Doombringer the 5th - ตอนที่ 59
Ch.59 – คำสัญญากับคุณกระต่าย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 59
คำสัญญากับคุณกระต่าย
Part 1
ไซล่าร์ใช้แขนขวาซึ่งงอกกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้วดันปีกของอัลติม่าที่เสียบคาท้องอยู่ให้หลุดออกไปทางด้านหลัง
เมื่อนำเศษปีกออกไปแล้ว เธอก็เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทันที แต่คราวนี้บาดแผลที่หน้าท้องดูจะยังสมานกันได้ไม่สมบูรณ์ ไซล่าร์ที่รู้สึกถึงอาการนั้นจึงยกมือซ้ายขึ้นมาดูและพบว่าแขนซ้ายที่งอกกลับมาใหม่ก็มีลักษณะของผิวหนังที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เช่นกัน
“ถึงขีดจำกัดแล้วรึเนี่ย… ไม่นึกว่ายัยพวกนั้นจะเก่งขนาดนี้… เปิดช่องโหว่แทบไม่ได้เลย… เราคงดูถูกคู่ต่อสู้มากไปหน่อยสินะ…”
ไซล่าร์พึมพำกับตัวเองพลางเหลือบมองกลับไปยังคู่ต่อสู้
อัลติม่าที่อยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวมีปีกสีดำขนาดใหญ่ซึ่งห่อตัวเป็นรูปร่างราวกับอุ้งมือติดอยู่กลางหลัง
แซนโดรซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉยยังคงมีบอลพลังเวทหกลูกลอยอยู่เหนือไหล่
แม้แต่ลานาเทลที่ถูกปาดคอและเสียเลือดไปมาก ตอนนี้ก็กลับมายืนได้อย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อยในขณะกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดที่เปื้อนอยู่บนปกเสื้อเท่านั้น
“ในกลุ่มนั้นมีมนุษย์จริงๆอยู่บ้างรึเปล่าเนี่ย… ความสามารถในการรักษาตัวคงฟื้นกลับมาไม่ทันการต่อสู้ยกต่อไปแน่… ถ้าเป็นแบบนี้ละก็…”
ในระหว่างที่ไซล่าร์กำลังครุ่นคิด ทางกลุ่มของแซนโดรก็กำลังถกเถียงกันอยู่
“รู้สึกเสียหน้ามากเลยค่ะ ถึงจะยังไม่ได้เอาจริงก็เถอะ แต่ถูกเล่นงานแบบนี้ยังไงก็ยอมรับไม่ได้ค่ะ ขอให้ฉันเป็นคนปิดฉากเองเถอะนะคะ”
“เฮ้ ๆ ได้ไงเล่า ต้องตามคิวเซ่ แล้วที่ว่าไม่ได้เอาจริงนั่นมันอะไรกันน่ะ? พูดเป็นเด็กประถมไปได้ แพ้ก็คือแพ้นั่นแหละ ถ้าบอกว่าไม่ได้เอาจริงก็คือประมาทเองนะรู้ป่าว”
“งั้นคุณอัลติม่าก็แพ้ไปสามครั้งแล้วนะคะ”
“ชะ.. ใช่ที่ไหนเล่า!? นั่นชั้นแกล้งทำเป็นเสียท่าเพื่อให้คู่ต่อสู้ตายใจต่างหาก! มันเป็นแผนน่ะ! เป็นแผน!”
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ อีกฝ่ายมีความสามารถที่โกงขนาดนี้ จะเพลี่ยงพล้ำบ้างก็ไม่แปลกหรอก”
“นี่เธอพูดเพื่อแก้ตัวให้กับตัวเองใช่มั้ย?”
เพราะคำพูดยอกย้อนของอัลติม่า ทำให้ลานาเทลที่เดิมทีก็หงุดหงิดอยู่แล้วเริ่มจะอารมณ์เสียมากขึ้นอีก แม้จะยังฝืนสีหน้าและพยายามปั้นยิ้มเอาไว้ แต่แววตาของเธอที่จ้องมองไปยังอัลติม่าก็ไม่ได้ยิ้มด้วยเลย
แซนโดรที่เห็นทั้งสองคนมัวเถียงกันก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“…นี่พวกเธอ …เลิกเถียงกันได้แล้ว …เดี๋ยวแม่นั่นก็หนีไปหรอก …รีบ ๆ จบเรื่องกันดีกว่า…”
คำพูดของแซนโดรทำให้อัลติม่ากับลานาเทลยอมรามือกันชั่วคราวและหันกลับไปหาศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่ก่อนที่ทุกคนจะขยับตัว ไซล่าร์ก็เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวซะก่อน
ทว่าไซล่าร์ไม่ได้มุ่งหน้ามาหาทุกคน แต่กลับพุ่งไปทางซาลซึ่งอยู่ห่างออกไปแทน เธอวิ่งตรงไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อที่แทบจะทำให้เห็นร่างของเธอเป็นแค่เงาลาง ๆ
เพราะไซล่าร์ประเมินแล้วว่าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งสามคนพร้อมกันได้ หรือแม้แต่จะสลัดการไล่ตามของคนเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากแล้ว เธอจึงคิดจะใช้เด็กผู้ชายที่มากับกลุ่มศัตรูเป็นตัวประกันเพื่อหนีออกไป
นั่นเป็นจังหวะที่ทุกคนเพิ่งรู้สึกตัวว่าซาลยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง โดยไม่ได้มีนิโคลอยู่ด้วย
เพราะซาลเป็นคนขอให้นิโคลพาเซร่ากลับเข้าเมืองเพื่อไปส่งโรงพยาบาลนั่นเอง
เมื่อเห็นแบบนั้น ทุกคนจึงรีบพุ่งตัวออกไปโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อสกัดไซล่าร์ในทันที ส่วนซาลเองก็เริ่มออกวิ่งเพื่อหนีให้ห่างจากการไล่ตาม
ลานาเทลอาบคมดาบด้วยเลือดจากผ้าคลุมเกือบทั้งหมดแล้วฟาดดาบลงกับพื้น ทำให้เกิดใบดาบสีดำพุ่งขึ้นมาเป็นทางยาวและตรงเข้าไปขวางหน้าไซล่าร์เอาไว้ราวกับเป็นทุ่งหนามที่สร้างจากใบมีดสำดำสนิท ความสูงของมันยังชันจนเกือบจะกลายเป็นกำแพงอีกด้วย แต่ไซล่าร์ก็ชะลอความเร็วลงก่อนจะเทเลพอร์ทข้ามทุ่งใบมีดสีดำนั้นไปได้ และเร่งความเร็วเพื่อวิ่งต่ออีกครั้ง
แซนโดรเหวี่ยงมือขึ้นเพื่อร่ายเวท ‘โบนวอล’ (Bone Wall) ทำให้เกิดกำแพงที่สร้างจากโครงกระดูกก่อตัวขึ้นมาขวางหน้าไซล่าร์อย่างรวดเร็ว ทำให้ไซล่าร์ต้องชะลอความเร็วลงอีกครั้ง แต่ก็ยังเทเลพอร์ททะลุไปอีกฟากหนึ่งของกำแพงได้อยู่ดี
จากการชะลอความเร็วลงถึงสองครั้ง ทำให้อัลติม่าที่บินตรงมาด้วยความเร็วสูงสามารถเข้าดักหน้าไซล่าร์ได้ทัน และโปรยบอลแสงสีขาวเข้าดักหน้าอีกฝ่ายราวกับห่าฝน แต่ไซล่าร์ก็เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งและวิ่งซอกแซกหลบบอลแสงนั้นทั้งหมดได้ ก่อนจะเทเลพอร์ทไปโผล่ที่ด้านหลังของอัลติม่าแล้วเอามือแตะสัมผัสท้ายทอยของเธอเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเข้าช็อตในระยะประชิด
แม้จะถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าเข้าที่หัวจนเกือบจะหมดสติ แต่อัลติม่าก็ยังกัดฟันและหมุนตัวเหวี่ยงปีกเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง แต่ไซล่าร์กลับใช้จังหวะที่อัลติม่าเหวี่ยงปีกเข้าใส่ยกเท้าขึ้นมาเหยียบที่ปีกนั้นแล้วใช้มันเป็นแรงส่งเพื่อดีดตัวพุ่งไปทางซาลด้วยความเร็วสูง
อัลติม่าที่ยังเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกเพราะแรงช็อคจากไฟฟ้าได้แต่กัดฟันจ้องมองไซล่าร์ดีดตัวออกไปด้วยความเจ็บใจเท่านั้น
——————————————————————————————————–
Part 2
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียด เพราะรู้ว่าไม่สามารถหยุดยั้งไซล่าร์จากการเข้าถึงตัวซาลารัสได้ทัน
ไซล่าร์อาศัยแรงส่งจากปีกของอัลติม่าทำให้พุ่งมาลงบนพื้นที่อยู่ห่างจากซาลไปไม่มาก เธอเร่งความเร็วในการวิ่งขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้แค่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ความเร็วอันเหนือธรรมชาตินั้นก็หายไป ทำให้กลายเป็นการวิ่งด้วยฝีเท้าปกติ
“อืม… นี่ก็ถึงขีดจำกัดแล้วงั้นรึ… แต่แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้วล่ะนะ”
เพราะความสามารถในการเร่งความเร็วหมดลง ไซล่าร์จึงเปลี่ยนเป็นความสามารถในการบินและลอยตัวขึ้นเพื่อบินตรงไปหาซาลารัสแทน แม้ความเร็วในการบินจะต่ำกว่าการวิ่งแบบเร่งความเร็ว แต่ก็ยังเร็วกว่าการวิ่งปกติอยู่ดี
ทว่าขณะที่บินอยู่กลางอากาศไซล่าร์ก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน และพุ่งไปยังแนวไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ แทน
“คิดว่าฉันจะหลงกลง่าย ๆ แบบนี้เหรอ!? ต่อให้ใช้ตัวล่อที่รูปลักษณ์เหมือนกัน แต่กลิ่นแบบนั้นหลอกจมูกของชั้นไม่ได้หรอกนะ!”
คำพูดของไซล่าร์ที่เปลี่ยนทิศไปทางอื่นทำให้ซาลที่วิ่งอยู่ต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับมามอง
แม้จะมีเส้นผมสีเทาเหมือนกัน แต่ใบหน้านั้นกลับเป็นใบหน้าของวาเคียซึ่งกำลังตื่นตระหนกเพราะการเป็นตัวล่อไม่ได้ผล
นั่นเป็นร่างเสมือนที่ซาลสร้างขึ้นมาให้วาเคียใช้ในการวิ่งล่อไปทางอื่น แต่เพราะไซล่าร์มีสัมผัสพิเศษด้านกลิ่นทำให้สามารถแยกออกว่าซาลที่กำลังวิ่งหนีไปนั้นไม่ใช่ตัวจริง จึงพุ่งไปหาต้นกำเนิดของกลิ่นที่อยู่ในแนวไม้แทน เพราะนั่นน่าจะเป็นที่ ๆ ตัวจริงซ่อนอยู่
เมื่ออ้อมแนวไม้เข้าไปเธอก็พบกับซาลที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้จริง ๆ
ไซล่าร์ยิ้มออกมาก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเพื่อที่จะจับตัวเขาเอาไว้
แต่ทันใดนั้น ภาพของเด็กที่อยู่ตรงหน้าเธอก็ค่อย ๆ เลือนลางลงราวกับมีม่านไอน้ำปกคลุมอยู่
“นี่มัน!? ภาพลวงตาเหรอ? ไม่สิ ก็กลิ่นอยู่ตรงนี้แน่ ๆ นี่นา นี่เป็นตัวจริงไม่ผิดแน่ อย่ามาหลอกกันดีกว่า!”
ไซล่าร์ยังคงเอื้อมมือต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็มีใบดาบสีดำสนิทปรากฏขึ้นมาบนอากาศ
คมดาบนั้นค่อย ๆ กรีดทิวทัศน์ตรงหน้าเหมือนมันกำลังตัดผ่านห้วงมิติอีกแห่งหนึ่งเข้ามา ทำให้ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าของเธอถูกเฉือนออกเป็นสองเสี่ยงราวกับเป็นแผ่นกระดาษ
แม้จะรู้สึกตัวว่านี่เป็นการโจมตี แต่เพราะพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูงแถมยังอยู่ในระยะประชิด ทำให้ไซล่าร์ไม่สามารถตอบสนองต่อการโจมตีนั้นได้ทัน คมดาบนั้นสับเข้าที่ร่างของเธอตั้งแต่หัวไหล่ซ้ายเฉียงลงไปจนถึงเอวขวา ทำให้ร่างของเธอขาดเป็นสองเสี่ยง ก่อนจะร่วงลงบนพื้นอย่างช้า ๆ
——————————————————————————————————–
Part 3
แซนโดร ลานาเทล และอัลติม่า ต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ มีลานาเทลอีกคนพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าแล้วฟันไซล่าร์จนขาดเป็นสองเสี่ยง ก่อนที่ร่างนั้นจะสลายหายไป
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ซาลก็ปรากฏตัวขึ้นจากม่านทิวทัศน์อันเลือนลางที่ซุกซ่อนตัวเขาอยู่ มันคือเวทมิราจ เวทที่สร้างม่านอุณหภูมิขึ้นมาหักเหแสงเพื่อบดบังทัศนะวิสัยในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เขาใช้มันออกมาด้วยเจตนาจะซ่อนตัว แต่เพราะอีกฝ่ายยังคงรู้ตำแหน่ง จึงต้องใช้ ‘การอัญเชิญหนึ่งกระบวนท่า’ ออกมาป้องกันตัวด้วย ทำให้ไซล่าร์ที่ย่ามใจว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งกลับต้องเสียท่า
ซาลเดินอ้อมเข้ามาดูไซล่าร์ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างช้า ๆ เขาพบว่าผิวของเธอเริ่มซีดและแห้งลงเรื่อย ๆ จนมีรอยปริแตกไปทั่ว ราวกับพลังชีวิตของเธอกำลังเหือดหายไป ทำให้กำลังจะกลายเป็นแค่ซากแห้ง ๆ ชิ้นหนึ่ง
เขามองดูไซล่าร์ที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและเต็มไปด้วยความเสียใจ ในดวงตาก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา แต่ไซล่าร์ที่เห็นใบหน้านั้นกลับยิ้มตอบ
“หึ… หึหึหึหึ… แม้แต่เด็กก็ยังมีของแบบนี้ซ่อนอยู่ด้วยรึเนี่ย… คิดไม่ถึงจริง ๆ … ว่าแต่เมื่อกี้มันคืออะไรงั้นเหรอ?…”
“นั่นคือร่างอัญเชิญเสมือนของลานาเทลน่ะครับ… ผมใช้เวทสร้างม่านลวงตาเพื่อบังการอัญเชิญเอาไว้ ความจริงตั้งใจจะใช้แค่ป้องกันตัว แต่ว่า…”
ร่างเสมือนของลานาเทลตอบสนองกับภัยคุกคามไปตามสัญชาติญาณจึงใช้ดาบเลือดโจมตีเข้าใส่ไซล่าร์อย่างเต็มแรง
เพราะเป็นการโจมตีที่มองไม่เห็นและคาดไม่ถึงจากในระยะประชิด ไซล่าร์จึงไม่สามารถรับมือได้ทัน
“ร่างอัญเชิญเสมือนงั้นเหรอ… สามารถอัญเชิญร่างที่มีพลังขนาดนี้ออกมาได้ ไม่เลวเลยจริง ๆ … นี่ฉันประเมินพวกเธอต่ำเกินไปทุกคนเลยสินะ… หุหุหุ…”
ไซล่าร์ยังคงหัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกผิด ในขณะเดียวกันนั้น แซนโดร ลานาเทล และอัลติม่า ก็เดินมาถึงพอดี
“นี่คือชะตากรรมของเผ่าฮาลฟ์บีสงั้นรึ… คนของเรา… ลูกหลานของเรา… ต้องถูกปฏิบัติเหมือนกับสัตว์… เป็นสินค้าที่ซื้อขายได้ราวกับสิ่งของต่อไปงั้นรึ…”
ไซล่าร์เอ่ยคำพูดขึ้นมาด้วยดวงตาที่ดูฝ้าฟางลงเรื่อย ๆ ราวกับความสามารถในการมองเห็นของมันกำลังจะหมดลง แต่ใบหน้าของเธอก็ยังยิ้มอยู่ ราวกับเป็นการประชดประชันในชะตากรรมอันแสนเศร้า เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ซาลจึงยิ่งรู้สึกปวดใจ
“เจตนาของคุณไซล่าร์ ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะครับ จะผิดก็แต่วิธีการเท่านั้น… ด้วยความสามารถของคุณ น่าจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้อีกมากมาย… ถ้าไม่ถูกความแค้นครอบงำจนคิดแต่จะแก้ปัญหาด้วยการฆ่าฟันเพียงอย่างเดียวละก็…”
“หึหึหึ… ยังไร้เดียงสาเหมือนเดิมนะ… ไม่ใช่ทุกอย่างจะสามารถแก้ได้ด้วยสันติวิธีหรอกนะรู้มั้ย…”
“ความรุนแรงและการฆ่าฟันก็ไม่สามารถแก้ได้ทุกอย่างเหมือนกันแหละครับ!”
“หุหุ… เฮ้อ… เอาเถอะ… ยังไงมันก็สายไปแล้วล่ะนะ… ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ก็ถือซะว่าเป็นชะตาลิขิตก็แล้วกัน… ชะตากรรมของเผ่าฮาลฟ์บีสถูกกำหนดมาให้เป็นสินค้า ก็คงจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันไม่ได้…”
“ได้สิ! ผมจะเป็นคนเปลี่ยนมันเอง!
“หืม?…”
คำพูดโต้แย้งของซาล ทำให้ไซล่าร์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ถึงตอนนี้จะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่สักวันผมต้องหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้! ผมสัญญาเลย!”
“เด็กอย่างเธอ จะไปทำอะไรได้…”
“ทำได้สิครับ! ผมน่ะ!…”
ซาลพูดออกมาแค่ส่วนหนึ่งแล้วก็หยุดชะงักไป เพราะเขาคิดว่าการประกาศตัวเองว่าเป็นผู้สร้างหายนะและมีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ มันก็เป็นเหมือนแค่คำพูดโอ้อวด เขาจึงไม่กล้าพูดมันออกมา
ไซล่าร์ที่มีท่าทีสงสัยจ้องมองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ทั้งที่ดวงตาอันฝ้าฟางของเธอไม่น่าจะมองเห็นภาพอะไรได้อีกแล้ว
หลังจากจ้องมองอยู่พักหนึ่งเธอก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้ซาลต้องประหลาดใจออกมา
“ผู้สร้างหายนะงั้นเหรอ… เธอเนี่ยนะ…”
“เอ๋? ทะ… ทำไมถึง?”
“หุหุหุ… ปกติการอ่านความคิดคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ หรอกนะ… แต่คงเพราะเธอกำลังเปิดใจพูดกับฉันอย่างซื่อตรง ทำให้ฉันสามารถอ่านความคิดของเธอได้… แต่ว่านะ… อย่างเธอน่ะเหรอจะเป็นผู้สร้างหายนะ? ฮะ ๆ ๆ … นิสัยอ่อนต่อโลกแบบนี้น่ะ ไปบวชเป็นพระน่าจะเหมาะกว่ามั้ง…”
——————————————————————————————————–
Part 4
ซาลรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแวบหนึ่งที่ถูกอ่านความคิด แต่เขาก็คิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิดอยู่แล้ว จึงพูดกับไซล่าร์ต่อไป
“ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีวิธีการใช้ของมันอยู่ครับ การเป็นผู้สร้างหายนะก็เช่นกัน ขอเพียงรู้จักใช้ให้ถูกวิธี ก็จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดี และเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน”
ไซล่าร์จ้องมองซาลอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันนิด ๆ
“หึ… เธอก็แค่อยากจะนำครอบครัวตัวเองกลับมาอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ?… เปลี่ยนแปลงโลกอะไรกัน?… อย่าพูดให้ขำดีกว่าน่า…”
คำพูดของไซล่าร์ทำให้ซาลรู้สึกสะอึกไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังโต้แย้งกลับไปด้วยแววตาอันมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าเจตนาของตนเองได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ในทีแรกผมก็คิดแค่นั้นจริง ๆ … แต่ยิ่งเดินทางก็ยิ่งได้เห็นปัญหาของโลกนี้มากมาย แม้เปลือกนอกจะดูเป็นโลกที่สงบสุขและสมบูรณ์แบบ แต่ข้างในยังมีปัญหาที่รอการปะทุและลุกลามอยู่อีกนับไม่ถ้วน เพราะงั้นถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ผมก็จะพยายามแก้ไขสิ่งเหล่านี้ รวมไปถึงการทำลายวงจรการค้ามนุษย์ด้วย”
“หุหุ… พูดจาใหญ่โตจริงนะ… ไม่มีใครแก้ปัญหาให้กับคนทั้งโลกได้หรอก…”
“ผมก็ไม่ได้คิดจะแก้ปัญหาให้กับคนทั้งโลกหรอกครับ แค่แก้ปัญหาให้กับคนที่ผมได้พบก็พอแล้ว… หากไม่เคยรับรู้ก็แล้วไป แต่ถ้าได้มาเห็นแล้ว คงปล่อยเอาไว้เฉย ๆ ไม่ได้”
ไซล่าร์จ้องมองเข้าไปยังดวงตาของซาลเพื่ออ่านความคิดของเขาอีกครั้ง และเธอก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่คำพูดของเขาเป็นความจริงทุกถ้อยคำ
บางทีมันอาจเป็นแค่ความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ไม่ประสีประสาก็ได้ ไซล่าร์จึงค้นลึกเข้าไปในความทรงจำของเขา และได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาเคยผ่านพบมาทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของโรงเรียนอีจิส
ทั้งที่เคยถูกทรยศขนาดนั้น เคยรู้สึกสิ้นหวังและสูญเสีย จนเกิดความเคียดแค้นกับโลกทั้งใบ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดนั้น
แม้จะเคยคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่เขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ จนอยากแก้แค้นลงกับผู้อื่น อยากทำลายทุกอย่างให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาติความสูญเสียเหมือนกัน แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าผู้คนเหล่านั้นจะต้องรู้สึกทนทุกข์และเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่เขาเคยพบ มันกลับทำให้เขารู้สึกแย่ลงกว่าเดิม
เพราะเคยพบกับความเจ็บปวดนั้นมาแล้ว เขาจึงรู้ดีว่าคนอื่น ๆ จะต้องรู้สึกยังไงเมื่อพบกับความสูญเสีย และการเพิ่มผู้เคราะห์ร้ายมากขึ้นกลับทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมากกว่า ไม่ได้ทำให้สะใจหรือสบายใจขึ้นเลย อาจเพราะโดยธรรมชาติแล้วเขาเป็นคนแบบนี้ก็ได้
ที่สำคัญคือการหยิบยื่นความเจ็บปวดให้ผู้อื่นคือสิ่งที่เขาเกลียด หากใช้วิธีการเดียวกันเพื่อแก้แค้นและทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องพบกับความสูญเสีย เขาก็จะเป็นในสิ่งที่เขาเกลียดซะเอง ซึ่งซาลไม่ต้องการจะเป็นเช่นนั้น
นอกเหนือจากนี้ เขายังมีความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง คือความเชื่อที่ว่าผู้ที่ส่งผ่านความทุกข์ให้กับผู้อื่นก็จะได้รับความทุกข์ย้อนกลับมาหาตัวเองในที่สุด ส่วนผู้ที่หยิบยื่นความสุขให้กับผู้อื่นก็จะได้รับความสุขที่ผู้อื่นมอบให้ตอบแทนกลับมาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องการจะสร้างความสุขให้กับผู้อื่นได้มาก ๆ เพื่อหวังว่าความสุขเหล่านั้นจะย้อนกลับมาหาตัวเขาในสักวันหนึ่ง
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ซาลยึดมั่น และเป็นต้นกำเนิดมุมมองอันดูไร้เดียงสาของเขา
“ไม่อยากเป็นในสิ่งที่เกลียด… และเชื่อมั่นในการส่งผ่านความสุขงั้นเหรอ…”
ไซล่าร์พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ทำให้ซาลที่ได้ยินเพียงบางส่วนไม่เข้าใจในคำพูดนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
“ชักรู้สึก… อยากจะรักษาความคิดแบบนี้ของเธอเอาไว้ให้ได้ซะแล้วสิ… น่าเสียดายที่เวลาของฉันคงจะหมดลงซะแล้วล่ะนะ…”
ไซล่าร์เหลือบตาขึ้นไปมองพวกแซนโดรที่ยืนอยู่ด้านหลังของซาลารัสอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา
“พวกเธอน่ะ… ถ้าทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดีละก็… ต่อให้เป็นผี ฉันก็จะลุกขึ้นมาหักคอพวกเธอซะ…”
“…คะ …คิดว่าเนโครแมนเซอร์อย่างฉันจะกลัวผีงั้นเหรอ?…”
แซนโดรตอบกลับไปด้วยคำพูดตะกุกตะกักเล็กน้อยจนลานาเทลต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ
ซาลที่เห็นว่าไซล่าร์ดูอ่อนแรงลงเต็มทีแล้วจึงเรียกชื่อของเธออีกครั้ง
“คุณไซล่าร์…”
ไซล่าร์หันกลับมามองซาลและยิ้มให้กับเขา ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“เอาเป็นว่าฉัน… จะรอดูการทำตามคำสัญญาของเธอก็แล้วกันนะ…”
เมื่อพูดจบ ไซล่าร์ก็หลับตาลง แล้วร่างของเธอก็แห้งผากกลายเป็นซากที่ไร้ชีวิตไปในที่สุด