Doombringer the 5th - ตอนที่ 64
Ch.64 – ความผิดและการลงโทษ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 64
ความผิดและการลงโทษ
Part 1
ภายในเมืองอินิสตร้ากำลังตกอยู่ในความโกลาหล เพราะจู่ ๆ ก็เกิดประตูมิติขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และกองทัพอันเดดจำนวนมหาศาลก็พากันไหลทะลักออกมาราวกับเป็นวันสิ้นโลก
บนฟ้าคราคร่ำไปด้วยมังกรโครงกระดูกขนาดใหญ่นับร้อยตัว ทั้งยังมีฝูงการ์กอยล์อีกหลายพันบินเกาะกลุ่มกันราวกับฝูงผึ้ง เป็นทิวทัศน์ที่ดูน่าขนลุกขนพองต่อผู้ที่ได้พบเห็น
จากปราสาทสีดำที่ห้อยหัวอยู่บนท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งของประตูมิติ กองทัพอันเดดอีกจำนวนมากก็ทยอยกันลงมายังเมืองอินิสตร้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
นักรบโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยจากท้องฟ้าลงมายังพื้นดินอย่างช้า ๆ เหมือนเป็นเกล็ดหิมะสีดำที่กำลังโปรยปราย ผิดกับอัศวินดำบนหลังม้าที่ควบม้าเหยียบย่ำฝ่าอากาศลงมาอย่างรวดเร็วราวกับวิ่งอยู่บนเส้นด้าย ยังมีก้อนกระดูกขนาดมหึมาที่พุ่งลงมากระแทกพื้นเหมือนกับดาวตก บ้านเรือนที่ถูกก้อนอุกาบาตสีขาวโพลนนี้ร่วงหล่นใส่ต่างก็พังทลายกลายเป็นซาก ก่อนจะมียักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากโครงกระดูกลุกขึ้นมาจากจุดตกแต่ละแห่งและเริ่มออกเดินย่ำทำลายเมือง
พวกมันคือสเกลตัน, เดรดไนท์, และโบนโกเลม ลำพังพวกสเกลตันเพียงอย่างเดียวก็มีจำนวนนับหมื่นแล้ว ทำให้เหล่าทหารและนักผจญภัยของอินิสตร้าต่างตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ในระหว่างที่ที่คนกำลังถอดใจและไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา
“มัวตะลึงอะไรกันอยู่เล่า!? ถ้าไม่รีบตีฝ่าออกไป วงล้อมจะยิ่งหนาแน่นกว่านี้นะ! จัดขบวนเป็นหัวลูกศรแล้วฝ่าแนวกั้นออกไปทางทิศใต้! เร็วเข้า!”
นั่นเป็นเสียงของเซดดริกซึ่งตะโกนก้องออกมาทำให้ทุกคนตั้งสติได้อีกครั้ง เหล่าคนของหน่วยข่าวกรองเริ่มเคลื่อนไหวตามคำสั่ง เช่นเดียวกับพวกนักผจญภัยและทหารประจำเมืองซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น
“พวกเธอสี่คนน่ะ ไปเป็นแนวหน้าในการบุกทะลวงซะ ฉันจะคอยอยู่รั้งท้ายเอง”
เซดดริกหันมาพูดกับสี่นักดาบที่กำลังยืนห้อมล้อมเขาอยู่เพื่อสั่งการ แต่ไลฟ์กลับไม่เห็นด้วย
“แต่คุณเซดดริกคะ! หน้าที่ของพวกเราคือคุ้มกันคุณนะคะ!”
“ถ้ามัวเกาะกลุ่มกันไว้แบบนี้จะหนียากกว่านะ! พวกเธอรีบไปเปิดทางซะ แล้วฉันจะรีบตามไป!”
แม้คำพูดของเซดดริกจะมีเหตุผล แต่ไลฟ์ก็ยังรู้สึกไม่เห็นด้วยนัก เธอจึงหันไปมองพีชเพื่อขอความเห็น แต่อีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้าเพื่อสื่อว่าควรทำตามคำสั่งของเซดดริก เธอจึงยอมทำตามในที่สุด
ทั้งสี่คนนำชุดเกราะอัศวินของตนเองออกมาสวม ก่อนจะกระโจนเหยียบผนังของอาคารที่อยู่สองฟากถนนแล้ววิ่งไต่กำแพงเพื่อข้ามกลุ่มทหารและนักผจญภัยเข้าไปปะทะกับกองทัพอันเดดที่ล้อมอยู่
เพียงตวัดดาบกันคนละครั้งก็เกิดคลื่นพลังรูปคมมีดสี่อันพุ่งเข้ากวาดเหล่าสเกลตันจนแตกกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง แนวหน้าของพวกอันเดดจึงถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารและนักผจญภัยของอินิสตร้าจึงอาศัยจังหวะนี้รุกคืบเพื่อตีฝ่าวงล้อมออกไป
เมื่อเกิดการปะทะ กองทัพอันเดดจากด้านอื่น ๆ ก็เริ่มบีบวงล้อมเข้ามา แต่คนของหน่วยข่าวกรองกับทหารที่เหลืออยู่ก็ยังพอจะต้านทานเอาไว้ได้ พวกเขาค่อย ๆ ถอยร่นตามไปยังเส้นทางที่สี่นักดาบเปิดทางให้ แต่การต่อสู้ก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
พวกการ์กอยล์ที่มีลักษณะเหมือนกับกอริลล่าที่มีปีกค้างคาวเริ่มบินโฉบลงมาเพื่อโจมตีเหล่านักผจญภัยเบื้องล่าง แม้พวกเขาจะพยายามใช้ทั้งธนูและเวทมนตร์ยิงสกัด แต่ก็ดูจะไม่ระคายผิวที่เข็งเหมือนกับหินผาของพวกมันเลย ราวกับพวกเขากำลังสู้อยู่กับรูปปั้นที่เคลื่อนไหวได้
โชคยังดีที่คนของหน่วยข่าวกรองมีฝีมือค่อนข้างสูง แม้การโจมตีของนักผจญภัยและเหล่าทหารจะแทบไม่ระคายผิวของพวกมัน แต่คนของเซดดริกก็สามารถสร้างความเสียหายและจัดการกับการ์กอยล์แต่ละตัวได้ในการโจมตีไม่กี่ครั้ง สถานการณ์จึงยังไม่เลวร้ายลงนัก
ในระหว่างนั้น เซดดริกก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังกระหึ่มมาจากด้านหลังของเหล่าสเกลตัน จึงรีบตะโกนออกคำสั่งอีกครั้ง
“พวกทหารประจำเมือง รีบตั้งแถวเร็วเข้า! จัดขบวนฟาแลงซ์! (Phalanx) มีทหารม้ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว!”
แม้จะยังอยู่ในความสับสนแต่เหล่าทหารประจำเมืองก็รีบทำตามคำสั่งของเซดดริก โดยเรียงแถวหน้ากระดานแล้วตั้งหอกนำหน้าเพื่อรอการมาของกองทัพม้าที่จะมาถึง แต่ด้วยจำนวนคนแล้ว แถวของทหารหอกก็ยังดูเบาบางเกินกว่าจะต้านทานการพุ่งชาร์จของทหารม้าได้อยู่ดี
“ใครที่ว่างรีบไปช่วยดันหลังพลทหารหอกเอาไว้! พวกนักเวทช่วยร่ายเวทสนับสนุนด้วย!”
ระหว่างที่สั่งการอยู่ พวกสเกลตันก็ขยับแถวแล้วแหวกออกไปสองข้าทาง พลันก็มีกองทัพเดรดไนท์นับร้อยควบม้าด้วยความเร็วพุ่งตรงเข้ามาหากลุ่มทหารที่ตั้งหอกรออยู่
เหล่าทหารต่างก็สั่นเทาด้วยความกลัว เพราะกองทัพม้าที่พุ่งตรงเข้ามามีเป็นจำนวนมากทั้งยังมีลักษณะดุดันราวกับปิศาจ ด้วยกำลังคนเพียงน้อยนิดของพวกเขาไม่น่าจะต้านทานเอาไว้ได้เลย
แต่ทันใดนั้นก็มีกลุ่มนักผจญภัยและคนของเซดดริกวิ่งเข้าไปช่วยยันพร้อมทั้งร่ายเวทเสริมพลังให้กับทหารในแนวหน้า จนทั้งร่างกายและหอกของพวกเขาเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนเรืองรองออกมา ทำให้เหล่าทหารเริ่มจะมีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง
กองทัพเดรดไนท์โถมเข้าชนกำแพงหอกที่ตั้งรออยู่อย่างหนักหน่วง แต่ด้วยผลจากการผนึกกำลังกันทั้งยังได้เวทเสริมพลังทำให้แนวรับที่ดูบอบบางนี้กลายเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง เหล่าเดรดไนท์ที่พุ่งเข้ามาชนจึงถูกแรงกระแทกของตนเองบดขยี้จนตัวอัศวินเหวี่ยงออกจากม้าแล้วกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง ราวกับพวกมันได้พุ่งเข้าชนกับกำแพงเหล็ก
แนวรับของเหล่าทหารถูกดันให้ถอยร่นออกมาเล็กน้อย แต่การพุ่งชาร์จของพวกเดรดไนท์ได้ถูกหยุดลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อขาดแรงส่งจากการพุ่งเข้าปะทะ มันก็เป็นเพียงการต่อสู้ในระยะประชิดเท่านั้น คนของเซดดริกและเหล่าทหารจึงตอบโต้กลับและสังหารเหล่าเดรดไนท์ไปได้จำนวนหนึ่ง จนพวกมันต้องถอยร่นไป
ทว่าระหว่างที่พวกเดรดไนท์กำลังล่าถอยออกไป ก็มีเงาดำขนาดมหึมาสองเงาเดินสวนกับพวกมันเข้ามายังจุดที่ทุกคนยืนอยู่
มันคือโบนโกเลมที่ค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามายังแนวรบอย่างช้า ๆ ความสูงของพวกมันแต่ละตัวไม่ด้อยไปกว่าตึกสามชั้นที่แวดล้อมบริเวณโดยรอบอยู่เลย ทำให้เหล่าทหารและนักผจญภัยในแนวหน้าเกิดความหวาดหวั่นและเริ่มถอยรูดอย่างไม่เป็นขบวน
เซดดริกกางวงเวทหลายวงออกมาตรงหน้า พร้อมกับบรรจุกระสุนใหม่เพื่อเตรียมโจมตี แต่ทันทีที่เข้ามาได้ระยะ พวกโบนโกเลมก็เปลี่ยนจากการก้าวย่างอันเชื่องช้า กลายเป็นการขยับตัวอันรวดเร็วแทน
มันเหวี่ยงหมัดกวาดเหล่าทหารด้านหน้าหลายสิบคนจนลอยกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ และเตรียมจะทุบหมัดอีกข้างเข้าใส่เหล่านักผจญภัยที่อยู่เบื้องล่าง แต่ทันใดนั้นก็มีอัศวินคนหนึ่งพุ่งเข้าไปฟันแขนขนาดมหึมาของมันจนขาดกระเด็นได้ในดาบเดียว
ด้วยชุดเกราะประจำตัวและดาบเล่มใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เซดดริกรู้ได้ทันทีว่าอัศวินคนนั้นคือคอนคอร์ทนั่นเอง
พอเห็นโอกาสที่คอนคอร์ทมอบให้ เซดดริกก็เหนี่ยวไกสาดกระสุนผ่านวงเวทจำนวนมากที่เรียงรายกันอยู่เบื้องหน้าเข้าใส่โบนโกเลมทั้งสองตัว
เมื่อกระทบกับวงเวทแล้วกระสุนเหล่านั้นก็กลายเป็นลำแสงอันสุกสว่างพุ่งเข้าใส่โบนโกเลมราวกับกลุ่มดาวตก กระสุนแต่ละลูกเจาะคว้านผิวที่เป็นโครงกระดูกของมันได้จนเป็นหลุมลึก เมื่อโดนเข้าไปอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ร่างกายส่วนบนของโบนโกเลมตัวหน้าแหลกสลายไปจนหมด ส่วนโบนโกเลมที่อยู่ด้านหลังก็โดนกระสุนที่เหลือจนอยู่ในอาการร่อแร่
คอนคอร์ทอาศัยจังหวะนี้รวบรวมพลังแล้วปักดาบของเขาลงกับพื้น ครู่ต่อมาก็เกิดดาบแสงขนาดมโหฬารพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและผ่าร่างของโบนโกเลมออกเป็นสองเสี่ยง ทำให้มันสิ้นฤทธิ์ไป
เมื่อจัดการกับโบนโกเลมได้แล้ว คอนคอร์ทก็กลับมาหาเซดดริกอีกครั้ง
“ฉันบอกให้ไปเคลียร์ทางหนีไงเล่า กลับมาทำไมอีก?”
“เราเปิดทางหนีได้เรียบร้อยแล้วน่ะ โชคดีที่เส้นทางทิศใต้มีแต่สเกลตันเป็นส่วนใหญ่เลยรับมือไม่ยาก ตอนนี้สามสาวกำลังเคลียร์เส้นทางล่วงหน้าอยู่ อีกเดี๋ยวก็จะตามมาสมทบเพื่อคุ้มกันคุณเซดดริกออกไป”
“อืม… งั้นก็รีบไปกันเถอะ ยังไงก็อย่าประมาทล่ะ เพราะไม่รู้ว่ามันจะมี…”
เซดดริกพูดพลางเหลือบตามองไปยังแซนโดรที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าราวกับดวงไฟสีเขียว แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนอีกสี่คนยืนรายล้อมดวงไฟดวงนั้นอยู่บนอากาศด้วย
ทุกคนสวมหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลกและชุดเกราะสีดำทมิฬซึ่งมีดีไซน์แตกต่างกันออกไป คนหนึ่งสวมเกราะอันมิดชิดกับผ้าคลุมที่ขาดวิ่น ในมือของเขาถือดาบเล่มเขื่องไม่แพ้ดาบที่คอนคอร์ทใช้อยู่เลย อีกคนสวมเกราะแบบเบาทับลงบทชุดสูทสีขาวโดยถืออาวุธลักษณะคล้ายกับดาบเขี้ยวแวมไพร์
สำหรับอีกสองคนที่เหลือมีการแต่งกายคล้ายกับนักเวท เพราะสวมชุดคลุมยาวทับด้วยเกราะสีดำที่ปกปิดร่างกายเพียงบางส่วน แต่ดีไซน์ของชุดเกราะที่ทั้งสองคนสวมใส่ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ โดยคนหนึ่งสวมชุดเกราะที่แกะสลักลวดลายอันวิจิตรซับซ้อนซึ่งเรืองแสงสีม่วงออกมา ส่วนอีกคนมีเครื่องรางอันแปลกประหลาดห้อยอยู่ทั่วทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาฟาง, ลูกตา, ซากงู, หัวกะโหลก, มัดพืช, และสารพัดของแปลก ๆ อีกมากมาย
ทั้งสี่คนพุ่งลงมายังกลุ่มคนเบื้องล่างพร้อมกับเตรียมการโจมตีไปด้วย
นักเวทในชุดเกราะลายวิจิตรเป็นผู้เปิดการโจมตีก่อน ด้วยการวาดมือสร้างวงเวทอักขระหลายวงขึ้นมาบนอากาศ ทันใดนั้นก็มีก้อนพลังงานสีม่วงจำนวนมากพวยพุ่งฉวัดเฉวียนออกมาจากวงเวท ราวกับเป็นวิญญาณร้ายที่หลุดออกจากประตูนรก และพุ่งกระจัดกระจายเข้าโจมตีผู้คนทั่วทั้งบริเวณ
ก้อนพลังงานเหล่านั้นทะลุทะลวงผ่านอาวุธและชุดเกราะเข้าทำอันตรายต่อร่างกายได้โดยตรง โดยที่อุปกรณ์ที่เป็นวัตถุไม่สามารถป้องกันได้เลย แม้จะมีนักผจญภัยหรือคนของเซดดริกที่ใช้เวทมนตร์ประเภทโล่ต้านเวทได้ แต่ก้อนพลังงานก็ยังบินอ้อมลดเลี้ยวไปด้านข้างแล้วโฉบเข้ามาทางด้านหลังของโล่ป้องกันได้อยู่ดี ราวกับมันเป็นวิญญาณที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ทั้งทหารและนักผจญภัยหรือแม้แต่ตัวเซดดริกกับคอนคอร์ทต่างก็ถูกพลังงานสีม่วงนั้นเข้าโจมตีจนบาดเจ็บและเริ่มเสียกระบวน
นั่นคือเวท ‘สปิริทโบลท์’ เวทของวอล็อค นักเวทผู้เชี่ยวชาญการใช้มนต์ดำอีกสายหนึ่ง วอล็อคจะมุ่งเน้นไปที่เวทสำหรับโจมตีโดยตรง ซึ่งสปิริทโบลท์เป็นเวทที่มีคุณสมบัติพิเศษในการผ่านทะลุสสาร ทำให้อุปกรณ์ทั่วไปไม่สามารถป้องกันได้ ทั้งมันยังสามารถหลบหลีกการป้องกันทางเวทมนตร์และหาจุดบอดเข้าโจมตีราวกับมีความคิดได้อีกด้วย แม้พลังทำลายของมันจะไม่สูงนัก แต่เพราะเป็นเวทที่ป้องกันยากทำให้ผู้ที่ถูกโจมตีมักจะโดนเวทนี้เข้าไปอย่างต่อเนื่องจนเพลี่ยงพล้ำไปในที่สุด
นักเวทอีกคนอาศัยจังหวะนั้นเหวี่ยงเครื่องรางรูปร่างประหลาดหลายอันลงมาปักดักเส้นทางที่พวกเขากำลังถอยหนี ซึ่งเครื่องรางเหล่านั้นเมื่อปักลงบนพื้นแล้วก็เริ่มเรืองแสง ก่อนจะปลดปล่อยเวทมนตร์หลากหลายชนิดออกมา
เครื่องรางที่มีรูปร่างเหมือนซากงูก็ปลดปล่อยงูพิษจำนวนมากเลื้อยไปตามพื้นและตรงเข้าฉกกัดเหล่าทหารที่อยู่ใกล้ พิษของมันทำให้ร่างกายของพวกเขาเกิดอาการชาจนเริ่มขยับไม่ได้ เครื่องรางที่รูปร่างคล้ายลูกตาก็ส่องแสงสีดำสว่างวาบไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนที่ปิดตาไม่ทันต้องสูญเสียการมองเห็น ส่วนเครื่องรางที่เป็นหุ่นฟางก็ปลดปล่อยคลื่นเวทมนตร์ที่ทำให้ผู้คนโดยรอบเกิดอาการอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่
นั่นคือเวทสาย ‘วูดู’ (Voodoo) ของวิชด็อกเตอร์ นักเวทสายมืดอีกคลาสหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญการใช้มนต์ดำในการสร้างการโจมตีอันแปลกประหลาดและมีเวทตัดกำลังคู่ต่อสู้ซึ่งเน้นการทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความสามารถในการต่อสู้จนถึงขั้นพิกลพิการได้ เป็นหนึ่งในคลาสที่นักผจญภัยทั่วไปไม่ต้องการจะพบเจอมากที่สุด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังโดนเล่นงานจนระส่ำระสายและแทบจะถอยหนีต่อไปไม่ได้เลยนั้น คลื่นพลังรูปใบมีดขนาดใหญ่หลายลูกพุ่งเข้าใส่นักเวทหัวกะโหลกทั้งสองที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคาร จนส่วนบนสุดของอาคารถูกกวาดซัดหายไป นักเวททั้งสองต้องกระโดดหลบการโจมตีนั้นจึงทำให้ไม่สามารถโจมตีกลุ่มคนเบื้องล่างต่อได้ ทุกคนจึงได้พักหายใจกันเป็นครั้งแรก
คลื่นพลังเหล่านั้นมาจาก พีช, ไลฟ์, และเลนิตี้ ที่ตามมาสมทบกับคอนคอร์ทเพื่อคุ้มกันเซดดริกออกไปนั่นเอง ซึ่งสถานการณ์ที่พวกเธอพบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คาดคิดเอาไว้ในทีแรกสักเท่าไหร่
คอนคอร์ทอาศัยจังหวะนั่นวิ่งไต่ผนังอาคารขึ้นไปด้านบนเพื่อจะจัดการกับนักเวททั้งสองไม่ให้โจมตีลงมาได้อีก ทางด้านสามสาวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตรงเข้าไปช่วยประสานการโจมตีกับคอนคอร์ทเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าถึง ก็มีอัศวินและนักดาบซึ่งสวมชุดเกราะหัวกะโหลกโฉบลงมาขวางไว้
อัศวินหัวกะโหลกที่สวมเกราะหนักและถือดาบอันเขื่องพุ่งสวนลงมาปะทะกับคอนคอร์ทจนเกิดการประดาบกัน แต่เพราะอีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักตัวลงมาจากทางด้านบนทำให้คอนคอร์ทเป็นฝ่ายถูกดันกลับลงไปบนพื้น เขาจึงต้องตั้งท่าเตรียมรับมือคู่ต่อสู้อยู่ตรงนั้น
อีกด้านหนึ่งนักดาบหัวกะโหลกที่สวมสูทขาวก็ตวัดดาบเข้าใส่สามสาว แม้เขาจะอยู่ห่างออกไปอีกไกล แต่การตวัดดาบนั้นก็ทำให้เกิดดาบสีดำขนาดใหญ่สามเล่มพุ่งตรงมายังทุกคน ทว่าทั้งสามคนก็สามารถปัดมันออกไปให้พ้นจากตัวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เมื่อทั้งสามขึ้นมาถึงบนดาดฟ้า นักเวทหัวกะโหลกอีกสองคนก็เข้ามายืนเคียงข้างนักดาบในสูทขาวเพื่อเตรียมจะต่อสู้ ทำให้บนดาดฟ้านี้กำลังจะกลายเป็นการต่อสู้แบบสามต่อสาม ในขณะที่คอนคอร์ทต้องรับมือกับนักดาบคนที่เหลือตามลำพัง
ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าปะทะกัน ก็มีเสียงคำรามลั่นดังมาจากท้องฟ้าโดยรอบ ทำให้เหล่านักผู้คนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็ต้องหันมองไปบนฟ้าเพื่อหาที่มาของเสียงด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นใจ แต่สำหรับพีช, ไลฟ์, และเลนิตี้ ต่างก็กำลังอยู่ในอาการตกตะลึง เพราะจุดที่พวกเธออยู่ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ผิดกับผู้คนด้านล่างที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
ทั้งเซดดริกและเหล่านักผจญภัยโดยรอบยังคงมองหาต้นเสียงด้วยท่าทีระวังตัว แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงพังทลายของอาคารบ้านเรือนโดยรอบดังมาจากทั่วทุกสารทิศ ตามมาด้วยการปรากฏตัวของฝูงมังกรโครงกระดูกนับสิบตัวที่พุ่งทะลุอาคารสองฟากข้างทางออกมาและตรงเข้าขย้ำเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่บนถนนสายนี้ในทันที
คอนคอร์ทรีบผละตัวกลับไปหาเซดดริกตั้งแต่ได้ยินเสียงคำรามนั้น โดยไม่ได้สนใจอัศวินหัวกะโหลกที่ตนกำลังจะต่อสู้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตามเขามาเช่นกัน ทั้งยังฉากหลบออกไปจากบริเวณนั้น เพราะรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
คอนคอร์ทสามารถเข้าถึงตัวเซดดริกได้ก่อน แต่ฝูงมังกรก็โถมเข้าใส่จุดที่พวกเขายืนอยู่ในเสี้ยววินาทีต่อมา จนทั้งคู่ถูกกลืนหายไปในพายุโครงกระดูกนั้น
“คุณเซดดริก! คอนคอร์ท!”
ไลฟ์ที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้นอยู่ไกล ๆ ได้แต่ร้องตะโกนออกมาโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
——————————————————————————————————–
Part 2
ที่ด้านหน้าของโรงแรมในเมืองเอลการ์ดซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอินิสตร้าออกไปไม่ถึงหกสิบกิโลเมตร
ลานาเทลยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่วาลานาร์กำลังบอกกับเธอ
“แซนโดรกำลังทำลายเมืองอินิสตร้างั้นเหรอ? หมายความว่าไงกัน? อธิบายมาให้ชัด ๆ ซิ”
“คะ.. คือ… แม่นั่นน่ะเปิดประตูมิติขนาดใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า ละ.. แล้วก็มีกองทัพอันเดดจำนวนมหาศาลโผล่ออกมา… ทั้งโบนดราก้อน, การ์กอยล์, เดรดไนท์, สเกลตัน ตอนนี้กำลังอาละวาดไปทั่วเมืองอินิสตร้าเลยค่ะ!”
คำอธิบายอย่างร้อนรนและติดขัดของวาลานาร์ทำให้จับใจความยากนิดหน่อย แต่ลานาเทลก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของแซนโดรอยู่ดี
“แล้วทำไมเขาถึงต้องทำแบบนั้นล่ะ!? มีเหตุผลอะไรกัน?”
“ดะ.. ดูเหมือนว่าเป้าหมายของแซนโดรจะเป็นคนของพีชคีปเปอร์น่ะค่ะ เราเจอแม่นั่นกำลังสะกดรอยพวกนั้นอยู่ แล้วพอได้โอกาสก็ลงไปสู้ทันทีเลย แต่ว่าคนของพีชคีปเปอร์มีมากกว่า ก็เลย…”
ลานาเทลนึกย้อนไปถึงท่าทางผิดปกติของแซนโดรที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เห็นคนของพีชคีปเปอร์ที่หัวมุมถนน
ตอนที่รู้ถึงการมาของสี่นักดาบในแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส แซนโดรก็ไม่ได้มีท่าทีจะใส่ใจอะไรเลย แปลว่าเป้าหมายของเธอไม่ใช่สี่นักดาบ แต่เป็นบุคคลสำคัญที่มากับพวกเขามากกว่า
แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่ถ้าถึงขนาดยอมผิดหลักการของตัวเองเข้าไปเผชิญหน้าตรง ๆ แถมยังทุ่มกำลังทั้งหมดของมาลาไคท์คีปเข้าใส่โดยไม่สนใจผลที่จะตามมาแบบนี้ แปลว่านั่นคงเป็นเป้าหมายที่เธอต้องการจะกำจัดให้ได้จริง ๆ
ไม่ว่ายังไงลานาเทลก็คิดว่าต้องกลับไปพบแซนโดรก่อนเป็นอันดับแรก จึงออกคำสั่งให้วาลานาร์เตรียมช่องทางเอาไว้
“วาลานาร์ เปิดวงเวทเคลื่อนย้ายที่คฤหาสน์รอไว้ เดี๋ยวฉันจะใช้วงเวทที่เมืองนี้เทเลพอร์ทกลับไป”
“ขะ.. เข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อได้รับคำสั่งของลานาเทลแล้ว วาลานาร์ก็ตัดการติดต่อไป
สาเหตุที่ลานาเทลเลือกมารอที่เมืองนี้นอกจากเพราะมันเป็นเมืองที่อยู่ใกล้แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือเธอรู้มาจากเคเลเซ็ทว่าภายในเมืองมีวงเวทเคลื่อนย้ายของตระกูลซ่อนอยู่ เนื่องจากที่นี่เป็นหนึ่งในจุดพักสินค้าผิดกฎหมายนั่นเอง
เพราะสังหรณ์ใจไม่ดีกับการที่แซนโดรแยกตัวไป เธอจึงมารอที่เมืองนี้เผื่อว่าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นจะได้ใช้วงเวทเคลื่อนย้ายกลับไปยังอินิสตร้าได้ทันที
ลานาเทลสงบสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องโถงของโรงแรมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้สึกผิดสังเกต
“คุณแซนโดรติดต่อมาแล้วค่ะ รู้สึกว่าเธอกับคนที่ไปพบจะมีปัญหากันนิดหน่อยทำให้ยังตกลงกันไม่ได้ คืนนี้เลยอาจยังไม่ออกจากเมืองอินิสตร้านะคะ ถ้าไงทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกันค่ะ”
คำบอกของลานาเทลทำให้ทุกคนมีท่าทางแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีใครค้านอะไร จนกระทั่งลานาเทลทำท่าจะเดินออกไป ซาลจึงทักขึ้น
“อ้าว? แล้วลานาเทลจะไปไหนล่ะ?”
“ฉันจะไปติดต่อกับคนของตระกูลในเมืองนี้หน่อยน่ะค่ะ ไม่ต้องรอนะคะ เข้าห้องพักกันได้เลยค่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็เดินออกจากห้องโถงของโรงแรมไปเพียงลำพัง
ลานาเทลตรงไปยังโกดังแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกมาจากเขตใจกลางเมืองเล็กน้อย
เมื่อชูมือแสดงแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วให้ชายที่เฝ้าโกดังดู เขาก็ก้มหัวแสดงความเคารพต่อลานาเทล ก่อนจะเปิดประตูโกดังให้ และเดินนำทางเข้าไปด้านใน
หลังจากเดินลัดเลาะสินค้าที่กองอยู่ในโกดังไปจนถึงด้านในสุด คนเฝ้าโกดังก็เลื่อนลังสินค้ากองหนึ่งออกจากจุดวาง เผยให้เห็นวงเวทขนาดกลางที่อยู่ข้างใต้ มันคือวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับใช้ลักลอบขนส่งสินค้านั่นเอง
ลานาเทลเข้าไปยืนในวงเวทก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนเฝ้าโกดังทำการร่ายเวท วงเวทจึงเริ่มเปล่งแสงออกมาเพื่อทำการเคลื่อนย้าย
แต่ในระหว่างนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ เหยียบลงบนพื้นในวงเวทข้าง ๆ จุดที่เธอยืนอยู่ ทำให้ลานาเทลต้องหันไปมอง แต่เธอก็ไม่พบใครเลยสักคน
วงเวทเปล่งแสงสว่างวาบออกมาเพื่อส่งลานาเทลกลับไปยังอินิสตร้า และเมื่อแสงสว่างนั้นจางลง เธอก็มาปรากฏตัวที่วงเวทเคลื่อนย้ายภายในคฤหาสน์ของตระกูลนั่นเอง
แต่ตรงพื้นข้าง ๆ ตัวเธอที่เคยว่างเปล่ามาจนถึงก่อนการเคลื่อนย้าย ตอนนี้กลับมีคนอีกคนหนึ่งยืนอยู่
เขาก็คือซาลนั่นเอง
“คะ.. คุณซาลารัส!? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ!? ไม่สิ ทำไมถึงตามมาล่ะ!?”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแซนโดรกันแน่น่ะ? บอกผมมาตามตรงเถอะ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ?”
“เรื่องทั้งหมดนี้น่ะมันค่อนข้างจะผิดปกติอยู่แล้ว แถมก่อนออกมาลานาเทลยังบอกว่าไม่ต้องรออีกต่างหาก แปลว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรสักอย่างกับแซนโดร ทำให้ต้องกลับมาช่วยใช่มั้ยล่ะ?”
“ถ้าแบบนั้นก็น่าจะรู้ว่ามันอันตรายสิคะ แล้วยังจะตามมาทำไมอีกเนี่ย~”
“โอ๊ย ๆ ๆ ”
ลานาเทลรู้สึกหงุดหงิดจนทนไม่ไหวเลยเอามือบีบแก้มทั้งของข้างของซาลเป็นการลงโทษจนเขาต้องร้องออกมา ตอนนี้เธอเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแซนโดรถึงเข้มงวดกับซาลนัก เพราะเขาเป็นเด็กที่ชอบทำเรื่องยุ่งยากให้แบบไม่รู้จักหยุดหย่อนจริง ๆ
ระหว่างนั้นเองประตูห้องก็เปิดออก แล้วเคเลเซ็ทก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
“ท่านลานาเทลคะ! อะ?”
เพราะเข้ามาเห็นลานาเทลกำลังหยิกแก้มของซาลารัสอยู่ เคเลเซ็ทเลยชะงักไปเพราะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ ส่วนลานาเทลพอเห็นมีคนเข้ามาก็รีบยืนตัวตรงแล้วหันมาพูดกับเคเลเซ็ทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะแฮ่ม… สถานการณ์เป็นยังไงบ้างแล้ว เคเลเซ็ท?”
“คือ… ดูเหมือนในเมืองจะยังมีการต่อสู้อยู่ค่ะ พวกทหารประจำเมืองกำลังอพยพคนออกจากเมืองอยู่ เราเองก็กำลังลำเลียงคนในสังกัดของเราออกไปทางช่องทางต่าง ๆ เช่นกันค่ะ”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ ลานาเทลก็เดินนำออกไปโดยมีซาลและเคเลเซ็ทเดินตามไปติด ๆ เพื่อมุ่งไปยังดาดฟ้าของคฤหาสน์
ซาลมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็เห็นฝูงมังกรโครงกระดูกและการ์กอยล์จำนวนมหาศาลบินอยู่เต็มท้องฟ้าย่านใจกลางเมือง ทำให้ทั้งรู้สึกตื่นตระหนกและขุ่นข้องใจ แต่ก็ยังไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม เพราะแค่วิ่งให้ทันการเดินจ้ำของลานาเทลก็เต็มที่แล้ว
ระหว่างนั้นลานาเทลก็นำแหวนสื่อสารออกมาเพื่อจะติดต่อกับวาลานาร์ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้
“เอ๋? ทำไมถึงติดต่อกับวาลานาร์ไม่ได้ล่ะ? เคเลเซ็ท ลองติดต่อดูซิ”
“นั่นเป็นเรื่องที่เกิดมาพักหนึ่งแล้วค่ะ ตั้งแต่ประตูมิติบนท้องฟ้านั่นปรากฏออกมาก็มีกระแสเวทรบกวนทำให้ไม่สามารถใช้เวทสื่อสารได้เลย ฉันเองก็ขาดการติดต่อกับวาลานาร์และคนอื่น ๆ มาพักหนึ่งแล้วค่ะ”
“สกัดกั้นการสื่อสารงั้นเหรอ นี่ก็ฝีมือของคุณแซนโดรรึเปล่านะ…”
คำพูดของลานาเทลทำให้ซาลยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก แต่เขาก็ยังเก็บคำถามเอาไว้ จนกระทั่งทุกคนขึ้นมาถึงดาดฟ้าของคฤหาสน์
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ซาลก็เห็นรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่บนท้องฟ้า ซึ่งภายในนั้นมีภาพของดินแดนอีกแห่งหนึ่งปรากฏให้เห็นในสภาพกลับหัว
มันเป็นภาพของปราสาทสีดำซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในดินแดนสนธยา เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของปราสาทนั้นเขาก็ต้องตาเบิกโพลงและเอ่ยร้องออกมา
“นั่นมัน! มาลาไคท์คีปไม่ใช่เหรอ!? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!?”
ลานาเทลจ้องมองดูมาลาไคท์คีปที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าอึดอัด ก่อนจะตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไป
“คือว่า… คุณแซนโดรกำลังบุกเมืองนี้อยู่น่ะค่ะ… เป้าหมายของเขาคือใครสักคนในกลุ่มผู้เดินทางของพีชคีปเปอร์ ดูจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญมาก ๆ ซะด้วย…”
“แซนโดรน่ะเหรอ!? แต่ว่าแบบนี้มัน…”
ซาลอยากจะโต้แย้งว่าการกระทำแบบนี้มันไม่สมกับเป็นแซนโดรเลยสักนิด แต่ทั้งเหล่าสมุนที่บินอยู่เต็มท้องฟ้า ทั้งยังมาลาไคท์คีปที่ปรากฏอยู่อีกฟากหนึ่งของประตูมิตินั่นอีก มันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะสามารถทำได้เลย ทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
“ฉันก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันค่ะ แต่เดี๋ยวจะลองไปถามเจ้าตัวดู ถ้ายังไงคุณซาลารัสรออยู่ที่นี่ก่อนนะคะ เคเลเซ็ท ฝากดูแลเด็กคนนี้ด้วยนะ อย่าให้เขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อพูดจบ ลานาเทลก็สยายผ้าคลุมเลือดออกมา ก่อนมันจะแปรสภาพเป็นปีกค้างคาวขนาดใหญ่และบินทะยานขึ้นฟ้าไป
หลังจากลานาเทลบินออกไปแล้ว เคเลเซ็ทก็หันกลับมาพูดกับซาลเพื่อพาเขากลับเข้าไปในคฤหาสน์
“เอาล่ะ คุณซาลารัสคะ… เอ๋?”
พอหันกลับมามองอีกที ซาลก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ว่าเคเลเซ็ทจะพยายามมองหายังไง บริเวณนั้นก็ไม่มีวี่แววของเขาอยู่เลย
“หะ.. หายไปไหนแล้วเนี่ยยย!”
เสียงกรีดร้องของเคเลเซ็ทดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่ลานาเทลที่บินไปไกลแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย
——————————————————————————————————–
Part 3
ในทางระบายน้ำใต้ถนนของเมืองอินิสตร้า
มีชายสองคนกำลังหลบเร้นกายอยู่ในเงามืด เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเหล่าอันเดดที่อยู่เบื้องบน
“เฮ้อ… โชคดีที่เป็นเมืองใหญ่นะเนี่ย ถ้าเป็นเมืองชนบทหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางระบายน้ำอยู่ข้างใต้ละก็ คงไม่รู้จะหนีไปทางไหนเหมือนกัน”
ชายหนุ่มในชุดเกราะอัศวินซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนมันเป็นเรื่องเล่น เขาก็คือคอนคอร์ท หนึ่งในสี่นักดาบนั่นเอง
“แหวนสื่อสารใช้การไม่ได้เลย… นี่ก็เป็นฝีมือของเจ้านั่นรึเปล่านะ…”
ชายแก่ซึ่งนั่งพิงผนังของทางระบายน้ำอยู่พูดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เขาคือเซดดริก เดรค ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ซึ่งกำลังนั่งพักอยู่เพราะได้รับบาดเจ็บที่ท้อง จนเลือดไหลซึมออกมานอกเสื้อ
“ใต้นี้ก็ดูไม่เลวนะ เราควรจะเดินตามทางระบายน้ำนี่ออกไปรึเปล่า? มันน่าจะไปโผล่ที่ไหนสักที่นึงแหละ ว่ามั้ยคุณเซดดริก?”
เซดดริกไม่ได้ตอบคำถามของคอนคอร์ทและเอาแต่นิ่งเงียบ ทำให้เขาเริ่มกังวลว่าอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายนั้นหนักกว่าที่คิด คอนคอร์ทจึงย่อเข่าลงเพื่อดูอาการของเซดดริกอีกครั้ง
“ไหวรึเปล่าคุณเซดดริก? รึว่าจะให้ผมฝ่าออกไปหาคนมาช่วยดี?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก… แผลนี่ก็ไม่ได้ลึกเท่าไหร่… ฉันแค่… ฉันไม่น่าประมาทเกินไปเลย… ถ้ารู้ว่าเจ้านักเวทหัวกะโหลกนั่นมีพลังขนาดนี้ละก็…”
“ใครจะไปรู้ว่ามันมีพลังขนาดนี้กันล่ะคร้าบ~ นี่มันระดับ ‘คาทาสโทรฟี’ หรือ ‘คาตาคลิซึ่ม’ เลยนา ต่อให้ไม่เท่าก็คงใกล้เคียงล่ะ… แล้วถึงรู้จะไปทำอะไรได้ล่ะ? จะยอมแพ้ตามที่มันบอกรึไง?”
คอนคอร์ทพูดประชดประชันไปตามนิสัย แต่เซดดริกกลับนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะมีทั้งคนของหน่วยข่าวกรองและคนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตายไปมากมายทำให้เซดดริกเริ่มคิดถึงข้อเสนอของฝ่ายตรงข้ามที่ว่าถ้าเขายอมตายจะยอมไว้ชีวิตคนอื่น ๆ ขึ้นมา
“ทไวไลท์เมอริเดียน”
คำพูดของคอนคอร์ททำให้เซดดริกต้องเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้นแล้วเขาก็ยิ่งแน่ใจ
“คุณเซดดริกกับเจ้านักเวทหัวกะโหลกนั่นเคยมีเรื่องอะไรมาก่อนกันแน่? แล้วทไวไลท์เมอริเดียนที่เจ้านั่นพูดถึงมันคืออะไรกันเหรอ?”
คำถามของคอนคอร์ททำให้เซดดริกนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดจะถามย้ำและยืนรอคำตอบอยู่เงียบ ๆ จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมปริปากออกมา
“ทไวไลท์เมอริเดียน คือชื่อของสมาคมผู้ศึกษาศาสตร์มืดในเอราเทีย แคว้นเล็ก ๆ ทางเหนือของอาณาจักรอีเลเซียในเทอร่า… สมาคมนี้ถูกกวาดล้างไปเมื่อ 17 ปีก่อน โดยฝีมือของฉันเอง…”
“อืม… แปลว่าเป็นการกลับมาแก้แค้นงั้นเหรอ? ถ้าโดนคำสั่งกวาดล้างได้ก็คงเป็นสมาคมที่ก่อเรื่องชั่วร้ายเอาไว้มากพอตัวสินะ ทำเลวแล้วยังจะมาพาลคิดแค้นเมื่อถูกลงโทษอีก พวกผู้ใช้ศาสตร์มืดนี่ไร้สำนึกจริง ๆ เลย”
“ฮ่ะ ๆ ๆ … ผิดแล้วล่ะ… คนที่ไร้สำนึกคือพวกเราต่างหาก…”
“หา? หมายความว่าไงน่ะ?”
คำพูดของเซดดริกทำให้คอนคอร์ทต้องขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ ซึ่งเซดดริกก็ใช้เวลารวบรวมลมหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“สมาคมทไวไลท์เมอริเดียน ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย… พวกเขาเป็นสมาคมผู้ใช้ศาสตร์มืดที่รักสงบซึ่งคอยช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและไม่เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ … เพราะแบบนั้นก็เลยไปขัดผลประโยชน์ของพวกขุนนางท้องถิ่นเข้า พวกนั้นเลยปั้นเรื่องใส่ร้ายยื่นมาทางพีชคีปเปอร์ให้ส่งคนไปกวาดล้างน่ะ…”
“…แล้วคนที่ถูกส่งไปก็คือคุณเซดดริกเหรอครับ?”
“ใช่… ตอนนั้นฉันยังเป็นผู้ปฏิบัติการภาคสนามอยู่… ได้รับคำสั่งอะไรมาก็รีบทำตามโดยไม่เคยนึกสงสัยอะไร… พอมารู้ทีหลังว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการป้ายสี มันเลยทำให้ฉันรู้ว่าถ้าเอาแต่ทำตามคำสั่งแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ เราก็เป็นได้แค่เครื่องมือฆ่าคนเท่านั้น… ตั้งแต่วันนั้นฉันก็เลยเข้าร่วมกับฝ่ายข่าวกรอง เพราะรู้ว่าการได้รับข่าวสารที่ถูกต้องมันสำคัญแค่ไหนไงล่ะ…”
“แปลว่านั่นคือคนที่เหลือรอดของทไวไลท์เมอริเดียนสินะครับ…”
“อืม… ในตอนที่ฉันกวาดล้างสมาคมก็มีคนหนีรอดไปได้จริง ๆ … แต่เขาก็เคยกลับมาแก้แค้นที่แคว้นเอราเทียและถูกซารามอธจัดการไปแล้วนี่นา…”
เซดดริกนึกย้อนไปถึงวันที่มีการกวาดล้างเกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว แต่เขายังคงจำมันได้อย่างชัดเจนเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจไม่เคยเลือนหายไป
อีกด้านหนึ่ง แซนโดรซึ่งยืนอยู่บนยอดหอคอยใจกลางเมืองก็จ้องมองเมืองที่กำลังมอดไหม้อยู่เบื้องล่างด้วยดวงตาประดุจเปลวไฟสีเขียวอันสุกสว่าง พลางนึกย้อนไปถึงอดีตของตนกับสมาคมทไวไลท์เมอริเดียน ในวันที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น