ภายในเมืองดูเงียบสงบและไร้ผู้คนราวกับเป็นเมืองร้าง เพราะทุกคนกลับเข้าที่พักกันหมดตามคำสั่งของหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำเมือง แม้แต่ร้านรวงต่าง ๆ ที่ควรจะเปิดในเวลากลางคืนก็ยังปิดประตูและงดการให้บริการด้วย แต่กลับมีทหารรักษาเมืองเดินกันให้ขวักไขว่ เหล่าทหารของบีสเทียนั้นเดินจับคู่กันตรวจตราทุกมุมถนน ราวกับเป็นการปูพรมค้นหาอะไรบางอย่าง แต่ท่าทางของพวกเขากลับไม่ใช่การค้นหา เพียงแค่เป็นการเดินรักษาการณ์ทั่วไป จึงเป็นภาพที่ค่อนข้างประหลาด
“…แปลกจริง…”
“นั่นสินะคะ”
“เห? แปลกยังไงเหรอคะ?”
นิโคลที่ไม่เข้าใจคำพูดของแซนโดรกับลานาเทลจึงเอ่ยถามขึ้น เพราะเธอไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในภาพที่กำลังดูอยู่เลย
“…ทหารรักษาเมืองจำนวนมากขนาดนี้ถูกส่งออกมาราวกับเป็นการควานหาตัวคนร้าย แต่ท่าทีของพวกเขากลับเป็นการเดินตรวจตราเฉย ๆ แปลว่าเหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการเฝ้าระวังมากกว่า มันเลยน่าสงสัยว่าเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ไหน ทำไมทางบีสเทียถึงต้องเข้าสู่ภาวะเฝ้าระวังด้วย…”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แซนโดรก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากแหวนสื่อสาร จึงนำมันออกมาจากช่องมิติเก็บของ พบว่ามันคือแหวนสำหรับติดต่อกับสมาคมนักผจญภัยนั่นเอง
“…แย่จริง ลืมตัดสัญญาณการติดต่อเอาไว้เหรอเนี่ย…”
แซนโดรบ่นพึมพำกับตัวเอง เพราะปกติแล้วเธอจะตัดสัญญาณการติดต่อเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกตามเจอ แต่เพราะครั้งนี้ใช้เส้นทางตามปกติโดยไม่ได้หลบหนีอะไรเธอจึงเปิดการเชื่อมต่อเอาไว้เพราะคิดว่าหากอยู่ในสภาพที่ติดต่อไม่ได้บ่อยครั้งเข้าอาจทำให้ทางสมาคมสงสัยได้
ที่สำคัญคือเธอเองก็อยากรับรู้ข่าวสารจากทางสมาคมด้วย ในระหว่างเดินทางจึงเปิดช่องทางการสื่อสารนี้เอาไว้ตลอด แต่เมื่อรับรู้สถานการณ์ในบีสเทียแล้วเธอก็เพิ่งจะฉุกคิดได้ว่าควรจะปิดการสื่อสารเอาไว้ก่อนดีกว่าเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก แต่มานึกได้ตอนนี้ก็สายไปซะแล้ว
เมื่อแซนโดรสวมแหวนและตอบรับการสื่อสาร ก็มีเสียงใส ๆ ของประชาสัมพันธ์สาวประจำสมาคมนักผจญภัยของเลนเทียดังออกมา
“คุณแซนดร้าใช่มั้ยคะ? ฉันเรลิก้าเองนะคะ ดีใจจังเลยที่ติดต่อได้ ตอนนี้คุณแซนดร้ากำลังอยู่ที่บีสเทียใช่รึเปล่าคะ?”
