Doombringer the 5th - ตอนที่ 57
Ch.57 – กระต่ายที่สวมชุดหมาป่า
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 57
การต่ายที่สวมชุดหมาป่า
Part 1
ไซล่าร์ยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มของแซนโดรโดยไม่มีท่าทีกลัวเกรงใด ๆ
เธอกวาดสายตามองดูศัตรูที่อยู่ตรงหน้าไปทีละคนอย่างเชื่องช้า โดยที่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า เมื่อมองดูทุกคนครบแล้ว สายตาของเธอก็วกกลับมาที่แซนโดรอีกครั้ง ก่อนจะชวนสนทนาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“แย่จริง ๆ เลยน้า~ ถูกอ่านแผนการออกหมดแบบนี้น่ะ… แต่แบบนี้ก็ไม่น่าเบื่อดี กำลังคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันง่ายเกินไปจนขาดรสชาติอยู่เลย”
“…อย่าทำเป็นปากดีไปหน่อยเลย …แผนของเธอน่ะล้มเหลวแล้ว …สงครามระหว่างเอลฟ์กับเวอร์บีสน่ะไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก ยอมตามพวกเรากลับไปมอบตัวซะโดยดีเถอะ…”
“เรื่องนั้นมันก็ยังไม่แน่เลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าฉันฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ ทุกอย่างมันก็ต้องดำเนินไปตามเดิมนั่นแหละ”
ระหว่างที่พูด แวบหนึ่งดวงตาของไซล่าร์ก็เบิกโพลงจนกลมโตราวกับเป็นคนเสียสติ แต่เพียงเสี้ยวพริบตามันก็กลับเป็นดวงตาอันเรียวเล็กและคมกริบตามเดิม เป็นลักษณะที่ดูน่าขนลุกอยู่ไม่น้อย
ทางด้านซาล เขามีความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมไซล่าร์ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของเธอจากคอร์แมคแล้ว และนี่ก็คือเวลาที่เขาเฝ้ารอคอย จึงก้าวออกไปยืนข้าง ๆ แซนโดร ก่อนจะพยายามพูดคุยกับไซล่าร์
“คุณไซล่าร์… ผมเข้าใจดีว่าคุณมีความเคียดแค้นต่อเผ่าเวอร์บีสแค่ไหน แต่การนำคนที่ไม่เกี่ยวข้องจำนวนมากมาเป็นผู้รับเคราะห์แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ ถ้าแค้นใครก็ควรไปลงกับคนนั้นสิ”
ไซล่าร์ยิ้มเยาะให้กับคำพูดนั้น ก่อนแววตาของเธอจะเปลี่ยนไปเป็นเววตาที่ดูว่างเปล่า และตอบคำถามของเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากลับไป
“ถ้าแค่เรื่องแก้แค้นละก็ ฉันทำเสร็จเรียบร้อยไปนานแล้วล่ะ พวกคนที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวในครั้งนั้นถูกฉันเชือดไปจนหมดแล้ว ที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นการกำจัดต้นตอของปัญหาต่างหาก”
“เอ๋?”
“ถึงฉันจะพยายามกำจัดพวกผู้นำระดับสูงของสมาคมใต้ดินไปคนแล้วคนเล่า แต่สุดท้ายก็จะมีคนใหม่ขึ้นมาแทนเรื่อย ๆ อยู่ดี ตราบที่พวกเวอร์บีสยังอยู่ที่นี่ การค้ามนุษย์ก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก มีแต่ต้องกำจัดพวกมันออกไปให้หมดเท่านั้น”
ไซล่าร์ตอบกลับมาด้วยแววตาอันดุดันซึ่งแฝงไปด้วยความคลุ้มคลั่ง หากเป็นเด็กวัยเดียวกันคนอื่น ๆ คงกลัวจนตัวสั่นไปแล้ว แต่ซาลก็ยังคงสบตาและพูดตอบโต้กับเธออย่างไม่สะทกสะท้าย
“แต่พวกประชาชนเวอร์บีสเขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนี่นา! หากเกิดการกวาดล้างขึ้น พวกเขาก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วยนะ!”
“เกี่ยวสิ… ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ? เมืองที่พวกเวอร์บีสอยู่อาศัยกันทุกวันนี้ก็สร้างขึ้นด้วยเงินที่ได้จากสหพันธ์เวอร์บีสทั้งนั้น เงินสกปรกที่ได้จากการขายเด็ก ๆ เผ่าฮาลฟ์บีสมาหลายสิบปีไงล่ะ เพราะความสะดวกสบายที่ได้รับ ทำให้พวกมันจงใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่พยายามให้ความร่วมมือในการหยุดยั้งขบวนการค้ามนุษย์ นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่เคยปราบปราบการค้ามนุษย์ในซิลวานได้สำเร็จ เพราะไม่มีชาวเวอร์บีสคนไหนช่วยเป็นหูเป็นตาให้ สรุปง่าย ๆ ว่าพวกมันก็ไม่ต่างไปจากผู้สมรู้ร่วมคิดนั่นแหละ สมควรจะต้องถูกกำจัดไปด้วยกันทั้งหมด”
“พะ.. พวกเขาอาจแค่กลัวหรือถูกข่มขู่อยู่ก็ได้นี่นา!”
“ฮ่ะ ๆ ๆ พวกเธอเลี้ยงเจ้าหนูนี่มายังไงเนี่ย? ถึงได้เป็นคนไร้เดียงสาได้ขนาดนี้น่ะ?”
ไซล่าร์หัวเราะให้กับคำพูดของซาลพลางหันไปถามแซนโดรที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่แซนโดรก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่จับอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ ซึ่งไซล่าร์ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรอยู่แล้ว จึงกล่าวต่อ
“นั่นสินะ แล้วถ้าเป็นเธอล่ะ เจ้าหนู? หากถูกข่มขู่ก็จะเพิกเฉยต่อเรื่องแบบนี้รึเปล่า? จะยอมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเพราะความกลัวงั้นเหรอ?”
“ระ.. เรื่องนั้น…”
“หุหุหุ ดูจากนิสัยรักคุณธรรมแบบอ่อนต่อโลกของเธอแล้ว ไม่ว่าจะถูกข่มขู่ หรือกลัว ก็คงไม่มีทางยอมอยู่เฉยกับเรื่องแบบนี้หรอกใช่มั้ยล่ะ? นั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ในเผ่าเวอร์บีสกลับไม่มีใครที่คิดแบบนั้นเลย พวกมันคิดถึงแต่ตัวเองกันทั้งนั้น ที่วงจรอุบาทว์นี่ดำเนินมาได้นานขนาดนี้ก็เพราะพวกมัน ดังนั้นพวกมันก็ต้องรับผิดชอบด้วย”
ซาลจนคำพูดที่จะโต้แย้งไซล่าร์กลับไปจึงได้แต่กัดฟันแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ลานาเทลที่ฟังอยู่ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเช่นกัน จึงต้องออกมาพูดบ้าง
“ถึงจะพูดจาใหญ่โตเหมือนทำไปเพื่ออุดมการณ์ แต่คุณก็แค่ทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตัวเองไม่ใช่เหรอคะ?”
“หืม?”
“คุณอาจมองว่าเผ่าเวอร์บีสมีความผิดร่วมกันทั้งหมดก็จริง แต่คนที่คุณฆ่าเพื่อสร้างความบาดหมางระหว่างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้มีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ไม่ใช่เหรอ? ยังมีคนที่เป็นแค่ญาติหรือคนในครอบครัวของผู้มีอำนาจทางการเมืองที่คุณฆ่าเพื่อสร้างความโกรธแค้นชิงชังระหว่างเผ่าพันธุ์อยู่อีกมากมาย คนที่ทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นอย่างคุณ อย่าเอาความชอบธรรมมาอ้างจะดีกว่าค่ะ”
ลานาเทลพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาอันเย็นเยียบราวกับกำลังเหยียดหยามคู่สนทนาอยู่อย่างที่สุด แต่ไซล่าร์ก็ยังคงยิ้มด้วยสีหน้าสบาย ๆ ก่อนจะตอบกลับมา
“คนพวกนั้นก็เสพสุขอยู่บนความทุกข์ยากของเผ่าฮาลฟ์บีสเหมือนกัน… เพราะเรื่องไม่ได้เกิดกับเด็ก ๆ หรือคนของเผ่าตัวเอง ทำให้ไม่เคยคิดจะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพวกเอลฟ์น่ะบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์จนพยายามกีดกันพีชคีปเปอร์ไม่ให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยซ้ำ พวกนักการเมืองและขุนนางของซิลวานต่างก็รู้เรื่องนี้ดีแต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพราะไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากมีความขัดแย้ง ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของตัวเอง จึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเรื่อย ๆ พวกมันทุกคนจึงมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เทียบเท่ากันหมด”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ลานาเทลก็ขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ
“จะพูดจาเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะคะ แบบนี้มิแปลว่าคนทั้งโลกต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้กันทั้งหมดเหรอคะ?”
“ใช่ ทุกคนที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของตัวเองและปล่อยให้มันเกิดขึ้น ต้องรับผิดชอบ”
ไซล่าร์พูดด้วยแววตาที่เย็นชาและรอยยิ้มอันน่าขนลุก
ลานาเทลเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดยิ่งขึ้นกับตรรกะอันบิดเบี้ยวของคู่สนทนา ระหว่างนั้นเองอัลติม่าก็พูดแทรกขึ้นมา
“เสียเวลาเปล่าน่า ยัยนี่น่ะเพี้ยนไปแล้ว มันไม่เกี่ยวกับเหตุผลหรือความชอบธรรมอะไรหรอก การจะแย่งชิงพลังของพวกฮาลฟ์บีสได้น่ะต้องทำอะไรกับหัวใจของเหยื่องั้นเหรอ? บูชายัน? หรือกิน? ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้น่ะไม่ใช่คนที่มีความคิดปกติหรอก อยู่ดี ๆ ใครเขาจะไปควักหัวใจของคนอื่นออกมากัน? เธอก็แค่เป็นฆาตกรโรคจิตที่ชอบควักหัวใจคนอื่น แล้วรู้ความลับของการชิงพลังพิเศษมาโดยบังเอิญระหว่างสนองความวิปริตของตัวเองสินะ?”
คำพูดของอัลติม่าทำให้รอยยิ้มของไซล่าร์จางลงเล็กน้อย และสายตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววตาอันว่างเปล่า ก่อนที่เธอจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปนความเศร้าอยู่ในที
“ใช่… มันเป็นความบังเอิญบนความวิปริตจริง ๆ …”
“หา?”
“การที่รู้ชื่อแปลว่าพวกเธอคงพอจะรู้ประวัติของฉันมาจากสมาคมนักผจญภัยของบีสเทียแล้วสินะ? ถึงแม้ฉันกับน้องสาวจะผลัดกันกัดหูของอีกฝ่ายจนขาดเพื่อให้กลายเป็นสินค้าที่มีตำหนิจะได้ไม่ถูกขาย แต่ความจริงตอนนั้นพวกเราก็ถูกส่งลงเรือไปแล้ว และพวกเวอร์บีสก็ไม่คิดจะปล่อยตัวพวกเรากลับมาด้วย
ฉันกับน้องสาว… ซิลล่าร์ ได้แอบนำเรือเล็กของพวกมันหลบหนีออกมาตอนกลางดึก แม้จะหนีออกมาสำเร็จ แต่เราก็ไม่รู้จะมุ่งหน้าไปทางไหนถึงจะกลับมายังซิลวานได้ ก็เลยหลงอยู่กลางทะเลเป็นเวลานับสัปดาห์
ซิลล่าร์ที่ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีบาดแผล บวกกับต้องอดข้าวอดน้ำเป็นเวลานานก็เริ่มล้มป่วย ฉันได้แต่มองดูเธอค่อย ๆ อ่อนแรงลง โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย… แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนคิดว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มากเช่นกัน แต่ในตอนนั้น ซิลล่าร์ก็ขอร้องเรื่องหนึ่งกับชั้นขึ้นมา…”
ไซล่าร์เหลือบมามองยังซาลก่อนจะพูดประโยคถัดไป ราวกับต้องการจะเน้นย้ำให้เขาตั้งใจฟังให้ดี
“คำขอของซิลล่าร์ก็คือให้ฉันกินเธอซะ เพื่อให้ประทังชีวิตและรอดกลับเข้าฝั่งไปได้…”
ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำนั้น ซาลก็ต้องตกใจจนขนลุกไปทั้งตัว เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน ส่วนไซล่าร์เมื่อเห็นท่าทางของทุกคนแล้วก็ยิ้มเยาะออกมาในเชิงพอใจที่ได้เห็นปฏิกิริยานั้น ก่อนจะพูดต่อ
“แน่นอนว่าฉันไม่ยอมหรอก แต่ซิลล่าร์น่ะเป็นผู้มีพลังพิเศษสายเทเลพาธี ทำให้สามารถแทรกแซงจิตใจของคนอื่นได้… ถึงแม้ว่าเธอจะกำลังอ่อนแอและการแทรกแซงจิตใจผู้อื่นจะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ แต่เพราะเราเป็นพี่น้องกันทำให้เธอสามารถใฃ้พลังนี้กับฉันได้ไม่ยาก…
เมื่อรู้ว่าเวลาของตัวเองใกล้จะหมดลง ซิลล่าร์ก็ใช้พลังเฮือกสุดท้ายบังคับให้ฉันกินร่างของเธอหลังจากที่เธอตายไป… ในระหว่างนั้นฉันยังมีสติ มีความคิดอยู่ตลอด รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้… ได้แต่ร้องไห้และค่อย ๆ กินร่างของซิลล่าร์ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงหัวใจของเธอ…
หลังจากที่กินหัวใจของซิลล่าร์เข้าไปแล้ว ฉันก็สัมผัสได้ถึงพลังของเธอที่ไหลเวียนอยู่ในตัวฉัน เป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันได้รู้ความลับเรื่องพลังพิเศษของตัวเองไงล่ะ”
คำพูดของไซล่าร์ทำให้ทุกคนต่างก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แต่ที่อาการหนักสุดคงเป็นซาลซึ่งทั้งเหงื่อแตก หัวใจเต้นแรง และรู้สึกมวนท้องจนแทบอยากจะอาเจียน
ทุกคนในที่นั้นต่างก็แสดงสีหน้าหดหู่สุดจะบรรยายออกมา แม้แต่แซนโดรที่มีสีหน้าเรียบเฉยที่สุดก็ยังปกปิดความรู้สึกอันสั่นไหวที่อยู่ในดวงตาเอาไว้ได้ไม่มิด
ไซล่าร์ที่เห็นสีหน้าที่แสดงความหดหู่และเจ็บปวดของทุกคนก็แสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ฮ่ะ ๆ ๆ ใช่แล้วล่ะ! นั่นแหละคือสีหน้าของพวกเวอร์บีสตอนที่แล่นเรือตามหาพวกเราจนเจอ และพบว่าฉันกินน้องสาวของตัวเองจนแทบจะเหลือแต่กระดูกแล้ว! พอคิดว่าทุกอย่างเป็นเพราะพวกมัน ในใจก็รู้สึกคลั่งแค้นจนแทบจะระเบิดออกมา พอรู้ตัวอีกที พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นเศษเนื้อกระจัดกระจายโปรยปรายไปทั่วท้องทะเลของซิลวานนั่นแหละ!”
ไซล่าร์พูดออกมาด้วยตาเบิกโพลงและรอยยิ้มอันน่าขนลุกราวกับคนเสียสติ และทุกคนก็ยังอยู่ในความรู้สึกที่ซับซ้อนจนไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา ยกเว้นแต่แซนโดรเพียงคนเดียวเท่านั้น
“…พูดตามตรงนะ …ฉันไม่ได้สนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้เลยสักนิด …ไม่ว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมของเธอ …หรือความเน่าเหม็นในซิลวาน …ฉันแค่อยากจะไปโดมินาเรียให้เร็วที่สุดน่ะ …เพราะงั้นเธอก็จงยอมมอบตัวเถอะนะ …พวกเราจะได้ไปกันซะที…”
แซนโดรพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันเรียบเฉยจนทุกคนต้องหันไปมองด้วยความข้องใจ แต่แทนที่ไซล่าร์จะรู้สึกหงุดหงิด เธอกลับหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ มันต้องแบบนี้สิ! นั่นแหละคือธาตุแท้ของมนุษย์! สนใจแค่เรื่องของตัวเองก็พอแล้ว! แต่ว่าเสียใจด้วยนะ ทุกอย่างมันต้องดำเนินต่อไปตามแผนของฉัน จนกว่าพวกเวอร์บีสจะสูญสิ้นไปจากซิลวาน!”
“พอซะทีเถอะครับ!”
เสียงตะโกนของซาลที่แทรกขึ้นมา ทำให้ไซล่าร์ผ่อนคลายท่าทีอันคลุ้มคลั่ง และหันกลับมาจ้องมองเขาอีกครั้ง
“ถึงจะพยายามแก้แค้นต่อไป มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก! มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งกับตัวเองและคนอื่น แล้ววังวนนี้มันก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น!”
“ก็บอกแล้วไง ฉันไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นซะหน่อย แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องเด็ก ๆ เผ่าฮาลฟ์บีสไม่ให้มีใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก ด้วยการทำลายต้นตอของกระบวนการค้ามนุษย์ไงล่ะ”
“การจะแก้ไขปัญหานี้มันก็มีวิธีอีกตั้งเยอะ! วิธีนี้มันทำให้มีผู้สูญเสียมากเกินไป และยังไม่แน่ว่าจะแก้ไขปัญหาได้ด้วย ลองมาคิดหาวิธีอื่นดูดีกว่าครับ!”
“เธอนี่อ่อนต่อโลกจริง ๆ เลยน้า~ เด็กก็แบบนี้แหละ ไม่รู้จักความเจ็บปวด ไม่รู้จักความสูญเสีย ก็เลยเอาแต่คิดอะไรง่าย ๆ ”
“ใครบอกล่ะครับ!”
ซาลตวาดด้วยเสียงอันดัง ทำให้ไซล่าร์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และหยุดมองเด็กผู้ชายตรงหน้าที่กำลังพูดด้วยสีหน้าซึ่งแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมา
“ผมเองก็เข้าใจเรื่องความสูญเสียดี… และเข้าใจความรู้สึกที่คิดว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมต่อเราด้วย แต่เพราะเข้าใจความเจ็บปวดนี่แหละ ถึงไม่อยากให้ใครต้องมาแบกรับความรู้สึกนั้น… วิธีของคุณไซล่าร์น่ะรังแต่จะทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นซะเปล่า ๆ ถึงเผ่าเวอร์บีสจะถูกขับไล่ออกจากซิลวาน แต่ถ้าผลประโยชน์ยังคงมีอยู่ ก็ต้องมีการลักลอบค้ามนุษย์เกิดขึ้นอีกแน่ แถมผู้ที่เจ็บแค้นและสูญเสียจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจหลงเดินทางผิดอีกมากมาย ทำให้เหตุการณ์ในอนาคตจะยิ่งเลวร้ายลงกว่านี้มาก เพราะงั้นมาหาทางอื่นกันเถอะนะครับ!”
ไซล่าร์จ้องมองซาลอยู่พักหนึ่ง แววตาอันจริงจังของเขาทำให้เธอหยุดคิดและทบทวนเรื่องนี้ตามไปด้วย แต่สุดท้ายเธอก็แสยะยิ้มออกมา
“ถ้างั้น… ฉันก็จะฆ่าพวกมันให้หมด”
“หา?”
“ไม่ว่าจะที่นี่ ที่โดมินาเรีย หรือที่ไหน ๆ ฉันจะตามไปฆ่าพวกเวอร์บีสให้หมด! ไม่สิ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็ตาม ถ้าเกี่ยวข้องกับการค้าขายคนของเผ่าฮาลฟ์บีสละก็ ฉันจะฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือ! ฆ่าจนกว่าวงจรนี้จะสิ้นสุด! และไม่มีใครกล้ายุ่งกับเผ่าฮาลฟ์บีสอีก!”
ไซล่าร์พูดออกมาด้วยแววตาและรอยยิ้มที่เหมือนกับคนเสียสติ ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกเจ็บปวดที่คำพูดของเขาไม่สามารถส่งไปถึงเธอได้
ทันทีที่พูดจบ ไซล่าร์ก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดเกราะเหล็กสีดำสนิทที่คลุมหมดทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และหมวกเหล็กที่ปกคลุมใบหน้าอยู่นั้นยังมีลักษณะเหมือนกับเป็นหัวของหมาป่าซึ่งมีดวงตาสีแดงก่ำส่องสว่างราวกับทับทิมที่ต้องแสงอาทิตย์อีกด้วย
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลและอีกฝ่ายเตรียมตัวที่จะต่อสู้ แซนโดร ลานาเทล และอัลติม่าจึงเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสู่การต่อสู้เช่นกัน