Doombringer the 5th - ตอนที่ 6
Ch.6 – บันทึกจากโลกเก่า
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 6
บันทึกจากโลกเก่า
Part 1
เป็นเวลาเช้าแล้ว แสงอาทิตย์จึงสาดส่องเข้ามาในตัวรถจนแยงตาของซาล ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอาการงัวเงีย
“อืม… หือ? แซนโดรหายไปไหนน่ะ?…”
เมื่อไม่เห็นแซนโดรอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซาลก็พยายามจะพยุงตัวขึ้น ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“นะ… นี่มัน?”
เมื่อมองไปรอบ ๆ อย่างละเอียด ซาลก็ต้องรู้สึกตกใจ เพราะว่าตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนตัวของแซนโดรนั่นเอง
‘เฮ้ย! ทะ.. ทำไมกันล่ะ!? นี่เรานอนละเมองั้นเหรอ!?’
ซาลมองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง มันเป็นที่นั่งด้านหน้าของตัวรถม้าซึ่งติดกับที่นั่งคนขับ จุดเดียวกับที่แซนโดรนั่งมาแต่แรก ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ได้นอนผิดที่แน่
‘ทำไมยัยนี่ถึงมานอนตรงนี้ได้ล่ะ!?’
เขาพยายามสงบใจอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงขนาดนี้ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
‘เอาล่ะ… ใจเย็น ๆ ก่อน… เราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา… ยัยนี่เป็นคนมานอนตรงนี้เอง… เราเป็นผู้เสียหายต่างหาก!’
เมื่อเริ่มจะสงบใจได้แล้ว ซาลก็สำรวจโดยรอบอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าตำแหน่งที่เขานอนอยู่ตอนนี้จะอยู่แถว ๆ หน้าอกของแซนโดรพอดี ทำให้เขาใจเต้นตูมตามขึ้นมาอีกรอบ
‘นะ.. นี่คือหน้าอกของผู้หญิงงั้นเหรอ!? แต่… ทำไมมันแบน ๆ แถมยังแข็ง ๆ อีกต่างหาก… ไม่เห็นเหมือนกับที่เคยได้ยินมาเลย…’
ซาลพยายามสงบใจอีกครั้ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแซนโดร เขาสงสัยว่าใบหน้าตอนกำลังหลับของเธอจะเป็นยังไงกันนะ
แต่สิ่งที่ซาลได้เห็นก็คือ หัวกะโหลกที่กำลังอ้าปากค้างเอนตัวพิงพนักอยู่ ในท่านี้ทำให้ดูเหมือนกับมันกำลังจ้องมองลงมาที่เขาด้วยเบ้าตากลวงโบ๋อันมืดสนิท
“อ๊ากกกกกกกกกกกก”
ซาลกลิ้งตัวลงมาจากเบาะจนหัวไปโขกกับที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งเข้า ความเจ็บจากการโขกทำให้เขาปวดจนร้องไม่ออก ได้แต่นอนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นรถ
เมื่อได้ยินเสียงร้อง เบ้าตาที่มืดสนิทของหัวกะโหลกก็เริ่มมีเปลวไฟสีเขียวผุดขึ้นมา บ่งบอกว่าแซนโดรก็รู้สึกตัวแล้ว
“…หืม? …เช้าแล้วเหรอเนี่ย…”
“นี่! เธอน่ะ! จงใจจะแกล้งฉันใช่มั้ยหา!? กะจะให้ช็อกตายเลยรึไง!!”
“…พูดอะไรของเธอน่ะ …อ๊ะ …เผลอคลายร่างจำแลงในระหว่างหลับเหรอเนี่ย …แย่จัง …ไม่ค่อยชินก็แบบนี้แหละนะ…”
ดูเหมือนแซนโดรจะกลับคืนเป็นร่างลิชในระหว่างหลับโดยไม่รู้ตัว แม้จะแปลงกลับเป็นร่างมนุษย์ทันที แต่ซาลก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโดนแกล้งอยู่ดี เลยยังหงุดหงิดไปอีกพักใหญ่
แซนโดรให้รถม้าแล่นลงข้างทางเพื่อไปยังที่ลับตาคนก่อนจะลงจากรถแล้วสร้างประตูมิติที่เหมือนกับประตูดันเจียนขึ้นมาหลังแนวไม้แห่งหนึ่งและเชื้อเชิญซาลเข้าไป
พอเข้าไปด้านใน เขาก็พบว่าที่นี่คือคฤหาสน์ที่แซนโดรเคยใช้ในการกักตัวเขา หลังจากพาเขามาจากโรงเรียนอีจิสนั่นเอง
แซนโดรให้ซาลไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องที่เขาเคยอยู่ ในระหว่างที่เธอจัดเตรียมอาหารเช้า ซึ่งพอซาลกลับลงมาอีกครั้ง ก็มีอาหารหลากหลายชนิดวางอยู่เต็มโต๊ะแล้ว มันยังคงเป็นปริมาณอาหารที่มากเกินกว่าหญิงสาวคนหนึ่งกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งจะกินได้หมดเช่นเคย แต่เพียงครู่เดียวอาหารทั้งหมดนั้นก็อันตรธานหายไป
เมื่อรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว แซนโดรก็พาซาลออกมาจากคฤหาสน์ ก่อนจะดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ทำให้ประตูมิติที่เป็นทางเข้าคฤหาสน์สลายไป จากนั้นจึงพาเขากลับขึ้นไปบนรถม้าและเริ่มออกเดินทางต่อ
ในระหว่างเดินทาง ซาลยังคงฝึกฝนการใช้เวทมนตร์ตามด้วยการศึกษาโครงสร้างอักขระเวทเช่นเคย เพราะเขาสนุกกับการเรียนทั้งสองวิชามากจึงทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงช่วงสาย รถม้าก็ออกจากเส้นทางหลักและเข้ามาในเขตชายป่าแทน ไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากนั้นรถม้าก็มาหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง จากนั้นแซนโดรก็บอกให้เขาลงจากรถ
“…ต่อจากตรงนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปแล้วล่ะ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็ลงจากรถ ซาลจึงรีบตามลงไป พอเก็บรถม้าและสมุนอัญเชิญทั้งหมดแล้วแซนโดรก็เดินนำเข้าไปในป่าลึก โดยมีซาลเดินตามไปไม่ห่าง
แซนโดรพาเขาเดินผ่านพื้นที่แปลก ๆ มากมาย ทั้งอุโมงค์ที่เกิดจากทิวไม้อันหนาทึบ, ถ้ำใต้น้ำตก, แม้กระทั่งทางเดินเลียบใต้หน้าผา ระยะทางที่เดินมานี้ความจริงไม่ได้ไกลมากนัก แต่เพราะความคดเคี้ยวและทุลักทุเลทำให้ซาลรู้สึกเหมือนกับว่าเดินมาครึ่งค่อนวันแล้ว จึงอดบ่นออกมาไม่ได้
“ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย? จะทะลุไปอีกทวีปอยู่แล้วนะ”
“…นี่เป็นทางเข้าที่ใกล้ที่สุดน่ะ ความจริงก็มีวงเวทเคลื่อนย้ายที่เดินทางไปได้สะดวกกว่านี้ แต่มันอยู่ห่างออกไปอีกเกือบครึ่งวัน ดังนั้นยอมลำบากฝ่าทางนี้มาจะประหยัดเวลาได้มากกว่า…”
ในที่สุดเมื่อผ่านอุโมงค์ใต้หน้าผาออกมา ทั้งสองคนก็มาถึงทะเลสาบขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางป่าโปร่งที่มีทิวไม้เบาบาง
“…ที่นี่แหละ…”
แซนโดรวาดมือไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า ทันใดนั้นผิวน้ำก็แยกตัวออกเป็นสองฝั่งจนเห็นก้นทะเลสาบ
ที่ก้นทะเลสาบนั้นมีแผ่นหินปูเป็นทางเดินทอดยาวลงไป และที่ปลายทางของแผ่นหินนั้นก็มีแท่นศิลาแท่นหนึ่งตั้งอยู่เกือบกลางก้นทะเลสาบ
แซนโดรเดินนำซาลไปยังแท่นศิลาแท่นนั้น ซึ่งเมื่อเธอเข้าไปใกล้ก็ปรากฏอักขระเรืองแสงขึ้นบนตัวศิลาศิลา และไม่นานนักก็มีประตูมิติสีเขียวใสปรากฏออกมา
เธอคว้ามือของซาลเอาไว้ ทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย จากนั้นเธอก็พาเขาก้าวผ่านประตูไป
———————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อมาถึงอีกฟากหนึ่งของประตู ซาลก็พบว่าตัวเองอยู่ในดันเจียนที่เปรียบเสมือนถ้ำขนาดใหญ่
แซนโดรปล่อยมือเขาและเดินนำไปยังทางออกของถ้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ซาลจึงรีบเดินตามไป
พอเดินพ้นจากปากถ้ำออกมา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ซาลตกตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง
ภายนอกของถ้ำนั้นกลับเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่กินอาณาบริเวณไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับเป็นโลกภายนอกมากกว่าจะเป็นดันเจียน ทว่าบรรยากาศต่างมิติและทิวทัศน์กับช่วงเวลาของที่แห่งนี้บ่งบอกว่ามันไม่ใช่โลกตามธรรมชาติอย่างแน่นอน
บริเวณนั้นมีสภาพเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่สีดำทะมึนซึ่งมียอดแหลมเป็นทิวแถวราวกับคมเขี้ยวของสัตว์กินเนื้อ พื้นที่ทั้งหมดนี้มีความสูงเทียมเมฆหรืออาจบอกว่าเป็นดินแดนที่โผล่ทะลุชั้นเมฆขึ้นมาก็ว่าได้ แม้โลกภายนอกจะเป็นเวลากลางวัน แต่ภายในนี้กลับเป็นช่วงเวลากลางคืนซึ่งมีพระจันทร์ดวงโตให้แสงอันสุกสว่าง ทว่าแสงจันทร์ที่ส่องผ่านชั้นบรรยากาศลงมานั้นกลับทำให้ท้องฟ้ามีสีเขียวคราม บรรยากาศแห่งยามวิกาลของที่นี่จึงยิ่งให้ความรู้สึกเย็นเยียบขึ้นไปอีก
บนเทือกเขาเบื้องหน้าที่ไกลออกไปอีกหน่อยเป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างสีดำทมิฬจำนวนมากซึ่งสร้างเกาะกลุ่มกันอยู่อย่างแออัด มีทั้งหอคอยทรงสูงเสียดฟ้า, อาคารอันใหญ่โตเหมือนกับมหาวิหาร, และป้อมปราการที่ดูแข็งแกร่ง ทุกหลังล้วนแล้วแต่มีสีดำสนิท ตัดกับแสงสีเขียวที่ลอดออกมาทางช่องประตูหรือหน้าต่างของอาคาร
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ถูกสร้างกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างพอ ๆ กับเมือง ๆ หนึ่ง แต่เพราะความแออัดและรูปทรงของมันทำให้ดูเหมือนกับเป็นโรงงานขนาดยักษ์มากกว่า
ซาลทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นพื้นที่ต่างมิติที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้มาก่อนเลย
“นี่มัน? ภายในดันเจียนจริง ๆ น่ะเหรอ!?”
“…นี่เป็นพื้นที่ต่างมิติที่มีระดับสูงกว่าดันเจียน …เรียกว่า ‘เรล์ม’ (Realm) …มันเป็นห้วงมิติขนาดใหญ่ที่มีอาณาเขตไพศาล …มีความกว้างตั้งแต่ระดับเมืองเล็ก ๆ ไปจนถึงอาณาจักรเลย …ขึ้นกับปริมาณของหินเวทมนตร์ที่เป็นแกนกลางของมัน…”
“เรล์ม งั้นเหรอ!? โลกต่างมิติที่ว่ากันว่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังของเหล่าปิศาจน่ะนะ!? นึกว่าถูกกวาดล้างไปจนหมดแล้วซะอีก!”
“…เรล์มที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็ถูกกวาดล้างไปจนหมดแล้วจริง ๆ …แต่นี่เป็นเรล์มที่ฉันสร้างขึ้นมาเองโดยการผสานหินเวทมนตร์หลาย ๆ อันเข้าด้วยกันเพื่อขยายความจุของมิติ…”
“สร้างได้ด้วยเหรอ!? ละ.. แล้วเมืองสีดำที่อยู่ตรงนั้นล่ะ!?”
“…นั่นคือ มาลาไคท์คีป (Malachite Keep) จะเรียกว่าเป็น …บ้านของฉันก็คงจะได้ …แรก ๆ ก็มีอาคารแค่ไม่กี่หลังหรอก …แต่พอต้องมีที่สำหรับห้องทดลองและวงจรการผลิตต่าง ๆ ก็ต้องสร้างเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ …จนกลายเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ…”
“ทะ.. เธอสร้างทั้งหมดนี่ขึ้นมาเองงั้นเหรอ!? สุดยอดเลย!”
พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวชม แซนโดรก็มีสีหน้าเป็นปลื้มนิด ๆ แต่ก็ยังเดินนำทางต่อไปโดยไม่ได้เหลียวกลับมา
ทางเดินไปยังมาลาไคท์คีปนั้นเป็นเหมือนสันเขาที่ทอดยาวจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งราวกับสะพานหินขนาดใหญ่ สองฟากของทางเดินนี้เป็นทางลาดลงไปยังที่ราบซึ่งอยู่ใต้หุบเขาอีกที
ระหว่างที่กำลังเดินผ่านเส้นทางนั้นไป ซาลก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ใต้หุบเขา
ที่นั่นมีดวงไฟสีเขียวจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ราวกับเป็นละลอกคลื่น เมื่อมองลงไปดี ๆ แล้วเขาจึงพบว่า ดวงไฟทั้งหมดนั่นเป็นแสงที่ออกมาจากดวงตาของนักรบโครงกระดูกจำนวนมหาศาลที่ยืนแออัดกันราวกับคลื่นในมหาสมุทร
“นั่นมัน! สเกลตันงั้นเหรอ!? ทำไมถึงมีสเกลตันจำนวนมากมายขนาดนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ!?”
“…ออ …พวกสมุนระดับต่ำน่ะ …พอดีข้างในไม่มีที่เก็บแล้ว ก็เลยเอามากองไว้ตรงนี้…”
“ไม่มีที่เก็บงั้นเหรอ!? แปลว่าพวกนี้เป็น ‘เพอร์มาเน้นท์เพ็ท’ ทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย!?”
เพอร์มาเน้นท์เพ็ท (Permanent Pet) คือสมุนที่ไม่ถูกจำกัดเวลาในการใช้งาน คุณสมบัติโดยรวมจะเหมือนสมุนแบบจำกัดเวลาทุกอย่าง ต่างแค่เมื่ออัญเชิญออกมาแล้วจะคงอยู่ได้ตลอดไป แลกกับปริมาณพลังเวทที่ต้องใช้ในการอัญเชิญซึ่งจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหรืออาจมากกว่านั้น แล้วแต่ระดับของสมุน
“ทำไมถึงอัญเชิญออกมารอไว้เยอะขนาดนี้ได้ล่ะ? แล้วนี่มีจำนวนเท่าไหร่กันเนี่ย?”
“…มันก็มีวิธีทุ่นแรงอยู่น่ะ ไว้จะอธิบายให้ฟังทีหลัง …ส่วนเรื่องจำนวนก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ …ตอนนี้น่าจะหลายหมื่นแล้วล่ะ…”
“หลายหมื่น!? นั่นเป็นมอนสเตอร์ระดับสามเชียวนะ! ที่สำคัญ ทิวทัศน์นี่มัน… ทิวทัศน์นี่แหละ! ที่ผมใฝ่ฝันถึง!”
ซาลยังคงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและแววตาเป็นประกาย ในขณะที่แซนโดรยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเขาถึงออกอาการดีใจขนาดนี้ เพราะหากเป็นคนทั่วไปคงแสดงอาการตกตะลึงหรือหวาดกลัวมากกว่า
“…ทิวทัศน์งั้นเหรอ?…”
“ใช่แล้ว! จำนวนมหาศาลจนย้อมสีผืนปฐพีได้นี่แหละ! แค่กรีฑาทัพก็ทำให้สรวงสวรรค์ต้องสั่นไหว! เสียงของฝ่าเท้านับพันที่ย่ำพื้นพสุธาอย่างพร้อมเพรียงกันนั่นน่ะไพเราะที่สุดเลย!”
“…รสนิยมแปลกกว่าที่คิดนะเนี่ย…”
ซาลไม่ได้ใส่ใจคำพูดของแซนโดรเพราะกำลังตื่นเต้นสุด ๆ เขาวิ่งดูกองทัพโครงกระดูกทั้งฟากซ้ายและฟากขวาสลับกันไปมาราวกับเด็กที่เพิ่งเคยมาเที่ยวสวนสัตว์เป็นครั้งแรก จนไปสะดุดตากับของอย่างหนึ่งเข้า
“นี่ ๆ ไอ้นั่นมันอะไรเหรอ?”
ซาลพูดพลางชี้ไปยังกองกระดูกที่มีความสูงนับสิบเมตรซึ่งเหมือนจะมีส่วนหัวเป็นกะโหลกขนาดใหญ่หลายอันส่องแสงอยู่
“…นั่นคือโบนโกเลม …ก็คล้าย ๆ กับการเอาฝูงสเกลตันมาขยำ ๆ แล้วปั้นใหม่ให้ตัวใหญ่ขึ้นน่ะนะ …ถึงความคล่องตัวจะน้อย แต่พลังโจมตีกับความทนทานก็ไม่เลวทีเดียว…”
แซนโดรโบกมือไปบนอากาศเบา ๆ ทันใดนั้นกองกระดูกแต่ละกองก็ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นโกเลมขนาดใหญ่ที่มีความสูงนับสิบเมตร
“ยอดเลย! แถมยังมีเป็นร้อยตัวเลยด้วย! หวาว!”
พอเห็นท่าทีตื่นเต้นดีใจของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า บวกกับการชมไม่ขาดปาก แซนโดรก็เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมา จึงโบกมือเรียกสมุนประเภทอื่น ๆ ออกมาให้เขาได้ดู
“…นี่คือกองทัพเดรดไนท์…”
เมื่อพูดจบ กองทัพม้านับพันที่ขี่โดยอัศวินในชุดเกราะสีดำสนิทก็วิ่งมารวมกันที่ด้านหน้าของที่ราบ
“เดรดไนท์! ของจริงเหรอเนี่ย! แถมยังจำนวนขนาดนี้ด้วย! สุดยอด!”
“…ส่วนนี่คือการ์กอยล์ กำลังหลักของทัพอากาศ…”
ทันใดนั้นรูปปั้นหินที่ประดับอยู่ตามกำแพงและหลังคาของอาคารในมาลาไคท์คีปก็พากันสยายปีกโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับฝูงค้างคาวนับพันที่ออกจากถ้ำไปล่าเหยื่อในยามตะวันตกดิน
“การ์กอยล์ งั้นเหรอ! แม้แต่สมุนระดับสี่ก็ยังมีจำนวนขนาดนี้! แถมการบินเป็นฝูงอันงดงามนี่มัน! เจ๋งเป้งสุด ๆ เลย!”
“…หัวหอกของทัพอากาศจริง ๆ ก็คือโบนดราก้อนนี่…”
เมื่อพูดจบ มังกรโครงกระดูกที่เปล่งออร่าสีเขียวออกจากภายในตัวราวกับเป็นโครงกระดูกมังกรที่มีเปลวไฟลุกไหม้ก็ยกตัวขึ้นมาจากผืนดินตามหน้าผาของเทือกเขาโดยรอบและเริ่มออกบิน
“โบนดราก้อน! มีแม้กระทั่งมังกรเหรอเนี่ย! แซนโดรสุดยอด!”
ซาลมองดูสมุนเหล่านั้นด้วยแววตาเป็นประกายและพูดชมไม่ขาดปาก ส่วนแซนโดรยิ่งได้รับคำชมก็ยิ่งเรียกสมุนออกมาโชว์ไม่ยอมหยุดและแอบอมยิ้มด้วยใบหน้าภูมิใจ
เดิมทีซาลรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับแซนโดรเท่าไหร่ เพราะแซนโดรเป็นคนพูดจาเข้าใจยาก แถมยังชอบยั่วโมโหเขาอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อสังเกตอาการตอบสนองของเขา เหมือนกับเป็นการทดสอบอะไรบางอย่าง เขาจึงไม่ค่อยชอบความรู้สึกที่เหมือนกับถูกมองเป็นของเล่นแบบนี้
ความจริงแล้วแซนโดรแค่อยากทำความรู้จักกับซาลารัสให้มากขึ้น แต่ตัวเธอไม่ค่อยมีความสามารถทางมนุษย์สัมพันธ์สักเท่าไหร่ จึงลองใช้วิธีสร้างความสัมพันธ์ในแบบที่เคยอ่านเจอมาในบันทึกของโลกเก่า คือการ ‘กระเซ้าเย้าแหย่’ แต่แซนโดรไม่รู้ว่านั่นเป็นวิธีเพิ่มพูนความสัมพันธ์สำหรับคนที่สนิทสนมกันในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ใช่คนที่เพิ่งรู้จักกัน มันจึงให้ผลออกมาเป็นตรงกันข้าม
แต่เมื่อได้มาเห็นกองทัพเหล่านี้ ความรู้สึกของซาลที่มีต่อแซนโดรก็เปลี่ยนไป เพราะการสร้างกองทัพส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแบบนี้แหละคือความใฝ่ฝันของเขา และแซนโดรคือผู้ที่ทำให้มันเป็นจริงได้ เรียกว่าเป็นบุคคลที่บรรลุความฝันของเขาได้นั่นเอง ในใจของซาลจึงเกิดการยอมรับนับถือในที่สุด
เพราะมัวเสียเวลากับเรื่องนี้ทำให้ทั้งสองคนใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินมาถึงหน้าประตูมาลาไคท์คีปได้
แม้จะเดินมาถึงตรงนี้แล้ว แต่ซาลก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย แถมยังเกิดความฮึกเหิมสุดจะบรรยายอีกด้วย
“กำลังพลทั้งหมดนี่น่ะมันระดับเดียวกับผู้สร้างหายนะเลยนะ! แบบนี้ไปบุกเลยก็ได้นะเนี่ย!”
“…เธอน่ะคิดง่ายเกินไปแล้ว …แม้จะดูว่ามีจำนวนมากและบางตัวก็เป็นสมุนระดับสูง แต่ถ้าเจอกับ ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ (Peace Maker) กลุ่มใหญ่ ๆ ละก็ …จะโดนกำจัดหมดเมื่อไหร่ก็ขึ้นกับเวลาเท่านั้น…”
“เห? ผู้สร้างสันติภาพน่ะเก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“…ถ้าเทียบกับนักผจญภัยแล้ว …ผู้สร้างสันติภาพก็น่าจะมีฝีมือเทียบเท่ากับนักผจญภัยระดับ S …ถ้าเป็นพวกระดับท็อปจริง ๆ ก็อาจจะถึง SS (ดับเบิลเอส) เลยก็ได้ …แถมสมัยนี้การติดต่อและรวบรวมกำลังพลของพีชคีปเปอร์ยังเป็นไปอย่างรวดเร็ว จำนวนของนักผจญภัยระดับสูงและผู้สร้างสันติภาพก็มีอยู่นับไม่ถ้วน …กองทัพทั้งหมดนี่น่ะ ถ้าเจอผู้สร้างสันติภาพสักสี่สิบคน ละก็ จะถูกกวาดล้างจนหมดเมื่อไหร่ก็ขึ้นกับเวลาเท่านั้น…”
ซาลรู้สึกอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะรู้กิตติศัพท์มาบ้าง แต่เขาก็ไม่นึกว่าผู้สร้างสันติภาพจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนี้
ความจริงต่อให้เป็นนักผจญภัยระดับ S หรือผู้สร้างสันติภาพนับร้อยคนก็ใช่ว่าจะต่อกรกับมอนสเตอร์จำนวนขนาดนี้ได้ง่าย ๆ แต่แซนโดรเห็นว่าอีกฝ่ายคิดอะไรง่ายเกินไปจึงพูดขู่ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เขารู้สึกย่ามใจ
“หมายความว่าผู้สร้างสันติภาพแค่คนเดียวก็ต้านกองทัพนับพันได้งั้นเหรอ?”
“…หนึ่งคนอาจสู้ได้แค่ไม่ถึงร้อย …แต่ถ้าสิบคนจะต้านได้นับหมื่น …นั่นแหละคือพลังของปาร์ตี้และทีมเวิร์ค…”
นั่นหมายถึงการสอดประสานกันในการต่อสู้ เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักผจญภัยที่ซาลก็เคยได้ยินมาแล้ว นักผจญภัยส่วนใหญ่จะมีระดับ (Rank) สูงกว่าความเป็นจริง สาเหตุก็เพราะเมื่อรวมตัวกันเป็นปาร์ตี้ (กลุ่ม) แล้ว จะสามารถทำภารกิจหรือเคลียร์ดันเจียนที่มีระดับสูงกว่าตนเองหลายขั้นได้ เพราะการประสานเสริมของแต่ละคนในทีมจะช่วยดึงประสิทธิภาพในการต่อสู้ออกมาจนเหนือขีดจำกัดนั่นเอง
ซาลเหลียวกลับไปมองกองทัพที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำถามกับแซนโดรด้วยสีหน้าคาดหวัง
“นี่ ๆ สักวันผมจะสร้างกองทัพแบบนี้ได้บ้างรึเปล่า?”
“…เรื่องนั้นก็ขึ้นกับตัวเธอเองนะ …แต่จำนวนก็ไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพหรอก จำไว้ล่ะ…”
เมื่อเดินมาถึงหน้าทางเข้าของมาลาไคท์คีป ประตูบานใหญ่ของกำแพงสูงที่เหมือนกับปราการเหล็กสีดำทมิฬนั้นก็เปิดออก จากนั้นก็มีบุรุษสวมหน้ากากสองคนก็เดินออกมาต้อนรับพวกเขา
บุรุษคนหนึ่งมีผมสีทองยาวประบ่า เขาสวมเสื้อโค้ทยาวสีดำที่มีลวดลายสีเหลืองประดับอยู่ ชุดของเขาดูคล้ายกับชุดขุนนางไสตล์ยุโรป ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มผมสีเทาตัดสั้น เขาสวมชุดสูทผูกเน็คไทสุดเนี๊ยบที่มีสีขาวทั้งชุดราวกับเป็นนักกฎหมาย แต่ทั้งสองคนต่างก็สวมหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลกแบบเดียวกับที่แซนโดรเคยใส่ปิดบังใบหน้าไว้ ทำให้ซาลมองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา
ทั้งสองคนแยกกันยืนประจำประตูด้านซ้ายขวาโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ เพียงแค่ยกมือขวาขึ้นแนบอกเมื่อแซนโดรเดินผ่านเป็นเชิงให้ความเคารพ แต่แซนโดรก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาสอบสนองต่อท่าทีเหล่านั้น และเดินต่อไปเรื่อย ๆ ซาลจึงรีบเดินตามไปโดยแอบเหลียวมองบุรุษทั้งสองคนเพียงเล็กน้อย
ระหว่างทีเดินอยู่ เขาก็ระงับความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยถามออกมา
“นี่ แซนโดร คนสองคนเมื่อกี้นี้เป็นใครเหรอ?”
แซนโดรยังคงเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร ราวกับไม่ได้ยินคำถามนั้น แต่ในขณะที่เขากำลังจะถามซ้ำ เธอก็ตอบออกมา
“…พวกนั้นคือ ‘เรเวอแนนท์’ (Revenant) ของฉันเอง…”
“เรเวอแนนท์? มอนสเตอร์ประเภทร่างอัญเชิญที่เกิดจากจิตหลงเหลือของนักรบที่ตายในการต่อสู้น่ะเหรอ? อืม… แต่รู้สึกว่าสองคนนั้นจะแตกต่างจากเรเวอแนนท์ทั่ว ๆ ไปนะ”
“…เพราะว่าพวกนั้นเป็นเรเวอแนนท์ที่สร้างด้วยเวท ‘รีอนิเมท’ (Reanimate) น่ะ…”
ซาลครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งว่าเวท ‘รีอนิเมท’ ที่แซนโดรพูดถึงคืออะไร แต่พอนึกออก สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่ตกตะลึง
เพราะ ‘รีอนิเมท’ คือเวทต้องห้ามที่ใช้ในการปลุกชีพมนุษย์ เวทนี้จะนำวิญญาณหรือศพของคนที่ตายแล้วมาสร้างเป็นผีดิบ จัดเป็นพิธีกรรมนอกรีตที่มีบทลงโทษสูงสุดในทั้งสามทวีป หากถูกจับได้ว่าละเมิดกฎข้อนี้ ผู้ละเมิดจะต้องถูกเผาทั้งเป็น
พวกเนโครแมนเซอร์ในยุคก่อนคิดค้นเวทนี้ขึ้นมาเพื่อทุ่นแรงในการสร้างสมุนอัญเชิญระดับสูง ในเมื่อการทำพันธสัญญากับคนเก่ง ๆ เป็นเรื่องยากลำบาก แถมการสร้างร่างอัญเชิญให้มีฝีมือเทียบเท่านักผจญภัยระดับสูงก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า พวกเขาจึงคิดค้นเวทปลุกชีพศพ ‘รีอนิเมท’ ขึ้นมา
คนเหล่านั้นจะไปขโมยศพหรือร่างอันไร้วิญญาณของเหล่านักผจญภัยฝีมือฉกาจที่พลาดท่าและเสียชีวิตในการต่อสู้ จากนั้นก็ทำการคืนชีพให้กับศพด้วยมนตร์ดำ ทำให้คนผู้นั้นฟื้นขึ้นมาและกลายเป็นสมุนที่ซื่อสัตย์ของเนโครแมนเซอร์
ความจริงนี่ไม่ใช่การคืนชีพอย่างที่เห็น เพราะวิญญาณของผู้คนที่ตายจะเดินทางไปยังสวรรค์ หรือ นรก ในเวลาไม่นานหลังจากเสียชีวิต และเมื่อกายเนื้อตายลงก็ไม่มีทางที่จะนำวิญญาณกลับเข้าไปในร่างอีกครั้งได้ สิ่งที่เวท ‘รีอนิเมท’ ทำ เป็นเพียงการสร้างวิญญาณเทียมโดยใช้จิตที่หลงเหลืออยู่ในศพเป็นต้นแบบ ทำให้ได้ ‘หุ่นเชิด’ ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับร่างนั้นสมัยที่ยังมีชีวิต เพราะทั้งใช้ศพของตัวจริงเป็นภาชนะ และขับเคลื่อนศพด้วยวิญญาณเทียมที่สร้างขึ้นมาจากจิตที่หลงเหลืออยู่ในศพด้วย
หากแซนโดรบอกว่าพวกเขาเป็น ‘เรเวอแนนท์’ ที่เธอสร้างขึ้นมาด้วยเวท ‘รีอนิเมท’ แปลว่าพวกเขาคือสมาชิกของกลุ่มผู้ศึกษาศาสตร์มืด หรือเป็นเพื่อนพ้องของเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว และแซนโดรก็ทำการปลุกชีพพวกเขาขึ้นมาอีกครั้ง
สังเกตจากท่าทางของเธอแล้ว ซาลคิดว่าแซนโดรเองก็อาจไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่ต้องทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพนี้ ซาลจึงคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่สมควรพูดหรือถามอะไรให้มากความ เขาจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
———————————————————————————————————-
Part 3
แซนโดรพาซาลเดินมาจนถึงอาคารหลังใหญ่ที่สุดซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองและพาเขาเข้าไปยังด้านใน
แม้ซาลจะสงสัยเกี่ยวกับอาคารและหอคอยมากมายที่รายล้อมอยู่ระโดยรอบ แถมเขายังเห็นเรเวอแนนท์อีกหลายคนอยู่ตามอาคารต่าง ๆ ด้วย มีทั้งคนที่ดูเป็นนักเวท และคนที่ดูเป็นนักรบ ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมหน้ากากเหล็กรูปหัวกะโหลกปิดบังใบหน้าเอาไว้ แม้จะอยากรู้เกี่ยวกับพวกเขา แต่ซาลคิดเอาไว้แล้วว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่สมควรถาม จึงได้แต่เดินตามแซนโดรไป เงียบๆ
แซนโดรพาซาลเดินขึ้นไปยังชั้นสามเพื่อแนะนำห้องพักที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งซาลต้องใช้เป็นห้องพักของเขาต่อจากนี้ไป เสร็จแล้วจึงพากลับลงมายังชั้นล่างเพื่อดูห้องห้องรับประทานอาหาร จากนั้นจึงเดินลงบันไดต่อไปอีกเพื่อไปยังชั้นใต้ดิน
เมื่อมาถึงชั้นใต้ดิน ซาลก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะข้างล่างนี้ดูกว้างขวางโอ่อ่ายิ่งกว่าห้องโถงของอาคารด้านบนซะอีก ดูเหมือนชั้นใต้ดินของอาคารนี้จะมีอาณาเขตกินพื้นที่ใต้ดินของอาคารอื่น ๆ ไปด้วย หรือไม่มันก็เป็นดันเจียนมิติที่ถูกสร้างขึ้นให้เชื่อมต่อกับอาคารด้านบน
ที่สำคัญคือในห้องอันกว้างขวางและทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตานี้มีหนังสืออยู่มากมาย ผนังทุกด้าน หรือแม้แต่เสาค้ำยันแต่ละต้น ล้วนแล้วแต่เป็นชั้นหนังสือที่มาประกอบกันทั้งสิ้น มันคือห้องสมุดขนาดใหญ่ระดับเดียวกับห้องสมุดประจำเมืองหลวงเลยทีเดียว ทำให้ซาลทั้งรู้สึกทึ่งและตื่นเต้นดีใจไปในเวลาเดียวกัน
“…จากจุดนี้ ไปจนถึงฝั่งโน้น คือหนังสือเกี่ยวกับการเป็นนักเวททั้งสามระดับ …ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นหนังสือและงานวิจัยเกี่ยวกับเวทอัญเชิญ …ลองดูไปก่อนก็ได้ ฉันจะขึ้นไปหยิบของก่อน เดี๋ยวกลับมา…”
เมื่อพูดจบแซนโดรก็เทเลพอร์ทหายไปทันที ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็มุ่งไปยังชั้นหนังสือเกี่ยวกับเวทอัญเชิญแบบไม่รีรอ
ที่นี่มีหนังสืออยู่เยอะมาก แค่หนังสือสำหรับการออกแบบวงเวทอัญเชิญระดับต้นก็มีอยู่เต็มชั้นวางหลายชั้นแล้ว ซาลจึงรู้สึกดีใจราวกับได้เจอขุมทรัพย์ เขาวิ่งดูทางโน้นทีทางนี้ทีและหยิบหนังสือที่น่าสนใจออกมาวางไว้บนโต๊ะ เพียงไม่นานหนังสือบนโต๊ะก็กองสูงเป็นภูเขา
เมื่อดูหนังสือฝั่งเวทอัญเชิญเสร็จแล้ว ซาลก็วิ่งไปดูหนังสือสำหรับนักเวทบ้าง ทางนี้ยิ่งมีหนังสือเยอะเข้าไปอีก แค่หนังสือสำหรับนักเวทฝึกหัดซึ่งเป็นคลาสแรกก็กินเนื้อที่ไปเป็นห้องแล้ว
ซาลหยิบหนังสือฝั่งนักเวทมาวางรวมกันอีกกองใหญ่และคิดจะเริ่มอ่าน ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นมุมหนังสือมุมหนึ่งซึ่งถูกจัดอยู่ในโครงสร้างที่ต่างออกไปของห้องสมุด จึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา
พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เขาก็พบว่าที่เห็นจากไกล ๆ นั้นเป็นแค่ส่วนน้อย ความจริงชั้นหนังสือฟากนี้อยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่อยู่แยกจากห้องสมุดหลักมาอีกทีหนึ่ง แต่ปริมาณหนังสือในนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
เขาคิดจะลองเข้าไปดู แต่พบว่าทางเข้านั้นถูกปิดกั้นด้วยอาณาเขตเวทมนตร์อยู่ แม้จะมองเห็นข้างในได้แต่ก็ไม่สามารถเดินเข้าไปได้ เขาจึงกลับมาที่โต๊ะและเริ่มอ่านหนังสือที่หยิบมา
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แซนโดรก็เทเลพอร์ทกลับมาในห้อง พร้อมกับถือของหลายอย่างมาด้วย เป็นสายรัดข้อมือสองเส้น สร้อยหนึ่งเส้น และแหวนอีกหนึ่งวง เธอวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มอธิบาย
“…สายรัดข้อมือนี่คือ ‘มานาไทด์เบรซเล็ท’ (Mana Tide Bracelet) …นอกจากจะใช้ดูพลังเวทที่มีอยู่ได้แล้วยังเพิ่มความจุพลังเวทของผู้สวมใส่และช่วยให้ฟื้นฟูพลังเวทได้เร็วขึ้นอีกราว ๆ 50%…
…อีกอันนี่คือ ‘มานาลีคเบรซเล็ท’ (Mana Leak Bracelet) …ถ้าใส่แล้วจะลดความจุพลังเวทของผู้สวมลง 30% และลดอัตราการฟื้นฟูพลังเวทลงครึ่งหนึ่ง …แต่จะทำให้ผู้สวมใส่มีพัฒนาการทางเวทมนตร์เร็วขึ้น ทั้งด้านความจุพลังเวทและการฟื้นฟูพลังเวทด้วย…
…ถ้าสวมสองอันพร้อมกัน …ผลเกี่ยวกับอัตราฟื้นฟูพลังเวทจะหักล้างกันพอดี และเหลือคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความจุของพลังเวทมนตร์อีกนิดหน่อย แต่เธอจะพัฒนาคุณสมบัติทางเวทมนตร์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม …หัวใจสำคัญของเวทอัญเชิญก็คือความจุของพลังเวท เพื่อให้สามารถอัญเชิญสมุนระดับสูง ๆ ได้ ดังนั้นให้สวมสายรัดข้อมือทั้งสองอันนี้ไว้ตลอดเวลา เพื่อเร่งพัฒนาความจุพลังเวทของเธอไงล่ะ…”
เมื่อฟังคำอธิบายของแซนโดรจบ ซาลก็มองสายรัดข้อมือทั้งสองเส้นนั้นด้วยตาลุกวาว พลางตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันเป็นอาติแฟคระดับเลเจนดารี่ (Legendary) ทั้งคู่เลยนี่นา! โดยเฉพาะ ‘มานาไทด์’ นี่ ผมเคยเห็นในเว็บฯประกาศซื้อขายกันอันละ 8-9 หมื่นโกลด์แน่ะ!!”
“…นั่นเป็นราคาที่พวกผู้ค้าปั่นกันเองน่ะ …จริง ๆ มันไม่ถึง 5 หมื่นโกลด์หรอก…”
“ก็ยังแพงมาก ๆ อยู่ดีนั่นแหละ!”
สำหรับสกุลเงินในโลกใหม่นี้จะใช้สกุลเงินเดียวกันทั่วทั้งโลก โดยมีเหรียญกษาปณ์สามระดับเป็นสื่อกลางในการแปลกเปลี่ยน คือ โกลด์ (ทอง), ซิลเวอร์ (เงิน), และ คอปเปอร์ (ทองแดง) หนึ่งร้อยคอปเปอร์ จะมีค่าเท่ากับหนึ่งซิลเวอร์ และหนึ่งร้อยซิลเวอร์จะมีค่าเท่ากับหนึ่งโกลด์ พูดง่าย ๆ ว่าโกลด์คือเหรียญที่มีมูลค่าสูงสุด
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเงินหนึ่งโกลด์มีค่าเท่าไหร่ก็ต้องเปรียบเทียบจากมูลค่าของคอปเปอร์ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าต่ำสุดซะก่อน
ในโลกนี้ อาหารทั่ว ๆ ไปที่ชาวบ้านธรรมดากินกันในหนึ่งมื้อจะมีราคาอยู่ที่ 40-50 คอปเปอร์ อันที่จริงถ้าเป็นอาหารตามสั่งแบบจานเดียวจะมีราคาอยู่ที่เพียง 15-20 คอปเปอร์ด้วยซ้ำไป ส่วนค่าที่พักแรมตามโรงแรมขนาดกลางก็จะอยู่ที่ราว ๆ 1-3 ซิลเวอร์ต่อคืน แล้วแต่เกรดของโรงแรม ค่าเช่าบ้านขนาดสามคนอยู่ก็จะอยู่ที่ราว ๆ 20 ซิลเวอร์ต่อเดือน ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 2-3 ซิลเวอร์ต่อชั่วโมง คนทั่วไปต่อให้ไม่ใช่นักผจญภัยแต่ถ้ารู้จักทำงานหาเลี้ยงชีพก็สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ขาดเหลืออะไร เพราะค่าครองชีพของโลกนี้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรายได้
ของที่มีราคาอยู่ในระดับโกลด์ส่วนมากจะเป็นของชิ้นใหญ่หรือมีมูลค่าสูง เช่น ม้าชั้นดีหนึ่งตัวก็จะมีราคาตั้งแต่ 3-5 โกลด์ คฤหาสน์พร้อมที่ดินขนาด 200 ตารางวาจะมีราคาอยู่ราว ๆ 400 – 500 โกลด์ หรืออุปกรณ์นักผจญภัยทั้งอาวุธและชุดเกราะระดับสูงก็อาจมีราคาเป็นร้อยโกลด์ได้ตามแต่คุณภาพ
แต่สำหรับไอเท็มหรืออาติแฟคที่มีระดับเลเจนดารี่นั้นจัดเป็นของหายากที่ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่ชิ้น อาจเพราะเป็นของที่หาวัตถุดิบมาทำได้ยาก, มีกระบวนการสร้างที่ซับซ้อนจนน้อยคนที่จะทำได้, หรือบางชิ้นก็เกิดจากความฟลุคในการสร้างและไม่สามารถทำซ้ำได้อีกแม้ผู้สร้างจะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม
สายรัดข้อมือที่แซนโดรนำมาให้ซาลารัสใช้นั้นจัดเป็นอาติแฟคระดับเลเจนดารี่เพราะมีคุณสมบัติค่อนข้างสูงและหาได้ยาก เช่น ‘มานาไทด์เบรซเล็ท’ (Mana Tide Bracelet) ที่เพิ่มความจุและอัตราฟื้นฟูพลังเวทของผู้สวมใส่ถึง 50% นั้น เป็นเวอร์ชั่นเลเจนดารี่ของ ‘มานาโฟลว์เบรซเล็ท’ (Mana Flow Bracelet) ซึ่งโดยปกติจะเพิ่มความจุพลังและอัตราฟื้นฟูพลังเวทเวทราว ๆ 20% แม้บางอันจะมีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ได้แต่อันที่มีคุณสมบัติมากกว่าปกติถึงสองเท่าแทบจะมีนับชิ้นได้เลย ราคาของมันจึงแพงมาก
พูดง่าย ๆ ว่ากำไลอันนี้อันเดียวก็สามารถซื้อม้าชั้นดีได้นับหมื่นตัว หรือซื้อบ้านขนาดกลางได้เป็นร้อยหลังนั่นเอง
ซาลรับเอาสายรัดข้อมือทั้งสองอันมาอย่างทะนุถนอม และสวมมันลงบนข้อมือแต่ละข้างด้วยความบรรจง ซึ่งเมื่อสวมเข้ากับข้อมือแล้ว ‘มานาไทด์เบรซเล็ท’ ก็สลายตัวกลายเป็นรอยสักรูปสายรัดข้อมือที่มีเส้นแสดงพลังเวทสีฟ้าปรากฏอยู่บนข้อมือแทน ส่วน ‘มานาลีคเบรซเล็ท’ ก็สลายตัวกลายเป็นลวดลายอักขระเหมือนกับรอยสักพันอยู่รอบข้อมือของเขาเช่นกัน
นี่เป็นระบบลดภาระในการสวมใส่ของอุปกรณ์ระดับสูง โดยเมื่อสวมใส่แล้วมันจะแปรสภาพกลายเป็นชุดอักขระที่สลักอยู่บนผิวหนังของผู้สวมใส่เพื่อไม่ให้เกะกะในการเคลื่อนไหว เป็นหนึ่งในวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกนักประดิษฐ์อาติแฟคเพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาได้ในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้เอง
เมื่อเห็นซาลสวมสายรัดข้อมือทั้งสองอันเรียบร้อยแล้ว แซนโดรก็พูดย้ำกับเขาอีกครั้ง
“…ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องราคาของมันมากนักหรอก …อย่าลืมล่ะว่าต้องสวมคู่กันไว้ตลอด …เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด…”
“เอ… ถ้าใช้พลังเวทหมดแล้ว ระหว่างรอฟื้นฟูก็ถอด ‘มานาลีค’ ออกไม่ดีกว่าเหรอ? จะได้ฟื้นพลังเวทเร็ว ๆ ไง”
“…การฟื้นฟูพลังเวทก็ถือเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดพัฒนาการทางเวทมนตร์อย่างหนึ่ง …ยิ่งฟื้นฟูพลังเวทบ่อยก็จะเกิดการพัฒนาทั้งความจุของพลังเวทและอัตราการฟื้นฟูพลังเวท …ทำให้มีพลังเวทมากขึ้นและฟื้นฟูพลังเวทได้เร็วขึ้น …ดังนั้นถ้าสวมมันไว้เพื่อเร่งอัตราในการพัฒนาก็จะมีผลดีในระยะยาวมากกว่า…”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง… ที่ให้ใช้พลังเวทจนหมดก่อนนอนก็เพราะแบบนี้สินะ”
“…ใช่ …แล้วสร้อยนี่ก็คือ ‘เบอเด็นน์อามูเล็ท’ (Burdened Amulet) …เป็นไอเท็มต้องสาปอีกชิ้นที่ทำให้ผู้สวมใส่ต้องเผชิญกับภาวะแรงดึงดูดที่สูงขึ้น …ชั้นตั้งเอาไว้ที่ 1.2 เท่า …หรือก็คือเธอจะรู้สึกว่าตัวหนักขึ้นอีก 20% …เอาไปสวมซะ…”
แซนโดรยื่นสร้อยให้กับซาล ทำให้เขาเอียงคอมองด้วยความสงสัย เพราะสร้อยเส้นนี้มีแต่ข้อเสีย ไม่เห็นจะมีข้อดีอะไรเลย
“เอ๋? ทำไมต้องสวมของแบบนี้ด้วยล่ะ?”
“…ความสามารถทางกายภาพก็นับเป็นสิ่งสำคัญ …แต่ดูจากเนื้อหาของวิชาที่เธอจะเรียนแล้วเราคงไม่สามารถเจียดเวลาไปให้กับการฝึกร่างกายได้ …ดังนั้นฉันจึงใช้สร้อยนี่เป็นตัวชดเชยในการฝึกร่างกาย …ถ้าร่างกายต้องแบกรับภาระหนักขึ้น กล้ามเนื้อก็จะเกิดการพัฒนาเพื่อปรับตัวตามเอง…”
“เห~ มีวิธีแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ยอดไปเลยนี่นา”
“…ฉันก็ไม่ได้คิดเองหรอกนะ …แต่ได้ไอเดียมาจากเรื่องราวของนักรบในตำนานที่เคยอ่านเจอในบันทึกของโลกเก่าน่ะ…”
“นักรบในตำนานงั้นเหรอ?”
“…ใช่ …ในบันทึกเขียนเอาไว้ว่านักรบคนนั้นฝึกฝนร่างกายตนเองภายใต้แรงดึงดูดมหาศาล …ค่อย ๆ ขยับจาก 10 เท่า 20 เท่า 50 เท่า ไปจนถึง 100 เท่า …และในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นนักรบในตำนานที่เรียกว่า ‘ซุปเปอร์ไชย่า’…”
“ซุปเปอร์ไชย่างั้นเหรอ! ฟังดูเท่ดีนี่นา แล้วผมจะเป็นซุปเปอร์ไชย่าได้บ้างรึเปล่า?”
“…ถ้าฝึกจนถึงขั้นแรงดึงดูด 100 เท่า ก็อาจเป็นได้นะ …แต่ตอนนี้ของเธออยู่ที่ 1.2 เท่าเท่านั้น …ถ้าเริ่มรู้สึกชินแล้วก็ค่อยมาปรับเพิ่มเอาแล้วกัน…”
แซนโดรสวมสร้อยให้กับซาล ทันใดนั้นตัวเขาก็รู้สึกว่าร่างกายมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในทันที แต่ก็ยังเป็นระดับที่พอรับได้อยู่
สร้อยนี้ไม่ได้แปรสภาพตัวเองไปเป็นอักขระเหมือนกับ ‘มานาลีคเบรซเล็ท’ เพราะแซนโดรคิดว่าแบบนี้จะปลดออกง่ายกว่าหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ซึ่งซาลก็เข้าใจ
“…สุดท้ายคือแหวนอันนี้ …ที่เสียเวลาก็เพราะไปทำแหวนอันนี้มาน่ะ …มันเป็นแหวนสื่อสารที่ใช้ติดต่อกันได้ภายในเรล์มแห่งนี้ …และฉันเพิ่มแผนที่ของมาลาไคท์คีปกับแผนที่ห้องสมุดให้ด้วย…”
ซาลรับแหวนมาสวมและลองหมุนมันไปรอบ ๆ นิ้วเพื่อเปิดแผนที่ดู ตัวแหวนจึงฉายภาพแผนที่ขึ้นมาบนอากาศ ในนั้นมีข้อความบอกตำแหน่งและชื่อสถานที่อย่างละเอียด แม้แต่แผนที่ของห้องสมุดก็มีข้อความบอกหมวดหมู่ของหนังสือในแต่ละห้องให้โดยละเอียดด้วย
ระหว่างนั้นเขาก็นึกถึงห้องที่มีเขตเวทมนตร์กั้นเอาไว้อยู่ จึงลองเลื่อนแผนที่ดู พบว่าในแผนที่ระบุพื้นที่นั้นว่าเป็น ‘บันทึกแห่งโลกเก่า’ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่หมดทั้งห้องโถงที่ซาลารัสเห็นเลยทีเดียว
“นี่ ห้องที่เขียนว่า ‘บันทึกแห่งโลกเก่า’ เนี่ย หมายถึงห้องเก็บหนังสือที่แซนโดรเคยพูดถึงอยู่บ่อย ๆ งั้นเหรอ?”
“…อืม …ใช่แล้วล่ะ …มันเป็นห้องที่เก็บหนังสือซึ่งเป็นบันทึกของโลกเก่าอยู่…”
“ทำไมต้องกั้นเขตเวทมนตร์เอาไว้ด้วยล่ะ?”
“…ไปดูมาแล้วงั้นเหรอ? …ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ …แต่ที่ต้องกั้นเขตแดนเอาไว้เพราะมันเป็นของที่อันตรายน่ะ…”
“อันตรายเหรอ?”
ซาลไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่ แซนโดรจึงเดินนำเขาไปยังห้องส่วนนั้น พลางเอ่ยถามไปด้วย
“…เธอรู้อะไรเกี่ยวกับบันทึกของโลกเก่าบ้าง?…”
“อืม… ผมรู้ว่ามันเป็นบันทึกที่เขียนขึ้นโดยมนุษย์รุ่นแรกซึ่งเป็นเหล่าผู้รอดชีวิตจากโลกเก่า พวกเขาพยายามถ่ายทอดเรื่องราวของโลกเก่าเท่าที่พวกเขาจดจำได้ ทั้งประวัติศาสตร์, ขนบธรรมเนียมประเพณี, และวัฒนธรรม ลงในบันทึก เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกเก่า”
“…นั่นก็ถูก …แล้วรู้รึเปล่าว่าทำไมบันทึกของโลกเก่าถึงโดนขึ้นทะเบียนว่าเป็นเอกสารนอกรีตที่ห้ามครอบครองโดยเด็ดขาด …ยกเว้นแต่บันทึกบางเล่มที่ผ่านการพิจารณาจากพีชคีปเปอร์แล้วเท่านั้น…”
“อา… ดูเหมือนว่าในช่วงหนึ่งร้อยปีหลังจากการก่อตั้งโลกก็เกิดการระบาดของบันทึกปลอมซึ่งพวกปิศาจได้บิดเบือนขึ้นเพื่อใช้ชักนำผู้คนให้กลับสู่ความเสื่อมโทรมอีกครั้ง เพื่อเป็นการตัดปัญหา บันทึกของโลกเก่าทั้งหมดจึงถูกยึดเข้าหลวงเพื่อตรวจสอบ หรือไม่ก็ถูกทำลาย”
“…นั่นเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น …บันทึกไม่ได้ถูกปลอมขึ้น …มันแค่อาจทำให้มนุษย์กลับสู่ความเสื่อมโทรมได้…”
“เห? หมายความว่าไงอะ?”
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าห้องเก็บบันทึกแห่งโลกเก่าพอดี แซนโดรจึงยกมือขึ้นเพื่อคลายเวทที่ผนึกเขตแดนอยู่ออก ทันใดนั้นเขตปิดกั้นที่ขวางทางอยู่ก็สลายไป ทำให้ทั้งคู่เดินต่อไปได้ พอก้าวผ่านเขตแดนมาแล้ว แซนโดรจึงเริ่มอธิบายต่อ
“…บันทึกแห่งโลกเก่าน่ะเขียนขึ้นโดยมนุษย์ทั้งนั้น …ไม่มีพวกปิศาจมาเกี่ยวข้องเลย …เพียงแต่ว่ามันมีสิ่งที่เป็นวรรณกรรมปะปนอยู่ …แถมยังปะปนอยู่เป็นจำนวนมากซะด้วย…”
“วรรณกรรมเหรอ?”
“…หลัก ๆ ก็จะเป็นพวกนิยาย …หรือไม่ก็เรื่องเล่าที่ถ่ายทอดมาจากนิทานภาพอีกทีหนึ่ง …ประเด็นปัญหาก็คือวรรณกรรมพวกนี้จำนวนมากสะท้อนถึงความเสื่อมโทรมของโลกเก่าเอาไว้พอสมควร …เหล่าผู้ครองแคว้นจึงเห็นตรงกันว่าควรกำจัดบันทึกทิ้งทั้งหมด…”
“สะท้อนถึงความเสื่อมโทรมของโลกเก่านี่หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“…ก็ …ยกตัวอย่างเช่นวรรณกรรมที่ถูกเรียกว่าวรรณกรรม ‘ฮาเร็มเซอร์วิส’ เนี่ย …ก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายโลเลมากรักที่มาอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้หญิงใจง่าย …ทำตัวเหมือนทั้งโลกเหลือผู้ชายแค่คนนี้คนเดียว แก่งแย่งผู้ชายกันแบบไร้ยางอาย …แถมในเรื่องยังเต็มไปด้วยฉากลามกอนาจาร ที่สาว ๆ ต้องผ่านเหตุการณ์ชนิดที่ทำให้ไปเป็นเจ้าสาวใครไม่ได้อีกแล้วอยู่มากมาย…”
“ขะ.. ขนาดนั้นเลยเหรอ? ฟังดูไม่ดีต่อสังคมจริง ๆ ด้วยแฮะ”
“…นั่นยังแค่เบาะ ๆ นะ …มีวรรณกรรมกลุ่มอื่นที่เสื่อมศีลธรรมกว่านี้อีก เช่นวรรณกรรมกลุ่ม ‘ค้ำคอร์’ …อย่างเรื่อง ‘น้องสาวของผมไม่น่ารัดขนาดนี้แน่’ หรือ ‘ฤดูร้อนอ้อนรัก’ เนี่ย …เป็นเรื่องราวความรักระหว่างพี่น้องแท้ ๆ ที่รักกันฉันชู้สาว …บ้างก็แต่งงานกับน้องตัวเอง …บ้างก็ร่วมหอกับน้องตัวเอง …กระทรวงวัฒนธรรมแห่งอาณาจักรจูริสเคยลงความเห็นกันว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของความเสื่อมโทรมที่ทำให้โลกเก่าถึงกาลพินาศ…”
ซาลเองก็มีน้องสาวเหมือนกัน เมื่อได้ยินว่ามีวรรณกรรมที่มีเนื้อหาแบบนี้อยู่ แวบหนึ่งจึงนึกแทนตัวเองกับน้องสาวลงในความสัมพันธ์ต้องห้ามนั้น ทำให้เขารู้สึกแหยงจนขนลุกไปทั้งตัว
“อึ๋ย… ยิ่งคิดก็ยิ่งสยองอะ คนในโลกเก่าเขาอ่านของแบบนี้กันจริง ๆ เหรอเนี่ย? ว่าแต่แซนโดรเองก็เก็บไว้ครบเลยนะ ชอบเหมือนกันอะเด้?”
“…แนวนี้น่ะไม่ใช่รสนิยมของฉันหรอก …สำหรับฉัน …ที่เก็บของพวกนี้ไว้เพราะว่ามันมีมูลค่าสูงน่ะ …พวกคลั่งวัฒนธรรมของโลกเก่าบางคนยินดีจ่ายเงินเป็นแสน ๆ โกลด์เลยนะ เพื่อที่จะได้ครอบครองของพวกนี้สักเล่ม …โดยเฉพาะเรื่อง ‘น้องสาวของผมไม่น่ารัดขนาดนี้แน่’ เนี่ย …ไม่รู้ทำไมหลังจากอ่านจบครบทุกเล่มแล้ว คนอ่านกว่าครึ่งมักจะเผาหนังสือทั้งชุดทิ้งไป …ทำให้มันกลายเป็นของหายากและมีราคาในตลาดมืดสูงมาก…”
ซาลรู้สึกเหมือนแซนโดรเกือบจะหลุดพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่ก็หันหัวเรื่องไปทางอื่นโดยยังคงประเด็นเดิมเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะซักไซ้อะไรเพิ่ม เพราะเรื่องที่คุยกันอยู่นี้เป็นเรื่องที่เขาสนใจมากกว่า
“อืม… สรุปว่ามันมีของเสื่อมศีลธรรมอยู่มากมาย ก็เลยถูกสั่งห้ามครอบครองสินะ”
“…นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง …อีกเหตุผลก็คือความไม่ชัดเจนในเรื่องของประวัติศาสตร์ …เพราะบันทึกทุกเล่มล้วนแต่เป็นของที่เขียนขึ้นใหม่ หรือมีการเล่าต่อกันมา …ทำให้แยกแยะลำบากว่าอันไหนเป็นประวัติศาสตร์จริง อันไหนเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้น…”
“เอ… ของแบบนี้ ‘สิบนักปราชญ์’ ที่เป็นผู้สร้างโลกขึ้นมาน่าจะให้คำตอบได้ไม่ใช่เหรอ?”
‘สิบนักปราชญ์’ คือกลุ่มชายหญิงจากโลกเก่าจำนวนสิบคนที่พระเจ้าได้คัดเลือกมาเพื่อให้เป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและสร้างโลกใบใหม่ บางตำรากล่าวว่าพระเจ้าเพียงแค่รับฟังความเห็นของพวกเขา แต่บางตำราก็ว่าพระเจ้าให้สิทธิ์ในการสร้างโลกกับพวกเขาเลยทีเดียว
เหล่านักปราชญ์นั้นได้รับพรชีวิตอมตะทำให้ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ แม้จะไม่รู้ว่าเวลาปกติพวกเขาพำนักหรือใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน แต่ทุก ๆ ปีพวกเขาจะประชุมกันที่ ‘เสาค้ำสวรรค์’ (Pillar of Heaven) หอคอยลอยฟ้าซึ่งเคยเป็นห้องทำงานของพวกเขาในการสร้างโลก เพื่อประชุมกันว่าควรปรับแต่งหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับโลกบ้าง เพื่อให้โลกเป็นดินแดนที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้คนบนโลกสามารถติดต่อกับพวกเขาได้
แต่เมื่อได้ยินชื่อของ ‘สิบนักปราชญ์’ แซนโดรก็ทำหน้าเซ็งและถอนหายใจออกมาเล็ก ๆ
“…พวก ‘สิบนักปราชญ์’ น่ะยิ่งแล้วใหญ่ …พวกนั้นแต่ละคนต่างก็ยกวรรณกรรมเรื่องโปรดของตัวเองมาบอกว่าเป็นตำนานที่เกิดขึ้นจริง …ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์ยิ่งยุ่งเหยิง …สุดท้ายจึงใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้เลย…”
“เห… สิบนักปราชญ์เนี่ยไม่ใช่กลุ่มผู้ทรงปัญญาที่มีความรับผิดชอบสูงพระเจ้าถึงได้คัดเลือกมาหรอกเหรอ?”
“…ฉันเองก็แค่ฟังคำบอกเล่ามาน่ะ ความจริงเป็นยังไงก็ไม่แน่ชัดหรอก แต่การที่พวกนั้นไม่ยอมแบ่งแยกวรรณกรรมออกจากประวัติศาสตร์น่าจะเป็นเรื่องจริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของโลกเก่ายังไม่ชัดเจนนัก…”
“อืม… สรุปว่าบันทึกจากโลกเก่านี่มีแต่ของไม่ดีสินะ”
“…ไม่ใช่แบบนั้นหรอก …บันทึกที่มีข้อมูลดี ๆ หรือเรื่องดี ๆ ก็มีอยู่อีกมาก …แม้แต่ในวรรณกรรมด้านมืดบางเรื่องก็ยังมีแนวคิดดี ๆ แฝงอยู่ …สำคัญคือต้องเลือกอ่านและเลือกเชื่อ …อย่าให้ค่านิยมในนั้นมามีอิทธิพลต่อแนวคิดของเราได้ …แต่พูดมันก็ง่ายกว่าทำน่ะนะ …เอาเป็นว่าถ้าสนใจจริง ๆ ฉันจะเปิดพื้นที่ส่วนที่เป็น ‘ข้อมูลปลอดภัย’ เอาไว้ให้ …ส่วนที่เหลือโดยเฉพาะหมวด ‘ผู้ใหญ่’ น่ะรอไว้ให้โตกว่านี้ก่อนก็แล้วกัน…”
หลังจากคุยกันเรื่องบันทึกของโลกเก่าเสร็จแล้ว แซนโดรก็พาเขากลับออกมายังห้องโถงกลางเพื่อเริ่มการฝึกสอนวิชาต่าง ๆ ให้
ซาลเองก็สนใจเรื่องราวของโลกเก่าอยู่ไม่น้อยจึงคิดว่าหลังจากเรียนเสร็จก็จะไปหยิบบันทึกมาลองอ่านดูสักเล่มสองเล่ม แต่ปรากฏว่าผลของสร้อยเพิ่มแรงดึงดูดทำให้เขาเหนื่อยจนแทบหมดแรงเลยทีเดียวแม้จะเป็นแค่การนั่งเรียนทฤษฎีและร่ายเวทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ค่อยต้องขยับร่างกายก็ตาม สุดท้ายเขาเลยต้องกลับขึ้นไปนอนพักผ่อนโดยยังไม่ได้ลองอ่านบันทึกดูเลยสักเล่ม แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะลองศึกษาเรื่องราวของโลกเก่าดูในภายหลัง