Doombringer the 5th - ตอนที่ 58
Ch.58 – ความสามารถของฮาลฟ์บีส
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 58
ความสามารถของฮาลฟ์บีส
Part 1
อัลติม่าสยายปีกสีดำที่กลางหลังก่อนจะเดินออกมาด้านหน้าด้วยท่าทางอันมั่นใจเต็มเปี่ยม
เพราะอยากให้ซาลประทับใจ เธอก็เลยกะจะโชว์ฝีมือจัดการกับไซล่าร์ด้วยตัวคนเดียว
“พวกเธอน่ะถอยไปซะ ยัยนี่น่ะแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว”
แซนโดรหลีกทางให้อย่างว่าง่าย อัลติม่าก็เลยเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาไซล่าร์โดยไม่มีท่าทีกลัวเกรง ลานาเทลที่รู้สึกกังวลนิดหน่อยจึงหันไปถามแซนโดร
“แบบนี้จะดีเหรอคะ? เรายังไม่รู้ฝีมือของอีกฝ่ายเลยนะคะ”
แซนโดรมองการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้นด้วยสายตาที่แสดงความเหนื่อยหน่ายออกมาเล็กน้อย และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“…เดี๋ยวก็จะได้รู้แล้วนี่ไง…”
“เห~ แต่มันอันตรายนะคะเนี่ย ถ้าเกิดตายขึ้นมาล่ะคะ?”
“…ฉันอยากลองเอาปิศาจมาทำเป็นซอมบี้นานแล้ว …ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า แต่ก็น่าลองดูนะ…”
ลานาเทลหัวเราะในลำคอเบา ๆ เพราะคำพูดนั้น ส่วนซาลได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่รู้ว่าแซนโดรพูดจริงรึพูดเล่นกันแน่ แต่เขาคิดว่ายังไงอัลติม่าก็ไม่น่าแพ้ง่าย ๆ และแซนโดรกับลานาเทลก็อยู่ใกล้ ๆ ด้วย ดังนั้นต่อให้ให้อัลติม่าเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาจริง ๆ สถานการณ์ก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก
เพราะเซร่ายังคงไม่รู้สึกตัว และความสามารถในการรักษาของนิโคลก็มีจำกัด ซาลจึงหันไปกระซิบบอกกับเธอ
“อีกเดี๋ยวพอการต่อสู้เริ่มขึ้น นิโคลก็รีบพาคุณเซร่าไปส่งที่โรงพยาบาลในเมืองทีนะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นิโคลก็ขมวดคิ้วและกล่าวปฏิเสธในทันที
“เอ๋? ได้ยังไงกันล่ะคะ? ฉันไม่ทิ้งคุณซาลารัสไว้ในที่อันตรายแบบนี้หรอกค่ะ”
“อาการของคุณเซร่ายังวางใจไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะหาที่ซ่อนตัวให้ดี แถมทางนี้ยังมีแซนโดรกับลานาเทลอยู่อีก ยังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าถึงตัวผมได้แน่”