“…อื้ม ถูกต้องแล้วล่ะ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?…”
“คือสมาคมนักผจญภัยของบีสเทียเขากำลังต้องการนักผจญภัยระดับสูงของสาขาอื่นให้ไปช่วยงานน่ะค่ะ เป็นภารกิจพิเศษจากหัวหน้าสมาคมโดยตรง และพวกเขาตรวจสอบพบว่ามีนักผจญภัยระดับ SS ของเลนเทียเข้ามาอยู่ในเขตบีสเทียด้วย แต่เพื่อไม่ให้เป็นการลัดขั้นตอนจนเกินไป เขาก็เลยติดต่อมาทางเราเพื่อให้ประสานงานกับคุณแซนดร้าอีกทีน่ะค่ะ”
“…หืม? ทำไมเขาถึงไม่ใช้คนของบีสเทียเองล่ะ? …หรืออย่างน้อยประสานงานขอนักผจญภัยจากอีเว่นสตาร์ก็น่าจะง่ายกว่านะ…”
“ทางบีสเทียระบุมาว่าภารกิจนี้ไม่สามารถใช้นักผจญภัยของเขตซิลวานได้เลยน่ะค่ะ ต้องเป็นนักผจญภัยจากอาณาจักรอื่นเท่านั้น ซึ่งในซิลวานตอนนี้ก็มีคุณแซนดร้าคนเดียวที่เป็นนักผจญภัยระดับสูงสุด ส่วนนักผจญภัยระดับรองลงมาเท่าที่หาได้ก็มีแค่แรงค์ B เท่านั้นเอง ทางนั้นเลยอยากจะให้คุณแซนดร้าเป็นคนรับภารกิจน่ะค่ะ ถ้าคุณแซนดร้าตกลงละก็ พวกเขาอยากให้ไปที่สมาคมนักผจญภัยของบีสเทียในตอนรุ่งเช้าด้วยค่ะ”
แซนโดรแสดงสีหน้าลำบากใจออกมามากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เรลิก้าบอก เธอไม่อยากมีส่วนร่วมกับภารกิจในบีสเทียเลยเพราะอยากจะเร่งเดินทางมากกว่า แต่หากปฏิเสธคำขอนี้ไปเฉย ๆ ก็คงจะไม่ค่อยดีนัก จึงคิดว่าควรจะลองช่วยประสานงานในการหาคนอื่นมารับภารกิจนี้ดู เผื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้วย
“…เรื่องภารกิจยังไม่รับปากนะ …แต่พรุ่งนี้เช้าฉันจะลองไปคุยกับทางสมาคมของบีสเทียดู…”
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นฉันจะแจ้งกลับไปทางบีสเทียตามนี้นะคะ”
เมื่อพูดจบ เรลิก้าก็ตัดการติดต่อไป ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
แซนโดรบอกให้คนอื่น ๆ พักผ่อนกันตามสบาย ส่วนเธอเองก็จะไปคุยกับสมาคมนักผจญภัยของบีสเทียในวันรุ่งขึ้น แต่ในคืนนั้นแทบไม่มีใครหลับได้อย่างสนิท เพราะต่างก็กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ยกเว้นอัลติม่าเพียงคนเดียว ที่ยังคงหลับอุตุและไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเลย
——————————————————————————————————–
Part 2
วันต่อมา แซนโดรก็เดินทางไปยังสมาคมนักผจญภัยของบีสเทียแต่เช้าตรู่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานจบลงอย่างสงบ โดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับบีสเทียเลยแม้แต่น้อย
แซนโดรนั่งรถม้าไปยังสมาคมเพียงลำพังเพราะการพาคนอื่น ๆ มาจะเป็นการวุ่นวายซะเปล่า ๆ เธอจึงไม่ได้พาใครมาด้วยเลย
เมื่อรถม้าแล่นมาถึงที่ทำการสมาคม แซนโดรก็พบว่าที่ด้านหน้าของสมาคมมีทหารเผ่าเอลฟ์หลายคนยืนอยู่ด้านหน้าสมาคมด้วย
ทหารพวกนั้นเหมือนแค่มารอใครสักคนอยู่ด้านนอก ไม่ได้มาคุมพื้นที่หรือตรวจตราอะไร เธอจึงเดินผ่านพวกเขาเข้าไปด้านในของสมาคมได้อย่างไม่มีปัญหา
ที่ด้านในสมาคม มีพนักงานประจำสมาคมคนหนึ่งกำลังรอแซนโดรอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเห็นเธอเข้ามา เขาก็รีบวิ่งมาต้อนรับทันที
“ขอบคุณที่มานะครับคุณแซนดร้า เชิญทางนี้เลยครับ”
พนักงานคนนั้นพาแซนโดรเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร ระหว่างทางเธอก็สังเกตเห็นว่าภายในสมาคมมีทหารเอลฟ์อีกหลายนายยืนประจำอยู่ตามจุดต่าง ๆ ด้วย
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน พนักงานก็พาแซนโดรเดินตรงไปยังห้องที่อยู่เกือบสุดทางเดิน ก่อนจะเคาะประตูและเปิดประตูเข้าไป เธอเหลือบมองป้ายที่อยู่เหนือประตูห้อง พบว่ามันคือห้องของหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยนั่นเอง
ด้านในห้องเป็นห้องขนาดกลางที่ตกแต่งแบบเรียบ ๆ มีโต๊ะรับแขกชุดหนึ่งอยู่กลางห้อง และที่อีกฟากหนึ่งของห้องก็เป็นโต๊ะทำงานซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
เขาเป็นชายหนุ่มท่าทางผ่าเผย หน้าตาก็ดูหล่อเหลา มีผมสีน้ำตาล และบนศีรษะก็มีใบหูเหมือนกับหูของหมาป่าปรากฏอยู่ด้วย ทันทีที่เห็นแซนโดรเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ลุกจากที่นั่งเพื่อเดินมาต้อนรับในทันที
“สวัสดีครับคุณแซนดร้า ผมคอร์แมค หัวหน้าสมาคมนักผจญภัยของบีสเทียครับ ขอบคุณที่ช่วยสละเวลามานะครับ ทางเราต้องรบกวนคุณจริง ๆ ”
“…ไม่เป็นไรค่ะ ทางนี้ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจรับภารกิจเลย เพียงแค่อยากจะมาฟังรายละเอียดก่อน …ว่าแต่ นี่เป็นเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ?…”
“เอ่อ… เชิญนั่งก่อนละกันนะครับ ยังไงเราก็ต้องรอผู้ไหว้วานก่อนด้วย”
“…ผู้ไหว้วาน?…”
แซนโดรรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยกับคำพูดของหัวหน้าสมาคม แต่ก็นั่งลงบนเก้าอี้รับแขกตามคำเชิญ ส่วนอีกฝ่ายก็รินน้ำชาให้กับแซนโดรตามมารยาท
เพียงครู่หนึ่งหลังจากหัวหน้าสมาคมรินน้ำชาเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ประตูจะเปิดออกและมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
หญิงสาวคนนั้นมีหน้าตางดงาม ไว้ผมยาวสีทองที่มัดปอยสองข้างเป็นทวินเทลด้วย เธอสวมชุดนักผจญภัยแบบเบาสีเขียวอ่อนราวกับถักทอขึ้นจากใบไม้ ที่โดดเด่นไม่แพ้ใบหน้าอันงดงามก็คือใบหูเรียวยาวที่ยื่นพ้นเรือนผมสีทองสลวยของเธอออกมา บ่งบอกว่าเป็นคนของเผ่าเอลฟ์นั่นเอง
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ ฉันเซร่า หัวหน้าสมาคมนักผจญภัยของอีเว่นสตาร์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เอลฟ์สาวแนะนำตัวให้แซนโดรฟังเพียงคนเดียว โดยแค่หันไปพยักหน้าให้กับคอร์แมคครั้งหนึ่งเท่านั้น ทำให้แซนโดรคิดว่าสองคนนี้คงจะรู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งในฐานะของหัวหน้าสมาคมด้วยกันนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เธอจึงตอบรับคำแนะนำตัวของอีกฝ่าย
“…ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ…”
เซร่าก็ก้มหัวเพื่อรับการแนะนำตัวเช่นกัน ก่อนที่เธอจะนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกอีกตัวหนึ่ง
“ในเมื่อมากันครบแล้วก็ขอเริ่มเลยนะครับ คุณแซนดร้าคงพอจะรู้ว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นเมื่อคืนแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรใช่มั้ยครับ?”
“…ค่ะ…”
“เมื่อคืนนี้คณะทูตของอีเว่นสตาร์อีกคณะหนึ่งซึ่งไปพักที่เมืองเกรย์เมนน่ะ ถูกคนร้ายบุกเข้าไปสังหารจนเกือบหมด…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงของคอร์แมคก็แผ่วลง อาจเพราะรู้สึกเกรงใจเซร่าที่นั่งอยู่ด้วย เธอจึงเป็นคนเล่าเรื่องส่วนที่เหลือต่อด้วยตนเอง
“มันเป็นการโจมตีที่ค่อนข้างโหดร้ายน่ะค่ะ คณะทูตห้าในเจ็ดคนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ทั้งควักหัวใจออกไปและแขวนศพเรียงกันเอาไว้ที่หน้าระเบียงของเรือนรับรองนั้นเอง”
เซร่าเล่าออกมาด้วยแววตาที่ดูเศร้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอาการสั่นไหว ทำให้แซนโดรคิดว่าเธอเป็นคนที่เข้มแข็งพอตัวทีเดียว
เมืองเกรย์เมนเป็นเมืองขนาดกลางซึ่งอยู่ห่างจากบีสเทียไปทางตะวันตกเล็กน้อย มันเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยพวกเวอร์บีสซึ่งมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่เป็นแห่งแรก ก่อนจะขยับขยายไปที่อื่น อาจเรียกว่าเป็นเมืองหลักของเผ่าเวอร์บีสในซิลวานก็ว่าได้
การที่คณะทูตถูกสังหารถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว โดยเฉพาะนี่เป็นคณะทูตของเผ่าเอลฟ์ซึ่งปกครองอาณาจักรซิลวานอยู่ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ทางบีสเทียจะต้องแจ้งเตือนภัยและเพิ่มการเฝ้าระวัง เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุกับคณะทูตอีกคณะหนึ่งที่พักอยู่ในเมืองของตนนั่นเอง
“…แล้วจับตัวคนร้ายได้รึเปล่า?…”
แซนโดรเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้หวังอะไรนัก เพราะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมลักษณะนี้มาบ้างแล้ว ซึ่งคนร้ายมักจะหนีหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย แม้ครั้งนี้เหยื่อจะเป็นคณะทูตของเผ่าเอลฟ์ แต่หากเป็นคนร้ายที่หลบหนีการจับกุมของทางการและสมาคมนักผจญภัยมาได้เป็นเวลาหลายปี ครั้งนี้ผลก็คงไม่ต่างกัน
แต่คำถามของเธอกลับทำให้เซร่าและคอร์แมคมองหน้ากันอย่างลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเซร่าจะตอบออกมา
“เราได้ตัวคนร้ายแล้วค่ะ แต่ว่านั่นแหละคือปัญหา”
คำตอบของเซร่าทำให้แซนโดรเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ทั้งเรื่องที่ว่าได้ตัวคนร้ายแล้ว และเรื่องที่ว่าสิ่งนั้นกลายเป็นปัญหาด้วย ซึ่งเมื่อเห็นท่าทางของแซนโดร เซร่าก็อธิบายต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายต้องถาม
“ผู้ที่ก่อเหตุฆาตกรรมครั้งนี้คือ รูดอลฟ์ เกรย์เมน บุตรชายคนโตของตระกูลเกรย์เมน ตระกูลอันเก่าแก่ของเวอร์บีสในซิลวาน เขาเป็นลูกชายของ แรนดอลฟ์ เกรย์เมน เจ้าเมืองเกรย์เมนคนปัจจุบัน และเป็นหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยของเกรย์เมนด้วย ทหารคุ้มกันที่รอดชีวิตจากการโจมตีได้บอกถึงรูปพรรณของคนร้ายอย่างชัดเจนเพราะเคยเห็นเขาในงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูต ทางเราจึงส่งคนไปจับกุมตัวรูดอลฟ์ที่สมาคมนักผจญภัย แต่ปรากฏว่าเขากลับพยายามต่อสู้ขัดขืนและฆ่าคนของเราตายไปถึงสามคน คนอื่น ๆ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าเขาเพื่อป้องกันตัว
หลังจากนั้นคณะสอบสวนได้ตรวจค้นห้องทำงานของรูดอลฟ์แล้วพบกับหลักฐานหลายอย่างที่บ่งบอกว่าเขาพยายามลอกเลียนรูปแบบการฆ่าจากคดีฆาตกรรมในบีสเทีย เพื่อที่จะใส่ร้ายฆาตกรซึ่งน่าจะเป็นพวกฮาลฟ์บีส จะได้โยนความผิดให้กับเผ่าฮาลฟ์บีสด้วย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือยังมีหลักฐานอีกชุดที่บ่งชี้ว่าสมาพันธ์ชาโดวแฟงกำลังดำเนินแผนการอีกหลายอย่างเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของภูมิภาคและปูทางให้เผ่าเวอร์บีสขึ้นมากุมอำนาจในซิลวานแทน นั่นเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เขาพยายามป้ายสีเผ่าฮาลฟ์บีสให้เกิดความขัดแย้งกับเผ่าเอลฟ์ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเซร่า แซนโดรก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้มีเบื้องหลังบานปลายออกไปไกลกว่าที่เธอคิดไว้มาก และหากเป็นอย่างที่เซร่าพูดจริง ๆ ก็เท่ากับสมาพันธ์ชาโดวแฟงของพวกเวอร์บีสคิดกบฏต่ออาณาจักรซิลวานที่ปกครองโดยเผ่าเอลฟ์อยู่เลยทีเดียว
“…แล้วเรื่องนี้ ทางสมาพันธ์ชาโดวแฟงมีข้อแก้ตัวว่ายังไงบ้าง?…”
“หัวหน้าสมาพันธ์ชาโดวแฟงก็คือเจ้าเมืองคนปัจจุบัน หรือก็คือแรนดอลฟ์ เกรย์เมน พ่อของรูดอลฟ์นั่นเอง ทางด้านแรนดอลฟ์นั้นไม่พอใจมากที่ลูกชายของเขาถูกฆ่าตายระหว่างการจับกุม เขายืนยันความบริสุทธิ์ของบุตรชายว่าไม่เกี่ยวข้องกับการสังหารคณะทูต และทางเราทำเกินกว่าเหตุในการจับกุมจนเป็นเหตุให้รูดอลฟ์ต้องตาย ทั้งยังหาว่าเราสร้างหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้ายเผ่าเวอร์บีสอีกด้วย ตอนนี้เขาไล่คนของเผ่าเอลฟ์ทั้งหมดออกจากเมืองเกรย์เมน และไม่ยอมให้ใครเข้าไปตรวจสอบหรือทำการสอบสวนอีก ทำให้ทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์ไม่พอใจมาก จึงออกคำสั่งให้เคลื่อนพลเข้าปิดล้อมเมืองของเผ่าเวอร์บีสทุกเมืองในซิลวานเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ยิ่งฟัง แซนโดรก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น เพราะเรื่องราวดูท่าจะลุกลามใหญ่โตไปเรื่อย ๆ ทำให้เธอไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ยิ่งกว่าเดิม จึงพยายามจะรวบรัดการสนทนาเพื่อหาทางปฏิเสธ
“…ในเมื่อทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องสืบสวนอีกแล้วนี่…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซร่าก็กล่าวโต้แย้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
“ผิดแล้วล่ะค่ะ เพราะมันชัดเจนเกินไป เราถึงควรจะต้องสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้งต่างหาก หลักฐานที่พบในห้องทำงานของรูดอลฟ์น่ะ สามารถเชื่อมโยงกับแรงจูงใจและขั้นตอนปฏิบัติได้แทบทุกขั้นตอน ทั้งยังมีรายชื่อของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพร้อมทั้ง ‘หลักฐานชี้นำ’ อย่างครบถ้วน ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอคะที่เราสามารถพบของทุกอย่างนั้นได้ง่าย ๆ ในที่เดียวกัน ราวกับถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แบบนี้”
ความจริงแซนโดรก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เหมือนกัน แม้เรื่องราวจะดูชัดเจน แต่ทุกอย่างกลับชัดเจนและเรียบง่ายจนเกินไป ราวกับถูกเขียนไว้ด้วยบทละคร ถ้าจะบอกว่ามันเป็นแผนการของใครสักคนก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ แต่ที่เธอสงสัยตอนนี้คือท่าทีของหัวหน้าสามคมฝ่ายเอลฟ์ ที่ดูจะร้อนใจแทนฝ่ายเวอร์บีสจนผิดปกติมากกว่า
“…คุณเซร่าดูเหมือนจะเป็นห่วงฝั่งเวอร์บีสมากเลยนะ…”
แซนโดรลองโยนหินถามทางดูเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ซึ่งเซร่าก็หันไปมองคอร์แมคด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะหันมาตอบคำถามของเธอ
“ต้องบอกตามตรงนะคะ เรื่องคราวนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากฟันธงว่าสมาพันธ์ชาโดวแฟงมีความผิดจริงละก็ อาจมีการกวาดล้างเผ่าเวอร์บีสครั้งใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งแม้แต่ประชาชนชาวเวอร์บีสที่ไม่เกี่ยวข้องก็อาจต้องพลอยถูกหางเลขไปด้วย ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบชนชั้นปกครองของเผ่าเวอร์บีสเพราะแนวทางการทำงานและนโยบายของพวกเขา แต่ประชาชนตาดำ ๆ น่ะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ที่สำคัญคือเรื่องนี้จะทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างเผ่าพันธุ์ฝังลึกและกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของซิลวานต่อไป ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นค่ะ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเซร่า แซนโดรก็เกือบจะเผลอแสดงสายตาเหนื่อยหน่ายออกมาแวบหนึ่ง แต่ก็ยังฝืนตัวเองไว้ได้ทัน
สำหรับแซนโดรแล้ว เธอรู้สึกรำคาญพวกโลกสวยมากหลักการแบบนี้ที่สุดเลย
ทางด้านคอร์แมคที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ คงเพราะเห็นเซร่ามีท่าทางลำบากใจ จึงพยายามพูดเสริมด้วย
“ผมเองก็ไม่ได้ชอบสมาพันธ์ชาโดวแฟงเท่าไหร่หรอกนะครับ ให้พูดตามตรงคือถ้าพวกนั้นถูกกำจัดไปได้ซะก็คงจะดีด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่คุณเซร่าพูดนั่นแหละ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชาวเวอร์บีสระดับรากหญ้าด้วย ซึ่งพวกเรากับเผ่าเวอร์บีสก็อยู่ร่วมกันมานานแล้ว หลาย ๆ คนก็กลายเป็นญาติ… กลายเป็นครอบครัว… ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาละก็ เผ่าฮาลฟ์บีสจำนวนมากก็คงไม่สบายใจเช่นกัน…”
คำพูดของคอร์แมค ทำให้แซนโดรคิดว่าเขาอาจมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับคนของเผ่าเวอร์บีสอยู่ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะเผ่าเวอร์บีสได้มาตั้งรกรากที่ซิลวานเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนแล้ว การมีคนรักข้ามเผ่าพันธุ์หรือการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์จึงถือเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป
เมื่อได้ยินแบบนี้ แซนโดรจึงเข้าใจว่าคำพูดที่ว่าเผ่าเวอร์บีสกับฮาลฟ์บีสไม่ถูกกันนั้นเป็นเพียงคำร่ำลือที่พูดจากมุมมองเพียงด้านเดียว ความจริงทั้งสองเผ่าก็ยังมีกลุ่มคนที่มอบไมตรีให้แก่กันอยู่ด้วย
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เธอให้ความสำคัญหรือคิดจะสนใจอยู่ดี
“…สรุปแล้ว …ภารกิจที่ต้องการจะให้ฉันทำน่ะ ก็คือการสืบคดีนี้เหรอ?…”
“ความจริงก็อยากให้เป็นอย่างนั้นนะคะ แต่เพราะทางสมาพันธ์ชาโดวแฟงทำการปิดเมืองเกรย์เมนไปแล้ว การสืบสวนคดีล่าสุดจึงคงเป็นไปได้ยาก ฉันจึงอยากให้คุณช่วยสืบหาความจริงของคดีอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในบีสเทียภายในช่วงหลายปีนี้น่ะค่ะ”
“…คดีอื่น ๆ ในช่วงหลายปีมานี้เหรอ? …หมายความว่าไงกัน…”
“สาเหตุที่ฉันไม่ปักใจเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของเผ่าเวอร์บีส ไม่ใช่แค่เพราะมันดูน่าสงสัย หรือแค่เพราะลางสังหรณ์หรอกนะคะ แต่เพราะฉันเฝ้าติดตามคดีของบีสเทียมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และพบความเชื่อมโยงว่ามีความตั้งใจบางอย่างแฝงอยู่ในการก่อคดีเหล่านั้น ยิ่งพอมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ยิ่งทำให้ฉันแน่ใจว่าคดีที่เกิดขึ้นในบีสเทียตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้มันเป็นแผนการของใครบางคนที่ต้องการจะกำจัดเผ่าเวอร์บีสออกไปจากบีสเทีย และเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ก็เป็นการวางหมากตัวสุดท้ายเพื่อปิดเกมค่ะ”
ข้อสันนิษฐานของเซร่าทำให้แซนโดรรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อยเหมือนกัน แต่ยังไงตอนนี้การไปโดมินาเรียก็เป็นความสำคัญอันดับแรก และภารกิจนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน ทั้งยังน่าจะทำให้เสียเวลามากทีเดียว เธอจึงตัดสินใจว่าจะบอกปัดไป
“…เรื่องนี้ ทำไมถึงต้องเจาะจงให้นักผจญภัยนอกซิลวานมาทำด้วยล่ะ? มีเหตุผลอะไรรึเปล่า?…”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เซร่าก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“นั่นเพราะทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์ได้ปักใจไปแล้วค่ะ ว่าสมาพันธ์ชาโดวแฟงผิดจริง เรื่องนี้ก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกัน ทำให้คนในสมาคมของอีเว่นสตาร์ก็มีอคติกับเผ่าเวอร์บีสพอสมควร และคงยากที่จะทำการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาได้ ส่วนทางบีสเทียเอง แม้คนนอกจะมองว่าไม่ถูกกับเผ่าเวอร์บีสนัก แต่เพราะภรรยาของคุณคอร์แมคเป็นเผ่าเวอร์บีส บวกกับคนในสมาคมหลาย ๆ คนก็มีญาติหรือคนในครอบครัวเป็นเผ่าเวอร์บีสด้วย ทำให้ทางอีเว่นสตาร์คงจะไม่ยอมรับผลการสืบสวนที่มาจากคนของบีสเทียเช่นกัน…”
เซร่าพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและท่าทีที่แสดงความเกรงใจอยู่มาก ซึ่งคอร์แมคก็พอจะเข้าใจ จึงยิ้มรับเป็นนัยจะบอกให้เธอไม่ต้องคิดมาก ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของคอร์แมคกับเผ่าเวอร์บีสนั้นเป็นสิ่งที่แซนโดรพอจะเดาได้จากสีหน้าและท่าทางของเขาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไรนัก
“…อืม …เพราะแบบนั้นเลยต้องใช้คนนอกในการสืบสวนสินะ?…”
“ใช่แล้วค่ะ และไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นนักผจญภัยระดับสูงที่มีประวัติการทำงานมาอย่างโชกโชนด้วย ตอนที่พบว่ามีนักผจญภัยระดับ SS อยู่ในเขตบีสเทียพอดีน่ะพวกเราดีใจกันมากเลยค่ะ เพราะประวัติการทำภารกิจของคุณแซนดร้าตรงตามความต้องการของเราทุกอย่างและเหมาะสมแก่การฝากฝังภารกิจนี้มากที่สุดเลย… แต่เราก็เข้าใจว่ามันเป็นคดีใหญ่และมีความซับซ้อนสูง แถมยังพัวพันกับผู้มีอิทธิพลหลาย ๆ ฝ่ายด้วย ถ้าคุณแซนดร้ารู้สึกลำบากใจหรือไม่สะดวกที่จะรับมันจริง ๆ ทางเราก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ”
เซร่าพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ปนความเศร้าอยู่เล็กน้อย เธออยากให้แซนโดรรับปากในการทำคดีนี้ แต่ก็เข้าใจดีว่ามันเป็นคดีที่คนทั่วไปคงไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย จึงเผื่อทางออกให้กับอีกฝ่ายเอาไว้ เป็นความปรารถนาดีที่มาจากใจจริง ไม่ใช่การพูดตามมารยาทหรือเพื่อหยั่งเชิง
นี่เป็นครั้งแรกในการสนทนานี้ที่แซนโดรรู้สึกขอบคุณนิสัยแสนดีของเซร่า เพราะเธอมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจึงช่วยหาทางลงเอาไว้ให้เสร็จสรรพ ซึ่งก็เข้าทางของแซนโดรพอดี เพราะได้รู้เรื่องทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เธอจึงคิดว่าได้เวลาที่จะปลีกตัวไปซะที ความจริงคือแซนโดรได้ติดต่อนักผจญภัยระดับ S ที่รู้จักเอาไว้แล้ว และขอให้เขาเร่งเดินทางมายังบีสเทียเพื่อรับภารกิจนี้ไป เธอจะได้ไม่ต้องมาพัวพันกับเรื่องยุ่งยากนี้ด้วยตัวเอง
“…ความจริงก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่พอดีฉันมีธุระเร่งด่วนทำให้ต้องรีบเดินทางไปโดมินาเรียน่ะ เที่ยงนี้ก็จะขึ้นเรือเหาะข้ามทวีปไปแล้ว …แต่ไม่ต้องห่วง ฉันช่วยติดต่อนักผจญภัยระดับสูงที่เชี่ยวชาญคดีแบบนี้เป็นพิเศษเอาไว้ให้แล้ว ก่อนช่วงบ่ายนี้เขาก็น่าจะเดินทางมาถึงบีสเทียแล้วล่ะ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของแซนโดร เซร่าก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาและหันไปมองหน้าคอร์แมค ก่อนจะหันกลับมาพูดกับแซนโดรอีกครั้ง
“เอ๋? คุณคอร์แมคยังไม่ได้บอกเหรอคะ?”
“…หืม? …บอกเรื่องอะไรเหรอ?…”
“เที่ยวบินของเรือเหาะทั้งหมดในซิลวานถูกระงับแล้วค่ะ เพราะสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดทำให้มีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วทั้งอาณาจักร และห้ามไม่ให้ใครเดินทางเข้าออกในทุกเส้นทาง คนที่คุณแซนดร้าแนะนำคงจะมาที่นี่ไม่ได้หรอกนะคะ ส่วนคุณแซนดร้าเองก็…”
แม้เซร่าจะยังพูดไม่จบ แต่แซนโดรก็เข้าใจแล้วว่าตัวเธอเองก็ต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ ไม่สามารถไปไหนได้
ถึงภายนอกจะพยายามรักษาอาการสงบนิ่ง แต่ในใจแซนโดร เธอได้คว่ำโต๊ะรับแขกที่อยู่ตรงหน้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว