Doombringer the 5th - ตอนที่ 55
Ch.55 – มายด์รีเวอร์
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 55
มายด์รีเวอร์
Part 1
เซร่าเล่ารายละเอียดของการลอบสังหารคณะทูตให้ทุกคนฟัง โดยใช้ภาพที่ฉายขึ้นบนหน้าจอเป็นเครื่องมือประกอบคำอธิบายด้วย
“จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต เมื่อคืนนี้ราว ๆ สี่ทุ่มครึ่ง ได้มีคนร้ายลอบเข้าไปยังเรือนรับรองของคณะทูตซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางของส่วนราชการแห่งเมืองเกรย์เมน ซึ่งจัดว่าเป็นเขตที่มีการคุ้มกันแน่นหนามาก แต่คนร้ายก็ยังสามารถเข้าไปถึงเรือนรับรองและสังหารคณะทูตพร้อมกับเหล่าทหารคุ้มกันจนเกือบหมด ก่อนจะหลบหนีออกไป กระบวนการทั้งหมดนี้ กองทหารคุ้มกันของเกรย์เมน รวมไปถึงกองกำลังป้องกันคณะทูตที่อยู่ในอาคารรอบนอกต่างก็ไม่มีใครรู้เห็นเลย จนกระทั่งทหารที่รอดชีวิตคบคลานออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
ผู้รอดชีวิตเล่าว่า คนร้ายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ทั้งยังลงมืออย่างเฉียบขาด ตัวเขาเองแค่รู้สึกเหมือนกับมีกระแสลมพัดผ่านไปเท่านั้น เมื่อรู้ตัวอีกที ตัวเองก็นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นแล้ว
แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เขาจึงพยายามคลานไปดูที่ห้องพักของคณะทูตก่อน และได้เห็นว่าคนร้ายคือรูดอลฟ์ เกรย์เมน หัวหน้าสมาคมนักผจญภัยของเมืองเกรย์เมน บุตรชายของเจ้าเมืองเกรย์เมนคนปัจจุบัน ทหารคุ้มกันเห็นเขาตอนกำลังกลายร่างจากมนุษย์กลายเป็นไลเคน (มนุษย์หมาป่า) พอดี ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปสังหารคณะทูตจนเสียชีวิตทั้งหมด และหลบหนีออกไปทางระเบียงด้านนอก
หลังจากเห็นเหตุการณ์ ผู้รอดชีวิตก็คบคลานออกมาที่ด้านหน้าของเรือนรับรอง ทำให้ทหารที่อยู่ด้านนอกรับรู้ถึงเหตุร้ายและรีบพาตัวเขาไปปฐมพยาบาล แต่บาดแผลของเขาสาหัสมาก ทำให้หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดไปได้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต
เมื่อรับทราบเรื่องนี้แล้ว ทางเราจึงส่งคนไปเชิญตัวรูดอลฟ์ที่สมาคมนักผจญภัยของเกรย์เมนเพื่อมาสอบปากคำ แต่ปรากฏว่าเขากลับขัดขืนต่อสู้และฆ่าเจ้าหน้าที่ที่ไปเชิญตัวจนเสียชีวิตไปสองคน กลุ่มเจ้าหน้าที่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากป้องกันตัวและได้สังหารรูดอลฟ์ไปในระหว่างต่อสู้นั้นเอง
หลังการต่อสู้ ทีมสืบสวนได้ทำการตรวจค้นห้องทำงานของรูดอลฟ์ และพบว่ามีห้องลับถูกซ่อนอยู่ด้านหลังของกำแพง ซึ่งภายในนั้นมีทั้งแผนผังและข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นในซิลวานอยู่มากมาย ทั้งคดีลักพาตัว คดีฆาตกรรมควักหัวใจ และคดีฆาตกรรมทั่วไป ที่น่าตกใจที่สุดคือมีข้อมูลเกี่ยวกับแผนการของสมาพันธ์ชาโดวแฟงที่ร่วมมือกับกลุ่มการเมืองของอินิสตร้าเพื่อคิดจะริดรอดฐานอำนาจของเผ่าเอลฟ์และเข้ายึดครองซิลวานด้วย
ในเวลาต่อมา แรนดอลฟ์ เกรย์เมน เจ้าเมืองเกรย์เมนและผู้นำแห่งสมาพันธ์ชาโดวแฟงซึ่งได้รับรู้ข่าวการตายของลูกชายก็เกิดความไม่พอใจอย่างมาก ยิ่งได้รับทราบข้อกล่าวหาเรื่องการสมคบคิดกับอินิสตร้าแล้วก็ยิ่งทำให้เขาออกอาการโกรธเกรี้ยว และหาว่าคนของอีเว่นสตาร์ลงมือเกินกว่าเหตุทำให้ลูกชายของเขาต้องเสียชีวิต และสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาใส่ร้ายเพื่อปกปิดความผิดนั้น เขาจึงทำการขับไล่คนของเผ่าเอลฟ์ทั้งหมดออกจากเมืองเกรย์เมน และประกาศปิดเมืองไม่ให้ใครเข้าออกอีก ทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์ที่ได้รับรายงานนี้จึงไม่พอใจมากและสั่งระดมกำลังเข้าปิดล้อมเมืองในเขตอิทธิพลของเผ่าเวอร์บีสเกือบทุกเมืองเพื่อป้องกันการเคลื่อนกำลังพล และเตรียมเข้ากวาดล้างในกรณีที่ทางสภามีมติว่าพวกเขาผิดจริงค่ะ”
ทุกคนฟังการบรรยายของเซร่าอย่างตั้งใจ
แซนโดรยืนฟังการบรรยายของเซร่าอยู่บริเวณกลางห้อง ส่วน ลานาเทล นิโคล อัลติม่า และ ซาล ต่างก็นั่งฟังการบรรยายอยู่บนเตียงแถว ๆ นั้นเอง
เมื่อเซร่าบรรยายจบ แซนโดรก็เอ่ยถามขึ้น
“…แปลว่าตอนนี้ทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์ก็ยังไม่มีมติที่แน่ชัดสินะ?…”
“ใช่ค่ะ พวกเขากำลังรอผลสรุปของการสอบสวนจากทางนี้อยู่… แต่ด้วยหลักฐานและข้อมูลที่คณะสืบสวนชุดแรกรายงานขึ้นไป บวกกับท่าทีของแรนดอลฟ์หลังเกิดเหตุ ก็ทำให้พวกเขาเชื่อเรื่องนี้ไปกว่าครึ่งแล้ว… หากเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านี่เป็นการจัดฉากของใครบางคนที่ต้องการจะสร้างความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้นละก็ ทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์คงมีมติไปในทางเดิม คือให้เคลื่อนกำลังพลเข้ากวาดล้างสมาพันธ์ชาโดวแฟงและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดค่ะ”
ระหว่างฟังคำอธิบายของเซร่า แซนโดรก็เลื่อนภาพในหน้าจอย้อนกลับไปดูข้อมูลของเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มอีกครั้ง หลังจากมองดูข้อมูลบนหน้าจอและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เอ่ยความเห็นออกมา
“…มันดูแปลกจริง ๆ นั่นแหละ คนร้ายอุตส่าห์หลบเร้นสายตาของแนวป้องกันชั้นนอกทั้งหมดเข้าไปได้ แต่กลับเลือกเข้าโจมตีด้านหน้าซึ่งมีทหารคุ้มกันเฝ้าอยู่ตรง ๆ ทั้งที่ถ้าเข้ามาทางระเบียงน่าจะง่ายกว่า …แถมการสังหารทหารคุ้มกันก็เหมือนจะทำก่อนที่จะกลายร่างเป็นไลเคนด้วย ซึ่งขีดความสามารถของร่างมนุษย์ไม่น่าจะสูงขนาดสังหารทหารคุ้มกันทั้งกลุ่มอย่างรวดเร็วราวกับสายลมได้ …แล้วพอลงมือเสร็จก็หนีออกทางระเบียงไป ทั้งที่ด้านหน้าก็ไม่มีทหารเหลืออยู่แล้ว เหมือนไม่อยากจะย้อนกลับทางเก่าด้วยเหตุผลบางประการงั้นแหละ…”
ซาลก็มีข้อสันนิษฐานไม่ต่างจากแซนโดรนัก คนร้ายเหมือนกับจงใจจะเหลือพยานรู้เห็นเอาไว้ ที่ไม่กลับทางเดิมอาจเพราะกลัวจะเป็นที่ผิดสังเกตเกินไปหากพบผู้รอดชีวิตแล้วไม่ลงมือฆ่าทิ้ง เขายังมีเรื่องที่สงสัยอีกหลายอย่าง แต่จะให้เอ่ยปากถามก็คงไม่เหมาะ จึงได้แต่รอฟัง
ในระหว่างนั้น เซร่าก็พยักหน้าในเชิงเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของแซนโดร ก่อนจะกล่าวต่อ
“ใช่แล้วค่ะ การกระทำของคนร้ายนั้นดูผิดปกติมากทีเดียว และอีกอย่างหนึ่งคือ แม้รูดอลฟ์จะเป็นนักสู้ฝีมือฉกาจ แต่คลาสหลักของเขาคือนักรบ ซึ่งเน้นทักษะการต่อสู้ซึ่ง ๆ หน้า ต่อให้อยู่ในร่างไลเคนก็ไม่น่าจะลงมือปลิดชีวิตของเหล่าทหารคุ้มกันได้อย่างรวดเร็วขนาดที่ไม่มีใครรู้ตัวหรอกนะคะ อันที่จริงแค่ให้เขาย่องผ่านเวรยามอันแน่นหนาที่เฝ้าอยู่รอบนอกเพื่อเข้าไปถึงเรือนรับรองคณะทูตก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ แต่ตรงนี้คนร้าย ‘ตัวจริง’ ก็เตรียมการเอาไว้แล้วเหมือนกัน”
“…เตรียมการเหรอ?…”
แซนโดรหันไปถาม เซร่าจึงสับเปลี่ยนภาพบนหน้าจอให้ฉายแผนผังแบบคร่าว ๆ ของเรือนรับรองขึ้นมาบนหน้าจอก่อนจะกล่าวต่อ
“หนึ่งในข้อมูลที่เราค้นได้จากห้องทำงานของรูดอลฟ์ก็คือแผนผังโครงสร้างของเรือนรับรองนี้ จะเห็นได้ว่ามีทางลับสำหรับใช้เป็นทางหลบหนีฉุกเฉินกรณีเกิดเหตุร้ายขึ้น ด้วยข้อมูลนี้ทำให้ทีมสืบสวนของอีเว่นสตาร์เข้าใจว่ารูดอลฟ์ใช้เส้นทางนี้ในการลอบเข้าไปในเรือนรับรองโดยไม่ให้ใครพบเห็น ซึ่งก็ตอบคำถามในเรื่องการหลบเลี่ยงสายตาของเวรยามที่อยู่ภายนอกได้ แต่นั่นก็ยังอธิบายการลงมืออันรวดเร็วเกินฝีมือของเขาไม่ได้หรอกค่ะ”
“…อืม สำหรับเรื่องรูปลักษณ์ที่ผู้รอดชีวิตเห็น ก็ใช่ว่าจะปลอมแปลงด้วยเวทมนตร์หรืออุปกรณ์แปลงโฉมไม่ได้ …แต่อีกฝ่ายก็ยังอุตส่าห์กลายร่างเป็นไลเคนให้ดูด้วย เหมือนกับจงใจจะทำให้เห็นว่าไม่ใช่การแปลงโฉมงั้นแหละ…”
“ใช่แล้วค่ะ การแปลงร่างของเผ่าเวอร์บีสน่ะจะทำให้ผลของเวทหรืออุปกรณ์แปลงโฉมคลายออก การจงใจแปลงร่างให้เห็นก็เหมือนพยายามพิสูจน์ว่าไม่ใช่ตัวปลอมอย่างออกนอกหน้าทีเดียว แต่เพราะแบบนี้จึงทำให้คณะสืบสวนตัดเรื่องการแปลงโฉมออกไปด้วย รูดอลฟ์จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง”
ในระหว่างที่คุยกันอยู่ ซาลก็ยกมือขึ้นเพราะมีเรื่องอยากจะถาม ทำให้เซร่าหันไปมองด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนแซนโดรก็หรี่ตามองด้วยสายตาหงุดหงิด
“เอ่อ… แล้วถ้าแปลงโฉมแค่ร่างมนุษย์ล่ะครับ? ถึงตอนแปลงร่างจะทำให้ผลการแปลงโฉมหลุดออก แต่ร่างมนุษย์หมาป่าของพวกไลเคนน่ะก็ดูเหมือน ๆ กันหมด คนทั่วไปน่ะแทบจะแยกไม่ออกเลย นั่นอาจเป็นเผ่าเวอร์บีสคนอื่นที่แปลงโฉมให้เหมือนรูดอลฟ์ก็ได้”
แม้แซนโดรจะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อยกับการสอดแทรกนี้ แต่เซร่าก็ยิ้มรับเพื่อแสดงเจตนาว่าไม่ถือสา ก่อนจะตอบคำถามกลับไป
“จริงอยู่ว่าร่างมนุษย์หมาป่าของพวกไลเคนจะดูคล้าย ๆ กันไปหมด แต่สำหรับคนในตระกูลเกรย์เมนนั้นจะต่างออกไปค่ะ เพราะพวกเขาจะมีแผงขนสีเทาอันเด่นชัดอยู่บริเวณต้นคอ เป็นลักษณะพิเศษของคนในตระกูลเกรย์เมน ซึ่งผู้รอดชีวิตก็เห็นลักษณะพิเศษนี้จากร่างไลเคนของคนร้ายอย่างชัดเจน และคนในตระกูลเกรย์เมนที่อยู่ในเมืองก็มีแค่รูดอลฟ์กับแรนดอลฟ์พ่อของเขาเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะคนร้ายจะเป็นใคร ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกันนักหรอกค่ะ”
“อ่า… แบบนี้คนร้ายก็น่าจะเป็นรูดอลฟ์แน่ ๆ ไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมคุณเซร่าถึงยังปักใจว่าไม่ใช่เขาล่ะ?”
แซนโดรถลึงตามองซาลด้วยความไม่พอใจมากขึ้นเพราะรู้สึกว่าเขาจะถามซอกแซกมากเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ทันสังเกต ส่วนทางเซร่าก็ยิ้มละไมก่อนจะตอบคำถามของซาลกลับมาเช่นเคย
“นั่นเพราะฉันเฝ้าจับตารูดอลฟ์มาพักหนึ่งแล้วค่ะ เพราะว่าคดีที่เกิดขึ้นในบีสเทียและอีเว่นสตาร์นั้นมักจะมีเบาะแสที่เชื่อมโยงกลับมายังสมาพันธ์เวอร์บีส ทำให้ฉันพุ่งความสนใจมายังตระกูลเกรย์เมนซึ่งเป็นผู้นำของสมาพันธ์ เรียกว่าเป็นการตกหลุมพรางที่คนร้ายตัวจริงขุดล่อเอาไว้ก็ได้ คนในหน่วยสืบสวนของอีเว่นสตาร์ก็ถูกชักจูงมาในทางเดียวกัน แต่ฉันในฐานะที่เป็นหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยจึงมีอิสระในการเคลื่อนไหวมากกว่า ทำให้สามารถดำเนินการสืบสวนเป็นทางลับได้หลายวิธี เลยรู้เรื่องราวในเชิงลึกมากกว่าด้วย ทั้งอุปนิสัย, ฝีมือ, และความสัมพันธ์กับผู้คน
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่ารูดอลฟ์น่ะไม่มีความสามารถในการลอบเร้นหรือลอบสังหาร เราตรวจสอบเรื่องนี้จนแน่ใจแล้ว ส่วนทหารที่ยืนยามอยู่ตั้งแต่ทางเดินด้านนอกเข้าไปจนถึงหน้าห้องพักของคณะทูตน่ะมีทั้งหมด 24 คนด้วยกัน แต่ทุกคนกลับถูกฆ่ามาจนถึงหน้าห้องโดยไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องนี้แม้แต่มือสังหารที่เชี่ยวชาญก็ยังทำไม่ได้ง่าย ๆ เลยค่ะ เรียกว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าฝีมือของรูดอลฟ์ไปมาก
อีกเรื่องหนึ่งคือ ความจริงแล้วรูดอลฟ์ไม่ใช่ลูกชายคนโปรดสักเท่าไหร่หรอกค่ะ เขาเป็นคนมุทะลุ ไม่คิดหน้าคิดหลัง ชอบวางอำนาจ ทำเรื่องที่ขัดแย้งกับคนอื่น ๆ เสมอ ผิดกับพ่อของเขาแทบจะเป็นคนละคน เรียกว่าไม่ใช่คนที่แรนดอลฟ์จะไว้ใจขนาดที่ฝากฝังให้ทำเรื่องสำคัญ ๆ ได้เลย ดังนั้นการที่เราเจอข้อมูลสำคัญระดับที่กำหนดชะตากรรมขององค์กรเป็นจำนวนมากในห้องทำงานลับของเขาน่ะจึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเซร่า ซาลก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและไม่ได้ถามอะไรอีก แซนโดรจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง
“…แล้วหลักฐานที่พบในห้องทำงานลับน่ะมีอะไรบ้าง?…”
“เรื่องนั้นก็มีตั้งแต่ข้อมูลรายละเอียดของคดีฆาตกรรมควักหัวใจ, บัญชีการจัดส่ง ‘สินค้า’ ไปยังอินิสตร้า, รายชื่อและกำหนดการของเหล่าชนชั้นสูงเผ่าเอลฟ์ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของสมาพันธ์ชาโดวแฟง ซึ่งส่วนหนึ่งได้ถูกสังหารไปแล้ว, แผนผังการขยายอำนาจของสมาพันธ์ชาโดวแฟงที่วางแนวทางล่วงหน้าเอาไว้ถึงสิบปี ว่าจะแผ่อิทธิพลและรุกคืบกินดินแดนของซิลวานอย่างไร, แผนการลิดรอนอำนาจของเผ่าเอลฟ์ และก่อความวุ่นวายด้วยการเมืองภายในเพื่อให้อีเว่นสตาร์อ่อนแอลง, สุดท้ายคือเอกสารที่บ่งชี้ว่ามีการติดต่อกับกลุ่มอำนาจของทางอินิสตร้า เพื่อการเป็นพันธมิตรในการดำเนินแผนการนี้”
“…เป็นคนที่ขยันดีนะ หมอนี่น่ะ…”
“หุหุหุ ใช่แล้วค่ะ หลักฐานที่อยู่ในห้องนั้นน่ะดูเป็นการจงใจจะยัดเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องลงไปจนล้นปรี่เลยทีเดียว”
แม้จะหัวเราะกับคำพูดประชดประชันของแซนโดร แต่สีหน้าของเซร่าก็ยังฉายแววเหนื่อยใจออกมา
“ถึงมันจะดูชัดเจนจนเป็นการจงใจ แต่หลักฐานที่ปรากฏย่อมมีน้ำหนักกว่าความเคลือบแคลงที่เป็นความรู้สึก ทางสภาสูงของอีเว่นสตาร์จึงค่อนข้างปักใจเชื่อในหลักฐานเหล่านี้มากกว่า เขาให้เวลาเรา 48 ชั่วโมง ในการรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมและคลี่คลายคดีนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเวลาอีก 44 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดแล้วหากยังไม่ได้บทสรุป ทางสภาก็จะยืนยันตามผลการสอบสวนเดิม คือสมาพันธ์ชาโดวแฟงและเผ่าเวอร์บีสคิดกบฏต่อซิลวาน พวกเขาจะใช้กำลังเข้ากวาดล้าง รวมทั้งอาจเนรเทศประชาชนชาวเวอร์บีสอีกเป็นจำนวนมากออกไปจากซิลวานด้วยค่ะ…”
เซร่าเล่าออกมาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล สื่อว่าเธอรู้สึกเป็นห่วงกับสถานการณ์นี้มาก ซาลกับนิโคลที่พอจะเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์นี้จึงรู้สึกตึงเครียดไปด้วย ผิดกับแซนโดร ลานาเทล และอัลติม่า ที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก
แซนโดรคิดในใจว่าการกวาดล้างเผ่าเวอร์บีสน่าจะใช้เวลาไม่เกินสองหรือสามวัน เพราะแม้จะเรียกว่าสงคราม แต่กำลังของทั้งสองฝ่ายก็ต่างกันมากจนเหมือนเป็นการกวาดล้างมากกว่า รวม ๆ แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดก็น่าจะจบลงในเวลาไม่เกินห้าวัน ซึ่งน่าจะเร็วกว่าการค่อย ๆ เดินทางไปเทมเพอเรียเพื่อขึ้นเรือเหาะที่นั่น
ต่อให้ไขคดีไม่สำเร็จและเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ มันก็ไม่ทำให้เสียเวลามากเท่าไหร่นัก สำหรับแซนโดรแค่นี้ก็เป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว ส่วนเรื่องชะตากรรมของพวกเวอร์บีสจะเป็นยังไง ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเธอเลยสักนิด
แต่ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะไปโดมินาเรียให้เร็วที่สุด จึงคิดว่าจะลองพยายามไขคดีนี้ดูซะหน่อย เผื่อจะช่วยให้ออกเดินทางได้เร็วขึ้น
——————————————————————————————————–
Part 2
เซร่าใช้มือเปล่าจัดเรียงภาพบนหน้าจอที่ฉายอยู่บนกำแพงได้ราวกับมันเป็นภาพถ่ายที่ถูกแปะอยู่บนกระดาน เธอยังใช้ปากกาด้ามหนึ่งเขียนข้อความและลากเส้นแสดงความเชื่อมโยงภาพและเหตุการณ์บนหน้าจอนั้นได้เหมือนกับมันเป็นกระดานจริง ๆ ด้วย
บนกระดานนั้นเป็นข้อมูลและหลักฐานที่เชื่อมโยงความผิดของเหตุการณ์นี้เข้ากับสมาพันธ์เวอร์บีส ซึ่งหากตัดเรื่องที่ว่ามันชัดเจนจนเหมือนเป็นความจงใจออกไปแล้ว ทุกอย่างก็บ่งชี้ว่ารูดอลฟ์และสมาพันธ์เวอร์บีสเป็นคนร้ายอย่างชัดเจน
แซนโดรมองดูองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะแก้ต่างให้กับรูดอลฟ์ได้ จึงลองนึกหาความเป็นไปได้อื่น ๆ ขึ้นมา
“…เป็นไปได้รึเปล่าที่รูดอลฟ์จะถูกควบคุมอยู่น่ะ? เพราะดูแล้วคนที่ผู้รอดชีวิตเห็นก็ไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้ อีกอย่างคือความพยายามขัดขืนการจับกุมอย่างโง่ ๆ จนถูกฆ่าตายนั่นก็ดูสิ้นคิดเกินไปสักหน่อย เหมือนจงใจทำให้ตัวเองถูกฆ่าซะมากกว่า…”
“ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ น่าเสียดายที่จากการตรวจสอบของทีมสืบสวนก็ไม่พบกระแสเวทมนตร์แปลกปลอมตกค้างอยู่ในร่างกายของเขา เรื่องการถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์จึงเป็นอันตกไป”
“…แล้วถ้าถูกควบคุมด้วยความสามารถของเผ่าฮาลฟ์บีสล่ะ? …พวกฮาลฟ์บีสน่ะมีความสามารถพิเศษที่ไม่ขึ้นกับกฎของเวทมนตร์นี่นา …ถ้าเป็นความสามารถแบบนั้นก็ลงล็อคอยู่นะ…”
“เรื่องนั้นก็เป็นไปได้อยู่ค่ะ แต่เผ่าฮาลฟ์บีสน่ะจะมีการขึ้นทะเบียนผู้มีความสามารถพิเศษเอาไว้หมดแล้ว โดยจะมีการทดสอบเมื่ออายุครบสิบปีพื่อตรวจสอบว่าใครมีความสามารถอะไรบ้าง เพราะหากโตกว่านี้แล้วความสามารถยังไม่ปรากฏก็แปลว่าไม่มีความสามารถพิเศษค่ะ นี่เป็นนโยบายของซิลวานเพราะความสามารถพิเศษที่อยู่เหนือกฎของธรรมชาตินี้ทำให้ยากต่อการควบคุมดูแลคดีต่าง ๆ เราจึงให้ทางบีสเทียทำการตรวจสอบและเก็บประวัติประชากรทุกคนเอาไว้เพื่อให้ง่ายต่อการหาตัวผู้กระทำผิด
จากที่ฉันเช็คกับคุณคอร์แมคมา ความสามารถในการควบคุมจิตใจเป็นความสามารถระดับสูงที่หายาก ในรอบหนึ่งร้อยปีจะมีปรากฏให้เห็นสักหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งคนล่าสุดที่เคยได้รับการบันทึกเอาไว้ก็เสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณสิบปีก่อน ทำให้บีสเทียตอนนี้ไม่มีผู้ที่มีความสามารถในลักษณะนี้เหลืออยู่อีกต่อไปแล้วค่ะ”
“…เป็นไปได้รึเปล่าที่จะมีคนที่ตกสำรวจไปน่ะ?…”
“เรื่องนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะแม้แต่แม้แต่ชาวฮาลฟ์บีสที่ไปเกิดในอาณาจักรอื่น ๆ ก็ยังต้องได้รับการทดสอบความสามารถเมื่ออายุครบสิบขวบและขึ้นทะเบียนไว้ มันเป็นนโยบายความปลอดภัยที่ทุกอาณาจักรมีร่วมกัน การจะเล็ดรอดหรือตกสำรวจไปนั้นคงจะเป็นเรื่องยาก แต่ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้สภาสูงแห่งอีเว่นสตาร์ทบทวนการโจมตีอยู่ดีค่ะ”
แซนโดรเริ่มมีสีหน้าปั้นยากขึ้นเพราะการแก้ต่างให้กับรูดอลฟ์นั้นเป็นอะไรที่มืดแปดด้านจริง ๆ ซึ่งเซร่าก็พอจะเข้าใจดีจึงนำเสนอแนวคิดของเธอขึ้นมา
“ถึงแม้การหาช่องโหว่ในคดีลอบสังหารคณะทูตจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับคดีอื่น ๆ น่ะยังพอมีหวังอยู่ ซึ่งถ้าเราหาตัวคนร้ายของคดีที่เกี่ยวข้องได้ และเชื่อมโยงแผนการทั้งหมดให้ทางสภาสูงเห็นว่ามันเป็นความพยายามของใครบางคนที่คิดจะสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา เราก็อาจคลี่คลายคดีลอบสังหารคณะทูตได้ในที่สุดค่ะ”
เซร่าเดินไปที่จอภาพอีกอันซึ่งยังว่างเปล่าอยู่ และเคาะนิ้วลงบนอุปกรณ์ฉายภาพเบา ๆ ทันใดนั้นก็เริ่มมีภาพและข้อความต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
“นี่คือข้อมูลของคดีฆาตกรรมควักหัวใจในบีสเทีย คดีนี้ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการเมื่อราว ๆ หกปีก่อน ตอนเหยื่อรายที่สามถูกพบ แต่พอฉันตรวจสอบย้อนหลังกลับไปแล้วพบว่าความจริงการฆาตกรรมน่าจะเกิดขึ้นมาร่วมแปดปีแล้ว”
“…แปดปีเหรอ?…”
“ใช่แล้วค่ะ เพราะเหยื่อรายอื่น ๆ ไม่ใช่พวกฮาลฟ์บีส แถมรูปแบบการตายก็ยังแตกต่างกันด้วย มันเลยไม่ถูกบันทึกไว้เป็นคดีเดียวกันน่ะค่ะ”
“…ถ้างั้นทำไมเธอถึงคิดว่ามันเกิดจากฆาตกรคนเดียวกันล่ะ?…”
“ขอเริ่มอธิบายจากเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องช่วงหกปีหลังก่อนนะคะ เหยื่อทุกรายจะถูกฆ่าโดยควักเอาหัวใจออกไปและทิ้งศพเอาไว้ในสภาพสมบูรณ์ ทำให้ถูกเรียกว่า ‘มายด์รีเวอร์’ (Mind Reaver) เพราะชิงเอาหัวใจของเหยื่อไป นอกจากนี้ยังมีการเขียนอักษรเลือดไว้บนศพเป็นข้อความว่า ‘มีความผิด’ (Guilty) ด้วย ทำให้บางคนก็ให้ฉายาฆาตกรว่า ‘ตุลาการทมิฬ’ (Dark Judge) เช่นกัน แต่ชื่อมายด์รีเวอร์จะเป็นที่แพร่หลายกว่า
ในช่วงหกปีมานี้ มีคนของเผ่าฮาลฟ์บีสตกเป็นเหยื่อของมายด์รีเวอร์ไปทั้งหมด 15 คนด้วยกัน นี่นับเฉพาะคนที่ถูกฆ่าตายในลักษณะนี้ ยังมีเหยื่ออีกจำนวนหนึ่งที่ตายในรูปแบบอื่น ๆ อีก เราเลยไม่สามารถยืนยันความเกี่ยวข้องได้ สำหรับรายละเอียดของเหยื่อทั้งหมดอยู่ในแฟ้มเอกสารตรงนั้นค่ะ”
เซร่าอธิบายพลางชี้ไปยังแฟ้มเอกสารกองหนึ่งซึ่งวางอยู่บนเตียงใกล้ ๆ
อัลติม่าที่รู้สึกเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำก็เลยหยิบแฟ้มพวกนั้นขึ้นมาเปิดดู ซึ่งซาลค่อนข้างสนใจเรื่องนี้อยู่แล้วจึงเข้าไปนั่งเบียดอัลติม่าเพื่อดูแฟ้มด้วย ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเขินนิดหน่อย แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้
แซนโดรมองดูภาพของเหยื่อทั้งหมดที่ขึ้นบนหน้าจอแล้วพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามข้อมูลเพิ่มเติม
“…ฆาตกรคนนี้ มีการเลือกเหยื่อยังไงเหรอ?…”
“จากที่ฉันสืบทราบมา ผู้ตายเกือบทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ซึ่งมีสมาพันธ์ชาโดวแฟงอยู่เบื้องหลังค่ะ แม้ในช่วงแรกจะไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสที่ชัดเจนนัก แต่ในช่วงหลัง ๆ ก็มีร่องรอยให้ทีมสืบสวนของเราทำการเชื่อมโยงได้อยู่ เป็นความจงใจอีกอย่างหนึ่งของคนร้ายเช่นกัน แต่มันก็ไม่ใช่การใส่ความหรือสร้างหลักฐานเท็จอะไร เพราะจากการตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างเป็นความจริง เราจึงให้น้ำหนักไปที่การแก้แค้นของชาวฮาลฟ์บีสที่ไม่พอใจกับขบวนการค้ามนุษย์ค่ะ”
ในระหว่างนั้น ซาลก็กวาดสายตาดูแฟ้มของเหยื่อเผ่าฮาลฟ์บีสแต่ละรายโดยเน้นไปที่ข้อมูลความสามารถพิเศษ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกสนใจเป็นการส่วนตัว เขาพบว่าควาสามารถของเผ่าฮาลฟ์บีสนั้นค่อนข้างหลากหลาย คือมีตั้งแต่ความสามารถอย่างการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสื่อบันทึกต่าง ๆ ไปจนถึงความสามารถในการแช่แข็งสสารผ่านการสัมผัสได้
แซนโดรมองดูข้อมูลบนกระดานอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ
“…แล้วเหยื่อของการฆาตกรรมอีกกลุ่มหนึ่งล่ะ?…”
“อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นคนของเผ่าเวอร์บีส ซึ่งมีทั้งชาวบ้านทั่วไปจนถึงสมาชิกระดับสูงของสมาพันธ์ชาโดวแฟง หลายคนในกลุ่มนี้ถูกสังหารไปตั้งแต่ช่วงแปดปีที่แล้ว หรือก่อนหน้าจะเกิดคดีฆาตกรรมควักหัวใจราว ๆ สองปีค่ะ”
“…เธอบอกว่าพวกนั้นเป็นเหยื่อของ ‘มายด์รีเวอร์’ ทั้ง ๆ ที่รูปแบบการฆ่าไม่ตรงกันสินะ? …เพราะอะไรเหรอ?…”
“ค่ะ ถึงแม้ว่ารูปแบบการตายจะไม่เหมือนกัน แต่บาดแผลที่เราพบบนตัวศพน่ะจะมีลักษณะพิเศษที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง”
“…ลักษณะพิเศษ?…”
“แม้บาดแผลจะดูเหมือนถูกเฉือนด้วยของมีคม แต่เมื่อชันสูตรแบบละเอียดแล้วพบว่าที่ปากแผลไม่มีรอยช้ำจากแรงกระทำภายนอกเลย ทั้งผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือแม้แต่กระดูก ต่างก็แยกออกจากกันราวกับมันไม่ได้เชื่อมติดกันมาตั้งแต่แรกแล้ว เหยื่อที่ตายในช่วง 2 ปีแรกต่างก็ตายด้วยบาดแผลในลักษณะนี้ทั้งนั้นค่ะ”
“…บาดแผลลักษณะนี้ …น่าจะเป็นความสามารถพิเศษ ประเภท ‘เทเลคิเนซิส’ รึเปล่า?…”
‘เทเลคิเนซิส’ (Telekinesis) คือพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายสสารต่าง ๆ ได้ด้วยความคิด ยิ่งเป็นผู้ที่มีความชำนาญสูงก็จะยิ่งควบคุมสสารได้ในระดับที่ละเอียดยิ่งขึ้น หรือเคลื่อนย้ายสสารที่มีมวลมากขึ้นได้
“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นผู้ใช้ ‘เทเลคิเนซิส’ ในระดับสูง จะสามารถควบคุมและเคลื่อนย้ายกล้ามเนื้อหรือเซลล์ในร่างกายสิ่งมีชีวิตได้เลยทีเดียว การจะสร้างบาดแผลแบบนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ฉันจึงคิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถในด้านเทเลคิเนซิสน่ะค่ะ”
“…แบบนี้ก็น่าจะระบุตัวผู้ต้องสงสัยเข้ามาได้แคบมากแล้วไม่ใช่เหรอ? …ถ้าค้นหาคนที่มีพลัง ‘เทเลคิเนซิส’ จากทะเบียนของเผ่าฮาลฟ์บีสละก็…”
แซนโดรพูดยังไม่ทันจบก็นึกขึ้นได้ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่เซร่าได้ลองทำไปแล้ว ซึ่งก็เป็นดังคาด เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เซร่าก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“ฉันลองประสานงานกับคุณคอร์แมคเพื่อสืบค้นในทะเบียนราษฎร์แล้วค่ะ และพบว่าผู้ใช้ ‘เทเลคิเนซิส’ ส่วนใหญ่ได้ตายไปหมดแล้ว เพราะผู้ใช้พลังกลุ่มนี้มักจะทำงานสายต่อสู้ เช่นเข้าร่วมหน่วยทหารหรือเป็นนักผจญภัย นอกจากนี้ยังไม่มีผู้ใช้ ‘เทเลคิเนซิส’ คนใหม่ ๆ เกิดขึ้นเลยในช่วง 26 ปีมานี้ จึงพูดได้ว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใช้ ‘เทเลคิเนซิส’ อยู่ในทะเบียนเลย”
“…แต่อาจมีคนที่ตกสำรวจ หรือผู้ที่รอดชีวิตอยู่ก็ได้สินะ?…”
“ก็เป็นไปได้ค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่มีทางพิสูจน์หรือหาตัวเขาได้อยู่ดี…”
แซนโดรพยักหน้าเห็นด้วยกับเซร่า ก่อนจะมองดูข้อมูลส่วนอื่น ๆ และสอบถามต่อ
“…อืม …ผู้ตายที่เธอบันทึกให้เป็นเหยื่อรายแรกเมื่อแปดปีก่อนเนี่ยเป็นชาวเวอร์บีสสินะ?…”
“ใช่แล้วค่ะ ในช่วงสองปีแรก เหยื่อเป็นชาวเวอร์บีสทั้งหมด และเป็นผู้ที่อยู่ภายในหรือเกี่ยวข้องกับสมาพันธ์ชาโดวแฟงทั้งนั้นเลยด้วย จนกระทั่งเข้าปีที่สามก็เริ่มมีเผ่าฮาลฟ์บีสตกเป็นเหยื่อสลับกับพวกเวอร์บีส และในช่วงสามปีหลังก็ยังเกิดคดีฆาตกรรมอีกมากมายที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของ ‘มายด์รีเวอร์’ เหมือนกันค่ะ”
“…เพราะบาดแผลบนศพเกิดจาก ‘เทเลคิเนซิส’ เหมือนกันเหรอ?…”
“เปล่าค่ะ บาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตนั้นแตกต่างกันไป ไม่มีแผลที่เกิดจาก ‘เทเลคิเนซิส’ เลย แต่ที่ฉันคิดว่ามันเกี่ยวข้องกันเพราะฐานะของแต่ละคน และกระแสข่าวที่เกิดขึ้นหลังการตายของพวกเขาต่างหาก”
“…ฐานะและกระแสข่าว? หมายความว่ายังไง?…”
เซร่าใช้มือเลื่อนภาพบนหน้าจออีกครั้งเพื่อให้แสดงข้อมูลของกลุ่มผู้ตายที่เธอกำลังพูดถึง ก่อนจะอธิบายต่อ
“ผู้ตายส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์โดยตรง แต่ก็เป็นคนในครอบครัวหรือญาติพี่น้องของผู้ที่มีบทบาททางการเมืองของแต่ละเผ่าพันธุ์แทบทั้งสิ้น อีกทั้งหลังการตายของแต่ละคนก็จะมีข่าวลือเกี่ยวกับผู้เกี่ยวข้องเกิดขึ้นทันที ซึ่งเรื่องราวที่ลือกันก็มีอยู่มากมายหลายหลาก แต่โดยสรุปใจความแล้วคือมันเป็นการพยายามขยายอิทธิพลของสมาพันธ์ชาโดวแฟงที่ต้องการจะแสดงอำนาจต่อผู้ที่ขัดขวางพวกเขา ในขณะเดียวกัน เมื่อมีเผ่าเวอร์บีสถูกสังหาร ก็จะเกิดข่าวลือขึ้นว่าเป็นการแก้แค้นจากกลุ่มอำนาจของอีเว่นสตาร์หรือบีสเทีย ซึ่งเหล่าญาติของผู้เสียชีวิตที่ได้รับทราบข่าวลือนี้ไปย่อมเกิดความเชื่อและความเจ็บแค้นขึ้นอย่างง่ายดาย”
“…นี่เป็นคดีที่เธอเคยบอกว่าคนร้ายทิ้งหลักฐานชี้นำเอาไว้ให้แต่ละฝ่ายเชื่อว่าเป็นการกระทำของฝ่ายตรงข้ามสินะ?…”
“ใช่ค่ะ แต่จะบอกว่าจงใจทิ้งหลักฐานเอาไว้ก็ไม่เชิงซะทีเดียว ต้องบอกว่าคนร้ายพยายาม ‘ซ่อน’ หลักฐานเอาไว้เป็นเบาะแส ให้ทีมสืบสวนต้องใช้ความพยายามนิดหน่อยในการหาจึงจะพบ มันเลยดูเหมือนกับเป็นหลักฐานจริง ๆ มากกว่าเป็นความพยายามชี้นำ แต่ที่เกิดเหตุทุกแห่งจะมีหลักฐานให้พบแน่นอน 100% ไม่มีพลาดเลย มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างผิดธรรมชาติพอสมควรค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเซร่า แซนโดรก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ถูกควักหัวใจและเป็นเหยื่อของ ‘มายด์รีเวอร์’ ส่วนอีกกลุ่มเป็นญาติพี่น้องของผู้มีบทบาททางการเมืองซึ่งถูกฆ่าด้วยวิธีการอันหลากหลาย
จุดร่วมที่เหมือนกันของทั้งสองกลุ่มก็คือความเกลียดชังที่มีต่อเผ่าเวอร์บีส ผู้ที่ถูกมายด์รีเวอร์ฆ่าล้วนแล้วแต่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ซึ่งมีสมาพันธ์ชาโดวแฟงอยู่เบื้องหลัง ส่วนอีกกลุ่มที่ถูกฆ่าก็เพื่อเพาะบ่มความเกลียดชังระหว่างเผ่าพันธุ์โดยมุ่งเน้นไปที่เผ่าเวอร์บีสเช่นกัน สรุปว่าผู้ที่ก่อคดีทั้งสองคดีมีเป้าหมายอยู่ที่เผ่าเวอร์บีสทั้งสิ้น ทำให้ข้อสันนิษฐานของเซร่าที่ว่ามันเป็นการกระทำของคน ๆ เดียวกันเริ่มจะมีมูลขึ้นมา
เพราะเวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะบ่ายแล้ว เซร่าจึงตัดสินใจพักการสืบสวนไว้ก่อนเพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารกลางวันกัน แล้วค่อยกลับมาดำเนินการสืบสวนต่อในช่วงบ่ายอีกที
——————————————————————————————————–
Part 3
เซร่าพาทุกคนมาเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในตัวเมือง จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังสถานทูตของอีเว่นสตาร์ที่อยู่ในเมืองบีสเทีย เพื่อที่จะรวบรวมรายงานและข้อมูลเพิ่มเติมจากคนของสถานทูต
แซนโดรเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปสถานทูตพร้อมกันทั้งหมด และอาจต้องใช้เวลาที่นั่นอีกพักหนึ่ง จึงให้ซาล นิโคล ลานาเทล และอัลติม่า แยกตัวกลับมาก่อน
เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้ว ซาลก็นำแฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่เซร่าทิ้งไว้ออกมากางดูทีละเล่ม พร้อมทั้งทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นิโคลที่ไม่เข้าใจว่าซาลกำลังทำอะไรจึงกลัวว่าเขาจะถูกแซนโดรดุเอาที่ไปคุ้ยเอกสารออกมา ก็เลยพยายามพูดปรามเอาไว้
“คุณซาลารัสคะ อย่าซนสิคะ เดี๋ยวก็โดนคุณแซนโดรดุเอาหรอก”
“เปล่าซนซะหน่อย ผมแค่รู้สึกเหมือนกับว่ามีสิ่งที่น่าจะเชื่อมโยงกันได้ในแฟ้มเอกสารพวกนี้น่ะ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่ามันเชื่อมโยงกันตรงไหน…”
ซาลยังคงนำแฟ้มต่าง ๆ ออกมากางเพื่อดูข้อมูลเปรียบเทียบกันไปเรื่อย ๆ โดยมีนิโคลเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ส่วนอัลติม่าที่รู้สึกเบื่อก็กลับไปนอนกลิ้งบนที่นอนของตัวเองและงีบหลับไปในที่สุด
เป็นเวลาไม่นาน แซนโดรก็กลับมาที่ห้องเพียงลำพัง ซึ่งเมื่อเข้ามาเจอเอกสารที่วางกระจัดกระจายอยู่ทั้งบนพื้นและบนเตียงก็ทำให้เธอขมวดคิ้วขึ้นมา
นิโคลที่เห็นว่าแซนโดรกำลังจะอารมณ์เสียจึงรีบพูดตัดบทซะก่อน
“เอ่อ~ ไปสอบถามข้อมูลมาเป็นยังไงบ้างคะ? มีความคืบหน้ารึเปล่า?”
แซนโดรที่พอจะเข้าใจเจตนาของนิโคลจึงสงบอารมณ์แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบคำถามกลับไปแบบห้วน ๆ
“…ก็ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ …มีแต่เรื่องแปลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ …”
“เอ๋? แปลกยังไงเหรอคะ?”
แซนโดรเดินอ้อมแฟ้มที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นแล้วมานั่งลงบนเตียงใกล้ ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
“…ตะกี้ฉันไปลองสอบปากคำทหารที่รอดชีวิตมา ปรากฏว่าสิ่งที่หมอนั่นพูดมันฟังดูแปลก ๆ ”
เรื่องนี้ทำให้ซาลสนใจมาก เขาจึงรีบเอ่ยถามขึ้น
“สอบปากคำทหารที่รอดชีวิต? ยังมีคนอื่นรอดชีวิตอีกเหรอ?”
“…เปล่าหรอก ก็คนเดิมนั่นแหละ คนที่ตายไปแล้วน่ะ…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งซาลและนิโคลต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ก่อนจะถามต่อ
“หา? คนที่ตายไปแล้ว? แล้วแซนโดรไปถามเขาได้ยังไงน่ะ?”
“…ก็ต้องด้วยการใช้ ‘เนโครแมนซี่’ อยู่แล้วน่ะสิ…”
‘เนโครแมนซี่’ (Necromancy) คือเวทเกี่ยวกับความตาย ซึ่งเป็นสายวิชาหลักของทั้งเหล่าเนโครแมนเซอร์และลิช เพียงแค่วิชาขั้นพื้นฐานก็ทำให้สามารถพูดคุยกับ ‘จิตที่หลงเหลือ’ ของศพได้แล้ว หรืออาจจะปลุกชีพศพขึ้นมาด้วยการใส่วิญญาณเทียมลงไปเลยก็ได้ แต่นี่นับเป็นวิชาต้องห้ามซึ่งถือว่าละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างร้ายแรง เพราะแม้ในศพจะไม่มีวิญญาณ แต่ ‘จิตที่หลงเหลือ’ ก็มีความทรงจำของเจ้าตัวตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ในสมัยก่อนจึงมีคนพยายามใช้วิชานี้ในการล้วงความลับจากซากศพเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ทำให้พีชคีปเปอร์ต้องบัญญัติโทษสูงสุดให้กับผู้ที่ใช้วิชาต้องห้ามนี้ ถึงขั้นระวางโทษสูงสุดคือเผาทั้งเป็น
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ซาลนึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วแซนโดรเป็นลิชนี่นา การที่สามารถใช้วิชาเหล่านี้ในการพูดคุยกับศพได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถึงกระนั้นนี่ก็ยังเป็นการกระทำที่เสี่ยงเกินไปอยู่ดี เขาจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวลใจ เพราะบางครั้งแซนโดรก็เป็นคนที่เลินเล่ออย่างไม่น่าเชื่อได้เหมือนกัน
“นี่! ตอนทำน่ะคงไม่มีใครเห็นหรอกนะ?”
“…อย่าพูดโง่ ๆ น่ะ คิดว่าฉันเป็นใครกัน? …ฉันบอกกับเซร่าว่าจะขอไปชันสูตรศพดูด้วยตัวเอง …ระหว่างนั้นก็อยู่ในห้องชันสูตรแค่คนเดียว ไม่ได้มีใครอยู่ด้วยหรอก…”
ซาลยังทำสายตาไม่ไว้วางใจ เหมือนจะสื่อว่า ที่น่าเป็นห่วงก็เพราะเป็นแซนโดรนี่แหละ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น และกลับเข้าเรื่องต่อ
“ที่ว่าเจอเรื่องแปลก ๆ เนี่ยคือยังไงเหรอ?”
“…อืม ‘จิตหลงเหลือ’ ของทหารที่เห็นเหตุการณ์น่ะ ไม่ว่าจะถามว่าอะไร ข้อความที่เขาพูดออกมาก็จะเป็นประโยคเดิม ๆ …คือเขาตอบได้แค่ว่าเห็นรูดอลฟ์ซึ่งเป็นคนร้ายแปลงร่างเป็นไลเคนเข้าไปสังหารคณะทูต แต่ถ้าถามอะไรนอกเหนือจากนั้นเขาจะตอบไม่ได้เลย …ราวกับมันเป็นข้อมูลที่ถูก ‘ใส่’ ลงไปในหัวของเขา ให้มีความทรงจำนั้นอยู่ แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันมาได้ยังไงกันแน่…”
“เอ~ จิตหลงเหลือของศพน่ะบางทีก็มีความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ได้รึเปล่าคะ?”
ลานาเทลที่นั่งฟังการสนทนาอยู่บนเตียงใกล้ ๆ แสดงความเห็นออกมา แต่แซนโดรก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“…เวทนี้น่ะความจริงมันเป็นการคัดลอกความทรงจำที่อยู่ในสมองของศพออกมา …หากสมองไม่ได้รับความเสียหายหรือยังไม่เสื่อมสภาพจนเกินไปนัก ก็ควรจะได้จิตและความทรงจำที่สมบูรณ์ …แต่นี่ทั้งที่สมองของศพก็มีสภาพสมบูรณ์ดี จิตที่หลงเหลือกลับมีความทรงจำไม่สมบูรณ์ซะได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลก…”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็รู้สึกเหมือนจะปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง และเริ่มคุ้ยแฟ้มเอกสารต่ออย่างกระตือรือร้น เป็นเวลาเดียวกับที่เซร่ากลับมาถึงห้องพอดี
เซร่าแยกตัวไปเพื่อขอประสานงานกับทางเกรย์เมนอีกครั้ง เพื่อที่จะขอเข้าไปเจรจาความขัดแย้งพร้อมทั้งสืบคดีด้วย แต่ดูจากสีหน้าผิดหวังของเธอแล้ว ผลของการเจรจาคงออกมาไม่ดีเท่าไหร่นัก ถึงกระนั้นแซนโดรก็ยังต้องถามเพื่อให้รู้รายละเอียด
“…ทางนั้นยังไม่ยอมเจรจาเหรอ?…”
“ค่ะ ถึงพวกเขาจะยอมส่งตัวแทนออกมารับฟังข้อเสนอ แต่แรนดอลฟ์ก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรกลับมา เขายังคงปิดเมืองเงียบ และไม่ยอมให้เราเข้าไปเจรจาหรือสืบคดีต่อ แบบนี้ไม่เป็นผลดีเท่าไหร่เลยค่ะ”
เซร่าพูด พลางเดินกลับมาที่หน้าจอซึ่งฉายภาพข้อมูลอยู่
“แต่จากการพูดคุยกับคนของเกรย์เมน ทำให้เราพบข้อบกพร่องในการพยายามสร้างหลักฐานของคนร้ายเพิ่มขึ้นมาอีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือทางลับที่คาดว่าคนรูดอลฟ์ใช้ในการเล็ดรอดสายตาของหน่วยคุ้มกันเพื่อเข้าไปยังเรือนรับรองน่ะ ความจริงมันถูกปิดไปนานแล้วเพราะผนังเกิดถล่มลงมาจากแผ่นดินไหวเมื่อหนึ่งปีก่อน แปลว่าไม่สามารถใช้เป็นเส้นทางในการลักลอบเข้าไปในเรือนรับรองได้เลย
นอกจากนี้คนของเกรย์เมนยังยืนยันว่าหลังจบงานเลี้ยงรับรองแล้ว รูดอลฟ์ก็อยู่แต่ในสำนักงานของสมาคมนักผจญภัยตลอด โดยไม่ได้ออกไปไหนเลย มีพยานหลายคนที่ยืนยันได้ว่าในเวลาก่อนเกิดเหตุน่ะเขากำลัง… หาความสุขจากพวกสาวใช้อยู่… แต่เรื่องนี้เราก็คงเอามาใช้เป็นข้อแก้ต่างให้กับรูดอลฟ์ไม่ได้เช่นกัน เพราะทางสภาอาจมองว่ามีการปิดเส้นทางภายหลังเพื่อทำลายหลักฐาน ส่วนพยานก็มีแต่คนของเผ่าเวอร์บีสซึ่งอาจโกหกเพื่อปกป้องความผิดให้เผ่าตัวเองก็ได้”
เซร่าพูดข้อความช่วงสุดท้ายด้วยใบหน้าเอียงอายและแก้มที่กลายเป็นสีชมพูจาง ๆ ทำให้แซนโดรรู้สึกหมั่นใส้ขึ้นมานิด ๆ เพราะเธอรู้ว่าเซร่าก็มีอายุเฉียด ๆ ร้อยปีแล้ว แต่ยังทำท่าทางกระอักกระอ่วนกับการพูดเรื่องแค่นี้ไปได้ ทำให้รู้สึกขัดลูกตาขึ้นมา แต่ก็ยังพยายามเก็บอาการและเข้าเรื่องต่อ
“…อืม นั่นสินะ …ว่าแต่ถ้าเส้นทางนี้ใช้ไม่ได้ แล้วเจ้านั่นมันเข้าไปทางไหนล่ะ? เพราะต่อให้ถูกควบคุมจิตใจเพื่อมาลงมือจริง ๆ เจ้านั่นก็ไม่น่าจะฝ่าแนวคุ้มกันที่เฝ้าอยู่โดยรอบเข้าไปได้เลยนะ”
“ใช่แล้วค่ะ ฉันเองก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกัน พวกเราเผ่าเอลฟ์น่ะมีประสาทสัมผัสที่ไวกว่ามนุษย์อยู่หลายเท่า โดยเฉพาะหน่วยคุ้มกันของคณะทูตน่ะเป็นทหารที่ฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ว่าคนร้ายจะมีความสามารถในการลอบเร้นแค่ไหน ก็ควรจะมีใครเอะใจอะไรบ้าง ที่สำคัญคือบริเวณที่ใช้ต้อนรับคณะทูตน่ะมีทางเข้าออกเพียงแค่สองทาง ซึ่งก็ถูกเฝ้ายามอย่างแน่นหนา แม้แต่บนกำแพงก็มีทหารยามเฝ้าระวังอยู่ทุกจุด ต่อให้มีปีกบินก็ใช่ว่าจะฝ่าเข้าไปได้โดยไม่มีใครพบเห็นหรอกนะคะ เว้นแต่คนร้ายจะล่องหนหายตัวได้เท่านั้นแหละค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซร่า แววตาของซาลก็ทอประกายออกมา
เขาเปิดดูแฟ้มประวัติของเหยื่อเผ่าฮาลฟ์บีสอีกครั้งและนำแฟ้มต่าง ๆ มาวางเทียบกัน ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้วล่ะ! คนร้ายน่ะหายตัวได้!”
คำพูดของซาลทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไปในทันที
——————————————————————————————————–
Part 4
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้องไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เซร่าซึ่งรู้สึกแปลกใจกว่าใครเพื่อนจะเอ่ยถามเป็นคนแรก
“ที่พูดเมื่อสักครู่นี้ คุณซาลาแนหมายถึงอะไรอะเหรอคะ?”
“ซาลา..? อะ.. เอ่อ… ช่างเถอะ ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ผมคิดว่าคนร้ายน่ะมีความสามารถในการหายตัว หรือการ ‘เทเลพอร์ท’ ได้ไงล่ะ เพราะแบบนั้นเขาถึงเข้าไปในเรือนรับรองของคณะทูตได้โดยไม่มีใครพบเห็น และบางทีอาจยังมีความสามารถอื่น ๆ อีกด้วยก็ได้”
“เอ๋?”
เซร่าแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจที่ซาลพูด เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ยังตามเรื่องราวไม่ทันเช่นกัน เขาจึงต้องอธิบายให้ทุกคนได้ฟังอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“ลองดูนี่นะครับ”
ซาลหยิบแฟ้มสองเล่มขึ้นมาวางลงบนเตียงด้านหน้าของเขา เล่มแรกเป็นแฟ้มที่รวบรวมเหยื่อของมายด์รีเวอร์ ส่วนอีกเล่มเป็นเหยื่อของคดีฆาตกรรมอื่น ๆ เขาเปิดแฟ้มทั้งสองคู่กันพร้อมทั้งอธิบายไปด้วย
“ในช่วงสองปีแรก เหยื่อทั้งหมดเป็นเผ่าเวอร์บีสและถูกฆ่าด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แต่บาดแผลจะมีลักษณะพิเศษเหมือนกันคือเกิดจากพลัง ‘เทเลคิเนซิส’ พอเข้าปีที่สามก็เริ่มมีเผ่าฮาลฟ์บีสตกเป็นเหยื่อ ซึ่งเหยื่อรายแรกของเผ่าฮาลฟ์บีสมีความสามารถในการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าได้
หากเทียบเคียงเวลากันดูแล้ว เหยื่อรายต่อมาคือเผ่าเวอร์บีสซึ่งถูกฆ่าหลังจากนั้นราว ๆ หนึ่งเดือน แม้สาเหตุการตายจะมาจากการควักหัวใจด้วย ‘เทเลคิเนซิส’ เหมือนกัน แต่ตามตัวยังมีร่องรอยจากการไหม้เหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อตอยู่ด้วย ทั้งที่แถวนั้นก็ไม่ได้มีสายไฟฟ้าแรงสูงอยู่เลย
จากนั้นขอข้ามไปที่เหยื่อเผ่าฮาลฟ์บีสรายที่สี่ซึ่งมีความสามารถในการแช่แข็ง และในเวลาไม่ห่างกันนักเหยื่อรายที่ห้าซึ่งเป็นเผ่าฮาลฟ์บีสก็มีร่องรอยการถูกน้ำแข็งกัดอยู่ตามร่างกายเช่นกัน
และมาถึงตรงนี้ เหยื่อเผ่าฮาลฟ์บีสรายที่หกซึ่งมีความสามารถในการปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงได้ก็ถูกฆ่าตาย ซึ่งหลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ ก็พบศพของเหยื่อรายที่เจ็ดซึ่งเป็นเผ่าเวอร์บีสถูกควักหัวใจออกไป แต่มีอาการบาดเจ็บเพิ่มเติมคือแก้วหูแตกอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วย”
เซร่าดูเวลาเกิดเหตุของเหยื่อแต่ละรายเทียบเคียงกัน พร้อมทั้งดูข้อมูลการชันสูตรศพ ก็พบว่าสิ่งที่ซาลพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง
“นี่มัน… เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ซะด้วย…”
“นอกจากนี้ ในบรรดาเหยื่อที่เป็นเผ่าฮาลฟ์บีสยังมีคนที่มีความสามารถในการ ‘จำแลงร่าง’ (Shapeshifing) ที่ทำให้ลอกเลียนรูปลักษณ์ของใครก็ได้ อีกคนก็มีความสามารถ ‘เร่งความเร็ว’ (Acceleration) ที่เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวได้อีกหลายเท่า รวมไปถึงคนที่มีความสามารถในการ ‘เทเลพอร์ท’ (Teleportation) ทำให้เคลื่อนย้ายตำแหน่งของตนเองในชั่วพริบตาได้ด้วย”
เซร่ามองดูแฟ้มข้อมูลด้วยอาการตะลึง เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในห้องที่ได้แต่นิ่งเงียบไป เพราะทุกคนเริ่มจะเรียบเรียงความหมายที่ซาลพยายามจะสื่อได้แล้ว ซึ่งหากว่าข้อสันนิษฐานของเขาเป็นจริงละก็
“หมายความว่า ความสามารถของ ‘มายด์รีเวอร์’ ก็คือ…”
“ใช่แล้วครับ ผมคิดว่าเขาสามารถช่วงชิงพลังจากเผ่าฮาลฟ์บีสคนอื่น ๆ ได้ ยิ่งสังหารคนของเผ่าฮาลฟ์บีสไปก็ยิ่งทำให้มีพลังพิเศษชนิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถใช้มันในการก่อคดีทั้งหมดนี้ได้”
เมื่อได้ยินข้อสรุปนั้น ทุกคนก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะเซร่าที่รู้สึกทึ่งจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ที่ผ่านมาเธอเอาแต่ศึกษาข้อมูลของเหยื่อทั้งสองกลุ่มนี้แยกกัน แต่ไม่เคยเอาลำดับและตารางเวลามาเทียบกันเพื่อหาความเชื่อมโยง จึงไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งนี้ แต่ตอนนี้เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้าเธอกลับเป็นคนหามันพบ โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน
แซนโดรเองก็ทึ่งกับเรื่องนี้ไม่แพ้ทุกคนเช่นกัน แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าตกตะลึงและประหลาดใจของทุกคนก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจของผู้ปกครองที่เห็นบุตรหลานทำเรื่องเชิดหน้าชูตาให้กับครอบครัว แต่แซนโดรเองยังไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่ เธอพยายามเก็บรอยยิ้มและมองดูข้อมูลในแฟ้มต่าง ๆ ก่อนจะเริ่มออกความเห็น
“…แบบนี้นี่เอง …ถ้ามีความสามารถนี้ละก็ น่าจะหลบเลี่ยงเวรยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกและเข้าไปถึงตัวเรือนรับรองได้ไม่ยาก …เรื่องนี้ยังสามารถอธิบายความเร็วอันเหนือมนุษย์นั่นได้ด้วย …ส่วนคนที่ผู้รอดชีวิตเห็นก็อาจเป็นร่างจำแลงของคนร้ายที่ปลอมตัวให้เหมือนกับรูดอลฟ์ก็ได้ …แม้แต่หลักฐานที่พบในห้องทำงานก็อาจถูกสร้างขึ้นด้วยความสามารถในการเปลี่ยนข้อมูลด้วย…”
“แต่ว่า… ถึงคนร้ายที่สังหารคณะทูตอาจไม่ใช่เขา แต่ตัวเขาเองที่ขัดขืนการจับกุมและสังหารหน่วยสืบสวนไปสองคนน่ะคงจะหาคำแก้ตัวมาอธิบายได้ยาก อีกอย่างหนึ่งคือในบรรดาเผ่าฮาลฟ์บีสก็ไม่มีใครที่มีความสามารถในการควบคุมจิตใจเลย ถึงจะอ้างเรื่องความสามารถของมายด์รีเวอร์ไป แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่ใช้เชื่อมโยงเข้ากับการกระทำของรูดอลฟ์ได้เลยนะคะ”
เซร่าพูดออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ เพราะเธอรู้สึกว่ากำลังจะหาทางออกของเรื่องนี้ได้แล้ว หรืออย่างน้อยคดีก็มีความคืบหน้าไปมาก แต่มันก็ยังไม่เพียงพอต่อการล้างความผิดให้กับรูดอลฟ์อยู่ดี ทันใดนั้นก็มีเสียงใส ๆ ที่เธอเริ่มจะรู้สึกว่าเป็นเสียงสวรรค์ ดังแว่วขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องนั้นถ้าใช้ความสามารถหลายอย่างพร้อมกันได้ ก็อาจจะทำได้นะครับ”
คำพูดของซาลทำให้ทุกคนหันกลับไปมองเขาเป็นตาเดียวกันอีกครั้ง ซึ่งเขาก็หยิบแฟ้มของเหยื่อสองรายออกมาวางเรียงกันให้ทุกคนดู ก่อนจะอธิบายต่อ
“เหยื่อรายที่สิบสองของเผ่าฮาลฟ์บีสนี่มีความสามารถในการอ่านความคิดและความทรงจำของคนได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเหยื่อรายที่สิบห้าซึ่งเป็นเหยื่อรายล่าสุดมีความสามารถคือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่ข้อความบนกระดาษ ไปจนถึงข้อมูลในฮาร์ดไดรฟ์
ถ้าสมมุติว่าใช้ความสามารถของคนที่สิบสองในการเข้าถึงสมองของเป้าหมาย จากนั้นก็ใช้ความสามารถของคนที่สิบห้าในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในสมอง แบบนี้ก็จะทำให้เกิดผลเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความทรงจำได้ใช่มั้ยล่ะครับ ซึ่งการจะกำหนดให้คน ๆ นั้นคิดหรือทำอะไรตามต้องการได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
ข้อสันนิษฐานนี้ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง แม้มันจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ในทางทฤษฎีแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญคือมันเป็นข้อสันนิษฐานที่คิดขึ้นมาได้โดยเด็กอายุเพียงสิบขวบ และยังลงตัวจนไขปริศนาเกือบทุกอย่างได้ทั้งหมดเลยทีเดียว ทำให้เซร่าได้แต่จ้องมองซาลด้วยความรู้สึกประทับใจ
“นี่มัน… ลงตัวมากเลยนะคะเนี่ย แบบนี้ทำให้เราจำกัดวงผู้ต้องสงสัยลงได้มากทีเดียว ฉันจะลองกลับไปคุยกับคุณคอร์แมคเพื่อขอความเห็นเพิ่มเติมก่อนนะคะ เขาอาจนึกกลุ่มคนที่เราควรจะมุ่งเป้าค้นหาเป็นพิเศษออกก็ได้”
“คนที่เราควรค้นหาคือคนของเผ่าฮาลฟ์บีส ที่ขึ้นทะเบียนว่าไม่มีความสามารถพิเศษครับ”
“เอ๋?”
คำกล่าวของซาล ทำให้ทุกคนต้องหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้างุนงงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วที่ทุกคนไม่อาจละสายตาจากเด็กคนนี้ไปได้
“นี่เป็นแค่ทฤษฎีของผม ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้อง 100% ก็ได้ แต่การควักหัวใจของเหยื่อไปนั้นอาจไม่ใช่แค่การแสดงสัญลักษณ์เพียงอย่างเดียว เพราะเหยื่อเผ่าเวอร์บีสส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกควักหัวใจ แต่เหยื่อเผ่าฮาลฟ์บีสน่ะจะถูกควักหัวใจโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว บางทีการควักหัวใจนั่นอาจเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการขโมยความสามารถพิเศษของเผ่าฮาลฟ์บีสก็ได้
เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครลองทำดูแน่ ๆ โดยเฉพาะก่อนจะมีการทดสอบความสามารถเพื่อลงทะเบียน เพราะตอนนั้นทุกคนยังมีอายุไม่ถึงสิบขวบ เมื่อไม่เคยลองทำก็เลยไม่มีความสามารถ ดังนั้นในตอนที่ทำการตรวจสอบน่าจะไม่พบความสามารถพิเศษอะไรและถูกขึ้นทะเบียนไว้ว่าเป็นผู้ไม่มีความสามารถพิเศษ เพราะงั้นถ้าเรามุ่งเป้าการค้นหาไปที่เผ่าฮาลฟ์บีสที่ขึ้นทะเบียนว่าไม่มีความสามารถพิเศษ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาคือ ‘มายด์รีเวอร์’ ครับ”
คำอธิบายของซาลทำให้ทุกคนทึ่งจนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
เซร่าหันไปมองแซนโดรแล้วยิ้มด้วยสีหน้าที่แสดงความประทับใจออกมาอย่างเปี่ยมล้น ส่วนแซนโดรก็แอบอมยิ้มเล็ก ๆ ให้กับผลงานของซาล
พวกเธอเห็นพ้องต้องกันว่าข้อสันนิษฐานและทฤษฎีของซาลนั้นฟังดูมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง จึงตัดสินใจดำเนินการสืบสวนต่อตามแนวทางนี้
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทุกคนจึงออกเดินทางไปยังสมาคมนักผจญภัยของบีสเทียอีกครั้ง เพื่อค้นประวัติของเผ่าฮาลฟ์บีสและหาตัวผู้ต้องสงสัยที่ตรงกับข้อสันนิษฐาน