แม้จะมีสีหน้าลังเล แต่เมื่อหันมองไปยังแซนโดรกับลานาเทลที่ยืนขวางอยู่อีกชั้นหนึ่ง นิโคลก็คิดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่น่าจะฝ่าทุกคนเข้ามาถึงตัวซาลได้จริง ๆ เธอจึงยอมพยักหน้ารับแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
อีกด้านหนึ่ง อัลติม่าที่เดินเข้าไปจนถึงระยะที่เหมาะสมก็ถีบเท้าลงกับพื้นและพุ่งตัวเข้าหาไซล่าร์ด้วยความเร็วสูงเพื่อเปิดการโจมตี ซาลจึงหันมาพยักหน้ากับนิโคลเป็นสัญญาณให้เธอรีบพาเซร่าออกไป เมื่อเห็นดังนั้นนิโคลจึงอุ้มตัวเซร่าแล้ววิ่งหลบไปตามแนวไม้ก่อนจะกางปีกของเธอออกแล้วพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป
ทางด้านอัลติม่าที่พุ่งเข้าไปหาไซล่าร์ก็เหวี่ยงหมัดที่หุ้มด้วยพลังเวทสีขาวนวลใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มแรง แต่พริบตาก่อนที่กำปั้นของอัลติม่าจะสัมผัสตัว ไซล่าร์ก็หายไปจากตรงนั้น ทำให้กำปั้นแสงที่เหวี่ยงออกไปหวดโดนแต่ลมจนเกิดเสียงแหวกอากาศครืนใหญ่ พร้อมกับแรงอัดกระแทกที่แผ่พุ่งออกไปตามแรงเหวี่ยงจนทำให้แนวไม้ที่อยู่ด้านหลังเอนตัวไปราวกับโดนพายุพัด
เพียงเสี้ยววินาทีที่อัลติม่ากำลังมีสีหน้าประหลาดใจกับการหายไปอย่างไร้ร่องรอบของเป้าหมายอยู่นั้นเอง เธอก็รู้สึกเหมือนกับถูกกดเข้าที่กลางหลัง
ไซล่าร์ที่โผล่ขึ้นมากลางอากาศทิ้งน้ำหนักตัวลงและเหยียบหลังของอัลติม่าอย่างแรงจนร่วงลงไปกระแทกกับพื้น ทันใดนั้นก็มีคลื่นความเย็นแผ่ออกมาจากเท้าของเธอ ทำให้ร่างของอัลติม่าถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีขาวโพลน พร้อม ๆ กับพื้นดินโดยรอบที่ถูกคลื่นความเย็นจนกลายเป็นพื้นน้ำแข็งที่มีรัศมีแผ่กว้างนับสิบเมตร
ร่างของอัลติม่าแน่นิ่งไม่ไหวติง ราวกับกลายเป็นน้ำแข็งไปจริงๆ ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
ไซล่าร์ยกมือขึ้นมาเพื่อเตรียมโจมตีซ้ำ ทำให้แซนโดรเริ่มรวมรวบพลังเวทเพื่อยิงสกัด เช่นเดียวกับลานาเทลที่สยายผ้าคลุมเลือดออกมา แต่ทันใดนั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมตัวอัลติม่าอยู่ก็เริ่มปริแตก
อัลติม่าสลัดตัวหลุดออกจากน้ำแข็งที่ปกคลุมร่างของเธอราวกับการกะเทาะเปลือกไข่และพุ่งปีกเข้าแทงไซล่าร์ที่ยืนเหยียบร่างของเธออยู่ทันที แต่อีกฝ่ายก็โดดหลบออกไปได้ทัน
“หนอยยย กล้าดีนักนะ! ยัยอ้วน!”
อัลติม่าดีดตัวลุกขึ้นมาจากพื้นและเร่งระดับพลังขึ้นไปอีกขั้น ทำให้ปีกที่กลางหลังมีขนาดใหญ่ขึ้นและยังมีพลังงานสีดำแผ่ออกมาจากบั้นเอวและศีรษะ ก่อนจะก่อรูปร่างเป็นปีกอีกสองคู่ด้วย
ระหว่างนั้นก็มีสายฟ้าพุ่งจากปลายมือของไซล่าร์เข้าเธอในทันที แม้อัลติม่าจะพับปีกเข้ามากันเอาไว้ได้ทัน แต่ก็ยังโดนกระแสไฟฟ้าที่วิ่งแล่นมาตามปีกช็อตเข้ามาถึงตัว ทำให้รู้สึกชาไปซีกหนึ่ง พริบตานั้นอีกฝ่ายก็โผล่เข้ามาประชิดตัวแล้ว
ไซล่าร์เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ช่วงท้องของอีกฝ่ายที่เปิดช่องว่างอยู่ แต่อัลติม่าก็ยังพับปีกจากส่วนเอวเข้ามาป้องกันเอาไว้ได้ ถึงกระนั้นแรงกระแทกก็ยังรุนแรงจนทำให้ตัวเธอลอยขึ้นจากพื้นจนแทบสำลัก
แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่อัลติม่าก็ไม่ปล่อยโอกาสผ่านไปง่าย ๆ เธอตวัดปีกจากกลางหลังและศีรษะเพื่อทิ่มแทงสวนกลับไป แต่ไซล่าร์ก็เอี้ยวตัวหลบการโจมตีจากสี่ทิศทางนั้นได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่อัลติม่าอีกครั้ง
ที่อัลติม่าไม่ได้ใช้มือทั้งสองข้างในการโจมตีตั้งแต่แรกก็เพราะกำลังรวบรวมพลังเวทอยู่และรอจังหวะที่อีกฝ่ายหลบการโจมตีชุดแรกไปแล้วเพื่อโจมตีในขณะที่เป้าหมายไม่สามารถเปลี่ยนท่วงท่าเพื่อหลบหลีกได้อีก ซึ่งเมื่อเห็นไซล่าร์หมุนตัวหลบการโจมตีและเหวี่ยงหมัดสวนเข้ามา เธอก็ฉวยจังหวะนี้ปลดปล่อยพลังเวทเข้าใส่ไซล่าร์ในระยะประชิดในทันที
ร่างของไซล่าร์นั้นลอยอยู่กลางอากาศ เธอจึงไม่น่าจะหลบการโจมตีนี้ได้เลย แต่ก่อนที่พลังเวทของอัลติม่าจะเข้าเป้า ไซล่าร์ก็หายตัวไปอีกครั้ง
เวทแสงสีขาวของอัลติม่าพุ่งผ่านไปกระทบกับพื้นและเกิดการระเบิดจนฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว ทันใดนั้นไซล่าร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทางด้านหลังและถีบเธออย่างแรงจนพุ่งทะลุม่านควันจากการระเบิดตรงหน้าไป
อัลติม่ากางปีกออกเพื่อจะพยุงตัวในอากาศ แต่ทันทีที่ทะลุม่านควันออกมา ไซล่าร์ก็มาโผล่ที่ม่านควันอีกด้านและแทงเข่าใส่ท้องของเธออย่างเต็มแรง จนอัลติม่าถึงกับกระอักเลือดออกมา
ทันใดนั้นก็เกิดไอเย็นแผ่ออกมาจากเข่าของไซล่าร์และแช่แข็งร่างของอัลติม่าอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ปีกของเธอจะถูกน้ำแข็งเกาะ อัลติม่าก็พุ่งปีกแทงเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายจนทะลุได้เช่นกัน
ในจังหวะนั้นร่างของอัลติม่าก็กลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งหมดแล้ว ไซล่าร์จึงเอามือจับสัมผัสปีกทั้งสองข้างที่แทงทะลุหน้าท้องของเธออยู่และอัดพลังเย็นเพิ่มลงไปทำให้ปีกเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็งไปจนถึงเนื้อใน ชั้นนำแข็งบาง ๆ ราวกับแก้วใสที่ห่อหุ้มอยู่ก็เริ่มกลายเป็นสีขาวขุ่นและแผ่ลามลึกเข้าไปยังช่วงต้นของปีก
ทันใดนั้นปีกที่ศีรษะและเอวของอัลติม่าก็สลัดหลุดจากการเป็นน้ำแข็งและพุ่งเข้าแทงไซล่าร์อีกครั้ง ทำให้เธอต้องรีบผละตัวออกมา โดยต้องหักปลายปีกที่แทงคาร่างตัวเองอยู่เพื่อให้หลบการโจมตีได้ และถอยออกมาทั้งอย่างนั้น
อัลติม่าใช้ปีกเคาะน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามร่างออกจนหมด ก่อนจะถอยกลับมาตั้งหลักใกล้ ๆ กับจุดที่แซนโดรและลานาเทลยืนอยู่ ด้วยสีหน้าที่ทั้งหงุดหงิดและโกรธเกรี้ยว
——————————————————————————————————–
Part 2
ไซล่าร์ดึงปีกของอัลติม่าที่ปักคาอยู่ออกโดยไม่มีท่าทีว่ารู้สึกเจ็บให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เพราะชุดเกราะเป็นรูโหว่อยู่ ทำให้เห็นได้ว่าบาดแผลที่ถูกแทงค่อย ๆ สมานตัวกันอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวชุดเกราะเองก็ค่อย ๆ ฟื้นสภาพจนกลายเป็นชุดเกราะที่สมบูรณ์ดังเดิมเช่นกัน
จากที่ประเมินด้วยสายตา ทำให้แซนโดรคิดว่า ไซล่าร์คงจะมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว และสามารถฟื้นฟูได้แม้กระทั่งอุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่ด้วย
“หนอย… ยัยนั่นมันใช้พลังอะไรของมันเนี่ย ทำให้เกิดผลของเวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องรวบรวมพลังเวทหรือร่ายเวทเลย แถมยังเร็วเป็นบ้าอีกต่างหาก…”
“…นั่นไม่ใช่ความเร็วเพียงอย่างเดียวหรอกนะ…”
คำพูดของแซนโดรที่แว่วมาจากด้านหลังทำให้อัลติม่าต้องหันกลับไปมอง ซึ่งแซนโดรกับลานาเทลก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาอัลติม่าโดยพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่แซนโดรอธิบายให้ฟัง
“…ท่าที่ใช้หลบการโจมตีนั่น คือความสามารถในการเทเลพอร์ทน่ะ …ถึงเวทสายมิติเวลาจะมีเวทแบบนี้เหมือนกัน แต่ความเร็วในการใช้งานก็ต่างกันคนละเรื่องเลย…”
“ใช่แล้วค่ะ ท่านั้นน่ะถึงคนสนิทของฉัน (วาลานาร์) จะสามารถใช้ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้เร็วและต่อเนื่องแบบนี้หรอกนะคะ”
“…ความสามารถในการแช่แข็งนั่น รู้สึกจะมีผลเทียบเท่ากับเวท ‘ฟรอสโนว่า’ (Frost Nova) สินะ …แต่ปลดปล่อยออกมาจากส่วนใดของร่างกายก็ได้โดยไม่ต้องร่ายเวท …และรู้สึกจะปล่อยสายฟ้าได้ด้วย …ท่านั้นแรงรึเปล่า?…”
แซนโดรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ซึ่งอัลติม่าก็ตอบกลับมาแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ท่านั้นมันก็ไม่แรงเท่าไหร่หรอก แต่มีอะไรแปลก ๆ อยู่ ปกติปีกของฉันจะไม่ได้รับผลข้างเคียงจากการโจมตีด้วยเวทมนตร์หรอกนะ แต่นี่กลับโดนกระแสไฟฟ้าวิ่งแล่นเข้ามาจนชาไปครึ่งตัวเลย ถึงจะไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ชะงักไปพักหนึ่งล่ะ”
“…อืม …แล้วน้ำแข็งนั่นล่ะ?…”
“ถึงจะแช่แข็งได้เร็วแต่ก็มีผลกับแค่ผิวนอก เหมือนโดนน้ำแข็งเกาะเท่านั้นแหละนะ แต่ถ้าโดนจับไว้นาน ๆ ก็อาจถูกทำให้แข็งไปจนถึงเนื้อในได้เหมือนกัน นี่เธอจะถามซอกแซกทำไมเนี่ย!?”
“…เพราะเราจะร่วมด้วยไงล่ะ…”
“หา!? บอกแล้วไงว่าฉันคนเดียวก็พอแล้ว!”
“…เธอน่ะไม่ชนะหรอก…”
“ว่าไงน๊า!!”
อัลติม่าแสดงอาการโกรธจนหน้าตาบูดเบี้ยวทำให้ลานาเทลอดขำไม่ได้ แต่แซนโดรก็ตีสีหน้าเรียบเฉยและอธิบายต่อไป
“…ไม่ได้จะดูถูกเธอหรอกนะ …แต่มันเป็นการยากที่จะจัดการกับคนที่มีความสามารถแบบนี้น่ะ …ต่อให้เธอไล่ต้อนได้จนเกือบจะชนะ แต่แม่นั่นก็อาจเทเลพอร์ทหนีไปก็ได้ …ดังนั้นถ้าอยากจะจัดการให้เด็ดขาดต้องร่วมมือกันนี่แหละ…”
อัลติม่าทำหน้าเหมือนอยากจะโต้แย้ง แต่สิ่งที่แซนโดรพูดมาก็ไม่ผิดอะไรนัก แม้เธอมั่นใจว่าสามารถเอาชนะไซล่าร์ได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสกัดไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปได้จริง ๆ เธอจึงจำต้องยอมให้แซนโดรกับลานาเทลร่วมในการต่อสู้ด้วย
ซาลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มีท่าทีลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เขาอยากขอร้องแซนโดรให้พยายามจับเป็นไซล่าร์ แต่ดูจากฝีมือของอีกฝ่ายแล้วเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะออมมือได้เลย หากไม่สู้อย่างเต็มที่ อาจมีใครบาดเจ็บจนเป็นอันตรายก็ได้ ซาลจึงต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป
“…แม่นั่นอาจยังมีความสามารถพิเศษอื่น ๆ อยู่อีกก็ได้ …ยังไงก็ระวังด้วยนะ…”
“หืม~ มีความห่วงใยจากคุณแซนโดรเป็นพรคุ้มกันแบบนี้ ฉันไม่มีทางเป็นอะไรหรอกค่ะ”
“…พูดแบบนั้นน่ะ สมัยโลกเก่าเค้าเรียกกันว่า ‘เดธแฟลก’ (Death Flag = ลางตาย) นะ…”
“เห~ เป็นห่วงชั้นขนาดนั้นเลยเหรอคะเนี่ย น้ำตาจะไหลแล้วค่ะ”
ลานาเทลแกล้งสูดจมูกเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่ดูก็รู้ว่าเป็นการแกล้งทำมากกว่า ทำให้แซนโดรได้แต่แสดงสายตาเหนื่อยหน่ายออกมา
เมื่อหยอกแซนโดรเสร็จแล้ว ลานาเทลก็ดีดตัวพุ่งตรงเข้าไปหาไซล่าร์ โดยมีอัลติม่าตามเข้าไปติด ๆ ส่วนแซนโดรก็ค่อย ๆ เดินตามทั้งสองคนเข้าไปพลางรวบรวมพลังเวทไปด้วย
ผ้าคลุมของลานาเทลบางส่วนไหลไปอาบผิวนอกของดาบจนกลายเป็นสีดำสนิท และเธอก็ใช้ดาบนั้นฟาดเข้าใส่ไซล่าร์อย่างเต็มแรง แต่อีกฝ่ายก็เบี่ยงตัวหลบได้เช่นเคย ทว่าทันทีที่คมดาบสัมผัสกับพื้น ของเหลวสีดำที่อาบใบดาบอยู่ก็ซึมลงพื้นอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นใบมีดสีดำจำนวนมากแทงขึ้นมาบนพื้นดินโดยรอบ ทำให้ไซล่าร์ต้องเทเลพอร์ทหนีออกมา
ทันทีที่หลบออกจากทุ่งดาบของลานาเทลมาได้ ไซล่าร์ก็หันกลับไปมองเพื่อเตรียมจะโจมตี แต่ทันใดนั้นพื้นที่โดยรอบก็มีกำแพงที่สร้างจากโครงกระดูกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นโดมทรงครึ่งวงกลมกักขังเธอเอาไว้
เมื่อโดมโครงกระดูกเสร็จสมบูรณ์ แซนโดรก็กำฝ่ามือที่ร่ายเวทอยู่ ทำให้โดมนั้นยุบตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกับลูกบอลกระดาษที่กำลังถูกบีบ มันอัดตัวหาเข้ากันจนเกิดเสียงกระดูกแตกละเอียดดังสนั่นหวั่นไหว
ไซล่าร์เทเลพอร์ทหนีออกมาจากโดมโครงกระดูกนั้นได้ทัน แต่บนท้องฟ้าโดยรอบก็มีวงเวทจำนวนมากปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ
วงเวทเหล่านั้นกระหน่ำยิงลำแสงสีเขียวใส่ไซล่าร์ราวกับห่าฝน แม้เธอจะโฉบตัวหลบหลีกมันได้ทั้งหมด แต่ด้วยการควบคุมของแซนโดรที่ใช้การยิงดักหน้าเพื่อไล่ต้อนเป้าหมายไม่ให้หลบหนีออกจากทุ่งสังหารนี้ได้อย่างแม่นยำ ทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากใช้การเทเลพอร์ทอีกครั้งเพื่อขึ้นไปอยู่เหนือวงเวทบนฟ้า ก่อนจะปล่อยสายฟ้าฟาดออกจากมือทั้งสองข้างเพื่อทำลายวงเวทเหล่านั้นทิ้งไป
“…ถึงจะเป็นพลังที่อยู่เหนือกฎของเวทมนตร์ แต่ก็ต้องมีข้อจำกัดของตัวเองอยู่ …ที่โดนการโจมตีสวนกลับของอัลติม่าเข้าไปน่ะ เพราะว่าขีดจำกัดในการเทเลพอร์ทคือสามครั้งสินะ…”
แซนโดรประเมินเรื่องนี้โดยสังเกตจากการต่อสู้ครั้งก่อนหน้าที่ไซล่าร์ไม่ได้ใช้การเทเลพอร์ทครั้งที่สี่เพื่อหลบการโจมตีทั้ง ๆ ที่น่าจะทำได้ จึงพยายามวางหมากบีบให้ไซล่าร์ต้องใช้การเทเลพอร์ทจนครบ เพื่อที่จะได้รุกฆาตในทีเดียว
——————————————————————————————————–
Part 3
แม้จะสามารถทำลายวงเวทได้จนหมด แต่ระหว่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศนั้น ไซล่าร์ก็รู้สึกตัวถึงการโจมตีจากสองทิศทาง คือลานาเทลที่กำลังพุ่งขึ้นมาจากด้านล่าง และฝั่งตรงข้ามก็มีอัลติม่ากำลังพุ่งเข้ามาหาจากด้านบน
เมื่อใช้การเทเลพอร์ทไม่ได้แล้ว ไซล่าร์ก็ไม่น่าจะมีทางหลบหลีกการโจมตีประสานนี้ได้และต้องเลือกป้องกันเพียงทางใดทางหนึ่งเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่แซนโดรคิด แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เธอและทุกคนต้องแปลกใจ
เพราะไซล่าร์พุ่งตัวฝ่าอากาศหนีออกไปทางอื่น ทำให้ทั้งอัลติม่าและลานาเทลได้แต่มองตามจนตาค้าง
“นั่นมัน!?”
“บินได้ด้วยเหรอคะเนี่ย… ความสามารถพิเศษของพวกฮาลฟ์บีสนี่มัน…”
ทั้งสองคนไม่มีทางเลือกนอกจากเปลี่ยนทิศและบินตามเป้าหมายไป แต่ทันทีที่ไซล่าร์ลงถึงพื้นเธอก็หันกลับมาหาทั้งสองคนและยกมือขึ้นมาเหมือนกับจะปล่อยพลังบางอย่างเข้าใส่ ทำให้ทั้งคู่ต้องเปลี่ยนท่าเป็นการป้องกัน
ทว่าแทนที่จะมีการโจมตีออกมา ดาบของลานาเทลกลับตวัดเข้าใส่อัลติม่าที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ แทน โชคดีที่เธอยังยกปีกขึ้นมาป้องกันเอาไว้ได้
“เฮ้ย! ทำอะไรของเธอน่ะ!?”
“ปะ.. เปล่านะคะ! แต่ดาบมัน!?”
ทั้งสองคนรีบร่อนลงบนพื้นด้วยท่าทางสับสนกันทั้งคู่
อัลติม่าหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาข้องใจ แล้วก็พบว่าดาบของลานาเทลกำลังสั่นราวกับพยายามเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง โดยมีเจ้าตัวพยายามใช้ทั้งสองมือจับเอาไว้อย่างเต็มที่ ทั้งคู่ต่างก็เข้าใจในทันทีว่าดาบเล่มนี้กำลังถูกควบคุมอยู่ด้วยพลังเทเลคิเนซิสที่ใช้ควบคุมสสารได้ตามใจชอบนั่นเอง
ในเสี้ยววินาทีต่อมา อัลติม่าก็รู้สึกถึงการโจมตีที่เข้ามาใกล้ แต่เมื่อหันไปมอง กำปั้นของไซล่าร์ก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
อัลติม่าถูกชกเข้าเต็มแรงจนตัวลอยกระเด็นออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบของลานาเทลหลุดจากการควบคุม เธอจึงเหวี่ยงดาบเข้าฟาดฟันไซล่าร์อย่างต่อเนื่อง แต่อีกฝ่ายก็สามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วด้วยความเร็วที่ผิดธรรมชาติ ราวกับลานาเทลกำลังไล่ฟันภาพเงาลาง ๆ ของภูติผีเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าการโจมตีด้วยเพลงดาบไม่ได้ผล ลานาเทลจึงคิดจะแปรสภาพผ้าคลุมเป็นอาวุธเพื่อโจมตีเป็นบริเวณกว้าง แต่เพียงแค่ผ้าคลุมเริ่มเคลื่อนไหว ไซล่าร์ก็กระทืบเท้าลงกับพื้นทำให้เกิดคลื่นความเย็นแผ่ออกมาแช่แข็งทั่วทั้งบริเวณ
เพราะมันเป็นการปล่อยพลังเย็นแบบเร่งรีบทำให้ลานาเทลถูกน้ำแข็งปกคลุมแค่บาง ๆ และขยับตัวหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ผ้าคลุมของเธอที่มีสภาพคล้ายกับของเหลวอยู่แล้วก็ถูกแช่แข็งจนแน่นิ่งไปและหยุดการแปรสภาพ
ทว่าจังหวะที่ปลดปล่อยคลื่นความเย็นออกมาความเร็วในการเคลื่อนไหวของไซล่าร์ก็กลับมาเป็นปกติแถมเธอยังหยุดอยู่กับที่เพื่อกระทืบพื้นด้วย ลานาเทลจึงอาศัยจังหวะนี้ฟันเข้าที่แขนซ้ายของอีกฝ่ายจนขาดกระเด็นไป แถมคมดาบยังถากโดนลำตัวบางส่วนจนชุดเกราะที่สวมอยู่แหว่งไปซีกหนึ่งด้วย
แม้จะถูกฟันจนแขนขาด แต่ไซล่าร์ก็ไม่มีท่าทีชะงักเลยแม้แต่น้อย เธอยกมือขวาขึ้นมาแล้วทำท่าบีบ ทันใดนั้นลานาเทลก็ถูกยกจนตัวลอยขึ้นเหมือนกำลังโดนพลังอะไรบางอย่างกระชากคอขึ้นไปบนอากาศ
ลานาเทลพยายามตวัดดาบเพื่อปล่อยพลังสวนกลับไป แต่ไซล่าร์ก็เบี่ยงตัวหลบได้ง่าย ๆ เพราะมันเป็นการโจมตีจากผู้ที่ถูกสกัดการเคลื่อนไหวอยู่ ทำให้โจมตีได้ไม่ถนัดนัก
หลังจากหลบการโจมตี ไซล่าร์ก็สะบัดมือที่ทำท่าคว้าคออยู่เป็นท่าฟันในแนวราบแทน ทันใดนั้นผิวหนังบนคออันขาวผ่องของลานาเทลก็ปริแยกออกเหมือนถูกของมีคมกรีดเป็นแนวยาว ก่อนจะมีเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ
ระหว่างนั้นเองก็มีลำแสงสีเขียวจากอีกทิศทางหนึ่งพุ่งเข้าใส่ไซล่าร์อย่างรวดเร็ว แม้เธอจะเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงจุดตายได้ทัน แต่แขนขวาก็ถูกลำแสงนั้นพุ่งผ่านจนขาดกระเด็นไปอีกข้าง เป็นเวลาเดียวกับที่ลานาเทลหลุดจากพันธนาการและร่วงลงมาทรุดลงกับพื้น
เมื่อหันไปมองยังที่มาของการโจมตี ไซล่าร์ก็พบกับแซนโดรซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาพร้อมกับบอลพลังเวทสีเขียวอีกหกลูกที่ลอยอยู่เหนือไหล่ เธอจึงรีบงอกแขนทั้งสองกลับขึ้นมาใหม่ แต่ทันใดนั้นก็มีเขี้ยวสีดำขนาดใหญ่แทงเข้าที่ด้านหลังของเธอจนทะลุออกมาที่หน้าท้อง
เขี้ยวนั้นคือปีกข้างหนึ่งของอัลติม่าซึ่งแปรสภาพไปจนมีลักษณะคล้ายกับขาของแมลงขนาดยักษ์ เธอยังทำการแปรสภาพปีกอีกข้างเป็นคมเคียวอันใหญ่เพื่อเตรียมจะเหวี่ยงเข้าใส่ไซล่าร์ที่ถูกปักคาอยู่ด้วย
แซนโดรอาศัยจังหวะที่ไซล่าร์ถูกตรึงอยู่ยิงบอลพลังเวททั้งหกลูกเข้าใส่ในทันที แต่อีกฝ่ายกลับเอี้ยวตัวเพื่อยกขาขึ้นมาก่ายปีกของอัลติม่าไว้ ก่อนจะเทเลพอร์ทเพื่อสลับตำแหน่งของเธอกับอัลติม่า ทำให้อัลติม่ากลายเป็นฝ่ายที่กำลังจะโดนพลังเวทของแซนโดรแทน
เมื่อเห็นเช่นนั้นแซนโดรจึงสะบัดมือเพื่อให้การโจมตีเบี่ยงทิศไปทางอื่น บอลทั้งหกลูกจึงเฉี่ยวตัวอัลติม่าออกไปแบบฉิวเฉียด
ระหว่างนั้นปีกของอัลติม่าที่ถูกเท้าของไซล่าร์แตะสัมผัสอยู่ก็ค่อย ๆ เกิดรอยร้าวขึ้นบนผิวที่แข็งเหมือนกับเปลือกแมลงนั้น จนกระทั่งมันแตกออกเป็นผุยผงราวกับเครื่องปั้นดินเผาที่ถูกทุบ
ทันทีที่ปีกนั้นแตกออก ไซล่าร์ก็เทเลพอร์ทถอยออกมาตั้งหลัก เช่นเดียวกับพวกแซนโดรที่กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง