Doombringer the 5th - ตอนที่ 54
Ch.54 – CSI: บีสเทีย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 54
CSI: บีสเทีย
Part 1
ที่ห้องทำงานของหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยแห่งบีสเทีย
คอร์แมค ชายหนุ่มเผ่าฮาลฟ์บีส หัวหน้าสมาคมแห่งบีสเทีย และเซร่า เอลฟ์สาวหัวหน้าสมาคมแห่งอีเว่นสตาร์ กำลังอยู่ในความรู้สึกกระอักกระอ่วนจนได้แต่มองหน้ากันไปมา
เพราะหลังจากได้ยินว่าเที่ยวบินทั้งหมดถูกระงับเพราะกฎอัยการศึก แซนโดรก็ก้มหน้าลงแล้วนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
“เอ่อ… คุณแซนดร้าคะ?”
เซร่าที่เห็นแซนโดรนิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงลองทักดู ด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ
“…ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ …ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ …ไม่ใช่ความผิดของเจ้านั่น …ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ …ไม่ใช่ความผิดของเจ้านั่น…”
ดูเหมือนแซนโดรกำลังพึมพำอะไรบางอย่างราวกับเป็นการท่องคาถาเพื่อสงบจิตใจ ซึ่งแม้เซร่าจะพอได้ยินนิดหน่อยแต่ก็ไม่เข้าใจความหมายของมันเลยสักนิด เธอคิดว่าแซนโดรคงจะผิดหวังมากที่ไม่สามารถเดินทางไปโดมินาเรียได้
“เอ่อ… ถ้าคุณแซนดร้าไม่อยากรับงานนี้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไรนะคะ เราไม่ฝืนใจคุณหรอกค่ะ และถึงจะมีการประกาศห้ามบิน รวมไปถึงปิดกั้นการเข้าออกจากซิลวาน แต่สำหรับนักผจญภัยระดับ SS ที่มีประวัติชัดเจนอย่างคุณแซนดร้า เราก็พอจะอนุโลมได้อยู่นะคะ ถ้าต้องการจะรีบไปโดมินาเรียจริง ๆ ละก็ ดิฉันจะช่วยออกใบผ่านทางให้เดินทางออกจากซิลวานแล้วไปขึ้นเรือเหาะที่เทมเพอเรียได้ค่ะ”
เซร่าพยายามเสนอทางออกเพื่อให้แซนโดรรู้สึกดีขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่งเงียบอยู่
หากเดินทางขึ้นเหนือไปยังเทมเพอเรียจะสามารถขึ้นเรือเหาะจากที่นั่นไปยังโดมินาเรียได้ก็จริง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การตรวจตราผู้เดินทางในซิลวานคงมีความเข้มงวดมากกว่าปกติ
ถึงไม่มีเหตุการณ์อะไร การเดินทางไปยังเทมเพอเรียจากบีสเทียก็น่าจะใช้เวลาราว ๆ สองวันอยู่แล้ว ถ้าต้องผ่านด่านตรวจรายทางเพื่อรับการตรวจค้นก็อาจทำให้เสียเวลาอีกเป็นเท่าตัวกว่าจะไปถึงเทมเพอเรียได้
ที่สำคัญการถูกตรวจค้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เพราะแม้แซนโดรจะเตรียมเอกสารและประวัติปลอมสำหรับทุกคนเอาไว้แล้วเพื่อการเดินทางไปยังโดมินาเรีย แต่ในภาวะที่การตรวจตราเข้มงวดกว่าปกติแบบนี้ อาจถูกพบพิรุธเข้าก็ได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่แซนโดรกังวลอยู่อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ
‘…ต่อให้อ้อมขึ้นไปที่เทมเพอเรีย …ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่เจอปัญหาที่นั่นอยู่ดี…’
ดูเหมือนแซนโดรจะเริ่มปักใจเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าดวงชะตาแห่งผู้สร้างหายนะของซาลเป็นสิ่งที่ดึงดูดปัญหาเข้ามา เลยคิดว่าต่อให้เลี่ยงปัญหาที่นี่แล้วไปเทมเพอเรียแทน ก็อาจไปเจอปัญหาใหม่เข้าที่นั่นก็ได้
เมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เธอจึงคิดว่าบางทีการยอมรับภารกิจนี้และแก้ปัญหาที่นี่ให้เสร็จสิ้นอาจเป็นทางเลือกที่เร็วกว่า แต่ก็ต้องถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเซร่าซะก่อน
“…ขอถามอะไรหน่อยนะ…”
“ชะ.. เชิญเลยค่ะ”
“…ที่บอกว่าอยากให้ช่วยสืบหาความจริงของคดีฆาตกรรมของบีสเทียที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้เนี่ย …คงไม่ได้ให้เริ่มต้นจากศูนย์หรอกใช่มั้ย?…”
“แน่นอนค่ะ ความจริงทางสมาคมของอีเว่นสตาร์และบีสเทียเองก็ประสานงานกันเพื่อติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ข้อมูลที่พวกเรารวบรวมมาได้ในช่วงหลายปีนี้ก็นับว่ามีไม่น้อยเลย ส่วนเรื่องภารกิจนี้ แม้จะบอกว่าเป็นภารกิจสืบคดี แต่นั่นก็เป็นเพียงหน้าฉากที่เราจะบอกกับทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์เท่านั้นเอง ตำแหน่งจริง ๆ ของคุณแซนดร้าในงานนี้ก็เหมือนเป็นผู้ช่วยและพยานในการสืบสวน ไม่ใช่ว่าต้องลงแรงเองทั้งหมดหรอกค่ะ”
“…ถ้างั้น ต้องการให้ฉันทำอะไรบ้างล่ะ?…”
“งานนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน หนึ่งคือการตรวจสอบเหตุฆ่าทูตในเมืองเกรย์เมน แต่ตอนนี้แรนดอลฟ์ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปในเมือง เราคงต้องสืบจากหลักฐานเท่าที่ทีมสืบสวนชุดแรกหามาได้ก่อน และงานส่วนที่สองก็คือการสืบสวนคดีฆาตกรรมในบีสเทีย เรื่องนี้เราสามารถเริ่มได้ทันทีเพราะฉันมีข้อมูลเตรียมเอาไว้หมดแล้วค่ะ”
“…อืม…”
แซนโดรครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และเห็นว่าการช่วยเหลือสมาคมและรอเดินทางออกไปเมื่อเหตุการณ์สงบน่าจะเสี่ยงน้อยกว่าการเดินทางในภาวะนี้ จึงคิดว่าจะยอมรับภารกิจที่เซร่าเสนอมา
“…เข้าใจล่ะ …ฉันจะยอมรับภารกิจนี้ก็ได้…”
“จริงเหรอคะ! ขอบคุณมากเลยค่ะ!”
เซร่าแสดงอาการดีใจออกมาเมื่อแซนโดรยอมรับปาก ส่วนทางคอร์แมคก็มีท่าทางโล่งอกขึ้นด้วย
“…แล้ว เราจะเริ่มจากอะไรดีล่ะ?…”
“ขั้นแรกฉันจะช่วยอธิบายรายละเอียดทุกอย่างของคดีสังหารคณะทูตและหลักฐานที่เราพบในห้องทำงานของรูดอลฟ์ก่อน เราจะได้รับทราบข้อมูลตรงกันและทำคดีต่อไปได้ ส่วนการประสานงานในด้านต่าง ๆ ฉันจะเป็นคนดำเนินการให้เอง และถ้าหากคุณแซนโดรต้องการผู้ช่วยเพิ่มเติมอีกละก็ จะให้ฉันหรือคุณคอร์แมคเรียกนักผจญภัยระดับสูงของเรามาช่วยด้วยก็ได้นะคะ”
“…ไม่เป็นไร …ฉันเองก็มีสมาชิกกลุ่มอยู่แล้วน่ะ พวกเขารออยู่ที่โรงแรมในเมือง …เดี๋ยวเราไปคุยรายละเอียดกันต่อที่นั่นก็แล้วกัน…”
“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ ถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะคุณคอร์แมค”
“ตามสบายครับ และถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ช่วยก็ติดต่อมาได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ
เซร่าพยักหน้ารับคำอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวลาและพาแซนโดรเดินออกมาจากห้องของหัวหน้าสมาคม
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็เดินทางออกจากสมาคมนักผจญภัยของบีสเทีย ด้วยรถม้าของแซนโดรนั่นเอง
——————————————————————————————————–
Part 2
สภาพในตัวเมืองค่อนข้างจะมีคนพลุกพล่านกว่าปกติ
อาจเป็นเพราะมีเค้าลางว่ากำลังจะมีการสู้รบเกิดขึ้น ผู้คนจึงเร่งออกมาจับจ่ายซื้อของเพื่อกักตุนของใช้จำเป็นไว้ในกรณีที่เกิดสงครามขึ้นจริง ๆ การจราจรในช่วงสายนี้จึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าพอสมควรทีเดียว
แซนโดรที่เห็นว่าการเดินทางอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงเอ่ยถามเรื่องราวต่าง ๆ เพิ่มเติมจากเซร่า
“…ที่บอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เหมือนกับเป็นแผนของใครบางคนน่ะ หมายถึงยังไงเหรอ?…”
เมื่อได้ยินคำถาม เซร่าก็ละสายตาจากการมองสภาพอันวุ่นวายภายในเมือง และหันมาพูดกับแซนโดรด้วยท่าทางอันสุภาพเป็นปกติของเธอ
“ฉันติดตามคดีลักพาตัวและคดีฆาตกรรมของบีสเทียมาหลายปีแล้วค่ะ ทั้งสองคดีมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอยู่ในหลายส่วน หากให้กล่าวเรื่องราวโดยสรุปจากข้อสันนิษฐานของฉันก็คือ สมาพันธ์ชาโดวแฟงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ซึ่งมีเหยื่อเป็นเผ่าฮาลฟ์บีส ทำให้มีคนของเผ่าฮาลฟ์บีสที่เจ็บแค้นกับการกระทำนี้ตั้งศาลเตี้ยขึ้นมาเพื่อไล่ล่าคนที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่าทางสมาพันธ์ชาโดวแฟงก็ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ จึงทำการตอบโต้กลับไป ทั้งสองฝ่ายจึงเข่นฆ่ากันไปมา และเรื่องราวก็ยิ่งลุกลามบานปลายมาจนถึงจุดนี้แหละค่ะ”
“…อืม …ก็ไม่อยากจะเสียมารยาทหรอกนะ แต่ว่า …ทำไมทางอีเว่นสตาร์ถึงปล่อยให้เรื่องราวมันบานปลายมาถึงขนาดนี้ล่ะ? …โดยเฉพาะเรื่องการค้ามนุษย์น่ะ เป็นความผิดร้ายแรงที่ควรรีบจัดการไม่ใช่เหรอ?…”
พอถูกถามแบบนี้ตรง ๆ เซร่าก็แสดงอาการประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ก่อนสีหน้าของเธอจะแปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“เรื่องนี้ฉันขอบอกกับคุณแซนดร้าตามตรงเลยก็แล้วกันนะคะ… ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะภายในสภาสูงของอีเว่นสตาร์ก็มีคนที่รับผลประโยชน์จากทางสมาพันธ์ชาโดวแฟงอยู่น่ะค่ะ… ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากสืบสวนคดีไปหลายปีแล้ว… เพราะมีคนเหล่านั้นอยู่ทำให้คดีคนหายของบีสเทียถูกจำกัดระดับเอาไว้เป็นเรื่องราวภายใน หรือถูกบิดเบือนให้เป็นคดีทั่วไปซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรใด ๆ เป็นเรื่องที่น่าละอายจริง ๆ ค่ะ…”
เซร่าพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าซึ่งแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมายของแซนโดรมาก ความจริงเธอก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าการที่คดีนี้ยืดเยื้อมาเป็นเวลานานแต่กลับไม่ถูกส่งเรื่องให้ทางพีชคีปเปอร์เข้ามาดำเนินการแปลว่าต้องเป็นฝีมือคนในของซิลวานเองที่ไม่อยากให้คนนอกเข้ามายุ่ง ซึ่งเหตุผลก็คงหนีไม่พ้นการที่คนเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์นั่นเอง จึงไม่อยากให้ใครเข้ามาสืบสวนคดีคนหาย หรือแม้แต่คดีฆาตกรรมแก้แค้นที่เกี่ยวเนื่องกับคดีนั้น แต่ที่ทำให้แซนโดรแปลกใจก็คือเธอไม่คิดว่าเซร่าจะยอมบอกเรื่องเหล่านี้กับคนนอกอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เธอเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้น ใจหนึ่งก็ชื่นชมความซื่อตรงของเซร่า แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดูหมิ่นความอ่อนต่อโลกของเธอด้วย
แต่ถ้าถึงขนาดยอมเปิดเผยเรื่องที่เป็นผลเสียต่อเผ่าพันธุ์ของตนเองออกมาแบบนี้แล้ว แปลว่าเซร่ามีเจตนาที่จะคลี่คลายคดีและแก้ไขปัญหานี้ให้ได้จริง ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้แซนโดรรู้สึกนับถือเช่นกัน
ทางด้านเซร่า เมื่อเห็นแซนโดรไม่ได้ถามอะไรต่ออีก จึงกลับเข้าเรื่องคดีอีกครั้ง
“สำหรับเรื่องคดีฆาตกรรม… แม้ทางสมาคมจะมองว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมีแค่คดีควักหัวใจแค่เพียงอย่างเดียว แต่ตามความเห็นของฉัน ยังมีอีกหลายคดีที่เกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียวกันด้วยค่ะ เพียงแค่วิธีการลงมือรวมไปการเลือกเหยื่อนั้นไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัวเหมือนคดีควักหัวใจ ทำให้คนอื่นไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกัน นับเป็นอีกจุดที่ทำให้เรื่องลุกลามมาจนถึงตอนนี้…”
เรื่องนี้ทำให้แซนโดรมีท่าทีสนใจมากขึ้น เพราะเป็นข้อมูลที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งทางเซร่าก็อ่านสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของฝ่ายตรงข้ามออก จึงอธิบายต่อ
“คดีอีกชุดหนึ่งเหมือนเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา ๆ เพราะไม่มีรูปแบบทั้งการลงมือและการเลือกเหยื่อ ฉันจึงมองข้ามมันไปในทีแรก แต่เมื่อนำข่าวลือที่เกิดขึ้นในช่วงที่เกิดการฆาตกรรมมาเชื่อมโยงกับเหยื่อแต่ละรายแล้วจะพบว่า การฆาตกรรมนี้มีเป้าหมายอย่างหนึ่งก็คือ การมุ่งเน้นสร้างความเกลียดชังให้กับเผ่าเวอร์บีส โดยเฉพาะสมาพันธ์ชาโดวแฟงค่ะ”
“…ข่าวลืองั้นเหรอ?…”
แซนโดรเอ่ยถามด้วยความสงสัย เซร่าจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวต่อ
“ในระหว่างที่เกิดคดีฆาตกรรม ก็มีคนคอยปล่อยข่าวลือที่ชี้นำให้ผู้คนเชื่อว่านั่นเป็นฝีมือของสมาพันธ์ชาโดวแฟง หรือเป็นการกระทำของคนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนั้น อีกทั้งยังมีการทิ้งเบาะแสให้เชื่อมโยงกลับไปยังเผ่าเวอร์บีสได้อีก ทั้งยังมีข่าวลือที่เสี้ยมให้ผู้คนจงเกลียดจงชังเผ่าเวอร์บีสเป็นการเฉพาะด้วยการเหมารวมเวอร์บีสทั้งหมดเข้ากับสมาพันธ์ชาโดวแฟง ในทีแรกฉันเองก็ไม่เอะใจเหมือนกัน แต่เมื่อนำทุกคดีในช่วงเวลาหลายปีมาเชื่อมโยงกันก็จะเห็นว่ามันเป็นความตั้งใจของใครบางคนที่จะเพาะบ่มความเกลียดชังนี้ขึ้น ทั้งในบีสเทีย และในอีเว่นสตาร์ด้วย การสังหารคณะทูตเมื่อคืนจึงให้ผลที่ร้ายแรงขนาดนี้ออกมาในเวลาอันรวดเร็ว เพราะทุกอย่างได้ถูกเพาะบ่มมาเป็นเวลานานแล้ว…”
สีหน้าและท่าทางของเซร่านั้นทั้งดูเศร้าโศกและเจ็บปวด ราวกับเป็นความเจ็บแค้นที่เกิดจากเรื่องส่วนตัว ทั้งที่ดูจากความสัมพันธ์และความไว้ใจของคอร์แมคที่มีต่อเธอแล้ว เธอไม่น่าจะสนิทสนมกับเผ่าเวอร์บีสขนาดนั้น แซนโดรจึงเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“…ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงพวกเวอร์บีสมากเลยนะ …ทั้งที่ดูน่าจะสนิทสนมกับฝั่งฮาลฟ์บีสมากกว่าแท้ ๆ มีเหตุผลส่วนตัวอะไรรึเปล่า?…”
คำพูดของแซนโดรทำให้เซร่านิ่งเงียบไป เธอหันไปมองผู้คนที่พลุกพล่านอยู่บนถนนของบีสเทียอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดตอบกลับมา
“คุณแซนดร้าคงเคยได้ยินเรื่องความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ในซิลวานมาบ้างสินะคะ? นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรอกค่ะ แต่มันก็เป็นเรื่องเมื่อนมนานมาแล้ว ตอนนั้นทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็ปิดกั้นตัวเองและไม่ยอมคบค้าสมาคมกับเผ่าอื่น ๆ จนกระทั่งพ่อของดิฉันซึ่งเป็นนักการทูตได้เดินทางออกไปเจรจาและเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสามเผ่าจนเป็นผลสำเร็จ ซิลวานในตอนนี้จึงมีการกีดกันทางเชื้อชาติลดน้อยลงมาก ถึงขนาดที่การแต่งงานข้ามสายพันธุ์ที่เคยเป็นข้อห้ามก็ยังถูกยกเลิกไป
น่าเสียดายที่การมาของพวกสมาพันธ์ชาโดวแฟงเมื่อหลายสิบปีก่อนทำให้ความสัมพันธ์ของแต่ละเผ่าเริ่มตึงเครียดขึ้น การแบ่งแยกทางเผ่าพันธุ์จึงเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่โดยรวมแล้วชาติพันธุ์ที่กลมกลืนกันมาร่วมหนึ่งร้อยปีนี้ก็ยังไม่ถูกแบ่งแยกได้ง่าย ๆ หรอกค่ะ ขอเพียงแค่ไม่เกิดเหตุรุนแรงที่กระตุ้นความแตกต่างทางเชื้อชาติให้ลุกลามมากเกินไปก็พอ…
แต่หลักฐานที่เราพบในห้องทำงานของรูดอลฟ์น่ะ ทำให้ทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์เชื่อว่าเผ่าเวอร์บีสของอินิสตร้ากำลังหาทางแผ่อิทธิพลเข้ามายังซิลวานผ่านทางสมาพันธ์ชาโดวแฟง เพื่อปูทางไปสู่การยึดครองซิลวานในภายหลัง นี่นับเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อบวกกับการปิดเมืองของแรนดอลฟ์แล้วก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ หากเรื่องนี้ไม่ถูกคลี่คลายในเร็ววันละก็ สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ต้องปะทุขึ้นแน่ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละเผ่าคงไม่มีวันเหมือนเดิมอีก… แถมซิลวานยังอาจเกิดความขัดแย้งกับอินิสตร้าด้วย ความสำเร็จจากความพยายามหลายสิบปีของท่านพ่อที่ต้องการจะให้ดินแดนนี้เป็นดินแดนที่สงบสุขก็จะกลายเป็นสิ่งสูญเปล่า… ฉันยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
คำตอบของเซร่าทำให้แซนโดรเข้าใจเหตุผลและเจตนาของเธอทั้งหมดแล้ว แต่แม้จะไม่ได้รู้สึกขัดใจกับคำพูดเหล่านั้น แซนโดรก็ยังอดหลับตาลงเพื่อซ่อนความรู้สึกอย่างหนึ่งเอาไว้ไม่ได้
‘…เหตุผลน่าเบื่อชมัด …นึกว่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่านี้ อย่างมีการชิงรักหักสวาท เป็นรักสามเส้าระหว่างสามเผ่าพันธุ์ซะอีก…’
แซนโดรครุ่นคิดสิ่งนี้อยู่ในใจเงียบ ๆ ในขณะที่รถม้าก็เดินทางมาถึงโรงแรมที่ทุกคนพักอยู่พอดี
——————————————————————————————————–
Part 3
ความจริงในทีแรกแซนโดรก็ยังลังเลอยู่นิดหน่อยที่จะพาเซร่ามาพบกับทุกคน เพราะบางคนในกลุ่มก็เป็นบุคคลที่ทางพีชคีเปอร์ต้องการตัวอยู่ แต่จากที่เธอลองตรวจสอบกับทางสมาคมดูแล้วทางพีชคีปเปอร์ก็ไม่ได้มีข้อมูลรูปพรรณของพวกเธออย่างชัดเจนนัก และกำหนดรูปแบบการค้นหาอย่างเจาะจง เช่นเธอ, ซาล, และนิโคลนั้นถูกหมายหัวไว้เป็นกลุ่มสามคน จึงมีประกาศให้สังเกตกลุ่มนักเดินทางที่เป็นผู้หญิงสองคนและเด็กหนึ่งคน ซึ่งหากไม่เข้าข่ายนี้ก็จะไม่เป็นที่ผิดสังเกต
ทางด้านลานาเทลนั้นถูกขึ้นทะเบียนว่าตายไปแล้ว ประกอบกับคนภายนอกแทบไม่มีใครเคยรู้รูปพรรณที่แท้จริงของเธอเลยด้วย (แม้แต่ในวาลาเชียเองก็ยังมีคนเคยพบตัวจริงของเธอแทบนับคนได้) จึงไม่ใช่คนที่ต้องห่วงเช่นกัน
คนสุดท้ายคืออัลติม่า ซึ่งแม้จะเคยไปเปิดประตูนรกที่แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส แต่ตอนนั้นก็สวมหน้ากากของพวกปิศาจปิดบังใบหน้าอยู่ อีกทั้งรูปพรรณของเธอก็เป็นสิ่งที่กล้องของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสจับภาพได้จากที่ไกล ๆ เท่านั้น ข้อมูลจากปากคำของพวกผู้สร้างสันติภาพก็ไม่สามารถระบุรายละเอียดอะไรได้มาก จึงถูกบ่งบอกลักษณะคร่าว ๆ เอาไว้เพียงแค่เป็น ‘หญิงสาวร่างเล็กผู้มีผมสั้นสีทองซึ่งหยิกเป็นลอนเล็กน้อย’ ซึ่งถือว่าเป็นการระบุรูปพรรณที่กว้างพอสมควร จนไม่อาจขึ้นทะเบียนให้เป็นรูปพรรณของผู้ต้องสงสัยได้ เพราะจะเกิดความวุ่นวาย การค้นหาผู้มีรูปพรรณลักษณะนี้จึงจำกัดอยู่แค่ในโครซิสเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครจริงจัง จนแซนโดรสามารถพาอัลติม่าผ่านด่านตรวจออกมาได้ง่าย ๆ ด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นลักษณะที่กว้างเกินไป
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ประกอบกับการที่ทุกคนเดินทางกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้ยิ่งไม่ตรงกับขอบเขตการค้นหาที่พีชคีปเปอร์ประสานงานไว้กับสมาคมนักผจญภัย แซนโดรจึงคิดว่าถึงจะพาเซร่ามาพบกับทุกคนก็ไม่น่าจะมีปัญหา
เมื่อเข้ามาถึงบริเวณที่พักแล้ว แซนโดรก็ขอให้เซร่ารออยู่ที่สวนด้านนอก เพื่อจะเข้าไปอธิบายสถานการณ์กับทุก ๆ คนก่อน ซึ่งเซร่าก็ไม่มีท่าทีขัดข้องอะไร
พอเข้ามาในห้องพักแล้ว แซนโดรก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่ออธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
“…ให้อธิบายแบบรวบรัดเลยก็คือ …มีแนวโน้มว่ากำลังจะเกิดสงครามขึ้น ทำให้เที่ยวบินทั้งหมดถูกระงับ …ในช่วงนี้เราคงไปโดมินาเรียไม่ได้แล้วล่ะ…”
คำกล่าวของแซนโดรทำให้ทุกคนอยู่ในอาการประหลาดใจกันถ้วนหน้า แต่ก่อนจะมีใครพูดอะไรขึ้นมา ลานาเทลก็ชิงถามด้วยสายตาและน้ำเสียงอันเย็นชาซะก่อน
“ผู้หญิงคนนั้น เป็นใครกันคะ?”
“…หา?…”
แซนโดรที่ถูกลานาเทลถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เลยอยู่ในอาการสับสน ซึ่งลานาเทลก็ถามย้ำต่อไปด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก
“ไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะคะ! บนตัวของคุณแซนโดรน่ะมีกลิ่นของผู้หญิงที่ฉันไม่รู้จักติดมาด้วย การจะติดกลิ่นของผู้หญิงอื่นมาแบบนี้น่ะแปลว่าจะต้องไปใช้เวลากันสองต่อสองในห้องแคบ ๆ อยู่เป็นเวลานานทีเดียว กลิ่นถึงติดมาได้ คุณแซนโดรไปทำอะไรกับใครมาคะ? บอกมานะคะ!”
ลานาเทลจับไหล่ของแซนโดรเขย่าเพื่อคาดคั้นด้วยสีหน้าที่จริงจังมาก ทำเอาแซนโดรอึ้งไปพักหนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้แล้วเธอก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอันเย็นชา ก่อนจะตอบกลับไป
“…ในเมื่อรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้นะ…”
แซนโดรพูดด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วจูงมือเซร่าเดินเข้ามา ทำให้ลานาเทลตาโตจนแทบจะถลน
“…นี่คือเซร่า …ผู้หญิงที่ฉันจะแต่งงานด้วย…”
“หา!?!?”
“เอ๋~!?!?”
ลานาเทลคำรามออกมาด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ส่วนนิโคลกับซาลารัสก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน มีเพียงอัลติม่าที่ยังแค่ขมวดคิ้วด้วยอาการงุนงง
“อะ… เอ๊ะ?”
ตัวเซร่าเองก็มีท่าทีงุนงงไม่แพ้กัน เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางสับสน ก่อนจะหันมามองหน้าแซนโดรเพื่อหาคำตอบ แต่แซนโดรก็ยังคงเอาแต่จ้องไปทางลานาเทลโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
ลานาเทลที่ยังมีอาการช็อคอยู่ก็เอ่ยคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือและสีหน้าที่เจ็บปวด
“ที่ผ่านมา… คุณหลอกใช้ฉันมาตลอดเลยงั้นเหรอคะ?…”
“…เพิ่งรู้ตัวเหรอ?…”
“นี่คุณเห็นฉันเป็นแค่ของเล่นงั้นเหรอคะ!?”
“…เธอมีค่าพอจะเป็นอย่างอื่นได้อีกเหรอ?…”
“คุณแซนโดรบ้าที่สุดเลย!!”
ลานาเทลตวาดใส่แซนโดรก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังปาดน้ำตาแล้ววิ่งออกจากห้องไป ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน โดยเฉพาะเซร่าที่ดูจะสับสนกับสถานการณ์มากที่สุด
หลังจากลานาเทลวิ่งออกไปแล้ว แซนโดรก็เดินไปปิดประตูและล็อกประตูห้อง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับทุกคนอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…เอาล่ะ …ก็อย่างที่ว่าแหละนะ ตอนนี้เราขึ้นเรือเหาะไปโดมินาเรียไม่ได้แล้ว …เพราะฉะนั้น…”
“เดี๋ยวก่อน! ตะกี้มันอะไรน่ะ!? อธิบายเรื่องเมื่อกี้มาก่อนเซ่!”
ซาลซึ่งยังรู้สึกงงไม่หายตะโกนแทรกขึ้นมาเพราะยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด คนอื่น ๆ ก็หันมามองแซนโดรเหมือนอยากจะถามแบบเดียวกัน แต่เจ้าตัวก็ยังตีสีหน้าเรียบเฉยและพูดต่อไป
“…เราต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลายลงซะก่อนถึงจะเดินทางต่อไปได้ …ทางสมาคมของบีสเทียและอีเว่นสตาร์ก็ได้ไหว้วานให้เราช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย …นี่คือหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยของอีเว่นสตาร์ คุณเซร่า …เป็นผู้ไหว้วานและผู้ที่จะมาช่วยประสานงานกับเราในการสืบคดี…”
“เอ่อ… ฉัน เซร่า เวเลอร์วินด์ (Sera Valorwind) ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“โอ้ ผม ซาลา… อ๊าก!”
ซาลารัสเผลอแนะนำตัวกลับไปตามปกติ แต่ยังพูดไม่ทันจบก็โดนแซนโดรเขกหัวจนหน้าคะมำซะก่อน
“…หมอนี่คือ ซาลาแน …เป็นลูกของเพื่อนที่ฉันได้รับการไหว้วานมาให้ช่วยดูแลน่ะ…”
“ซาลาแน เหรอคะ? อืม…”
เซร่ารู้สึกว่าชื่อของเด็กคนนี้ไปพ้องกับคำของภาษาหนึ่งซึ่งมีความหมายไม่สู้จะดีนัก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเพราะกลัวจะเป็นการเสียมารยาท ส่วนซาลก็เอามือคลำศีรษะเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและมองค้อนแซนโดรด้วยสายตาแง่งอนเล็กน้อย
“…ไม่ต้องห่วงหรอกนะซาลาแน …ทุกอย่างมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะ …แค่จังหวะไม่ดีเท่านั้นแหละ …ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก…”
แซนโดรพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางเอามือหยิกแก้มทั้งสองข้างของซาลแล้วดึงจนยืดออก ทำให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ พูดเรื่องอะไรเนี่ย!? แล้วทำไมการกระทำกับคำพูดมันถึงตรงข้ามกันเล่า!”
พอเห็นนิโคลทำท่าจะเข้ามาห้าม แซนโดรก็ยอมปล่อยมือแล้วแนะนำคนอื่นต่อ
“…คนผมฟ้าท่าทางใจดีนั่นคือนิโกะ …ส่วนคนผมทองที่มีแววตาชั่วร้ายนั่นคืออัลติม่า …ทุกคนเป็นสมาชิกของกลุ่มฉันเอง…”
“ยะ.. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ว่าใครมีแววตาชั่วร้ายน่ะหา!?”
นิโคลกับอัลติม่าต่างก็มีปฏิกิริยาต่อการแนะนำของแซนโดรแตกต่างกันออกไป
เซร่าได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เพื่อตอบรับการแนะนำเพราะรู้สึกว่าคนในกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กันแปลก ๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงทุบประตูเบา ๆ ดังขึ้น พร้อมกันมีเสียงคนแว่วเข้ามา
“คุณแซนโดร~ ทำไมถึงไม่ตามมาล่ะคะ? ใจร้ายที่สุดเลย~ ฮือ ๆ ~”
นั่นเป็นเสียงของลานาเทลที่มาเคาะประตูเพื่อขอกลับเข้ามาในห้องนั่นเอง แม้เธอจะทำเสียงเหมือนกับกำลังร้องไห้ แต่แค่ฟังก็รู้ว่านั่นเป็นแค่การแกล้งทำเท่านั้น ทว่านั่นก็ทำให้เซร่ายิ่งรู้สึกสับสนขึ้นไปอีก
“…ยัยเพี้ยนข้างนอกนั่นคือลานา… เฮล …เป็นสมาชิกอีกคนหนึ่ง …กลุ่มของเราก็มีสมาชิกทั้งหมดเท่านี้แหละนะ…”
“เอ่อ… ค่ะ… ว่าแต่ทำไมเขาเรียกคุณแซนดร้าว่าแซนโดรล่ะคะ?”
“…มันเป็นชื่อเล่นที่เรียกกันในกลุ่มน่ะ …ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก…”
“ค่ะ…”
เซร่าพยักหน้ารับทั้งที่ยังรู้สึกสับสนอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น
ระหว่างนั้นเองแซนโดรก็เหลือบไปเห็นของเหลวสีแดงเข้มค่อย ๆ ไหลลอดช่องใต้ประตูเข้ามาในห้อง เธอจึงเผลอแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา เซร่าที่เห็นท่าทางแบบนั้นเลยคิดจะหันไปมอง ทำให้แซนโดรต้องรีบความสนใจเอาไว้ซะก่อน
“…เอ่อ …เรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะ …เริ่มจากการเรียบเรียงข้อมูลก่อนละกัน…”
“อ่า… ได้ค่ะ”
แซนโดรพาเซร่าไปยังชั้นวางของที่อยู่ติดกับกำแพงเพื่อจัดเตรียมข้อมูล ระหว่างนั้นของเหลวสีแดงเข้มก็ค่อย ๆ ก่อรูปร่างขึ้นมาและกลายเป็นลานาเทลนั่นเอง
เซร่านำอุปกรณ์คล้ายกับแท่นวางอันเล็ก ๆ ที่มีหินเวทมนตร์ประดับอยู่ข้างบนออกมาจากช่องเก็บของเป็นจำนวนหลายชิ้น แล้วบรรจงวางมันลงบนชั้นวางของที่อยู่ติดกับกำแพงทีละชิ้น ๆ
เมื่อถือร่ายเวทเพื่อเปิดการทำงาน อุปกรณ์เหล่านั้นก็ฉายภาพข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมาบนกำแพง รวมทั้งมีแผงควบคุมสามมิติปรากฏขึ้นกลางอากาศเพื่อใช้ในการเรียกดูและตรวจสอบข้อมูลในแต่ละหน้าจอด้วย
นอกเหนือจากอุปกรณ์ที่ฉายภาพข้อมูลขึ้นบนผนังแล้ว เซร่าก็ยังนำแฟ้มข้อมูลที่เป็นเอกสารออกมาจากช่องเก็บของอีกนับสิบเล่ม และวางมันลงบนเตียงใกล้ ๆ จนพื้นที่ของเตียงทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแฟ้มเอกสาร
เมื่อนำของทุกอย่างออกมาวางเรียบร้อยแล้ว เซร่าก็เริ่มอธิบายรายละเอียดของเหตุการณ์การลอบสังหารที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ รวมไปถึงคดีฆาตกรรมของบีสเทียที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปี