Doombringer the 5th - ตอนที่ 60
Ch.60 – ของฝากจากบีสเทีย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 60
ของฝากจากบีสเทีย
Part 1
หลังจบการต่อสู้ ทุกคนก็กลับเข้าเมืองเพื่อรายงานเรื่องทุกอย่างกับทางสมาคมนักผจญภัยของบีสเทีย โดยมีคอร์แมคเป็นผู้รับเรื่อง
เซร่าที่ได้นิโคลช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลนั้นอาการไม่สาหัสนัก เมื่อได้รับข้อมูลจากแซนโดร เธอก็เดินทางกลับไปยังอีเว่นสตาร์เพื่อนำเสนอข้อมูลการสืบสวนต่อสภาสูงของเผ่าเอลฟ์ในทันที
ทางด้านสมาพันธ์เวอร์บีส เมื่อได้รับข่าวว่าแรนดอลฟ์และรูดอลฟ์ที่ก่อเหตุต่างก็เป็นตัวปลอมกันทั้งคู่ ก็ยังไม่ปักใจเชื่อในทีแรก แต่เพราะการโต้แย้งในเรื่องนี้จะเท่ากับยอมรับว่าผู้นำของตนเองพยายามก่อกบฏจริง จึงต้องยอมเออออตามน้ำไปก่อน
แต่หลังจากทำการตรวจค้นคฤหาสน์ของตระกูลเกรย์เมนอย่างละเอียด พวกเขาก็พบศพของแรนดอลฟ์และรูดอลฟ์ถูกฝังอยู่ในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์นั่นเอง ทำให้สมาพันธ์เวอร์บีสเชื่อในรายงานของเซร่าในที่สุด
สำหรับหลักฐานที่ค้นพบในห้องทำงานลับของรูดอลฟ์ แม้จะยืนยันไม่ได้ว่าเป็นของที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมาทั้งหมด แต่ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเอกสารเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของไซล่าร์ ทำให้ทางอีเว่นสตาร์ต้องถือว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเท็จทั้งหมด สมาพันธ์เวอร์บีสจึงรอดพ้นข้อกล่าวหาไปได้ แต่หน่วยสืบราชการลับของทางอีเว่นสตาร์ก็ยังคงรับช่วงเอกสารเหล่านี้ไปตรวจสอบ และเฝ้าจับตาดูทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างลับ ๆ เพื่อความแน่ใจ ทั้งยังเร่งทำการปราบปราบขบวนการค้ามนุษย์ในซิลวานอย่างจริงจังด้วย
นั่นเป็นการปิดฉากคดีลอบสังหารคณะทูต รวมไปถึงคดีฆาตกรรมปริศนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในซิลวานมาตลอดแปดปี
สำหรับกลุ่มของซาล แม้ว่าทางสมาคมนักผจญภัยแห่งบีสเทียและสถานทูตของอีเว่นสตาร์อยากจะจัดงานฉลองเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยคลี่คลายคดีนี้ให้ แต่แซนโดรก็ปฏิเสธไป เพราะอยากจะรีบเดินทางต่อมากกว่า เธอจึงขอให้เซร่าช่วยจัดเตรียมเรื่องการเดินทางออกจากซิลวานให้เร็วที่สุดด้วย
แม้การสืบสวนจะยังไม่ถึงที่สุด แต่สถานการณ์ก็นับว่าคลี่คลายลงแล้ว บวกกับเหล่าสมาคมการค้าในซิลวานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดพรมแดนได้พยายามช่วยกันกดดันไปทางอีเว่นสตาร์ให้เปิดเส้นทางการบินอีกครั้ง ทางอีเว่นสตาร์จึงยอมเปิดเส้นทางการบินบางส่วนตามที่พวกเขาร้องขอ นั่นรวมไปถึงเที่ยวบินข้ามทวีปด้วย
เซร่านำข่าวนี้ไปบอกกับแซนโดร ว่าพวกเธอจะสามารถเดินทางไปยังโดมินาเรียได้ด้วยเที่ยวบินแรกที่จะออกบินในช่วงเที่ยงของวันนี้ โดยเซร่าได้จองที่นั่งชั้นพิเศษสำหรับนักการทูตของอีเว่นสตาร์เอาไว้ให้แล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนทุกคน
เมื่อได้รับข่าวจากเซร่า แซนโดรก็ให้ทุกคนเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางในทันที
——————————————————————————————————–
Part 2
หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่จัดให้เป็นพิเศษโดยสมาคมนักผจญภัยแห่งบีสเทียและสถานทูตแห่งอีเว่นสตาร์แล้ว ทุกคนก็เดินทางไปยังท่าเทียบเรือเหาะของบีสเทียซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมือง
ท่าเทียบเรือเหาะเป็นอาคารขนาดใหญ่ มีความสูงเทียบเท่ากับตึกหกถึงเจ็ดชั้น ทำให้มันดูโดดเด่นมากเนื่องจากบ้านเรือนในบีสเทียมักเป็นอาคารเล็ก ๆ ที่มีความสูงไม่เกินสามชั้น จึงสามารถมองเห็นท่าเทียบเรือเหาะได้จากอีกฟากหนึ่งของเมืองเลยทีเดียว
ชั้นดาดฟ้าของอาคารคือส่วนของท่าเทียบเรือเหาะซึ่งมีความกว้างเกือบสามร้อยเมตร บนนั้นมีเรือเหาะลำใหญ่หนึ่งลำกำลังจอดเทียบท่าอยู่
เรือเหาะลำนั้นมีรูปร่างโดยรวมไม่ค่อยแตกต่างไปจากเรือที่ใช้เดินทะเลมากนัก มันมีแม้กระทั่งเสากระโดงและใบเรือด้วย เรียกว่าแทบจะเหมือนเรือปกติไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่จะมีใบเรืออยู่ในจุดแปลก ๆ เช่นด้านข้างเรือ หรือใต้ท้องเรือ และเรือที่จอดอยู่บนดาดฟ้าของท่าเทียบเรือนี้ก็กำลังลอยอยู่เหนือพื้นตลอดเวลา
นิโคลกับอัลติม่ามองดูเรือเหาะที่จอดเทียบอยู่ด้วยแววตาเป็นประกายเพราะไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของทั้งสองคนก็ทำให้ลานาเทลอดขำให้กับความไร้เดียงสานั้นไม่ได้
ในระหว่างนั้น แซนโดรก็สังเกตเห็นซาลที่มีท่าทีเซื่องซึม ผิดจากปกติที่น่าจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างไปจากนิโคลและอัลติม่า แต่เธอก็พอจะเข้าใจสาเหตุที่เขามีอาการเซื่องซึมอยู่แล้ว
สาเหตุนั้นก็คือการตายของไซล่าร์ เพราะนี่น่าจะเป็นการฆ่าคนครั้งแรกของเขา ถึงแม้จะไม่ได้ลงมือเองและทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่เรื่องนั้นคงไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้สักเท่าไหร่ ซาลคงครุ่นคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเซื่องซึมไป
แซนโดรคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาสักหน่อย เพราะมีแต่เจ้าตัวที่จะต้องก้าวข้ามความรู้สึกนั้นไปให้ได้ด้วยตัวเอง เธอจึงได้แต่เฝ้ามองซาลอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
หลังจากแสดงตนและจัดการเรื่องเอกสารกับเจ้าหน้าที่ของท่าเทียบเรือเรียบร้อยแล้ว เซร่าก็นำทุกคนไปยังวงเวทเคลื่อนย้ายอันหนึ่งบนท่าเทียบเรือซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากเรือเหาะลำใหญ่ที่ทุกคนเห็นในทีแรก ทำให้นิโคลกับอัลติม่ายิ่งมีท่าทีตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ไม่ให้ลุกลี้ลุกลนมากนัก
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าไปในวงเวทครบแล้ว เจ้าหน้าที่ของท่าเทียบเรือก็เริ่มการเคลื่อนย้ายในทันที
หลังจากการเคลื่อนย้าย ทุกคนก็มาโผล่บนดาดฟ้าของเรือเหาะด้วยกันทั้งหมด เซร่าจึงเดินนำทุกคนไปยังส่วนรับรองสำหรับนักการทูตที่อยู่ภายในตัวเรือ
มันเป็นห้องรับรองที่โอ่โถงและมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ราวกับเป็นห้องพักในโรงแรมหรูระดับห้าดาวเลยทีเดียว มีทั้งส่วนของห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องนอนขนาดใหญ่สามห้องที่มีห้องน้ำภายในตัวด้วย นับเป็นห้องพักที่โอ่อ่าซึ่งน่าจะกินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของชั้นเลยทีเดียว
เมื่อพาทุกคนชมส่วนต่าง ๆ ของห้องเรียบร้อยแล้ว เซร่าก็กล่าวคำอำลากับทุกคน
“ต้องขอบคุณมากเลยนะคะสำหรับทุกอย่าง ถ้าไม่ได้พวกคุณละก็ เหตุการณ์คงเลวร้ายลงกว่านี้มากแน่ ๆ เลยค่ะ”
“…ไม่เป็นไร …ทางเราเองก็ต้องขอบคุณที่ช่วยจัดเตรียมเรื่องการเดินทางให้นะ…”
“แค่นี้นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยค่ะ และที่การเดินทางของพวกคุณต้องล่าช้าก็เพราะปัญหาของพวกเราเองด้วย เพราะงั้นนี่ก็นับเป็นการชดเชยที่เหมาะสมแล้วค่ะ”
“…ไม่ต้องคิดมากหรอก…”
“ต้องคิดสิคะ แหม~ อ้อ ถ้าผ่านมาซิลวานอีกเมื่อไหร่และต้องการให้ช่วยอะไรละก็ ติดต่อมาได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ ฉันจะรีบมาทันทีเลยค่ะ”
“…อืม …ขอบคุณมากนะ…”
หลังจากร่ำลากับแซนโดรเสร็จแล้ว เซร่าก็เดินไปหาซาล ก่อนจะย่อตัวลงและถอดสร้อยที่เธอสวมอยู่เพื่อยื่นให้กับเขา
“คุณซาลาแนคะ นี่เป็นสร้อยของตระกูลเวเลอร์วินด์ ตระกูลของฉันเอง ถึงแม้เราจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลมากมายนักเมื่อเทียบกับพวกนักการเมือง แต่ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่เอลฟ์ค่ะ หากวันหน้าคุณซาลาแนเกิดประสบปัญหากับเผ่าเอลฟ์ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ ให้แสดงสร้อยนี้กับชาวเอลฟ์ที่พบนะคะ แล้วพวกเขาจะหาทางช่วยเหลือคุณซาลาแนเองค่ะ”
เซร่ามอบสร้อยให้กับซาล ซึ่งเขาก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะลำบากใจที่จะต้องรับของมีค่านี้ แต่ลำบากใจที่จนป่านนี้เธอก็ยังเข้าใจว่าเขาชื่อซาลาแนอยู่เลย แต่นั่นคงเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้
เมื่อมอบสร้อยให้กับเขาไปแล้ว เซร่าก็ลูบหัวของซาลเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกล่าวต่อ
“ฉันเชื่อว่าคุณซาลาแนต้องกลายเป็นนักผจญภัยชั้นยอดได้แน่ ๆ เลยค่ะ เมื่อถึงตอนนั้นอย่าลืมแวะเวียนมาที่อีเว่นสตาร์บ้างนะคะ ฉันจะรอวันที่ได้ร่วมงานกับคุณซาลาแนอีกครั้งค่ะ รักษาตัวด้วยนะคะ”
ประโยคนั้นควรจะทำให้ซาลรู้สึกประทับใจ แต่เพราะถูกเรียกด้วยชื่อที่ตั้งขึ้นลวก ๆ โดยแซนโดร ทำให้เขาไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยเลยจริง ๆ
อีกด้านหนึ่ง อัลติม่าก็กำลังขบฟันดังกรอด ๆ พร้อมเอามือจิกแขนของนิโคลจนเสื้อยับ
“หนอย… ยัยนั่นมันคิดจะปักธงกับซาลารัสงั้นเหรอ? ยัยโรคจิตเอ๊ย เด็กตัวแค่นี้ก็ไม่เว้น ไร้ยางอายสิ้นดี”
อัลติมาพูดพึมพำอออกมาด้วยน้ำเสียงอันหงุดหงิดที่มีเพียงนิโคลกับลานาเทลได้ยินแค่สองคน
นิโคลที่ได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ อดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘อย่างคุณอัลติม่ากล้าไปว่าเขาด้วยเหรอคะ?’ แต่เพราะจะเป็นการเสียมารยาทเลยไม่ได้พูดมันออกมา ส่วนลานาเทลก็พยายามหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลั้นขำจนตัวงอ เพราะความคิดของเธอก็ไม่ต่างไปจากนิโคลสักเท่าไหร่
เมื่อร่ำลากับซาลเสร็จแล้ว เซร่าก็หันมาบอกลากับทุกคนอย่างเป็นทางการอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ไม่นานนักก็มีเสียงประกาศภายในเรือให้ผู้โดยสารทุกคนอยู่แต่ภายในห้องเพราะเรือกำลังจะออกจากท่า ทุกคนจึงนั่งลงประจำที่ของตนเองบนโซฟารับแขก ซึ่งหลังจากการสั่นไหวเพียงเล็กน้อย เสียงประกาศก็ดังขึ้นอีกครั้งว่าขณะนี้เรือเหาะได้ออกจากท่าแล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปยังอินิสตร้า
นิโคลที่ยังอยู่ในอาการตื่นเต้นมองไปรอบ ๆ ห้องพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขอคำอนุญาตจากแซนโดร
“เอ่อ… คุณแซนโดรคะ ขอฉันออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอกหน่อยได้มั้ยคะ? ในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างเลยค่ะ”
“…เอาสิ …ความจริงไม่ต้องขออนุญาตหรอกนะ จะทำอะไรก็ทำเถอะ…”
“ค่ะ”
“อ๊ะเดี๋ยวก่อน! ฉันไปด้วยซี่ อยากเห็นบรรยากาศตอนมันบินเหมือนกันอะ”
อัลติม่าพูดพลางรีบลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วก็เดินตามนิโคลออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ทางด้านแซนโดรเมื่อเห็นทั้งสองคนออกไปแล้วก็ลุกขึ้นและทำท่าเหมือนเตรียมจะออกไปข้างนอกเช่นกัน ลานาเทลจึงแกล้งถามในเชิงหยอกเย้า
“อยากไปดูทิวทัศน์กะเขาเหมือนกันเหรอคะคุณแซนโดร?”
“…ใช่ที่ไหนล่ะ …เพราะช่วงหลายวันมานี้มีแต่เรื่องยุ่งก็เลยยังกินอาหารประจำถิ่นของซิลวานไม่ครบเลย …ฉันจะไปดูซะหน่อยว่าที่ห้องเสบียงของเรือมีอาหารอะไรบ้าง…”
“เห~ แต่ที่งานเลี้ยงของสมาคมเขาก็มีอาหารให้กินเยอะแล้วนะคะ”
“…ก็บอกแล้วไงว่ามันยังไม่ครบ…”
“อืม~ เห็นคุณเซร่าบอกว่าบนเรือเหาะนี่มีห้องสมุดเล็ก ๆ อยู่ด้วยในห้องพักผ่อนส่วนกลางของเรือ ใกล้ ๆ กับห้องเสบียง เพราะงั้นฉันไปด้วยคนนะคะ”
แซนโดรไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธอะไรและเดินตรงไปยังประตู ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบมามองมายังซาลซึ่งกำลังเรียกดูรายละเอียดของดันเจียนและเหล่าสมุนอยู่เงียบ ๆ เหมือนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่
ลานาเทลก็สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของซาลในช่วงนี้เช่นกัน จึงส่งสายตาเหมือนจะถามแซนโดรว่าควรพาเขาไปด้วยมั้ย แต่แซนโดรคิดว่าควรให้เขาใช้เวลาอยู่คนเดียวมากกว่า จึงส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป ลานาเทลจึงได้แต่หันมามองซาลด้วยสายตาที่แสดงความเป็นห่วง ก่อนจะเดินตามออกไปอีกคน
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้วซาลก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงอัญเชิญวาเคียขนาดเท่าตัวจริงกับอัลดูอินที่มีขนาดมินิออกมา ก่อนจะพูดกับทั้งสองคน
“ต้องขอโทษด้วยนะที่หลายวันมานี้ต้องให้เข้าไปหลบอยู่ในห้องมิติเกือบจะตลอดเวลาเลยน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดี อัลดูอินก็เข้าใจครับ”
ดูเหมือนทั้งวาเคียและอัลดูอินจะโตขึ้นมาก เพราะแม้จะถูกสั่งให้อยู่ในห้องมิติเป็นเวลานานเพื่อหลบสายตาคนนอก ทั้งสองคนก็ไม่มีปัญหาอะไร ซาลจึงรู้สึกเบาใจลง
“เรื่องห้องมิติฉันกำลังหาวิธีดี ๆ ในการจัดการให้อยู่ เอาไว้เสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่คงทำให้พวกเธอสบายขึ้นกว่านี้มากน่ะนะ”
“เรื่องของพวกเรา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ว่าแต่คุณซาลารัส ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอครับ?”
คำถามของวาเคียทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจนต้องละสายตาจากภาพร่างสามมิติของดันเจียนที่ดูอยู่เพื่อหันมามอง
วาเคียจ้องมองเขาด้วยสีหน้าและแววตาอันไร้เดียงสาของเด็กสาวซึ่งสื่อถึงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเธอสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของผู้เป็นนาย แม้แต่อัลดูอินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็จ้องมองซาลด้วยแววตาแบบเดียวกันด้วย
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”
ซาลฝืนยิ้มและลูบหัวของทั้งสองคนเบา ๆ พลางตอบคำถามนั้นกลับไป แต่ทั้งวาเคียและอัลดูอินก็ดูจะยังไม่คลายความกังวลลงเท่าไหร่ เขาจึงต้องพยายามหาทางอื่น
“จริงสิ ตอนนี้น่ะเรากำลังอยู่บนฟ้านะ เพราะว่านี่คือเรือเหาะไงล่ะ”
“บนฟ้าเหรอครับ!? จริงเหรอครับ!?”
“ใช่แล้วล่ะ นิโคลก็ออกไปชมวิวข้างนอกแล้วนะ รีบตามไปสิ”
“ครับ! อะ… แต่ว่า…”
แม้จะมีท่าทีตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า แต่วาเคียก็ยังเป็นห่วงซาลที่ดูเหมือนจะยังไม่ยอมลุกจากที่นั่งออกไปไหน จึงมีท่าทีลังเลให้เห็น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไปเถอะ เดี๋ยวจัดการดันเจียนเสร็จแล้วฉันจะตามไป”
“ครับ!”
เพราะเชื่อในคำพูดของเขา วาเคียจึงรีบวิ่งตรงไปที่ประตู โดยมีอัลดูอินเกาะอยู่บนไหล่ด้วย แล้วทั้งคู่ก็ออกจากประตูไป
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ซาลที่อยู่ตามลำพังก็เหม่อมองโครงสร้างสามมิติของดันเจียนด้วยแววตาอันว่างเปล่าอยู่เป็นเวลานาน
เขาครุ่นคิดถึงช่วงเวลาสุดท้ายของไซล่าร์ซ้ำไปซ้ำมา และไม่สามารถสลัดความคิดที่ว่าเขาเป็นคนฆ่าเธอออกไปจากหัวได้ แม้จะพยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม
ถึงจะเคยเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วว่าหากเลือกทางเดินสายนี้ สักวันหนึ่งเขาก็อาจต้องพรากชีวิตคนอื่นด้วยน้ำมือของเขาเอง ไม่มีทางที่การเป็นผู้สร้างหายนะจะดำเนินไปจนถึงเป้าหมายโดยไม่มีการสูญเสียได้ ถึงกระนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นจริง ๆ ความรู้สึกที่เขาได้รับก็ยังหนักหนากว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้มาก
ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่คิดว่าไซล่าร์เป็นคนที่สมควรตายเลย แม้การกระทำของเธอจะเป็นความผิดอันชัดเจน แต่เมื่อได้รับรู้เหตุผลต่าง ๆ แล้วเขาก็เกิดความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าจะตัดสินให้เธอผิดดีหรือไม่
ตามหลักเหตุผลแล้ว การกระทำของไซล่าร์เป็นความผิดอย่างชัดเจน แต่สำหรับเขา ไซล่าร์ก็เหมือนกับเป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งของวงจรอันชั่วร้าย และเธอก็พยายามยุติวงจรนั้นด้วยวิธีของตัวเอง ไม่ต่างไปจากการที่เขาต้องการจะเป็นผู้สร้างหายนะเลย เพียงแค่เธอถูกความเจ็บปวดที่หนักหนากว่าทำให้ตาพร่ามัวและหลงทางไปเท่านั้น
ยิ่งคิดว่าไซล่าร์ไม่สมควรตาย ซาลก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก เป็นความรู้สึกที่เขาไม่สามารถกำจัดออกไปจากจิตใจได้เลย
ในระหว่างที่กำลังนั่งเหม่อลอยพลางคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดออก ซึ่งคนที่เดินเข้ามาก็คือแซนโดรนั่นเอง
แซนโดรเดินมานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามของซาลารัสแล้วก็จ้องมองเขาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม แต่ซาลที่ยังคงเอาแต่เหม่อมองโครงสร้างสามมิติของดันเจียนอยู่ก็ไม่ได้สังเกตเห็น
เมื่อนั่งอยู่สักพักแล้วอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ แซนโดรจึงเอ่ยปากถามออกมา
“เป็นอะไรไป? ทำหน้าเหมือนมีคนตายไปได้ ร่าเริงหน่อยสิ”
เพราะวิธีการพูดที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งพูดอย่างต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงชัดเจน ไม่ใช่การพูดช้า ๆ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาเหมือนปกติ ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง และเขาก็พบว่าแซนโดรกำลังยิ้มอยู่ด้วยสีหน้าสดใสผิดปกติ
“แซนโดร? เป็นอะไรไปน่ะ? เหมือนจะอารมณ์ดีแปลก ๆ นะ?”
“หืม? ก็ไม่นะ ปกติฉันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่นา”
แซนโดรตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกข้องใจขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่ละ… นี่มัน… ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ๆ …”
“งั้นเหรอ? อืม~ แล้วปกติฉันเป็นยังไงล่ะ?”
“ก็… ปกติไม่เห็นจะร่าเริงแบบนี้นี่นา… ไม่สิ ไม่เคยเห็นว่าจะร่าเริงขนาดนี้เลยต่างหาก”
“งั้นเหรอ จริงด้วยสิ ปกติจะทำหน้าแบบนี้สินะ?”
แซนโดรเอานิ้วจิ้มหางคิ้วของตัวเองทั้งสองข้างแล้วดันให้ชี้ขึ้นเพื่อให้ดูเป็นสีหน้าที่ดุดัน แต่นั่นกลับทำให้ซาลขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกงุนงงมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่แซนโดร… เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย? คงไม่ได้ไปกินอะไรแปลก ๆ มาหรอกนะ?”
“หืม? ยังไม่ใช่เหรอ? งั้นถ้าหน้าแบบนี้ล่ะ?”
แซนโดรเอามือแนบใบหน้าทั้งสองข้างแล้วดันเข้าหากันจนหน้ายับยู่ยี่ ทำให้ซาลหลุดหัวเราะออกมา
“ฮะ ๆ ๆ ๆ ทำอะไรเนี่ย?… เดี๋ยวสิ! นี่เธอเป็นใครกันแน่!?”
เพราะรู้สึกว่าท่าทีของแซนโดรแตกต่างไปจากปกติมากจนแทบจะเป็นคนละคน ซาลจึงรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่น่าจะใช่แซนโดรตัวจริง แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคนที่สามารถทำแบบนี้ขึ้นมาได้
“รึว่า… ไซล่าร์?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซนโดรก็ยิ้มออกมา แล้วรูปร่างของเธอก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป มันพองบวมขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับลูกโป่ง จนทรวดทรงของเธอมีลักษณะราวกับเป็นระฆังคว่ำ ก่อนที่เธอจะนำแว่นตากับหูกระต่ายออกมาสวม แต่รูปลักษณ์ยังคงเป็นแซนโดรเหมือนเดิม
ที่อยู่ตรงหน้าซาลตอนนี้คือแซนโดรที่ร่างกายบวมฉุและสวมแว่นตากับหูกระต่าย กำลังจ้องมองมายังเขาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยและแววตาคมกริบ
มันเป็นแววตาแบบเดียวกับที่ซาลเคยเห็น ทำให้เขามั่นใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือไซล่าร์ไม่ผิดแน่
——————————————————————————————————–
Part 3
“ไซล่าร์! ยังไม่ตายอีกเหรอ!? (แล้วทำไมไม่คืนร่างให้หมดเนี่ย…)”
“อืม~ ถ้าว่ากันตามจริงก็ตายไปแล้วล่ะนะ แต่คืนชีพขึ้นมาใหม่น่ะ”
“เห? คืนชีพเหรอ?”
“รู้สึกว่าหนึ่งในคนที่ฉันเคยกินจะมีความสามารถในการจำศีลเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะใกล้ตายได้น่ะ ที่ร่างกายแห้งลงเรื่อย ๆ นั่นเป็นกระบวนการในการถนอมพลังงานเอาไว้สำหรับการจำศีล แต่ปกติถ้าไม่ได้รับการรักษาก็คงอยู่ในภาวะจำศีลไปตลอดกาลแหละมั้ง โชคดีที่ฉันมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองด้วย พอความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองใช้งานได้อีกครั้งก็เลยทำให้ฟื้นกลับขึ้นมาได้ด้วยตัวเองน่ะ”
เมื้อรู้ว่าไซล่าร์ยังไม่ตายก็ทำให้ซาลดีใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมากราวกับเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ในหัวของเขามาตลอดวันถูกปัดเป่าจนหายไปในพริบตา
เขามีเรื่องที่อยากจะพูดกับเธออยู่มากมาย แต่ก่อนจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ชิงตอบออกมาซะก่อน
“ความจริงฉันก็ไม่ได้อยากจะเปิดเผยตัวเท่าไหร่หรอกนะ แต่คิดไปคิดมา เด็กโง่อย่างเธอคงกำลังกลัดกลุ้มเรื่องที่เพิ่งฆ่าคนตายไปอยู่แน่ ๆ เพราะงั้นก็เลยตามมาเพื่อจะบอกกับเธอเรื่องนี้ไงล่ะ”
ซาลทั้งรู้สึกดีใจและปลื้มใจมากที่ไซล่าร์ยอมทำขนาดนี้ และมันยังทำให้เขามีความหวังอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาด้วย
“แล้ว… ที่มาถึงที่นี่แปลว่าจะร่วมทางไปกับพวกเราใช่รึเปล่า?”
“อืม~ ความจริงฉันเองก็สนใจที่จะได้เดินทางไปกับเธอนะ แต่ถ้ามีคนอื่น ๆ ไปด้วยละก็… ขอเป็นไม่ดีกว่า ฉันไม่ชอบคนเยอะ ๆ น่ะ และฉันก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่อีกด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของซาลก็เปลี่ยนไป กลายเป็นสีหน้าที่มีความกังวลอีกครั้ง
“หมายถึง… จะกลับไปกวาดล้างพวกเวอร์บีสเหรอ?”
ไซล่าร์ไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่หลับตาลงพร้อมกับยิ้มออกมาเหมือนไม่ได้ปฏิเสธซะทีเดียว ทำให้ซาลรู้สึกลำบากใจมากยิ่งขึ้น
“ก็บอกแล้วไงว่าวิธีนั้นมันไม่ถูกต้องน่ะ! ทั้งแก้ปัญหาไม่ได้ แถมยังจะทำให้เกิดปัญหามากยิ่งขึ้นด้วย!”
“ใจเย็นก่อนซี่ เรื่องนั้นฉันเข้าใจแล้วน่า เพราะงั้นคราวนี้ฉันก็จะปรับวิธีการสักนิดหน่อย เรื่องอย่างการพยายามสร้างสงครามหรือดึงพวกเวอร์บีสที่ไม่เกี่ยวข้องมารับกรรมด้วยน่ะ ฉันไม่ทำแล้วล่ะ”
“…แต่ก็ยังคิดจะฆ่าคนอยู่ดีสินะ?”
“ก็ต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปนะ”
“นั่นมันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนะ มาหาวิธีอื่นเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนดีกว่า”
“การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนนั่นมันคืออะไรกันล่ะ? แล้วต้องใช้เวลาอีกกี่ปี หรืออีกกี่สิบปี กว่าจะสำเร็จงั้นเหรอ?”
เมื่อถูกย้อนถามกลับมาตรง ๆ แบบนั้น ซาลก็ต้องนิ่งเงียบไป เพราะนึกคำตอบที่น่าพอใจไม่ออกจริง ๆ ไซล่าร์จึงเป็นฝ่ายพูดต่อ
“การคิดจะแก้ปัญหาในระยะยาวก็นับเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามัวรอให้ถึงวันนั้นก็คงมีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เธอจะบอกให้ฉันนั่งรออยู่เฉย ๆ และดูเด็ก ๆ ของเผ่าฮาลฟ์บีสต้องตกเป็นเหยื่อในระหว่างที่เธอคิดหาวิธีรึไง?”
“ตะ… แต่ว่า… ไซล่าร์ก็ควบคุมจิตใจหรือเปลี่ยนความทรงจำของคนได้นี่นา ทำไมถึงไม่ใช้วิธีนี้เปลี่ยนความคิดของพวกเขาเอาล่ะ?”
“อย่างที่เคยบอกนั่นแหละ การจะแทรกแซงจิตใจคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ”
“แค่เปลี่ยนความทรงจำได้ก็น่าจะเหลือเฟือแล้วนี่ ทำไมไม่เปลี่ยนใจพวกเขาให้เลิกทำธุรกิจแบบนี้ล่ะ?”
“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร แต่การเปลี่ยนความทรงจำน่ะมีผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ฉันเองก็เคยทำไปแล้วล่ะ เรื่องอย่างการเปลี่ยนความทรงจำ เปลี่ยนความคิดของคนระดับผู้นำองค์กรน่ะ ปรากฏว่าเมื่อแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นแถมเสนอความคิดที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ขององค์กรโดยรวม เจ้านั่นก็โดนเชือดทันทีเลย แล้วก็มีคนใหม่เข้ามาแทนที่ ฉันถึงเปลี่ยนมาเชือดพวกมันให้หมดไงล่ะ เพราะสุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่”
“งั้น… แปลว่าจะกลับไปฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องเหมือนเดิมสินะ…”
ซาลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เศร้าหมอง แต่ไซล่าร์ก็ไม่ให้เขาต้องอยู่ในอารมณ์นั้นนานนัก
“หุหุหุ ก็ไม่เชิงหรอกนะ ความจริงตอนที่ฉันอ่านความทรงจำและความคิดของเธอก็ทำให้ได้ไอเดียดี ๆ มาพอสมควรอยู่ มันทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองมีทัศนะคติที่คับแคบเกินไป ทั้งเรื่องการใช้พลัง และการคิดจะแก้ปัญหาด้วยการฆ่าแต่เพียงอย่างเดียว เพราะงั้นต่อจากนี้ไปฉันก็จะพยายามใช้พลังและความสามารถที่มีในการใช้วิธีอื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาด้วย”
“ถ้าเป็นแบบนั้น… ผมก็ดีใจนะ”
คำตอบของไซล่าร์ทำให้ซาลรู้สึกโล่งใจจริง ๆ ซึ่งไซล่าร์ที่เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าคลายความกังวลลงก็รู้สึกพอใจเช่นกัน
“อื้ม เอาล่ะ ฉันก็มีเรื่องจะมาบอกแค่นี้แหละนะ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยล่ะ”
เมื่อพูดจบ ไซล่าร์ก็ยันร่างกายอันใหญ่โต (ที่มีรูปลักษณ์ของแซนโดร) ให้ลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนจะเดินไปที่ประตู แล้วพบว่า ออกประตูไม่ได้
“บ้าจริง… ห้องก็ออกจะโอ่โถง ทำไมถึงทำประตูแคบนักนะ”
“นั่นเพราะไซล่าร์… เอาเถอะ… ไม่มีอะไร…”
“ถึงไม่ได้อ่านความคิดของเธออยู่แต่ฉันก็รู้นะว่าเธอจะพูดว่าอ้วนน่ะ แต่ช่างเถอะ ฉันไม่ถือหรอก รูปร่างแบบนี้น่ะเขาเรียกว่าสมบูรณ์ และคำว่าสมบูรณ์ในภาษาอังกฤษก็คือ ‘เพอร์เฟ็ค’ (Perfect) เพราะงั้นโดยสรุปก็คือนี่เป็นรูปร่างอันเพอร์เฟ็คไงล่ะ”
“ผมว่าไม่น่าใช่นะ…”
ไซล่าร์ไม่ได้ตอบโต้คำพูดของซาล และทำการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์จากร่างของแซนโดรตัวบวมฉุกลับมาเป็นร่างผอมเพรียวของตัวเองอีกครั้ง ในระหว่างนั้นเองเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“โอ้ จริงสิ เธอเป็นซัมมอนเนอร์สินะ? สนใจจะทำพันธสัญญาอัญเชิญกับฉันรึเปล่า? ถือซะว่าเป็นของขวัญสำหรับการจากลาก็แล้วกัน”
“เอ๋!? จะยอมทำพันธสัญญาอัญเชิญกับผมจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“อื้ม จริงสิ ตัวฉันเองคงไม่ตอบรับการอัญเชิญหรอกนะ เพราะยังไม่อยากออกจากบีสเทียในตอนนี้ แต่เธอก็น่าจะพออัญเชิญร่างเสมือนออกไปใช้งานได้ใช่มั้ยล่ะ? ถึงไม่รู้ว่าจะใช้งานได้ดีแค่ไหนแต่ก็น่าจะพอมีประโยชน์กับเธอบ้างนะ”
“ต้องมีสิ! ร่างเสมือนของไซล่าร์น่ะต้องสุดยอดไปเลยล่ะ!”
“อื้ม งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบทำพันธสัญญาสิ”
“โอเค!”
ซาลรีบนำวงเวทพันธสัญญาออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ ส่วนไซล่าร์ก็ประทับฝ่ามือลงบนวงเวททันทีทำให้พันธสัญญาเสร็จสมบูรณ์
“เอาล่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ”
“เดี๋ยวสิ เราอยู่บนฟ้าไม่ใช่เหรอ? แล้วไซล่าร์จะกลับไปยังไงล่ะ?”
“เรายังออกมาไม่พ้นเขตแผ่นดินเลย ระยะทางแค่นี้ฉันบินกลับลงไปเองได้น่า”
“นั่นสินะ… แต่ว่า…”
“เฮ้อ~ เธอนี่เอาแต่คิดมากอยู่ได้ ท่าทางเหมือนจะยังนอนไม่เต็มอิ่มด้วยนี่นา เมื่อคืนได้นอนไปบ้างรึเปล่าเนี่ย? เดี๋ยวก็ไม่โตหรอก เอ้า กลับไปนอนต่อซะ”
ไซล่าร์เอานิ้วแตะสัมผัสที่หน้าผากของซาลเบา ๆ ทันใดนั้นสติของเขาก็เริ่มเลือนลางจนวูบหลับไป
——————————————————————————————————–
Part 4
“คุณซาลารัสครับ?”
ซาลรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งเพราะวาเคียมาปลุก
วาเคียกลับเข้ามาพร้อมกับอัลดูอินและพบว่าซาลกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาของห้องนั่งเล่น เธอเลยปลุกเขาขึ้นมาเพื่อให้ไปนอนที่เตียงในห้องนอนแทน
ซาลารัสมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจเวลา และพบว่าเขาหลับไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเศษ ๆ
“นี่เรา… ฝันไปงั้นเหรอ…”
เพราะคิดว่าเรื่องที่พบกับไซล่าร์เป็นเพียงความฝัน เขาจึงมีสีหน้าที่เศร้าหมองลงอีกครั้ง ทำให้ทั้งวาเคียและอัลดูอินต่างก็มองหน้ากันด้วยท่าทางเป็นกังวล
หลังจากมีท่าทีเซื่องซึมอยู่สักพัก ซาลก็ลองนำวงเวทพันธสัญญาอัญเชิญทีมีทั้งหมดออกมาดู แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรก็ตาม
แต่เขากลับพบว่ามีวงเวทพันธสัญญาอัญเชิญที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวง ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เป็นใบหน้าที่ทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ
“นี่มัน!?”
เมื่อเปิดดูแบบจำลองของร่างอัญเชิญของวงเวทนั้น ก็ปรากฏภาพสามมิติของหญิงสาวร่างกายอวบอัดจนเกือบจะเหมือนกับเป็นม้วนผ้านวมเดินได้ออกมา เธอคนนั้นมีผมยาวสีดำที่ดูรุงรังนิด ๆ ทั้งยังสวมแว่นและหูกระต่ายสีขาวอีกด้วย
“ไม่ใช่ความฝันงั้นเหรอ!? ยะฮู้ววว”
ซาลกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ทำให้วาเคียกับอัลดูอินมองหน้ากันด้วยความรู้สึกงุนงง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นผู้เป็นนายมีท่าทีร่าเริงขึ้นแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ซาลจึงออกจากบีสเทียโดยมีของขวัญที่ไม่คาดคิดติดมือมาด้วย